Wednesday, August 22, 2007

ตอนที่ 54

หลังจากที่ผมเริ่มรู้จักการมีเซ็กซ์ด้วยปากอย่างถูกวิธี จนไม่เจ็บเพราะฟันอีก และสามารถถึงจุดสุดยอดด้วยการใช้ปากกับไอ้ชัชได้ ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้วว่าการใช้ปากกันนั้นมันสนุกและตื่นเต้นอย่างไร มิน่าล่ะ ในหนังสือถึงได้ชอบเขียนถึงการใช้ปากและท่า 69 กันนัก รวมทั้งเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้พงษ์ถึงชอบให้ไอ้ติ๊กโม้คให้ หลังจากที่แต่ก่อนไม่ค่อยสนใจเลย เพราะทำทีไรก็เจ็บ

ทั้งผมและไอ้ชัชต่างก็เริ่มติดใจกับเกมเซ็กซ์ชนิดใหม่ เพราะดีกว่าชักว่าว แม้จะไม่สนุกเท่ากับการเสียบก้นกัน แต่ตอนอยู่ในหอไม่กล้าเสียบกันหรอกครับ เพราะว่ามันค่อนข้างวุ่นวายเวลาปฏิบัติการ กลัวถูกจับได้แล้วเป็นเรื่องลงข่าวหน้าหนึ่ง

หลังจากนั้น ผมกับไอ้ชัชก็มักมีสนุกกันยามดึกในห้องน้ำบ่อยๆ แต่ก่อนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผมสะกิดไอ้ชัช แต่หลังๆมานี้กลายเป็นว่าไอ้ชัชมักมาสะกิดผมตอนหัวค่ำ บอกให้กลางคืนอย่าเพิ่งรีบนอน แค่นี้ก็รู้กันแล้วครับว่าหมายความว่าอะไร ผมเองก็ไม่ค่อยขัดมันเสียด้วย เพราะตอนนั้นยังเด็ก แรงขับทางเพศมีอยู่เยอะ ปกติก็ชักว่าวทุกวันอยู่แล้ว กิจกรรมที่ทำกันในช่วงหลังก็มักเป็นการโม้คให้กันและกัน ไม่ค่อยชักว่าวแล้วครับ เบื่อใช้มือ หุหุ

ตอนแรกที่แอบไปมีอะไรกันตอนดึกๆก็กล้าๆกลัวๆแหละครับ แต่พอไปได้สักพัก ไม่ปรากฏว่ามีปัญหาอะไร ก็เลยชักย่ามใจ แต่หลังๆนี่ไม่เคยจ๊ะเอ๋กับไอ้พงษ์อีกเลย ไม่รู้ว่าคนละเวลากัน หรือมันระวังตัวไม่กล้าออกมาแล้วก็ไม่รู้ได้ แต่สรุปว่าทางสะดวกสำหรับผมกับไอ้ชัช

ไอ้ชัชนี่มันก็แปลก มีนิสัยกินในที่ลับแล้วไขในที่แจ้ง เวลาผมมีอะไรกับมัน วันรุ่งขึ้นมันก็ต้องไปเล่าให้ไอ้นัยฟังทุกที ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน

“ไอ้นัย หิหิ หุหุ” มันหัวเราะ ตอนเจอไอ้นัยในเช้าวันหนึ่ง แล้วพูดเสียงกระซิบ “เมื่อคืนไอ้อูมันโม้คให้กูอีกแล้ว โคตรมันเลย ไอ้อูโม้คเก่งมาก กูเสียวจนขาสั่นเลย” มันว่าเข้าไปโน่น

ไอ้นัยฟังแล้วทำหน้าแปลกๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคิดอะไร แต่ผมเองฟังแล้วรู้สึกเสียฟอร์ม เลยอดไม่ได้ต้องขัดคอมัน

“มึงพูดยังกับว่ากูต้องคอยบริการโม้คให้มึง มันก็ผลัดกันละว้า ทีมึงทำให้กูไม่เห็นพูดมั่ง ลิ้นมึงนุ่ม เสียว สบายดีจริงๆ” ผมคุยข่มมันไปบ้างเพื่อไม่ให้เสียหน้า

ที่จริงเราสามคนสนิทกันมาก รวมทั้งก็เคยมีอะไรด้วยกันมาพร้อมกันทั้งสามคนมาแล้ว ดังนั้นเรื่องเซ็กซ์จึงเรียกได้ว่าเห็นไส้เห็นพุงกันหมด ที่จริงไอ้ชัชเอาเรื่องของผมกับมันมาเล่าให้ไอ้นัยฟัง มันก็ไม่น่าจะอับอายหรือต้องปิดบังอะไร แต่ผมเองกลับรู้สึกเขินๆอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่อยากให้ไอ้ชัชมันเล่าเลย

เนื่องจากเทอมนั้นเป็นเทอมสุดท้ายของ ป.๖ นักเรียนส่วนใหญ่มักไปสมัครสอบเข้า ม.๑ ที่อื่น ดังที่ได้เล่าไปแล้ว ดังนั้นกิจกรรมเล่นสนุกกันในเวลาพักเที่ยงจึงแทบไม่มีเลย ไม่ค่อยมีการเตะฟุตบอล เล่นปิงปอง หรือนั่งจับกลุ่มคุยกันเหมือนเคย มีแต่นั่งว่ากินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วกลับไปนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดท่องหนังสืออยู่ที่โต๊ะของตนเองในห้องเรียน

ไอ้นัยดูเอาจริงมาก ยิ่งนานก็ยิ่งดูมันเคร่งเครียดขึ้น จากเดิมที่ชอบตีหน้าตาย เดี๋ยวนี้ดูหน้ามันหมองคล้ำลง จะเรียกว่าหน้าบึ้งก็คงไม่ผิด ดูจะผอมลงด้วย ผมคิดว่าคงเป็นเพราะมันเอาจริงกับการสอบเข้า ม.๑ มาก ผมเองก็ตั้งความหวังไว้เช่นกัน ดังนั้นจึงพยายามดูหนังสืออย่างคร่ำเคร่งเอาจริงเอาจังด้วย

เมื่อเราสองคนคร่ำเคร่งกับการดูหนังสือ ไอ้ชัชเลยกลายเป็นหมาหัวเน่า เพราะมันเองไม่ได้ไปสอบเข้าที่ไหน ก็เลยไม่ต้องท่องหนังสือเตรียมสอบ ชีวิตของมันวันๆก็เลยไม่ค่อยมีอะไรให้เคร่งเครียด แต่ทำไปทำมามันก็เครียดด้วยเหมือนกัน เพราะว่าเวลามันอยากเล่นกับเพื่อนๆ อยากแหย่เพื่อนๆ โดยเฉพาะผมกับไอ้นัย กลับไม่ค่อยมีใครมาเล่นหรือรับมุขกับมัน มันก็เลยมีอาการหงอยๆ ปนหงุดหงิด ชอบหาเรื่องบ่นโววายเอากับผมและไอ้นัยเสมอๆ

แม้ช่วงนั้นผมจะมีอะไรกับไอ้ชัชบ่อยๆ แต่แทนที่ผมจะรู้สึกอิ่มเอมกับรสสวาทของไอ้ชัช ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกว่าผมกำลังโหยหาอะไรบางอย่าง เซ็กซ์กับไอ้ชัชนั้นไม่สามารถเติมเต็มให้แก่อารมณ์และความรู้สึกของผมได้ แต่ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ก็ยังไม่รู้หรอกครับว่าหัวใจตนเองต้องการหรือว่าเรียกร้องอะไรอยู่ รู้เพียงแต่ว่าการมีเซ็กซ์กับไอ้ชัชนั้นมันไม่พอ ไม่ใช่คำตอบ ผมยังขาดอะไรบางอย่างอยู่

ตอนนั้นก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกันครับว่าคำตอบที่ผมแสวงหาอยู่คืออะไร มันเหมือนเป็นหมอกควัน เหมือนเป็นเงาที่ปกคลุม รู้สึกได้แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ค่อยๆเข้าใจว่าผมเองนั้นต้องการอะไร คืนก่อนหน้านั้น ผมกับไอ้ชัชนัดไปโม้คกันดึกๆในห้องน้ำตามเคย แล้ววันรุ่งขึ้น ไอ้ชัชปากสว่างก็เอามาเล่าให้ไอ้นัยฟัง (อีกเช่นเคย) แล้ววันนั้นทั้งวัน ไอ้นัยก็หน้าเคร่งเครียดเอามากๆ ขนาดที่ว่าไม่เคยเห็นมันหน้าเสียหรืออารมณ์ไม่ดีขนาดนั้นมาก่อน คือเคยเห็นมันโกรธนะครับ ตอนไอ้ชัชหลุดคำว่า “แม่ง” กับไอ้นัยไง แต่ว่านั่นมันโกรธแบบเดี๋ยวเดียวหาย นี่ไอ้นัยมันหน้าเครียดทั้งวัน

วันนั้นผมรู้สึกสงสารมันมาก พอตอนเที่ยง หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ ไอ้ชัชก็พยายามไปหาคนเล่นเฮฮาด้วยที่ห้องอื่น ผมกับไอ้นัยก็เลยมีโอกาสได้คุยกันโดยที่ไม่มีไอ้ชัชอยู่ด้วย ผมเดินไปหามันที่โต๊ะ

“เฮ้ นัย นายเป็นไรไปน่ะ” จำได้แม่นว่าวันนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมเรียกมันว่า “นาย” แทนที่จะเรียกว่า “มึง” เพราะวันนั้นดูมันเครียดมาก ผมเลยมีความรู้สึกอ่อนโยนกับมันเป็นพิเศษ แต่พูดเบาๆครับ กลัวคนได้ยิน

นัยไม่พูดอะไร ทำหน้าเรียบๆ อ่านใจมันไม่ออก นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ

“นัย เป็นไรไปอ่ะ” ผมถามย้ำอีกเมื่อเห็นมันไม่ตอบ

“ไม่มีอะไรหรอก” ไอ้นัยตอบ “คงเครียดกับหนังสือมั้ง”

ผมก็คิดว่าคงจะเป็นยังงั้นจริงๆ ตอนนั้นใจรู้สึกห่วงไอ้นัยมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกันเพราะไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนั้นกับใครมาก่อน แม้แต่กับเอ๊ดพี่ชาย หรือกับไอ้ชัช

ผมตบไหล่มันเบาๆ “อย่าเครียดมากนะ ...เป็นห่วง”

ไอ้นัยพอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมา สบสายตาของผมแบบไม่ยอมหลบ แล้วเอามือข้างหนึ่งมาจับแขนผมเอาไว้ “ฮื่อ ขอบใจนะอู”

มือของมันถ่ายทอดความอบอุ่นเข้ามาในตัวของผม ผมรู้สึกเต็มตื้นอย่างประหลาด คล้ายๆกับว่ากำลังจะเจอสิ่งที่กำลังค้นหาอยู่ แต่ว่ามันก็เป็นความรู้สึกเพียงวูบเดียว จากนั้นก็หายไป ผมคว้าคำตอบนั้นเอาไว้ไม่ทัน

ผมจ้องมองหน้าไอ้นัย วงหน้าเรียว ซูบนิดๆของมัน ไรหนวดเขียวๆ กลิ่นตัวอ่อนๆที่ผมชอบ มันกระตุ้นให้ผมเกิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ตั้งแต่เปิดเทอมมา ผมไม่มีโอกาสมีเซ็กซ์กับไอ้นัยเลย แม้จะมีอะไรกับไอ้ชัชก็ตาม แต่ของแบบนี้มันแทนกันไม่ได้

แค่ไอ้นัยจับแขนผมเอาไว้เท่านั้น ดอของผมก็แข็งทันที

“นัย” ผมกระซิบกับมันเบาๆ “เย็นนี้เลิกเรียนแล้วไปรอที่ห้องน้ำประถมนะ”

5 comments:

Anonymous said...

มาต่อเร็วๆ นะครับคุณอู กะลังลุ้นอยู่อยากให้อูมีไรๆกะนัยมากๆครับอ่านแล้วได้รมณ์ดีครับ จะมาคอยอ่านทุกวันครับ
กร ครับ

Anonymous said...

หุ หุ ไม่มีใครสู้ตานัยของป๋มได้หรอกคร้าบบบ อิอิ ^^P

สวัสดีนะครับคุณอู ^^

Anonymous said...

มาต่อเร็วๆ นะคร้าบบบ

Anonymous said...

ผมสงสารนัยมากเลยครับ
คนที่เป็นต้นเหตุให้หน้านัยหมองคล้ำก้อทำเป็นไม่รู้
ได้แต่ไปสนุกอมดุดกะชัชมันแล้วชัชยังมาคุยอวดนัยอีก
ไม่รู้เลยหรอว่าจิตใจนัยมันเป็นยังงัย
เฮ้อ!!!!จะว่าฉลาดก้อฉลาด แต่บทจะซื่อบื่อก้อซื่อบื่อจีงจี้ง
KTB

Anonymous said...

ตอนนั้นยังเด็กครับ ป.๖ เอง ไม่ประสีประสากับชีวิตเท่าไร ไม่ได้คิดมากไปไกลถึงขนาดนั้น จะว่าซื่อบื้อก็คงใ่ช่ครับ

อู