Saturday, April 14, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 57




ย่างเข้าสู่ปีที่ ๘

สงกรานต์ปี ๒๕๕๕ นี้ก็เป็นวาระที่นิยายเรื่องนี้ดำเนินมาจนครบ ๗ ปีเต็มแล้ว

นับจากช่วงสงกรานต์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นมา เวลา ๗ ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในความรู้สึกด้านหนึ่ง มันรวดเร็วราวกับว่าผมเพิ่งเริ่มเขียนภาคหนึ่ง ตอนที่ ๑ เมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ในความรู้สึกอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นเวลาที่นานพอดู จากอูในวัยเด็กประถม เติบโตกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผ่านเรื่องราวต่างๆในชีวิตมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย รวมทั้งยังเป็นเวลาที่นานพอที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน ผู้อ่านหลายคนจากเด็กมัธยมก็กลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย บางคนเริ่มอ่านตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนนี้ก็กลายเป็นหนุ่มวัยทำงานแล้ว

ผู้ที่เริ่มอ่านในวัยหนุ่ม ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และหลายคนก็เข้าสู่วัยกลางคน สำหรับผมเองก็เช่นกัน วันเวลายุติธรรมสำหรับทุกคนเสมอ วันเวลา ๗ ปีนานพอที่จะเปลี่ยนแปลงผมในหลายด้านเช่นเดียวกัน ทั้งสุขภาพกาย ความคิด จิตใจ และความสม่ำเสมอในการเขียน แต่ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนก็คือความคิดที่จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้จบตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

หลังจากวันนี้ นิยายเรื่องนี้ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ ๘ แล้ว แม้จำนวนผู้อ่านอาจไม่ได้เพิ่มพูนตามกาลเวลา แต่ผมก็มีความสุขกับเส้นทางเล็กๆสายนี้ เส้นทางที่อบอุ่น มีเพื่อนๆที่พร้อมจะเติบโตและงอกงามไปกับอูในนิยาย และมีผู้ที่เป็นพี่ เพื่อน และน้อง ที่ร่วมทางเดินไปกับอูผู้เขียน

ผมคงไม่มีคำพูดใดที่จะกล่าวบรรยายความรู้สึกได้ดีไปกว่าคำว่าขอบคุณ ขอขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆหลานๆที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดจากใจจริงครับ

อู


ภาคสี่ ตอนที่ 57

หลังจากที่ไปเที่ยวกับป้อม สัปดาห์ถัดมาผมก็ไม่ได้ไปสอนเนื่องจากเป็นช่วงปีใหม่ ดูป้อมอยากจะเรียนทั้งๆที่ควรจะเป็นเวลาฉลองรื่นเริง วัยรุ่นส่วนใหญ่อยากหยุดเรียนกันทั้งนั้น คงมีแต่ป้อมนี่แหละที่อยากเรียน ส่วนผมนั้นไม่อยากสอนเพราะว่าอยากกลับบ้าน

ผมออกจากหอพักแต่เช้าตรู่ นั่งรถทัวร์ปรับอากาศที่หมอชิต จากนั้นมาต่อรถที่ตัวอำเภอเพื่อเข้าบ้านดังเช่นปกติ สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ ทิวทัศน์ร่มรื่นสบายตา เส้นทางชนบทนี้ผมผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้ว่ากี่ร้อยเที่ยวแล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ... เพราะนี่คือเส้นทางกลับบ้านของผม

อากาศในฤดูหนาวเย็นสบายแฝงกลิ่นไอชนบท ต่างจากอากาศในกรุงเทพฯลิบลับ ผมสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด กลิ่นไอชนบทนี้สามารถทำให้จิตใจของผมร่มเย็นได้อย่างประหลาด เพราะว่าเมื่อใดที่ได้กลิ่นไอนี้ก็แสดงว่าผมใกล้ถึงบ้านแล้ว... เดิมทีผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับบ้านบ่อยๆ อยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่ก็ทำได้เพียงพักเดียว พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ทำตามที่ได้ตั้งใจไว้ไม่ค่อยได้เสียแล้ว ยิ่งตอนอยู่ปีสองนี้ยิ่งกลับบ้านน้อยลงไปอีก

รถประจำทางวิ่งด้วยความเร็วปานกลาง อีกไม่นานผมก็จะถึงบ้านแต่ดูเหมือนว่าความคิดของผมจะล่วงหน้าไปถึงบ้านก่อนแล้ว ตอนเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯก็ไม่ค่อยได้คิดถึงบ้านนัก แต่แปลกที่ยิ่งเดินทางใกล้ถึงบ้านเพียงใด ความคิดถึงบ้านก็ยิ่งมีมากขึ้น

ในความคิดคำนึง ผมเห็นแม่กำลังเดินออกมาต้อนรับผมที่หน้าบ้าน เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็จะเห็นเอ๊ด จากนั้นต้องเข้าไปในห้องทำงานจึงจะเห็นพ่อ ผมสำรวจใจตนเอง พยายามหาคำตอบว่าทำไมผมจึงไม่ค่อยกลับบ้าน หากพูดแบบสร้างภาพให้ดูดีก็คงเป็นเพราะว่าผมยุ่งมาก หรือหากเอาแบบไม่สร้างภาพก็คงต้องตอบว่าผมขี้เกียจเดินทาง แต่ลึกๆแล้วผมรู้ดีว่าที่ว่ายุ่งหรือขี้เกียจนั้นเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น เหตุผลลึกๆก็คือผมมักรู้สึกอึดอัดใจเมื่ออยู่ใกล้พ่อนั่นเอง

หลายปีมานี้ ผมกับพ่อดูเหมือนจะเหินห่างกันไปมาก ผมมักเข้าหน้าพ่อไม่ค่อยติด พูดคุยกันได้ไม่นานก็ต้องเถียงกันแล้ว หากจะพูดตามตรงก็คือผมกับพ่อดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ละปีนี่นับจำนวนประโยคที่คุยกับพ่อไม่ถูก ไม่ใช่เพราะว่าคุยกันเยอะมากแต่เป็นเพราะคุยกันน้อยจนนับไม่ถูกต่างหาก ยิ่งโทรศัพท์คุยกันนี่ไม่มีเลย ยกเว้นตอนที่พ่อรับสายของผมโดยบังเอิญเท่านั้น และหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ยิ่งคุยกันน้อยลงเพราะว่าผมขัดใจพ่อเรื่องเลือกคณะ พ่อจึงมักเอาเรื่องนี้มาบ่นอยู่เสมอ

เมื่อก่อนผมเคยน้อยใจว่าทำไมพ่อจึงปฏิบัติกับผมต่างจากเอ๊ด แต่มาถึงตอนนี้ก็ทำใจได้แล้ว ผมพยายามไม่ไปนึกถึงและเก็บซ่อนความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ผมเคยคิดแบบประชดชีวิตว่าถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะแม่ผมอาจไม่จำเป็นต้องกลับบ้านเลยก็ได้เพราะไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไม แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดประชดประชันเท่านั้น แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อจะไม่ราบรื่นแต่ถึงอย่างไรบ้านและครอบครัวยังมีความหมายต่อผมอยู่เสมอ

- - -

“แม่ กลับมาแล้วววว” ผมแหกปากตะโกนหลังจากที่มาถึงและเดินเข้าไปในบ้าน

“โอ้โฮ นึกว่าปีใหม่นี้จะไม่กลับมาเสียแล้ว” แม่รีบเดินออกมาจากในห้องครัวพร้อมกับทักทายผม ขณะเดียวกับเอ๊ดก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี

“เป็นไงบ้างอู” เอ๊ดทักทาย “แม่บอกว่าอูไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมแม่เลย อูเรียนปีสองยังยุ่งว่าเอ๊ดเรียนปีสี่อีกนะ”

“แหะ ก็ยุ่งจริงๆนี่นา” ผมฝืนหัวเราะ พูดเสียงอ่อย ผมรู้ว่าเอ๊ดตำหนิผมเพราะแม่อาจยังไม่หายขาดจากโรคร้าย ผมน่าจะดูแลแม่ให้มากกว่านี้ ซึ่งก็เป็นความจริง ผมจึงเถียงไม่ออก

“แม่เป็นไงบ้างล่ะ สบายดีไหม งานบ้านหนักไหมแม่” ผมรีบประจบประแจงแม่ทันที

“จะถามไปทำไม ร้อยวันพันปีไม่เคยถาม” แม่ช่วยเอ๊ดรุมผม

“เคยถามนะแม่ อูเคยถามแล้ว แต่แม่จำไม่ได้เอง” ผมเถียง

“ก็ใช่น่ะสิ อูถามแม่ครั้งสุดท้ายมันก็นานมากจนแม่จำไม่ได้แล้ว” แม่ย้อน แต่สีหน้าแม่ไม่ได้แสดงความน้อยใจแต่อย่างใด แม่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี คงอยากดักคอให้ผมจนมุมมากกว่า

“แหะๆ แม่ ปีใหม่เราคุยแต่เรื่องดีๆกันไม่ดีกว่าเหรอ” ผมรีบยกธรรมเนียมปีใหม่ขึ้นมาอ้าง

“โอ๊ย คุยได้ แม่ไม่ถือ แม่ถือเฉพาะวันตรุษจีน” แม่รีบตอบ

“แต่อูถือนี่นา คุยเรื่องอื่นดีกว่า เนอะ” ผมตะแบง พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไหน แม่ มีอะไรให้กินบ้าง ชักหิวแล้ว”

“อูไปทักป๊าเสียหน่อยก่อน เดี๋ยวค่อยเข้ามากิน” แม่พูด

เมื่อพูดถึงพ่อ ผมก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าทักแล้วจะโดนพ่อดุเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า

“หมู่นี้พ่อทำงานหนัก แม่ต้มยาบำรุงให้กินก็ไม่ยอมกิน” แม่บ่น สีหน้าที่อารมณ์ดีเมื่อครู่กลายเป็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยใจแทน

“ป๊าเป็นไรเหรอแม่” ผมถาม

“ก็ไม่ได้ล้มป่วยอะไร แต่ดูเหนื่อยง่าย อ่อนแอลง ให้ไปหาหมอก็ไม่เอา ต้มยาบำรุงให้กินก็ไม่เอา” แม่บ่นอีก “ป๊าก็อายุมากขึ้นทุกปี แต่ก็ยังทำงานไม่ค่อยได้พักผ่อน แม่เองก็ยังรู้สึกเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน งานครัวที่ต้องใช้แรงก็ชักจะไม่ไหวเหมือนกัน”

ผมได้ฟังแม่พูดจึงเดินไปที่ห้องทำงานของพ่อ เมื่อเปิดประตูเข้าไปเห็นพ่อกำลังง่วนอยู่กับกองบิลและเอกสารต่างๆ ดูพ่อผอมลงไปหน่อยจริงๆ

“ป๊า อูมาแล้ว” ผมทักทาย

“ฮื่อๆ” พ่อทักทายตอบ เงยหน้าขึ้นมามองผมนิดหนึ่งจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปดูเอกสารต่อ

“ป๊าผอมไปหน่อยนะ ไม่สบายหรือเปล่า” ผมพยายามชวนคุย

“ก็พักผ่อนน้อยน่ะสิ จะมีอะไร” พ่อพูด สายตาละจากเอกสารมาดูหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าดูเอกสารต่อ “ให้เรียนบัญชีก็ไม่เรียน ปิดเทอมจะได้มาช่วยงานที่บ้านบ้าง นี่เอาแต่อยู่กรุงเทพฯ งานป๊าก็หนักน่ะสิ”

วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว พอผมได้ยินพ่อพูดเรื่องเรียนบัญชีผมรู้ดีว่าหากคุยต่อคงต้องเถียงกันแน่ แบบนี้ผมหนีก่อนดีกว่า

ป๊า... ป๊าเคยสนใจบ้างไหมว่าอูอยากเรียนอะไร ป๊าเคยอยากรู้บ้างมั้ยว่าผลการเรียนของอูเป็นยังไง ผมถามพ่อในใจ อยากจะถามคำถามนี้ให้พ่อได้ยิน แต่มาคิดอีกทีพูดไปก็คงเปล่าประโยชน์ จึงปิดประตูห้องและเดินจากมา เป็นอันว่าการสนทนาระหว่างผมและพ่อจึงจบลงเพียงเท่านี้

เมื่อออกมาจากห้องทำงานของพ่อ ผมก็มาขลุกอยู่กับแม่และเอ๊ดที่ในครัว แม่ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยตามนิสัยของคนที่ไม่ชอบอยู่ว่าง ส่วนเอ๊ดนั่งกินขนมอยู่ที่โต๊ะ

“อู มากินขนมเร็ว” แม่เรียกผมแล้วชวนคุย “นึกว่าปีใหม่นี้จะไม่มาเสียแล้ว ทำไมมาเอาป่านนี้ ดูเอ๊ดสิ มาก่อนอูตั้งหลายวัน”

“ป่านนี้อะไรกันแม่ นี่วันเสาร์ ที่ผ่านมาอูสอบมิดเทอมตลอดทั้งอาทิตย์ สอบเสร็จวันศุกร์วันนี้ก็รีบมาเลย” ผมเถียง แล้วก็อดกวนไม่ได้ “ถ้าจะให้มาได้เหมือนเอ๊ดก็ต้องโดดสอบสิแม่ เอายังงั้นเลยนะ”

“แม่พูดแบบนี้เดี๋ยวอูก็โวยวายกับเอ๊ดหรอก” เอ๊ดหัวเราะ “อูไม่ได้มาช้าหรอก ที่เอ๊ดมาเร็วได้เพราะเทอมนี้วิชาเรียนเหลือน้อยแล้ว ใกล้จบแล้วก็เลยเรียนสบายๆ มีเวลาว่างเยอะหน่อย”

ตอนนั้นเอ๊ดเรียนปีสี่เทอมสุดท้าย อีกไม่นานก็จะจบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจนผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน

“จบแล้วจะเอาไงต่อละเอ๊ด” ผมถาม

“ก็ทำงานสิ ถามได้” เอ๊ดตอบ

“แล้วแถวนี้มีงานวิศวะดีๆบ้างไหม” แม่ถาม คำว่าแถวนี้ในความหมายของแม่หมายถึงในตัวจังหวัด ไม่ได้หมายความถึงในละแวกบ้าน เพราะแม่ก็รู้ดีว่าในละแวกบ้านไม่มีงานอะไรให้เอ๊ดทำ

“คงต้องทำงานในโรงงานละแม่ โรงงานใหญ่ๆส่วนมากก็อยู่ตามนิคมอุตสาหกรรม อย่างระยอง อยุธยา หรือรอบๆกรุงเทพฯ” เอ๊ดตอบ “เอ๊ดก็สมัครงานเอาไว้หลายแห่ง แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้ที่ไหน”

ในยุคนั้นบัณฑิตสายวิศวกรรมขายดีมาก หลายคนถูกบริษัทใหญ่จองตัวเอาไว้ตั้งแต่อยู่ชั้นปีสี่ และเกือบทั้งหมดได้งานภายในเวลาไม่นานหลังจากเรียนจบ

สีหน้าของแม่จ๋อยไปนิดนึง เห็นแล้วอดสงสารแม่ไม่ได้ ผมรู้ดีว่าแม่คงหวังอยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆบ้าง แต่ความหวังของแม่ที่คงยากประสบผล แม้แต่ผมเองเมื่อเรียนจบก็คงต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเช่นกัน เส้นทางการทำงานคงไม่ต่างจากเอ๊ดเท่าไรนัก

- - -

เทศกาลปีใหม่ในปีนั้นผ่านไปอย่างค่อนข้างราบรื่น ผมมาอยู่บ้านตั้งหลายวันแต่ก็ยังไม่มีปากเสียงอะไรกับพ่อ จนในตอนเย็นของวันปีใหม่ เราสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินอาหารเย็นพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก หลายปีมานี้ผมมักหลีกเลี่ยงที่จะกินอาหารร่วมโต๊ะกับพ่อเนื่องจากเวลามื้ออาหารเป็นโอกาสที่เหมาะที่สุดที่พ่อจะบ่นผม ดังนั้นผมจะรอให้พ่อกินเสร็จเสียก่อนจึงกินจะเข้าไปกินเพื่อจะได้ไม่ต้องฟังพ่อบ่น ยกเว้นในเทศกาลพิเศษเช่นในวันปีใหม่หรือวันตรุษจีนที่แม่บังคับให้ผมนั่งร่วมโต๊ะและกินอาหารพร้อมกันทั้งครอบครัว

“เอ๊ด จบแล้วคิดจะทำงานเหรอ” พ่อชวนเอ๊ดคุยขณะที่กินอาหารเย็น

“ใช่แล้วป๊า” เอ๊ดรับคำ

“ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ สมัยนี้มันต้องจบโทถึงจะก้าวหน้าไว คนจบปริญญาตรีกันเยอะแยะ ถ้าไม่เรียนต่อมันไม่พอหรอก” พ่อพูด

“เอาไว้ทำงานสักพักก่อนแล้วค่อยคิดดีกว่าป๊า” เอ๊ดตอบ “อยากทำให้สักพักจะได้รู้ว่าควรเรียนอะไรต่อ เวลาเรียนต่อจะได้มีเป้าหมาย อีกอย่าง เรียนมาสิบกว่าปีแล้ว อยากทำงานเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“ไปเรียนต่อเมืองนอกดีกว่ามั้ย ป๊าเตรียมการเอาไว้ให้แล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง” พ่อพูดโน้มน้าวอีก

ผมฟังแล้วรู้สึกจุกในลำคอ นี่ป๊าเตรียมส่งเอ๊ดไปเรียนเมืองนอก ถึงกับเตรียมเงินทองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มิน่าล่ะ แม่ถึงได้บ่นว่าพ่อทำงานหนัก ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง

“เรียนต่อโทเมืองไทยก็ได้ป๊า ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก” เอ๊ดตอบ เอ๊ดเป็นคนมักน้อย ดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับข้อเสนอของพ่อนัก

“ไปเรียนต่างประเทศจะได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง เรียนในเมืองไทยสิบกว่าปีแล้วไม่อยากไปเห็นบ้านเมืองอื่นบ้างหรือไง” พ่อพูดโน้มน้าว

“มันใช้เงินเยอะ เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ป๊า” เอ๊ดแบ่งรับแบ่งสู้ “คงอีกหลายปีกว่าเอ๊ดจะเรียนต่อ ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกที”

“เอ๊ด คิดดูให้ดีนะ ป๊าว่าเอ๊ดน่าจะไปเรียนต่อนอกเลยมากกว่า ลองเอาคำพูดป๊าไปคิดอีกที” พ่อย้ำอีก สีหน้าจริงจัง เอ๊ดฟังแล้วก็นั่งเงียบ ไม่พูดอะไร

ป๊า แล้วอูล่ะ ป๊าไม่เคยถามอูบ้างเลย ป๊าเคยคิดส่งอูบ้างไหม ผมร้องถามพ่อในใจ แต่พ่อคงไม่ได้ยิน

“อ้อ แล้วที่ว่าอยากทำงาน ได้งานแล้วหรือยัง” พ่อถามอีก ดูพ่อจะสนใจแต่เอ๊ด ไม่สนใจจะคุยกับผมบ้างเลย

“ยังเรียนไม่จบเลย เอ๊ดไม่ได้เก่งขนาดที่มีใครต้องมาจองตัวตั้งแต่ปีสี่” เอ๊ดหัวเราะ “ตอนนี้ก็ลองสมัครไปแล้วหลายแห่งแหละ”

“สมัครไว้จังหวัดไหนบ้างล่ะ” พ่อซักอีก

“ก็โรงงานแถวจังหวัดอยุธยา สมุทรปราการ ปทุมธานี ระยอง แล้วก็กรุงเทพฯแถวๆลาดกระบัง” เอ๊ดตอบ “แต่ที่ระยองน่าจะมีโอกาสสูงกว่าที่อื่นเพราะมีตำแหน่งเปิดมาก”

“ที่จริงเห็นเอ๊ดกำลังจะทำงาน ป๊าก็อยากหาบ้านในกรุงเทพฯไว้สักหลัง เอ๊ดกับอูจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องไปเช่าหอพักอีกต่อไป อยู่บ้านเราเองมั่นคงกว่า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาไล่หรือมาเลิกสัญญาเช่า โตกันแล้วก็สมควรจะลงหลักปักฐานเสียที” พ่อพูดอย่างใช้ความคิด “แต่ถ้าเอ๊ดต้องไปทำงานและพักอยู่ต่างจังหวัดละก็...”

บ้าน! หูของผมไม่ได้ฝาดไป พ่อกำลังพูดถึงบ้านในกรุงเทพฯ ผมใฝ่ฝันถึงการมีบ้านมานานแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก มันเป็นได้เพียงแค่ความฝัน ผมไม่เคยคิดว่าพ่อจะซื้อบ้านในกรุงเทพฯมาก่อน

“นั่นสิ เอ๊ดยังไม่รู้ว่าจะได้งานที่ไหนเลย” เอ๊ดตอบ

เอ๊ดอีกแล้ว อะไรก็เอ๊ด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเอ๊ดป๊าก็คงไม่คิดซื้อบ้านใช่ไหม ผมตัดพ้อพ่ออยู่ในใจ ตั้งแต่เด็กผมอยู่โรงเรียนประจำ จากนั้นก็มาพักกับคุณลุงคุณป้า แล้วก็มาอยู่หอพัก ไม่มีที่ไหนที่ให้ความรู้สึกของความเป็น ‘บ้าน’ เลย บ้านคุณลุงคุณป้าให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับบ้านมากที่สุดแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบ้านของคนอื่น ไม่ใช่บ้านของเราเอง

“ถ้าเรามีบ้านสักหลังในกรุงเทพฯก็ดีนะป๊า อูอยากมีบ้านอยู่มานานแล้ว” ผมอดพูดบ้างไม่ได้ “ถึงเอ๊ดไม่ได้อยู่ แต่ถ้าทำงานไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก เสาร์อาทิตย์ก็คงกลับมาอยู่ได้ แถมป๊ากับแม่เข้ากรุงเทพฯก็จะได้มีที่พัก ไม่ต้องไปเช่าโรงแรม”

“โอ๊ย เดี๋ยวนี้แม่กับป๊าเข้ากรุงเทพฯไม่บ่อย” แม่พูดขึ้นมาบ้าง แต่พูดแล้วก็หยุดไปเหมือนกับได้คิดอะไรบางอย่าง “แต่ เอ... มีบ้านที่กรุงเทพฯสักหลังก็เข้าทีเหมือนกัน วันหยุดเอ๊ดก็จะได้กลับมาพักบ้าง พี่น้องจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นต่างคนคงต่างไปเช่าพอพักกันคนละที่... ร้อยวันพันปีคงไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่อยากให้พี่น้องกันต้องอยู่ตัวใครตัวมันขนาดนั้นเลย”

พ่อนิ่งเงียบ กินอาหารต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก ผมเห็นพ่อไม่พูดต่อก็ไม่กล้าเซ้าซี้ ส่วนเอ๊ดก็เงียบ คงพูดอะไรไม่ถูกเนื่องจากสภาพของเอ๊ดเองยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ประเด็นเรื่องบ้านจึงถูกพักเอาไว้เท่านี้ แต่คำพูดของพ่อก็ได้จุดประกายในใจของผมขึ้นมา... บ้าน!

- - -

ในที่สุด วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ผ่านพ้นไป และผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่ง

“พี่อูมาแล้ว เย...” ป้อมทักทายผมด้วยเสียงงุ้งงิ้งทางโทรศัพท์ หลังจากที่ผมมาถึงหอพัก คืนนั้นผมก็โทรหาป้อมทันที ป้อมกำชับให้ผมโทรบอกป้อมเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯแล้วซึ่งผมก็รับปาก “หวัดดีปีใหม่ฮะพี่อู”

“หวัดดีปีใหม่ครับคุณชาย ดีใจขนาดนี้ อยากทำการบ้านมากหรือไง” ผมหัวเราะ “พี่จะกลับกรุงเทพฯวันไหน ถึงยังไงก็ต้องรอวันเสาร์อยู่ดี”

“ไปบ้านมา มีของอะไรมาฝากป้อมบ้าง” ป้อมทวงของฝาก

“ที่บ้านมีแต่ก้อนอิฐ จะเอามั้ย” ผมหัวเราะอีก

“ไม่มีอะไรมาฝากป้อมเลยเหรอ” ป้อมเสียงจ๋อยลงในทันที

“เอาไว้วันเสาร์ก่อน เจอกันแล้วก็รู้เอง” ผมแกล้งทำเป็นลึกลับแต่ที่จริงก็คือซื้อเวลา รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้หาของฝากมาให้ป้อม ก่อนกลับบ้านป้อมกำชับเรื่องของฝากอยู่หลายครั้งแต่ในที่สุดผมก็ลืมไป

- - -

ปกติเมื่อผมกลับจากบ้านก็ไม่ได้ซื้อของมากฝากใคร สาเหตุเพราะว่าที่บ้านของผมไม่มีของฝากอะไรที่ขึ้นชื่อ ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกับที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้แล้วผมยังไม่รู้ว่าจะเอาของฝากมาฝากใครดี

เมื่อป้อมทวงของฝาก ทางออกของผมก็คือหาซื้อขนมที่มีอยู่ในกรุงเทพฯนั่นแหละเอาไปฝากป้อม ดังนั้นในตอนเย็นวันหนึ่ง หลังจากเลิกเรียน ผมจึงไปเลือกซื้อขนมไทยที่เป็นของแห้งและเก็บได้นาน พวกขนมผิง ครองแครงกรอบ ที่ตลาดสามย่านเพื่อเป็นของฝากให้ป้อม และยังซื้อขนมเผื่อมาอีกนิดหน่อย ไหนๆก็ไหนๆ...

หลังจากที่ซื้อขนมเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้ามหาวิทยาลัย เดินผ่านสนามหญ้าผืนใหญ่ไปยังฝั่งที่ตรงข้ามกับคณะเทคโนฯ

“หวัดดีปีใหม่จ้า” ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้องห้องหนึ่งและส่งเสียงทักทายบุคคลที่อยู่ในห้อง ภายในห้องเป็นหญิงสาวสามคน กำลังซ้อมดนตรีอยู่

“อุ๊ย พี่อู” หนึ่งในสามสาวที่กำลังซ้อมดนตรีอยู่หันมาทักผม เธอคือจุ๋มนั่นเอง ส่วนอีกสองคนมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม “สวัสดีปีใหม่ค่ะ”

จุ๋มวางไวโอลินและคันสีลงที่โต๊ะ จากนั้นเดินออกมาหาผมที่นอกห้อง ในระยะหลังผมมาที่ห้องซ้อมดนตรีนี้หลายครั้ง จนพี่เหล่งและเพื่อนของจุ๋มหลายคนเริ่มชินกับใบหน้าของผมแล้ว ผมจึงไม่ต้องทำตัวลีบๆอีก ผมเดินไปมาในตึกเรียนของจุ๋มราวกับเดินอยู่ในคณะของตนเอง

“ช่วงปีใหม่พี่ไปบ้านมา” ผมพูด “เลยเอาขนมมาฝากจุ๋ม”

ผมยกถุงขนมสองถุงส่งให้จุ๋ม จุ๋มทำตาโตด้วยความดีใจ

“ขนม ขนม ดีจัง” จุ๋มพูด พลางหยิบขนมในถุงขึ้นมาสำรวจดูว่ามีอะไรบ้าง

หลังจากที่ดูขนม จุ๋มก็มองหน้าผม

“นี่ขนมที่บ้านพี่อูเหรอ” จุ๋มถาม

“ทำไมจุ๋มถามแบบนี้ล่ะ แหะๆ” ผมไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มาก่อน จึงอึ้งไป

“เปล่า ก็แค่อยากรู้” จุ๋มอมยิ้มแบบแปลกๆ

“ก็... ไม่ใช่ของที่บ้านหรอก พี่ซื้อที่ตลาดสามย่านนี่แหละ” ผมตอบตามตรง “แถวบ้านพี่ไม่มีของกินขึ้นชื่ออะไร เลยเอาของแถวนี้มาฝาก ฝากให้เพื่อนๆจุ๋มด้วยละกัน แล้วก็ถุงนี้ฝากให้พี่เหล่ง”

“มิน่าล่ะ” จุ๋มหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ “โธ่เอ๊ย”

“มีอะไรเหรอ” ผมสงสัย

“ก็ขนมที่พี่อูเอามานี่น่ะ ที่ถุงมีที่อยู่และเบอร์โทรติดอยู่ ที่อยู่ก็กรุงเทพฯ เบอร์โทรก็กรุงเทพฯ จุ๋มเลยสงสัยไงว่าพี่อูไปเอามาจากไหน” จุ๋มหัวเราะอีก

“เออ นั่นแหละ” ผมเขิน ตอนซื้อก็ไม่ทันสังเกต ได้แต่ทำหน้าตายตะแบงไป “ยังไงก็ขนม ซื้อที่ไหนก็คงไม่ต่างกันละน่า”

“ค่า... เข้าใจแล้ว... ขอบคุณนะค้า” จุ๋มพูดเสียงหวาน “พี่อูกลับบ้านสนุกไหม”

“ก็สนุกดี” ผมตอบ “แล้วจุ๋มล่ะ ฉลองปีใหม่สนุกไหม”

จุ๋มหน้าสลดลงในทันที

“แย่ค่ะพี่อู” จุ๋มพูด หยุดไปนิดหนึ่งแล้วรีบพูดตัดบท “อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลยพี่อู อย่าให้จุ๋มทำเสียบรรยากาศช่วงปีใหม่เลย”



ฟังเพลง Take Me Home, Country Roads
ร้องโดยจอห์น เดนเวอร์ จากอัลบั้ม Poems, Prayers and Promises ออกในปี ค.ศ. 1971

25 comments:

Anonymous said...

สวัสดีปีใหม่ไทยคับคุณอู ฺฺฺ

Anonymous said...

สวัสดี ปีใหม่ไทย ครับ
ขอให้มีความสุขร่างกายแข็งแรง นะครับ
มีเป็นคนแรกครับ

กัน

พี said...

สวัสดีปีใหม่ไทยครับ....คุณอู และทุกๆท่าน

ดีใจครับที่ตอนใหม่มาแล้ว...

ขอไปอ่านก่อนนะครับ...

*** PEE ***

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู ดีใจครับpostตอนใหม่แล้ว

ขอบคุณมากๆครับ ไงก็มีความสุขในวันปีใหม่ไทยน่ะครับ

รักษาสุขภาพด้วย..... คิดถึงครับ

Anonymous said...

คิดถึงอาอูมากครับ ดีใจที่ได้อ่านต่อ สุขสันต์วันปีใหม่ไทยครับ
Federick

Anonymous said...

สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ ไม่ได้เข้ามาเม้นท์นานเลย เรียนหนักหน่วงได้อีก... ไงก็ขอบคุณอาอูมากนคครับที่ยังเล่าเรื่องราวให้เราๆได้ติดตามกันมา จะว่าไปก็ไวนะครับ ผมก็ติดตามอ่านมา 4 ปีและ ตั้งแต่อยู่สหรัฐจนขึ้นมหาลัย ไงก็เป็นกำลังใจให้ครับผม

อาร์ม

Anonymous said...

สวัสดีครับ สงกรานต์คงได้หยุดพักผ่อนหลายวัน พักผ่อนเยอะๆ จะได้มีแรงเขียนนิยายให้ทุกๆ คนอ่านต่อไปนะครับ สุดท้ายนี้ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่ไทย นะครับ
แอบสงสัย คุณอู ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา หรือเปล่าครับ ? เพราะสังเกตจากช่วงเวลาว่างๆ ที่มาเขียนนิยาย
supermansk

Anonymous said...

สวัสดีวันสงกรานต์ ด้วยครับ
ขอให้สุขภาพแข็งแรง น่ะครับ

tl000

Anonymous said...

สวัสดีปีใหม่ไทยครับอู
ขอให้คุณพระคุ้มครอง
ที่นี่อาจไม่มีสมาชิกเพิ่ม
แต่ผมว่ามันเป็นชุมชนไปแล้วนะ
แฟนที่ตามมาอ่านอยากจะรู้ว่าคุณอูจะเดินทางไปถึงไหน
ชอบรายละเอียดที่นายเขียนถึงเหมือนมันเกิดขึ้นเร็วนี้ทั้งที่มันผ่านมานานแล้ว (อย่างเช่นเรื่องแท็กซี่มิเตอร์ ซึ่งเริ่มใช้มาประมาณ๒๐ปี)
เป็นกำลังใจนะครับ และขอบคุณ

♥ said...

สวัสดีปี่ใหม่ครับ เขียนเหมือนเดิมเลย(สนุกเหมือนเดิมหน่ะครับ) เสียดายนะไม่ใช่ญาติกัน ไม่งั้นผมคงต้องไปรดนำดำหัวให้ซะแล้ว

Anonymous said...

เพลง take me home countey road ของป๋าจอห์น
เหมาะสำหรับฟังตอนนั่งรถกลับบ้าน
รอบนี้น้องอูหายไปนานเลยนะ

ป้าขวัญ

Anonymous said...

สุขสันตืวันสงกรานต์ครับพี่อู ไปต่างจังหวัดไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน ได้ของฝากจากพี่อูเป็นตอนใหม่ ขอบคุณครับ

ทอป

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู อย่าหายไปนานๆอีกน่ะครับ

เห็นใจคนรอบ้าง55555 แต่ถ้าไม่postใหม่แต่เข้ามาคุย

ก็พอจะให้อภัยได้คร๊าาาบ ช่วงนี้งานเบาลงหรือยังครับพี่อู

ไงก็รักษาสุขภาพด้วยน่ะ...คิดถึงครับ

Anonymous said...

..ขอบคุณเช่นกันค่ะอู ที่เขียนเรื่องให้พวกเราติดตามอย่างต่อเนื่อง..จะช้าหรือเร็วก็รอได้ค่ะ

..อ่านตอนนี้แล้วแอบมีความสุขเล็กๆ เพราะภาพอดีตตอนเดินทางกลับบ้านลอยขึ้นมาอย่างแจ่มชัด

ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ไทยนะคะ ขอให้อูแข็งแรงๆ&แจ่มใสเหมือนดอกไม้บานยามเช้าเลยเชียว :)

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ขอบคุณครับพี่อู ผมติดตามผลงานของพี่ตลอดครับ

ไก่

FIAT said...

ดีใจมากครับที่ได้อ่านต่อ ติดตามอยู่เสมอนะครับ

มะขามดอง said...

สุขสันต์วันสงกรานต์ย้อนหลังนะครับคุณลุง สงกรานต์คงสนุกนะคับ ขามไม่ได้หยุดเลยแต่ก็สนุกเหมือนกัน ปีนี้แถวสีลมก็คึกคักเหมือนปีก่อน ๆ
ในที่สุดก็มาต่อเรื่องสักทีนะครับ เดือนละตอน ^^ กลิ่นไอของชนบททำให้รู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลายได้อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ ครับ ว่าไปแล้วขามไม่ได้กลับบ้านหลายปีแล้วเหมือนกันนะเนี่ยะ
จะคอยเป็นแฟนคลับต่อไปนะครับ รักษาสุขภาพด้วยครับช่วงนี้อากาศร้อน

อู said...

ขอบคุณสำหรับพรของทุกคนครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันปีใหม่ไทยเช่นกัน รวมทั้งขอขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกัน ยังติดตามอ่านอยู่แม้ว่าการเขียนจะลุ่มๆดอนๆเต็มทีก็ตาม

เรื่องเวลาคงยังไม่ลงตัวไปอีกระยะหนึ่ง แต่อย่างน้อยอีกวันสองวันก็ได้อ่านตอน 58 แน่ครับ เพราะว่าเขียนอยู่

อากาศร้อนมากแบบนี้คิดถึงชนบทสมัยก่อนครับ นอนใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมพัดก็คลายร้อนแล้ว ชีวิตชนบทสมัยก่อนเรียบง่าย มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

อู

Anonymous said...

มากดไลค์เม้นท์บน 1,000ครั้งค่ะ ^__^

คนลาดพร้าว

นายครับ said...

เย้...จะได้อ่านตอนใหม่อีกแล้ว!!!!!!!!!

หวัดดีครับพี่อู ดีใจจังไม่เงียบหายไปเหมือนก่อน5555

พี่อูพูดถึงชีวิตต่างจังหวัด ผมก็อดคิดถึงตอนเด็กๆไม่ได้น่ะ

มีความสุขสบายใจกับชีวิตที่เรียบง่ายครับ

พี่อูครับตอนนี้งานเบาลงหรือยังครับ ไม่อยากได้ยินว่ายังทำงานหนักเหมือนเดิม
เพราะผมก็เป็นแบบนั้นเห็นแล้วเหนื่อยครับ

รักษาสุขภาพด้วยน่ะ....คิดถึงครับ

นายอนุรุทธิ์ บุญทัน said...

สวัสดีปีใหม่ครับพี่

Anonymous said...

แวะมาส่งความรักให้แล้วครับ!
มีแต่คนอวยพรปีใหม่อาอู ผมไม่ได้อวยพรใครเลยปีนี้ งั้นอวยพรให้อาอูคนเดียวเลยแล้วกันครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

หลัง ๆ อ่านแล้วรู้สึกอึดอัดจังครับ เรื่องมันหม่น ๆ

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู สงสัยว่าคงยังไม่ได้post ใหม่แน่เลย

ผมจะไปตจว.หลายวันครับ เลยเข้ามาดูก่อน ก็ไม่เป็นไรครับ

กลับมาจะเข้ามาดูอีกน่ะ....เป็นกำลังใจให้ สู้ๆครับ

อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยน่ะพี่อู...คิดถึงครับ

Anonymous said...

ขอให้กำลังใจอีกหนึ่งเสียง ตามอ่านมาตั้งแต่อูอยู่โรงเรียนประจำแล้วครับ

วันนี้ขอออกมาให้กำลังใจนิดนึง
ท๊อป