Wednesday, May 25, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 33

ผมฟังแล้วถึงกับสะอึก ถ้ากำลังดื่มน้ำอยู่ก็คงสำลักออกมาทางจมูกแล้ว ผมรู้ดีว่าเพ็ญหมายถึงอะไร ผมนึกไม่ถึงเลยว่าเพ็ญจะเกิดความรู้สึกแบบนี้กับผมได้

“...”

โอ๊ย ทำไมต้องมาพูดเอาเวลานี้ด้วยนะ ผมพูดอะไรไม่ออก เพ็ญมองหน้าผม ใบหน้าของเพ็ญนองไปด้วยน้ำตา

“อู... อูคิดยังไงกับเรา” เพ็ญถาม

ผมรู้สึกหนักใจที่จะต้องตอบคำถามนี้ในเวลานี้ ผมยังไม่พร้อมที่จะตอบอะไร สมองยังตื้ออยู่

“เราว่าเรื่องสำคัญตอนนี้คือแจ้งความให้เสร็จก่อนดีกว่า แล้วเราจะได้รีบออกจากโรงพัก เรารู้ว่าเพ็ญมาเจอสภาพแบบนี้ก็คงตกใจและกลัวด้วย เรื่องอื่นเอาไว้เราค่อยมาคุยกันอีกทีดีไหม” ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามเอาดื้อๆ เฉไฉไปพูดเรื่องอื่นแทน

เพ็ญไม่พูดอะไรอีก หลังจากที่ได้สูดอากาศนอกโรงพักกันสักครู่ผมก็ชวนเพ็ญกลับเข้าไปนังโต๊ะที่รับแจ้งความอีกครั้งหนึ่ง ผมอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องราวระหว่างผมกับเพ็ญนั้นมีอะไรที่ไม่เหมือนคู่ชายหนุ่มหญิงสาวทั่วไปหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การไปดูหนังด้วยกันสองคนแล้ว แทนที่จะดูหนังโรแมนติกหรือหนังเบาๆกรุ๋มกระจิ๋มก็ได้ดูหนังบู๊ล้างผลาญเลือดท่วมจอ มาถึงตอนที่จะบอกความในใจแทนที่จะอยู่ในบรรยากาศหวานๆก็กลับมาบอกกันที่โรงพัก ดูแล้วไม่ค่อยปกติเอาเลย

หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงคิวแจ้งความของเพ็ญ หลังจากที่ร้อยเวรสอบปากคำเพ็ญและผมเรียบร้อยรับแจ้งความของเพ็ญในคดีลักทรัพย์ซึ่งไม่ใช่เรื่องของหายทั่วไป ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจว่ามันแตกต่างกันหรือไม่และอย่างไร รู้แต่ว่าเราต้องการหลักฐานจากโรงพักไปเพื่อนดำเนินการเรื่องเอกสารอื่นๆ กว่าจะเสร็จเรื่องก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม

“เดี๋ยวเพ็ญจะกลับยังไง ดึกขนาดนี้” ผมถามเพ็ญหลังจากที่เราออกจาโรงพักมา

“คงนั่งแท็กซี่ดีกว่า” เพ็ญตอบ

“ยังงั้นเรานั่งแท็กซี่ไปเป็นเพื่อน เพ็ญว่าดีไหม” ผมถาม ที่ผ่านมาเพ็ญไม่ค่อยพูดเรื่องที่พักของตนเองนัก ผมสามารถรู้สึกได้ว่าเพ็ญไม่ค่อยอยากให้ใครรู้จักที่พัก ดังนั้นผมจึงถามก่อนเพื่อความสบายใจของเพ็ญ

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวอูจะยิ่งกลับดึก” เพ็ญตอบ

“เรื่องเรากลับดึกน่ะไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็เข้าหอได้ เพ็ญนั่งแท็กซี่คนเดียวดึกๆ เอ้อ... เราว่าถ้ามีผู้ชายนั่งไปเป็นเพื่อนด้วยน่าจะดีกว่า เพ็ญอย่าเกรงใจ ถ้าเราแยกกันแล้วเพ็ญคิดเปลี่ยนใจก็ไม่ได้แล้วนะ” ตอนท้ายผมแอบขู่นิดๆ จะว่าขู่ก็ไม่เชิง สมัยนั้นผู้หญิงนั่งแท็กซี่คนเดียวยามดึกถือว่าไม่ค่อยปลอดภัยนัก ภัยจากแท็กซี่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ

คำขู่ของผมได้ผล เพ็ญเปลี่ยนใจทันที

“งั้นไปก็ไป” เพ็ญตอบ

ที่จริงผมก็กัดฟันพูดอยู่เหมือนกัน พรุ่งนี้ยังมีสอบอีก ถ้าเป็นยามปกติป่านนี้ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องไปนานแล้ว คืนนี้ว่าจะทวนอีกสักรอบก่อนสอบสงสัยคงทำไม่ได้แล้ว

ผมนั่งแท็กซี่ไปเป็นเพื่อนเพ็ญจนถึงที่พัก ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย เพ็ญคงมีความในใจอยู่ ส่วนผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวว่าเพ็ญจะวกเข้าเรื่องนั้นอีก

จนถึงที่พักของเพ็ญซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ระดับดีแห่งหนึ่ง เมื่อเพ็ญลงจากรถแล้วผมก็ไม่ได้ลงรถตามลงไปเพราะไม่อยากให้เพ็ญอึดอัดใจ ส่งกันแค่นี้ก็น่าจะปลอดภัยเพียงพอแล้ว

“เรากลับก่อนนะเพ็ญ” ผมพูดกับเพ็ญ “เดี๋ยวเรานั่งรถคนนี้กลับหอของเราไปเลยดีกว่า”

“อู...” เพ็ญก้มหน้ามาคุยกับผมที่หน้าต่างรถ “พรุ่งนี้หลังสอบมาหาเราหน่อยสิ”

เอาล่ะสิ อีกแล้ว ผมแอบหนาวอยู่ในใจ

“เอ้อ พักเที่ยงเราก็ไปที่ชมรมอยู่แล้ว ยังไงก็ได้เจอกัน” ผมกัดฟันพูด

“เจอกันที่อื่นดีกว่า อยากได้ที่คุยเงียบๆ เรามีเรื่องอยากพูดกับอู” เพ็ญพูด “ที่ใต้ตึกทะเบียนก็แล้วกัน”

ที่จริงตอนพักเที่ยงในมหาวิทยาลัยสถานที่ที่ไหนก็ไม่เงียบ แต่ที่ใต้ตึกหน่วยทะเบียนนั้นเงียบดีจริงๆเพราะในช่วงสอบไม่มีการลงทะเบียนอะไร ยากนักที่เพ็ญคิดออกมาได้ เป็นผมก็คิดไม่ออก

“ได้ๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ผมพูด จากนั้นรถแท็กซี่ก็เคลื่อนออกจากที่ไป...

- - -

วันต่อมา

หลังจากที่เมื่อคืนกลับถึงหอพักแล้วก็พยายามนั่งทำโจทย์แคลคูลัสต่อ แต่เมื่อนั่งทำไปได้สักพักก็รู้สึกว่าคิดอะไรไม่ออก ไม่สามารถจดจ่อสมาธิอยู่กับการคำนวณได้เลย จนในที่สุดก็ต้องเลิกล้มความพยายามและเข้านอน

เรื่องของเพ็ญวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ผมรู้ดีว่าพรุ่งนี้เพ็ญต้องการจะพูดเรื่องอะไร แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดกับเพ็ญว่าอย่างไรดี คำพูดของเพ็ญเมื่อตอนอยู่ที่โรงพักทำให้ผมต้องมาทบทวนตนเองว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเพ็ญกันแน่...

หลังจากที่การสอบวิชาแคลคูลัสเสร็จสิ้นลง ผมก็เดินไปยังตึกทะเบียน ตึกนี้เป็นตึกที่อยู่นอกคณะเทคโน ต้องเดินไปไกลพอสมควร

ที่ใต้ตึกทะเบียนมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับให้นักศึกษานั่งกรอกเอกสารอยู่หลายตัว สามารถใช้เป็นที่สนทนาได้เป็นอย่างดี วันนั้นที่ใต้ตึกเงียบสนิท เมื่อผมไปถึงก็พบว่าเพ็ญนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“เป็นไงบ้างเพ็ญ วันนี้เรียบร้อยดี” ผมทักทาย

“เรียบร้อย มาแต่เช้าไปวิ่งเรื่องบัตรนักศึกษา ในที่สุดก็เข้าสอบได้ ไม่มีปัญหาอะไร” เพ็ญตอบ

“...”

ทักทายกันได้แค่นั้นเราสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมอยากจะชวนเพ็ญคุยแต่ก็นึกคำพูดไม่ออก กลัวว่าเพ็ญจะวกมาพูดเรื่องความในใจอีก แม้ผมรู้ว่าวันนี้เพ็ญต้องการจะพูดเรื่องอะไรและผมก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังกลัวอยู่ดีเนื่องจากผมยังคิดคำตอบไม่ออก

บรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัด ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน ในที่สุดผมอดรนทนไม่ได้จึงพูดทำลายความเงียบขึ้น

“เพ็ญนัดเรามา เอ้อ... คงมีอะไรอยากคุยกับเรา” ผมตะกุกตะกัก ระวังการใช้คำพูดอย่างที่สุดเพราะกลัวว่าจะพูดอะไรผิดพลาด

เพ็ญพยักหน้าและพูดตรงเข้าประเด็นทันที

“เราอยากถามความรู้สึกของอูที่มีกับเราน่ะ”

“เพ็ญ... เพ็ญ... เพ็ญ...” จู่ๆผมก็กลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมา “เพ็ญก็เป็น เอ้อ... เพื่อนที่ดีของเรา ตอนทำงานที่ชมรม เราก็รู้สึกว่าทำงานเข้ากับเพ็ญได้ดี”

ผมตอบแบบถูไถ

“แล้วความรู้สึกด้านอื่นล่ะ” เพ็ญไม่ยอมปล่อยให้ผมเฉไฉ รุกถามเข้าประเด็นอีก

“หมายความว่า...” ผมแกล้งโง่ถ่วงเวลาอีก สมองก็พยายามใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะตอบว่าอย่างไรดี ที่จริงไม่ใช่ว่าผมเพิ่งมาคิดเอาตอนนี้ ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ต่างหาก

“เรารู้สึกว่าอูดีกับเราเป็นพิเศษ” เพ็ญพูดช้าๆ “เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้คิดอะไร คือคิดว่าอูเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง แต่หลังจากเรื่องาวต่างๆ อูให้กำลังใจเรา พยายามชวนเราไปทำงานที่ชมรมไม่ให้เราคิดมาก มันก็ช่วยได้จริงๆนะ”

เพ็ญหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใคร่ครวญคำพูดอยู่ จากนั้นก็พูดต่อ

“อูดีกับเรามาก จนตอนนี้เราไม่ได้คิดกับอูแค่เพื่อนแล้ว... เราอยากรู้... อยากรู้จากปากของอูเองว่าอูคิดยังไงกับเรา”

เมื่อเพ็ญถามอย่างจะแจ้งเช่นนี้ก็สุดที่ผมจะแกล้งโง่ต่อไปได้อีก ในที่สุดผมก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ผมไม่อยากเผชิญ

“เราทำงานด้วยกันมาตลอดหลายเดือน เพ็ญก็เป็นเพื่อนสนิทของเราคนนึงเลยล่ะ” ผมตอบ “จะเรียกว่าเป็นพื่อนสนิทที่สุดของเราในตอนนี้ก็ได้...”

ผมพูดได้เพียงนี้แล้วก็หยุด เพ็ญพยักหน้าให้ผมพูดต่อไปอีก

“ขอบคุณมากเลยที่เพ็ญรู้สึกดีกับเรามาก แต่... เอ้อ... เรายังต้องการเวลาอีกสักระยะหนึ่งที่จะคิดไปถึงขั้น เอ้อ... มากกว่าเพื่อนน่ะ” ผมตอบตะกุกตะกัก บรรยากาศในตอนนั้นน่าอึดอัดมาก มันเป็นการพูดที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้

“อู” เพ็ญอุทาน ดูเพ็ญผงะไปเล็กน้อยกับคำพูดของผม ผมไม่แน่ใจว่าเพ็ญแปลกใจหรือว่าตกใจกันแน่

“ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล อูมาเยี่ยมเราทุกวัน” เพ็ญพูด “เราประทับใจคำพูดของอูมาก คำพูดของอูทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมา อูบอกว่าที่ไม่ถามถึงอดีตของเราเพราะไม่สนใจ และอยากให้เรารู้ว่าปัจจุบันนั้นสำคัญที่สุด อูยังบอกอีกว่าให้เราก้าวข้ามอดีตและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เราคิดว่าอูจะเป็นคนที่มาช่วยให้เราก้าวข้ามอดีตไปให้ได้ รวมทั้งช่วยเราสร้างอดีตที่งดงามสำหรับอนาคตขึ้นมาเสียอีก”

ฉิบหายแล้ว ผมคร่ำครวญในใจ ในที่สุดคำพูดพระเอกก็ย้อนกลับมาเข้าตัวพระเอกทั้งหมดจนได้

เมื่อคืนผมคิดเรื่องนี้อยู่นาน ที่จริงผมตั้งใจจะเลิกเป็นเกย์และมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนสักคน การสานต่อความสัมพันธ์กับเพ็ญน่าจะเป็นเรื่องที่ดี น่าจะถือว่าส้มหล่นได้แฟนสำเร็จรูปโดยไม่ต้องไปออกแรงหาที่ไหนเลยก็ว่าได้ แต่พยายามคิดยังไง มองจากมุมไหน ผมก็ยังคิดกับเพ็ญได้เพียงแค่เพื่อน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเพ็ญดีเกินไปสำหรับผมก็ได้ เพ็ญดีพร้อมหมดทุกอย่าง เรียนก็เก่ง สวยก็สวย ฐานะก็ดี ส่วนผมนั้นแทบจะมีคุณสมบัติตรงกันข้าม ไม่มีอะไรที่ทัดเทียมเพ็ญได้เลย ผมมองไม่เห็นเลยว่าตนเองจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแฟนหรือเป็นที่พึ่งให้แก่เพ็ญได้อย่างไร

อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกที่ผมเคยมีกับไอ้นัยหรือแม้แต่กับไอ้บอยนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับเพ็ญเลย ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าผมต้องการเวลาอีกสักระยะหนึ่ง

“เอ้อ...” ผมติดอ่างอีก ในที่สุดหมองูก็ต้องตายเพราะงู พระเอกก็ต้องตายเพราะคำพูดของตนเอง “ที่เราพูดนั้น ก็... คือ... เรา... เราต้องการเวลาอีกสักหน่อยน่ะ ตอนนี้เราทุ่มเทกับการสอบเอนทรานซ์มาก เรายังไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย”

ผมอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย เพ็ญพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจความจำเป็นของผม

“ถ้าอย่างนั้นอูหมายความว่า...” เพ็ญพูดแบบปลายเปิดเป็นเชิงคำถาม

“ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร ไม่ใช่สิ คือเราหมายความยังงั้นจริงๆ เราอยากขอเวลาอีกหน่อย” ผมพยายามซื้อเวลา

“อย่างอย่างนั้น เรื่องที่เราอยากคุยกับอูก็คงมีแค่นี้แหละ” เพ็ญพูดทิ้งท้าย

- - -

ผมออกมาจากใต้ตึกทะเบียนแบบหายใจไม่ทั่วท้อง ผมถูกเพ็ญต้อนจนเข้ามุม ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางใด โชคดีที่เพ็ญหยุดคุยไปเองโดยไม่รุกเร้าต่อ ผมจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อเพ็ญรุกถามถึงความรู้สึกและผมก็ยังไม่มีคำตอบอะไรให้ ทางเดียวที่ผมจะทำได้หลังจากนั้นก็คือ

หนี!

หลังจากนั้นมาผมก็หนีหน้าเพ็ญมาโดยตลอด ผมไม่ขึ้นไปทำงานที่ชมรม ตอนเรียนก็พยายามหลบไม่ให้เรียนห้องเดียวกันกับเพ็ญ หากเลี่ยงไปเรียนห้องอื่นไม่ได้จริงๆก็พยายามเข้าเรียนช้าๆ เมื่อเข้าเรียนแล้วก็พยายามนั่งริมประตูเข้าไว้ เมื่อเลิกเรียนแล้วก็รีบหนีไปโดยเร็ว ตอนเที่ยงก็หลบไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดส่วนกลางแทน ทุกอย่างที่ผมทำลงไปนี้คงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ไม่มีคำตอบอะไรให้แก่เพ็ญ เมื่อตอบไม่ได้จึงไม่กล้าสู้หน้า

ผมวางแผนเอาไว้ว่าต้องพยายามหลบหน้าเพ็ญไปให้ได้จนถึงปลายเดือน เพราะเมื่อถึงช่วงปลายเดือนผมต้องไปเข้าค่าย รด. ที่เขาชนไก่ เมื่อกลับมาจากเขาชนไก่ก็เป็นช่วงปลายเทอมซึ่งหยุดกิจกรรมนักศึกษาทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวสอบ หลังจากนั้นอีกไม่นานก็จะเป็นช่วงหยุดดูหนังสือก่อนสอบปลายภาค ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องคอยหลบหน้าแล้วเพราะว่าเป็นช่วงที่เรามีโอกาสพบกันน้อยลงไปเองโดยปริยาย ส่วนเมื่อหลังสอบเสร็จก็เป็นการปิดภาคช่วงฤดูร้อน หากผมสอบติดได้เรียนที่ใหม่เราคงห่างกันไปเอง ช่วงเวลาที่เราไม่ได้พบกันเป็นเวลานานคงช่วยให้เพ็ญคลายความรู้สึกแบบนั้นกับผมลงไปได้ ส่วนช่วงนี้คงต้องทนอึดอัดใจไปก่อน

15 comments:

tangkwa said...

มาที่ 1 จนได้ แต่ว่าทำไมตอนนี้สั้นจัง คุณอู

Choo said...

พฤติกรรมของอู คล้ายๆกับพฤติกรรมของน้องบอย ตอนรู้ความในใจฯ และตัดสินใจ "หนี"

เป็นกงล้อ....ที่มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในตัวละครที่ต่างกันไป

ชู

Anonymous said...

ผมเข้าใจอาอูนะครับ บางครั้งคนเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอกครับ
Federick

Anonymous said...

มารักลุงอูอีกแล้ว... ที่4 ก็ดีครับ อิอิ

boy_aof_za

Anonymous said...

ฝนตกเลยมาสายครับ
มารักอาอูแล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

กลืนไม่เข้า คายไม่ออก เง้อ!!
ถ้าเป็นพี่..สงสัยจะบอกเพ็ญไปตรงๆเลย
ไม่อยากให้มาเสียเวลากับเราและคงความเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

รับประกันเลยว่า หนีแล้วยิ่งแย่
ยิ่งคิดถึง ยิ่งตัดไม่ขาด

งวดหน้ามาพร้อมน้ำตานองหน้า กับการต้อนแกะไปเชือด

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

หมองูก็ต้องตายเพราะงู พระเอกก็ต้องตายเพราะคำพูดของพระเอก 555 ขำ

ขนมโก๋ said...

ชีวิตก็แบบนี้แหละ

ไอ้ที่อยากได้ใคร่มีเก็บไว้ใช้นานๆ
อย่าง นัย หรือ บอย
ก็มลายไปไวเหมือนโกหก

ส่วนไอ้ที่ยังไม่อยากจะรับประทานตอนนี้
อยู่ๆ เพ็ญ ก็โผล่มาป้อนให้ถึงปาก

แต่ฝีมือระดับ น้องอู แล้วเชื่อว่า ยังไงก็ผ่านไปได้
ส่วนจะผ่านแบบไหน ระหว่าง

น้ำตาเจิ่งนองเต็มท้องทุ่ง
ด้วยเต่านับพันที่ถูกเผา
เลือดสาดท่วมถึงท้องช้าง
ด้วยแกะนับหมื่นที่ถูกเชือด

หรือแค่ฟกช้ำดำเขียว แข้งขาหัก เย็บไม่กี่สิบเข็ม

คงต้องติดตามในตอนต่อๆ ไป
จริงไหมครับ พี่อู

Anonymous said...

ได้ที่ 9 แบบงงๆ

ทำไมชีวิตนี้ต้องมีแต่การหนี... ทั้งหนีความจริง และหนีหน้าคน สู้ๆ ปัญหามีไว้พุ่งชนครับ

แบงค์ครับ

Anonymous said...

ทั้งที่ตั้งใจจะเป็นแมนแล้ว โอกาสก็มารอแล้ว ทำไมจะทิ้งซะล่ะครับอู

เด็กหลัง ร.ร.

อู said...

ตอนนี้สั้นกว่าเดิมหน่อย เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ได้โพสต์เสียที ติดแล้วติดอีกครับ

พี่ชูพูดแทงใจดำเลย ไอ้บอยมันก็คงหนีอะไรสักอย่าง เราอาจคิดเหมือนกันเพียงบแต่บอยมันคิดได้ก่อนผมมั้ง

ผมก็หนีอยู่ตลอดชีวิตแหละครับ ชนปัญหาแล้วกลัวหัวแตก หลบไปตั้งหลักก่อนดีกว่า ตอนนั้นคงยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ เอาแต่หลบหน้า ไม่พูดให้กระจ่าง คนรอก็เสียเวลาไปจริงๆ แต่ภาวะตอนนั้นก็คิดได้แค่นั้นเองครับ

Anonymous said...

อาอูโพสดึกประจำเลยดูแลสุขภาพบ้างนะครับ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

นัทซึครับ

Anonymous said...

สวัสดีคร้าบ พี่อู และทู้กคน ขอเป็นแฟนคลับด้วยคนคร้าบ ขออนุญาตแนะนำตัวนะครับ ชื่อนาย ครับ ภาษาเหนือกับกลางหมายถึงเจ้านาย แต่ที่สงขลาหมายถึงตำรวจ งงเหมือนกันตอนไปอยู่ใหม่่ๆได้ยินคนเรียกชื่อ นายมา นายมา คิดว่าไปรู้จักกันตอนไหน ที่ไหนได้เขาพูดถึงตำรวจที่เดินตามหลังผมมาเลยถึงบางอ้อ ฮาดีเหมือนกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าเจอบล็อกนี่ได้ยังไงมันนานหลายปีแล้วเพราะเก็บเอาในเฟบเวอร์ริดเสียนานมากกกก พอดีไปได้ไอโฟนมาแล้วเอาอับซอฟแวร์กับคอมฯ แล้วไม่รู้ยังไงรายการที่เก็บใว้ในคอมฯมันมาอยู่ในซาฟารีของไอโฟนได้ ก็เลยต้องมานั่งลบมันออกไปลบไปลบมาก็เจอบล็อกนี้เข้ายอมรับว่าลืมไปแล้ว ก็อย่างที่ครูช่วยว่าไว้คงมีวาสนาต่อกันจึงพบเจอกันดังนั้นผมใช้เวลาอ่านตอนกลับกรุงเทพฯโดยใช่้เวลาอ่านวันละ20ชั่วโมงจนถึงตอนนี้อ่านเสร็จก่็7วันพอดียังดิดอยู่ว่าอ่านเขัาไดไง ขอบคุณนะครับที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้อ่านเป็นการทำบุญอย่างหนึ่่ง ผมขอให้พรหรือบุญอันใดที่ผมมีตอนนี้ผมขอยกให้พี่หมดเลยขอให้มีความสุขและสมหวังในทุกๆเรื่องนะครับ รักจากใจจริง นาย

อู said...

ขอบคุณหลานนัทซึที่เป็นห่วงครับ อาชอบบรรยากาศตอนดึกๆครับ มันสงบดี จึงมักทำงานตอนดึกๆ ก็รู้ตัวเหมือนกันว่าไม่ค่อยดีกับสุขภาพนัก แต่ก็ฝืนทำ

ขอบคุณนายที่เข้ามาทักทายครับ ดีใจที่ได้คุยกับคุณอีก คนที่อ่านกันมาตั้งแต่ยุคต้นๆถือเสมือนเป็นเพื่อนเก่า ยามที่จากกันไปนานและได้กลับมาพบกันอีกก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง นับว่ายังมีวาสนาต่อกันครับ

คุณอ่านวันละ ๒๐ ชั่วโมงหลายวัน แสดงว่าอ่านเก็บรายละเอียดเลย สงสัยจะเป็นนักอ่าน หวังว่าคงเข้ามาทักทายกันอีกครับ