Sunday, May 15, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 32

จุดเปลี่ยนในการเลิกเป็นเกย์ของผมนั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ช่วงชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างหวือหวาฉับพลันแต่อย่างใด แต่เป็นขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไป มันเป็นความคิดที่มีอยู่นานแล้ว แต่เปรียบเหมือนน้ำที่มีตะกอนขุ่นฟุ้งกระจายอยู่ ต้องอาศัยเวลาในการตกตะกอนพอสมควร เมื่อคิดไปเรื่อยๆนานวันเข้าก็ตกตะกอนจนเห็นน้ำใสจนได้ เมื่อคิดตกแล้วก็ลงมือทำ

ชีวิตหลังจากที่เลิกเป็นเกย์ของผมก็คงไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในสายตาของเพื่อนๆ ผมยังคงไปเรียนและทำกิจกรรมเช่นเดิม ความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ที่วิธีคิดของผมเองมากกว่า ผมพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาว่าผมชอบผู้หญิง เมื่อก่อนชอบมองเพื่อนชายที่หน้าตาดี หรือเมื่อเดินไปไหนมาไหนก็มักสังเกตชายหน้าตาดี แต่เดี๋ยวนี้ผมพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ไปสนใจมองแบบนั้นอีก พยายามมองสาวๆแทน การละวางจากความคุ้นเคยเดิมๆนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ว่าทำยาก แต่ผมก็พยายามทำ

การเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์นับว่าช่วยผมได้มาก ประกอบกับหลังปีใหม่ไปแล้วจะมีการสอบกลางภาคอีกด้วย ดังนั้นตั้งแต่หลังวันคริสต์มาสเป็นต้นมาผมก็จดจ่ออยู่กับการเตรียมตัวสอบ ทำให้ผมไม่มีเวลาไปสนใจผู้อื่นไม่ว่าหญิงหรือชาย จึงทำให้ผมไม่ค่อยวอกแวกนัก

เรื่องการสอบกลางภาคสำหรับภาคปลายนั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่พอสมควรระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา ทางฝ่ายอาจารย์ต้องการจัดการสอบหลังปีใหม่ไปแล้วโดยให้เหตุผลว่านักศึกษาจะได้มีเวลาดูหนังสือในช่วงปีใหม่ ส่วนนักศึกษาพยายามขอให้มีการสอบก่อนปีใหม่เนื่องจากเมื่อสอบเสร็จแล้วจะได้ฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างสบายใจ แต่แล้วในที่สุดทางฝ่ายอาจารย์ก็เป็นผู้ชนะ นักศึกษาบ่นกันขรมและจำต้องงดเที่ยวในช่วงปีใหม่เพื่อเตรียมตัวสอบ

“แย่วุ้ย ปีใหม่หมดสนุกเลย” ผมเปรยขึ้นมาขณะที่นั่งคุยเล่นอยู่ในชมรม

“ใครไปทำให้นายหมดสนุกล่ะ” พี่ตั้วถาม

หลังจากที่ผมรู้สาเหตุที่พี่ตั้วมักหงุดหงิดใส่ผมนั้นก็เพราะว่าแอบชอบเพ็ญอยู่และเห็นว่าผมอาจเป็นก้างขวางคอ ผมก็พยายามอยู่ห่างๆเพ็ญหรือไม่แสดงอาการสนิทสนมกันจนเกินไปนักยามเมื่ออยู่ในชมรม โดยเฉพาะเมื่อตอนที่พี่ตั้วอยู่ในชมรมด้วย แต่ที่จริงแล้วก็ต้องถือว่าพี่ตั้วมีน้ำใจนักกีฬาและเป็นรุ่นพี่ที่น่านับถือทีเดียว เพราะว่าแค่หงุดหงิดใส่ผมแบบหลุดๆเหวี่ยงๆมาบ้างเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจงใจหาเรื่องหรือว่าพยายามกลั่นแกล้งผม ยามปกติก็คุยเล่นกันดี ดังนั้นผมจึงยังทำงานอยู่ในชมรมต่อไปได้ด้วยความสบายใจ เพียงแต่พยายามระวังและรักษาน้ำใจพี่ตั้วเอาไว้บ้างเท่านั้นเอง

“ก็เรื่องสอบน่ะสิครับ ปีใหม่ยังต้องมานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ เซ็งเลย” ผมตอบ

“นายก็อย่าอ่านสิวะ ใครบังคับให้นายอ่านล่ะ” พี่ตั้วกวน

ผมแอบด่าพี่ตั้วอยู่ในใจว่าทำไมถึงได้กวนโอ๊ยนัก พี่ตั้วเห็นผมเงียบไปจึงพูดต่อ

“ปีหนึ่งก็ยังงี้แหละ พวกอาจารย์ก็อยากเที่ยวปีใหม่เหมือนกัน เลยจัดสอบเอาไว้หลังปีใหม่”

“เกี่ยวกันเหรอพี่ ทำไมอาจารย์อยากฉลองปีใหม่แล้วต้องทำยังงั้น” ผมงง

“ก็ถ้าสอบก่อนปีใหม่ ช่วงปีใหม่อาจารย์ก็ต้องตรวจข้อสอบไง ไม่ตรวจก็พะวง เที่ยวไม่สนุก ถ้าตรวจก็ไม่ได้เที่ยว สรุปแล้วก็เลยจัดสอบหลังปีใหม่เสียเลย” พี่ตั้วเฉลย ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่นเหมือนกัน “ปีหนึ่งก็ทนไปก่อน เอาไว้นายพอนายเข้าแผนกแล้วเรื่องวันสอบนี่คุยกันได้เพราะเป็นวิชาของแต่ละแผนกจัดสอบกันเอง”

ใครจะไปอยู่ถึงตอนเข้าแผนก ปีหน้าผมก็หนีไปเรียนที่อื่นแล้ว ผมคิดในใจ จากนั้นก็หยิบเอาตำราแคลคูลัสขึ้นมาอ่าน

“เฮ้อ ฟิสิกส์ แคลคูลัส อ่านแล้วอยากจะบ้า” ผมบ่น ไม่รู้ว่าสองวิชานี้เทอมปลายนี้จะได้เกรดอะไร เนื้อหาในเทอมปลายนี้ยากกว่าเทอมแรกอีก คำนวณเยอะแยะไปหมด

“ช่วยติวให้เอามั้ย” เพ็ญพูดขึ้น

“เฮ้ย เอาดิๆ” ไอ้กี้กับเพื่อนอีกหลายคนรีบตอบ เป็นที่รู้กันว่าเพ็ญนั้นเก่งแคลคูลัสมาก หากได้เพ็ญช่วยติวให้คะแนนคงทำคะแนนได้เพิ่มอีกพอสมควรทีเดียว

คำพูดนั้นแม้จะปรารถนาดี แต่ผมฟังด้วยความรู้สึกแปลกๆ... เป็นความรู้สึกด้อยค่า... นี่ผมห่วยขนาดนั้นเลยเชียวหรือถึงต้องมีคนมาติวให้เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆจึงคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเพราะปกติผมกับเพ็ญก็สนิทสนิมกันดี การเกื้อกูลกันในระหว่างเพื่อนฝูงน่าจะถือเป็นเรื่องปกติ

“ลองนัดเวลากันดูสิ” เพ็ญพูด สายตาของเพ็ญไม่ได้มองดูไอ้กี้แต่จับจ้องมาที่ผม

“เอ้อ ไอ้กี้ มึงลองว่ามาสิ เอาที่ว่างตรงกันหลายๆคนนั่นแหละดี” ผมโบ้ยให้ไอ้กี้เป็นคนนัดแทน ไอ้กี้และเพื่อนคนอื่นๆได้ทีรีบนัดวันเวลาเพื่อให้เพ็ญติวให้ คงกลัวว่าเพ็ญอาจเปลี่ยนใจจึงรีบนัด เพ็ญมองหน้าผมนิดหนึ่งแต่ก็ตกลงนักหมายวันเวลากันจนเป็นที่เรียบร้อย

พวกปีหนึ่งในชมรมนัดติวกันเป็นวันศุกร์อันเป็นวันเรียนวันสุดท้ายก่อนหยุดปีใหม่นั่นเอง วันศุกร์นั้นเป็นวันที่การเรียนเนือยๆ แทบไม่ได้เรียนเลยด้วยซ้ำ วิชาบรรยายแม้ไม่งดและไม่มีใครโดดเรียนด้วย เพราะเป็นทีรู้กันว่าอาจารย์จะทบทวนและให้คำแนะนำนักศึกษาในการเตรียมตัวสอบกลางภาค หรือหากจะพูดกันตรงๆก็คือเป็นชั่วโมงบอกใบ้ข้อสอบนั่นเอง อาจารย์แต่ละวิชาจะแง้มๆแนวข้อสอบให้นักศึกษาไปเตรียมตัวสอบได้ง่ายขึ้น

หลังจากวิชาบรรยายในตอนเช้าวันศุกร์ บ่ายวันนั้นก็ว่างแล้ว ตอนเที่ยงที่ชมรมมีการฉลองเทศกาลปีใหม่กันนิดหน่อยโดยการยกขบวนกันไปกินอาหารที่สามย่าน วันนั้นเป็นวันที่นิสิตและนักศึกษาไปกินอาหารเที่ยงที่สามย่านฝั่งคณะบัญชีกันเป็นจำนวนมากเป็นพิเศษ กว่าจะหาร้านอาหารที่มีที่นั่งว่างได้ก็ต้องเดินวนกันหลายรอบ

ปีนั้นเป็นปีแรกที่ผมได้ฉลองปีใหม่ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัย เมื่อก่อนการฉลองปีใหม่เป็นเพียงการกินอาหารและสนุกสนานกันในห้องเรียน แต่ปีนี้ผมได้ไปกินในร้านอาหาร รูปแบบและบรรยากาศแตกต่างไปจากตอนที่เป็นนักเรียนมากทีเดียว แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าชอบบรรยากาศแบบไหนมากกว่า มันประทับใจกันไปคนละแบบ การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกไม่น้อยแต่บางครั้งก็อดรู้สึกเสียดายชีวิตในวัยเด็กไม่ได้เหมือนกัน

หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกปีหนึ่งก็กลับไปติวกันต่อที่ชมรมตามที่นัดหมายกันเอาไว้แล้ว ส่วนผมนั้นตัดสินใจไม่ไปติวด้วย เพ็ญมองหน้าผมด้วยความสงสัยเมื่อผมขอแยกตัวกลับไปก่อน

“เฮ้ย มึงจะรีบไปทำห่าที่ไหน ไปติวด้วยกันก่อน” ไอ้กี้ดึงมือผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ผมว่ามันไม่ได้ห่วงอะไรผมหรอก คงคิดจะแกล้งผมมากกว่า

“จะรีบบ้านโว้ย ปีใหม่ทั้งทีอยากมีเวลาอยู่บ้านเยอะหน่อย กลับตอนนี้รถไม่ค่อยติด” ผมอธิบาย

“กลับตอนเย็นก็ได้ ติวกันก่อน” ไอ้กี้รั้งเอาไว้อีก “บ้านไม่หนีมึงไปไหนหรอก”

ผมปฏิเสธอีก เมื่อไอ้กี้เห็นผมยืนกรานจะรีบกลับจึงปล่อยมือ ส่วนเพ็ญนั้นไม่ได้พูดอะไรเลย

“กลับก่อนนะทุกคน” ผมลาทุกคน จากนั้นก็แยกตัวจากมา

หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบ้าน แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะว่าผมไม่อยากติว แต่อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากความอยากกลับบ้านจริงๆ เนื่องจากตั้งแต่เรียนปีหนึ่งมาไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้อยู่ในกรุงเทพฯได้ตลอด โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านก็เนื่องจากเรื่องของเอกนั่นเอง ช่วงที่มีเรื่องนั้นรู้สึกคิดถึงบ้านมากแต่ก็ไม่มีโอกาสกลับ ดังนั้นเมื่อหมดจากเรื่องของเอกและบรรดาเพื่อนเกย์ทางตู้ ป.ณ. ทั้งหลายแล้วผมจึงอยากกลับบ้านโดยเร็ว

ช่วงปีใหม่ผมไม่ได้อยู่ที่หอหลายวัน ยังกังวลเรื่องเอกอยู่บ้างเล็กน้อย หวังว่าเอกคงไม่โทรมารังควานในช่วงนี้ ผมภาวนาขอให้เอกไปฉลองปีใหม่กับเขาบ้างจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก

- - -

ผู้โดยสารที่ท่ารถหมอชิตแน่นขนัด กว่าจะขึ้นรถได้ก็เสียเวลาไปโข อีกทั้งต้องยืนมาในรถส้มเปิดหน้าต่างแทนที่จะได้นั่งรถปรับอากาศมาอย่างสบายๆเนื่องจากไม่มีตั๋ว ความคิดถึงบ้านทำให้การเดินทางด้วยตั๋วยืนในวันนั้นไม่ลำบากนัก อีกอย่างก็คือในเป้ของผมไม่ได้ติดเสื้อผ้ามาด้วยเลย มีเพียงแค่หนังสือสองสามเล่มเท่านั้น สัมภาระของผมจึงเบามาก อีกทั้งอากาศในฤดูหนาวก็เย็นสบาย ทำให้ภายในรถไม่ร้อนอบอ้าว

ผมผ่านถนนในชนบทเส้นที่คุ้นเคย หลังจากการเดินทางเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดผมก็ลงจากรถประจำทางและหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว

“มาแล้วๆ” ผมเอะอะตั้งแต่ยังไม่เข้าบ้าน จากนั้นก็บุกผ่านหน้าร้านเข้าไปจนถึงส่วนหลังซึ่งเป็นส่วนที่พักอาศัย

แม่ดาหน้าออกมาต้อนรับ ผมสังเกตว่าหากแม่ไม่อยู่ในบ้านก็แล้วไป แต่หากวันใดที่แม่อยู่บ้าน เมื่อผมมาถึงก็มักจะเห็นแม่ดาหน้าออกมาต้อนรับผมเสมอ แม่ไม่เคยรอให้ผมเดินเข้าไปข้างในบ้านเสียก่อนเลย เมื่อเห็นแม่แล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเวลาของแม่ยังเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงใด

“อู ไม่ได้กลับบ้านมาตั้งนาน” แม่ทักทาย “เป็นไงบ้าง”

“ก็ไม่เป็นไงหรอกแม่” ผมยียวน “เรื่อยๆน่ะ”

“ทำไมยุ่งทั้งปีทั้งชาติเลย จะกลับมาบ้านบ้างก็ไม่มี” แม่บ่น “นี่ไปทำอะไรมา ทำไมดูผอมไป คล้ำไปด้วย”

“แม่ถามทีเดียวตั้งหลายคำถาม จะให้ตอบคำถามไหนก่อนล่ะ” ผมถาม

“ยวนจริงนะเรา” แม่คงนึกอยากเขกหัวผมเต็มที “ตอบอันไหนก่อนก็ได้ แต่ตอบมาให้ครบก็แล้วกัน”

“ยวนนี่ใช้ ย ยักษ์ หรือ ญ หญิงสะกดละแม่” ผมกวนอีก เห็นแม่เงื้อมือทำท่าคล้ายกับจะตบ “ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมายหรอกแม่ เล่นเสียเยอะน่ะ อูทำงานชมรมด้วย สนุกดี ที่ผอมและคล้ำไปนี่อูก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน”

เมื่อเดินเข้าไปถึงในบ้าน ผมเห็นพ่อนั่งเขียนอะไรอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเอ๊ดก็กำลังนั่งดูทีวีอยู่

“ป๊า” ผมทักทายพ่อ พ่อรับทักทายของผมด้วยเสียงฮื่อๆในลำคอเหมือนเช่นเคย จากนั้นผมก็หันไปทักทายเอ๊ด “เอ๊ดมาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ”

ผมรู้สึกคิดถึงพี่ชายคนนี้อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เอ๊ดเข้ามหาวิทยาลัยเราสองคนก็ไม่ค่อยได้เจออีก ทั้งยังไม่ค่อยได้คุยกันนักด้วย ปกติในช่วงเปิดเทอมผมจะไม่ได้คุยกับเอ๊ดเลย โอกาสที่เราสองคนได้พบและพูดคุยกันก็คือโอกาสตอนที่เราสองคนกลับมาบ้านพร้อมกันเท่านั้น

“อู” เอ๊ดทักทายผมด้วยน้ำเสียงดีใจ “กลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมือเช้าแล้ว โดดเรียนไปวันหนึ่ง”

ไม่ได้เจอเอ๊ดเสียนานหลายเดือน เอ๊ดดูโตขึ้นมาก หลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเอ๊ดจะหมั่นไส้หรือไม่ก็รำคาญผมอยู่เสมอ หรืออาจจะเรียกว่าเอือมระอาก็คงได้ เราสองคนจึงคุยกันค่อนข้างน้อย แต่ในครั้งนี้ดูเอ๊ดอารมณ์ดีและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เอ๊ดคุยเล่นกับผมมากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

“ปลายเดือนหน้าอูจะไปเขาชนไก่แล้วนะ” ผมพูด เรียน รด. มาสามปี ในที่สุดก็ถึงคราวต้องไปเข้าค่ายที่เขาชนไก่เสียที “ที่กลับมาคราวนี้ว่าจะมาขอชุด รด. ของเอ๊ดไปด้วย”

“เออ เอาไปสิ เอ๊ดพับเก็บลงกล่องไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในตู้เสื้อผ้า “ เอ๊ดพูด แต่แล้วก็ทำหน้าสงสัย “เอ๊ะ จะเอาไปทำไม ปกติก็ใช้กันแค่ชุดเดียว”

“ก็นั่นแหละ” ผมพูด “เห็นเขาพูดกันว่าเจ็ดวันใส่มันอยู่ชุดเดียว อูกลัวตัวเน่า เลยว่าจะเอาชุดของเอ๊ดไปสำรอง เปลี่ยนป้ายชื่อเสียหน่อย มีสองชุดก็ใส่ชุดละสามสี่วัน สะอาดขึ้นเยอะ”

“เด็กอนามัยเชียว สัมภาระเยอะก็หนักนะ” เอ๊ดทักท้วง “ใครๆก็ใส่ชุดเดียวกันทั้งนั้น”

“ใครบอก เพื่อนๆอูมันหาชุดสำรองกันไปทั้งนั้นแหละ แล้วอูมีของดีด้วยนะ กางเกงในกระดาษ ใช้แล้วทิ้งเลย ทั้งเบา ทั้งไม่เกะกะ แถมไม่ต้องเอากลับมาซักอีก สบายไปเลย” ผมคุยอวด

“บ้าแล้ว กางเกงในกระดาษ ไปหามาจากไหน” แม่หัวเราะ “ลำบากนักก็อย่าใส่เลยดีกว่า”

“ไม่ใส่เลยก็ดีเหมือนกันละแม่ แต่อย่าเลย เดี๋ยวเป็นไส้เลื่อนแล้วจะยุ่ง” ผมหัวเราะ “ซื้อต่อจากเพื่อนอีกทีน่ะ เพื่อนมันไปซื้อยกลังมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วเอามาแบ่งๆกัน ”

เราสามคนแม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพ่อนั้นแม้ไม่ได้คุยด้วยมากนักแต่ก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดคอหรือบ่นผมเลย

เทศกาลปีใหม่ในปีนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น ผมผ่านวันเวลาอย่างมีความสุขแบบเงียบๆอยู่กับครอบครัว แม้ในช่วงหลายปีมานี้ผมกับพ่อดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกว่าบ้านเป็นสถานที่พักพิงทางจิตใจ ที่นี่มีครอบครัว มีคนที่รักผมและมีคนที่ผมรักรออยู่ อีกทั้งในปีนี้พ่อกับผมไม่ได้มีการปะทะคารมกันเลย จึงถือได้ว่าปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ดีมากปีหนึ่งทีเดียว

- - -

“อู กลับบ้านมาเป็นไงบ้าง” เสียงเพ็ญทักผมในตอนเช้าวันพุธอันเป็นวันแรกหลังปีใหม่ที่มหาวิทยาลัยเปิด รวมทั้งเป็นวันสอบกลางภาควันแรกด้วย

“ก็ดี สดชื่นขึ้นเยอะเลย” ผมตอบ “แล้วเพ็ญล่ะ กลับบ้านแล้วเป็นไงบ้าง”

สีหน้าของเพ็ญหมองไปวูบหนึ่ง

“ก็ดีเหมือนกัน” เพ็ญตอบด้วยเสียงเนือยๆ

เห็นสีหน้าของเพ็ญแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าในหลายเดือนมานี้เพ็ญได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอันเลวร้ายมา เมื่อกลับไปบ้านอาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็เป็นได้ หรือไม่อย่างนั้นก็คงมีเรื่องที่ไม่สบอารมณ์นัก

“ที่จริงก็ไม่ได้สดชื่นอะไรนักหนาหรอก มันก็เหมือนๆเดิมนั่นแหละ แต่ปีนี้อากาศเย็นเลยรู้สึกสบาย” ผมแก้คำพูดเสียใหม่

หลังจากที่ผมทักทายกับเพ็ญเล็กน้อย เราต่างก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องสอบ การสอบในวันนั้นดูเหมือนจะเป็นวิชาชีววิทยาหรือเคมี รู้แต่ว่าไม่ใช่ฟิสิกส์กับแคลคูลัส การสอบในวันนี้ก็พอทำได้ เทอมหลังนี้ผมตั้งใจเรียนมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับการสอบเหมือนเช่นในเทอมแรก

หลังจากที่สอบเสร็จผมก็ไปนั่งเล่นที่ชมรม ตั้งใจว่าจะนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบแคลคูลัสอันเป็นวิชาที่จะสอบในวันรุ่งขึ้นที่ชมรมจนเย็นแล้วค่อยกลับหอพัก ช่วงนี้ที่ชมรมไม่มีกิจกรรมอะไรแล้ว นักศึกษาที่ขึ้นมาก็เพื่อมานั่งอ่านหนังสือไม่ก็พักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น

ในช่วงบ่ายพวกปีหนึ่งที่เป็นขาประจำชมรมต่างนั่งอ่านหนังสือกันพร้อมหน้า เริ่มแรกต่างคนต่างอ่านไม่รบกวนกัน ทำไปทำมาก็คุยกันบ้างถามกันบ้าง หนักๆเข้าไอ้กี้ก็ไปขอให้เพ็ญช่วยอธิบายในส่วนที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งเพ็ญก็อธิบายให้เป็นอย่างดี ทำไปทำมาในช่วงเย็นห้องอ่านหนังสือก็หลายเป็นห้องติวโค้งสุดท้ายก่อนสอบไปโดยปริยาย ซึ่งน่าแปลกที่เพ็ญพยายามติวให้เพื่อนๆเป็นอย่างดีทั้งๆที่ปกติแล้วหากเป็นเวลาใกล้สอบขนาดนี้แต่ละคนมักใช้เวลาในการทบทวนเป็นส่วนตัวกัน ไม่มีใครยอมเสียเวลามาติวให้เพื่อนๆ

ผมนั่งทำโจทย์ไปก็ชะแง้ๆฟังเพ็ญอธิบายวิธีคำนวณให้ไอ้กี้และเพื่อนๆฟังไปด้วย ฟังไปฟังมาก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน ต้องยอมรับว่าเพ็ญติวได้ดีมาก รวดรัด ตรงประเด็น เข้าใจปัญหาของผู้ถามว่าติดขัดตรงไหน ประสบการณ์ในการเขียนชีตวิชาแคลคูลัสคงช่วยเพ็ญได้มาก ผมยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเพ็ญได้เป็นอาจารย์สมความตั้งใจก็คงเป็นอาจารย์ที่เก่งและมีความสามารถในการสอนไม่น้อยเลยทีเดียว

จากบ่ายกลายเป็นเย็น จากเวลาเย็นผ่านไปจนกลายเป็นเวลาค่ำโดยไม่รู้ตัว เพ็ญอธิบายอยู่เป็นชั่วโมงโดยไม่เบื่อหน่าย พวกผู้หญิงที่นั่งฟังเพ็ญทยอยกลับกันตั้งแต่เย็นแล้ว ที่เหลืออยู่มีแต่นักศึกษาชาย ส่วนรุ่นพี่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หายตัวกันไปหมดตั้งแต่บ่ายแล้ว ผมคิดจะกลับหอพักอยู่หลายหนแล้วแต่ก็ไม่กลับ ใจหนึ่งรู้สึกว่าไม่อยากพึ่งเพ็ญให้มากเกินไปนัก แต่หากกลับก่อนอีกก็เหมือนกับไม่รักษาน้ำใจของเพ็ญ จึงนั่งอยู่ด้วยจนการติวโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งนี้สิ้นสุดลง

“เฮ้ย เพ็ญ ค่ำแล้ว กลับยังไงวะเนี่ย” ไอ้กี้ถามหลังจากที่พวกเราปิดประตูชมรม ล็อกกุญแจ และเดินลงจากตึก

“ก็นั่งรถเมล์กลับนั่นแหละ” เพ็ญตอบ สายตาเหลือบมองผมนิดหน่อย มันเป็นการชายตาเพียงแว่บเดียวแต่ผมก็สามารถรู้สึกได้

“เดี๋ยวกูไปส่งเพ็ญที่ป้ายรถเมล์เอง” ผมพูด ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดขึ้นมาทำไม

ไอ้กี้หัวเราะและทำปากหมุบหมิบ อ่านปากได้ความว่าไอ้สัตว์ หวงก้างนักนะมึง ผมรู้แล้วก็ทำเฉย

พวกเราทั้งหมดเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง จากนั้นเพ็ญก็ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนกลับ พวกเราทั้งหมดจึงแยกย้ายกันที่ใต้ตึกนั่นเอง

“งั้นพวกเราไปก่อนนะเพ็ญ เดี๋ยวเราทิ้งไอ้หมาอูเฝ้าหน้าห้องน้ำเอาไว้ให้” ไอ้กี้พูดพลางหัวเราะตาหยี “มีอะไรเห่าเรียกนะโว้ย”

“ไอ้ห่า มึงรีบไปไกลๆเลย กวนโอ๊ยฉิบหาย” ผมด่ามันบ้าง

ห้องน้ำของนักศึกษาทั้งชายและหญิงอยู่ใต้ตึกแต่คนละด้านกัน ห้องน้ำชายหันประตูเข้าใต้ตึกในตำแหน่งที่ผู้คนพลุกพล่าน แสงไฟสว่างไสว ส่วนห้องน้ำหญิงอยู่ทางปีกตึกด้านลานจอดรถซึ่งหากเป็นยามค่ำเมื่อไม่มีรถจอดแล้วบริเวณนี้จะแทบไม่มีใครผ่านไปมา และจะเปิดดวงไฟไว้เพียงสลัวๆเท่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดไฟฟ้า

ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ห่างจากหน้าห้องน้ำหญิงไปพอประมาณ ก็ไม่รู้จะว่าไปเฝ้าที่ใกล้ๆหน้าห้องน้ำเพื่ออะไร ยืนห่างๆก็น่าจะพอ คอยอยู่สักพักเพ็ญก็ยังไม่ออกมา ผู้หญิงก็มักเข้าห้องน้ำนานแบบนี้แหละ

ในแสงสลัวที่บริเวณทางเดินและที่หน้าห้องน้ำหญิง ผมเห็นหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนเดินออกมาจากห้องน้ำ ที่คิดว่าเป็นผู้หญิงเพราะว่าเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง รวมทั้งรูปร่างทรวดทรงแม้ดูแต่ไกลก็ดูออกว่าเป็นหญิง อีกทั้งยังสะพายกระเป๋าแบบผู้หญิงไว้ข้างตัวด้วย และที่คิดว่ายังสาวก็เพราะว่าท่วงท่าการเดินกระฉับกระเฉง

ผมรออีกสักพักก็ได้ยินเสียงร้องของเพ็ญดังออกมาจากในห้องน้ำ

“อ๊ายยยยย...”

สิ้นเสียงร้องเพ็ญวิ่งพรวดออกมายืนอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

“เพ็ญ เป็นอะไรไป” ผมละล่ำละลักถาม

“กระเป๋า... กระเป๋า... โดนขโมย” เพ็ญพูดเอะอะ

ผู้หญิงที่ใส่เชื้อเชิ้ตกางเกงยีนคนนั้นแน่ ผมมั่นใจเลยทีเดียว เหตุการณ์แวดล้อมทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

“เฮ้ย เราเห็นคนตัวขโมย เดี๋ยวเราลองวิ่งตามไป” ผมพูดพลางวิ่งไปตามทางที่หญิงสาวคนนั้นเดินไปด้วยหวังว่าอาจจะได้ของคืน

“อู อย่าเพิ่งไป” ได้ยินเสียงเพ็ญร้องไล่หลัง ผมชะงักและเดินย้อนกลับมาหาเพ็ญ

“อย่าทิ้งเราไว้คนเดียว อู... เรากลัว...” เพ็ญพูด

จริงสินะ ผมมามัวห่วงแต่ไล่จับขโมยจนลืมเพ็ญได้อย่างไร

“เอ้อ จริงด้วย” ผมพูด “เราไม่ควรทิ้งเพ็ญเอาไว้คนเดียวจริงๆ”

เป็นอันว่าผมต้องเลิกล้มการติดตามขโมยไป เมื่อตั้งสติได้แล้วผมจึงพาเพ็ญไปพบ รปภ. ประจำตึก เมื่อ รปภ. ได้ทราบเรื่องจึงพาไปพบหัวหน้า รปภ. เวรกลางคืนของวันนั้น ขณะเดียวกันก็ ว ไปตามจุดต่างๆเพื่อสกัดขโมยรายนี้

เพ็ญเล่ารายละเอียดให้ผมและหัวหน้า รปภ. ประจำตึกฟังว่าขณะที่เข้าห้องน้ำเล็กที่อยู่ในห้องน้ำใหญ่อีกทีหนึ่งเพ็ญได้วางเป้หนังสือเอาไว้ที่โต๊ะกลางของห้องน้ำ ปกติเพ็ญจะมีกระเป๋าเล็กสำหรับใส่เงินและบัตรต่างๆและใส่อยู่ในเป้อีกทีหนึ่ง เมื่อต้องวางเป้หรืออยู่ห่างจากเป้ก็จะเอากระเป๋าเล็กมาพกติดตัวเอาไว้ แต่เมื่อครู่นี้กำลังจะรีบกลับและเห็นว่าห้องน้ำหญิงใต้ตึกไม่น่ามีใครมาใช้แล้ว จึงทิ้งกระเป๋าเล็กเอาไว้ในเป้และเข้าห้องน้ำไป

ต่อมาเมื่อเพ็ญอยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รู้สึกเอะใจแต่ก็เกิดความกลัว จึงยังไม่ออกจากห้องน้ำมาดูในทันที เมื่อรอสักครู่จนเสียงความเคลื่อนไหวเงียบไปเพ็ญจึงออกจากห้องน้ำมา เมื่อสำรวจดูในเป้จึงพบว่ากระเป๋าเล็กหายไปทั้งใบ

“ในนั้นมีข้าวของอะไรบ้างล่ะน้อง” หัวหน้า รปภ. เวรกลางคืนซัก

“ก็มีเงิน บัตรนึกศึกษา แล้วก็บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม แล้วก็ของจุกจิกอีกนิดหน่อยค่ะ” เพ็ญตอบ

“ไอ้เรื่องขโมยของในห้องน้ำนี่มีมาสักพักแล้ว” หัวหน้า รปภ. พูด “ตอนแรกก็นึกว่า เอ้อ... แบบว่านักศึกษาฉกกันเองน่ะ แต่ต่อมาคิดว่าไม่ใช่ รูปแบบของการขโมยน่าจะเป็นแก๊งมากกว่า แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็เงียบหายไป นี่กลับมาอีกแล้ว คงต้องกวดขันกันให้หนัก”

“แล้วเพื่อนผมต้องทำอะไรอีกบ้างครับ” ผมถามแทนเพ็ญเพราะว่าตอนนั้นเพ็ญเอาแต่ตัวสั่น พูดอะไรไม่ออกแล้ว

“ก็ต้องไปแจ้งความที่โรงพัก บัตรเอทีเอ็มก็ต้องไปแจ้งอายัด แล้วก็เอาใบแจ้งความไปขอออกบัตรต่างๆใหม่” หัวหน้า รปภ. พูด “ที่มันจะยุ่งหน่อยก็คือบัตรนักศึกษานี่แหละ พรุ่งนี้มีสอบด้วยใช่ไหม ถ้าไม่มีบัตร ไม่มีใบแจ้งความ ไม่รู้ว่ากรรมการคุมสอบจะให้เข้าสอบหรือเปล่า ทางที่ดีต้องรีบไปแจ้งความ จะได้เดินเรื่องอื่นๆได้ พรุ่งนี้เช้าให้น้องรีบมาที่หน่วย รปภ. จะได้พาไปแจ้งความ น้องผู้ชายก็ต้องไปโรงพักด้วยเพราะเป็นคนที่เห็นผู้ต้องสงสัย”

หลังจากที่ให้ปากคำกับหัวหน้า รปภ. เสร็จเรียบร้อย ผมกับเพ็ญก็เดินออกจากคณะเพื่อจะไปขึ้นรถกลับที่ป้ายสามย่าน ระหว่างนั้นเพ็ญเอาแต่นิ่งเงียบ ผมรู้ว่าเพ็ญคงอยู่ในอาการกลัวและหวาดวิตก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่ปลอบใจ

“ใจเย็นๆนะเพ็ญ พรุ่งนี้มาแต่เช้า ไปแจ้งความแล้วจะได้ไปทำเอกสารใหม่ เรื่องเข้าสอบคงไม่น่ามีปัญหาหรอกน่า อาจารย์ที่สอนปีหนึ่งก็รู้จักเพ็ญกันทุกคน” ผมพูด “เงินก็ไม่มากไม่ใช่เหรอ ถือเสียว่าคราวเคราะห์ก็แล้วกัน”

พูดถึงคราวเคราะห์ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าปีนึกนี้ว่าจะไม่มีเรื่องราวอะไรแล้ว ที่ไหนได้ งานเข้าจนได้ แม้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมโดยตรงแต่อย่างน้อยผมก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมเป็นพยานในเหตุการณ์เพียงคนเดียวที่เห็นผู้ต้องสงสัย

“อู” เพ็ญเรียกผม “พาเราไปแจ้งความหน่อยได้ไหม”

“พรุ่งนี้เราไปด้วยอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมตอบ ปากบอกว่าไม่ต้องห่วงแต่ใจอดห่วงนิดหน่อยไม่ได้ เนื่องจากพรุ่งนี้เพ็ญและผมต้องสอบแคลคูลัส

“เราหมายถึงไปแจ้งความตอนนี้” เพ็ญพูด

“อ้าว ไม่ไปพรุ่งนี้เหรอ” ผมแปลกใจ

“อยากแจ้งให้มันเสร็จๆไปน่ะ พรุ่งนี้จะได้ไปวิ่งเรื่องบัตรนักศึกษาได้แต่เช้า เรากลัวเข้าสอบไม่ทัน” เพ็ญตอบ

ที่เพ็ญพูดก็จริงอยู่ พรุ่งนี้เช้ามีเรื่องที่ต้องทำมากมาย หากเกิดเหตุขัดข้องขึ้นมาอาจเข้าสอบไม่ทันได้จริงๆ

“เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน” ผมเห็นด้วย

จากนั้นเราสองคนจึงนั่งแท็กซี่เพื่อไปแจ้งความที่โรงพัก หัวหน้า รปภ. คุยให้ฟังมาแล้วว่าต้องไปแจ้งความที่โรงพักท้องที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก แต่เรายังไม่เคยไปจึงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพื่อความรวดเร็วจึงให้แท็กซี่พาไป

- - -

สถานีตำรวจท้องที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยจริงๆ เมื่อเราลงจากรถก็เดินขึ้นตึกไป ตัวอาคารเปิดไฟสว่างไสว แม้จะเป็นเวลาค่ำแล้วแต่ก็ยังมีคนเดินไปมาอยู่ที่บริเวณโถงของโรงพัก บางคนแต่ตัวดี บางคนแต่งตัวปอนๆ บางคนดูราวกับติดยา ตำรวจก็เดินไปมา ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะก็มี

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องขึ้นโรงพัก ผมเดินไปถามตำรวจที่โต๊ะหนึ่งว่ามาขอแจ้งความ ตำรวจนายนั้นก็ชี้ให้ไปรอที่อีกโต๊ะหนึ่งซึ่งมีนายตำรวจนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะและมีคนนั่งออกันรอบโต๊ะอยู่หลายคน

บรรยากาศภายในโรงพักไม่ค่อยดีนัก ดูน่ากลัวอย่างไรก็ไม่รู้ บริเวณโต๊ะที่ผมมารอแจ้งความนั้นมีทั้งตำรวจและประชาชนนั่งรวมกันอยู่หลายคน ประชาชนที่มารอแจ้งความนั้นมีหลากหลาย คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นผอมกะหร่อง ถูกตีหัวแตกติดพลาสเตอร์มาแจ้งความ อีกคนก็มาตามคดีรถชนกับร้อยเวรเจ้าของคดี ส่วนอีกสองคนเป็นผัวเมียที่ฝ่ายหญิงถูกทำร้ายจนเลือดไหลออกทางจมูก แม้เมื่อขึ้นโรงพักมาแล้วฝ่ายชายก็ยังพยายามจะลงไม้ลงมือกับฝ่ายหญิง ภาพชีวิตที่เห็นในโรงพักนั้นล้วนแต่ไม่น่าอภิรมย์เลย

ผมกับเพ็ญนั่งรอแจ้งความสักครู่ใหญ่ เพ็ญก็กระซิบเรียกผม

“อู พาเราออกไปก่อนเถอะ เราอยากออกไปข้างนอก”

ผมงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สังเกตดูเพ็ญเห็นเพ็ญตัวสั่นเป็นลูกนกเปียกฝน จึงรีบพาเพ็ญลงมาจากตึกมายืนรับลมอยู่ที่หน้าโรงพัก

“เราไม่อยากแจ้งความแล้วอู... เรากลัว” เพ็ญพูด พูดจบเพ็ญก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น

เมื่อเห็นเพ็ญร้องไห้โฮด้วยความกลัว ผมเองก็ตกใจจนมือไม้สั่น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ได้แต่ปลอบใจเพ็ญไป

“ยังไงเพ็ญก็ต้องแจ้งความ ไม่ยังงั้นเรื่องบัตรต่างๆจะออกใหม่ไม่ได้ ถึงเพ็ญไม่แจ้งวันนี้ก็ต้องมาพรุ่งนี้กับพี่ๆ รปภ. อยู่ดี” ผมพูด “ไหนๆมาแล้วก็อดทนทำให้เสร็จเถอะ เราอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญที่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนหรอก เพ็ญไม่ต้องกลัว”

ผมปล่อยให้เพ็ญร้องไห้ตามสบาย เมื่อร้องไปแล้วสักพักเสียงสะอื้นก็ค่อยๆเบาลง

“อยู่เป็นเพื่อนเราจริงๆนะอู อย่าทิ้งเรา” เพ็ญย้ำอีกด้วยน้ำเสียงละห้อย

“จริงสิ ไม่ขี้ฮกหรอก” ผมพยายามตลก

“อูรู้มั้ย” เพ็ญพูดแล้วเงียบไป “เมื่อก่อนเรา... เราเห็นอูเป็นเพียงแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้... ตอนนี้เราเห็นอูเป็นยิ่งกว่าเพื่อนแล้วนะ”




<สามย่านที่อยู่ฝั่งคณะบัญชีเดิมเป็นอาคารพาณิชย์ที่มีร้านค้าอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร มีร้านอาหารชื่อดังอยู่ในสามย่านนี้มากมายหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านหมงไข่ระเบิด ลูกชิ้นนายใบ้ สมบูรณ์โภชนา ตลอดไปจนถึงโจ๊กสามย่าน และแม้กระทั่งรถเข็นขายเต้าฮวยเย็นที่อยู่ประจำที่นี่ก็ยังขึ้นชื่อและเป็นขวัญใจของนิสิตนักศึกษาในย่านนี้ ตั้งแต่ตอนเย็นเป็นต้นไปร้านอาหารในย่านนี้จะคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าที่มากินอาหาร

ร้านค้าในสามย่านนี้เปิดกิจการมาได้จนประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ต้องปิดตำนานลงไป อาคารพาณิชย์ถูกรื้อถอนเพื่อเปิดตำนานหน้าใหม่นั่นคือจามจุรีสแควร์หรือจตุรัสจามจุรี

จามจุรีสแควร์เริ่มโครงการในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๗ การก่อสร้างดำเนินไปได้ราวสองปีก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากพิษของวิกฤตเศรษฐกิจ มาสร้างต่ออีกครั้งในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๙ และมาเสร็จจนเปิดตัวโครงการได้ในราวปี พ.ศ. ๒๕๕๑

ภาพบนเป็นภาพสามย่านที่ถ่ายจากระยะไกล ป้าย NEC ที่เห็นคือหัวมุมสี่แยกที่เดิมเคยเป็นโรงรับจำนำฮะติดหลี (ฝั่งตลาดสามย่าน) และหากสังเกตดีๆจะเห็นหลังคาโรงหนังสามย่านด้วย ส่วนอาหารพาณิชย์ที่เห็นเรียงรายซ้อนกันเป็นดงนั้นคือสามย่านฝั่งคณะบัญชี ภาพนี้ถ่ายเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ในยุคที่ผมเป็นนักศึกษาใหม่

ภาพล่างเป็นสามย่านในปัจจุบัน ถ่ายเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จากมุมเดิมของเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน จะเห็นว่าสามย่านฝั่งคณะบัญชีได้กลายมาเป็นโครงการจามจุรีสแควร์ทั้งหมด>

17 comments:

Unknown said...

จองที่หนีึงครับผม

กัน

Anonymous said...

ได้เป็นมากกว่าเพื่อนแล้ว....เอาไงดีล่ะเนี่ยครับ

ตื่นเต้นๆๆ

DIONADUS

Anonymous said...

ผมผ่านวันเวลาอย่างมีความสุขแบบเงียบๆอยู่กับครอบครัว แม้ในช่วงหลายปีมานี้ผมกับพ่อดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกว่าบ้านเป็นสถานที่พักพิงทางจิตใจ ที่นี่มีครอบครัว มีคนที่รักผมและมีคนที่ผมรักรออยู่
...............
ปลื้มใจมากครับกับความคิดแบบนี้

Anonymous said...

ดีใจกลับอาอูที่ได้กลับบ้านไปพักใจ แต่ปวดหัวกับความวุ่นวายที่กำลังนับหนึ่ง
Federick

Anonymous said...

เอาละว้า ทำไงดี ข้างหน้า หรือ ข้างหลัง หุหุ
ApriL

Anonymous said...

)^_^(ที่6 สวัสดีครับลุงอู 555+ลุงโดนเพี่อนหลอกแล้วขีนใช้กางเกงในกระดาษตอนอาบน้ำก็เปื่อยกันสิ โป๊เปลือยแน่เลย ผมซื้อรอซโซ่ไปเขาชนไก่ครับสีน้ำเงิน ดำนะครับ ลุงอย่าเผลอใส่สีขาวหรือสีชมพูที่ชอบไปน่า อิอิ ปีหน้าต้องซื้อเพิ่มอีกสัก3ตัว อย่าลืมเล่าเรื่องชาญนะครับกี้ด้วยมีแฟนรึยัง สงสัยลุงจะปาดหน้าเค้กพี่ตั้วสะแล้ว

Anonymous said...

ผ่านเหตุการณ์ร่วมทุกข์ร่วมโศกมาด้วยกันขนาดนี้..เป็นฮีโร่ซะขนาดนั้น..ใครจะอดใจ(ไม่รัก)ไหวล่ะเนี่ย

เอาไงดีล่ะงานนี้..?
น่าจะเป็นการเซ็นMOUช่วงสั้นๆอย่างที่เคยทายไว้..ฮิฮิ

ขอบคุณสำหรับทุกตอนค่ะอู ^_^

คนลาดพร้าว

พี said...

"ผมพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาว่าผมชอบผู้หญิง เมื่อก่อนชอบมองเพื่อนชายที่หน้าตาดี หรือเมื่อเดินไปไหนมาไหนก็มักสังเกตชายหน้าตาดี แต่เดี๋ยวนี้ผมพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ไปสนใจมองแบบนั้นอีก พยายามมองสาวๆแทน"

“เมื่อก่อนเรา... เราเห็นอูเป็นเพียงแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้... ตอนนี้เราเห็นอูเป็นยิ่งกว่าเพื่อนแล้วนะ”

แบบนีั้้ก็เข้าทางอูเลยสิ แต่ผมไม่คิดว่าอูจะทำำแบบนั้นกับเพ็ญ เพ็ญบอบช้ำมามากแล้ว อูและเพ็ญคงเป็นคู่รักที่เป็นเพื่อนที่เข้าใจกันมากกว่า

ผมว่าอูต้องบอกเพ็ญครับว่า อูไม่สามารถเป็นได้มากกว่าเพื่อน

*** PEE ***

ขนมโก๋ said...

เอาใจช่วยอูกับเพ็ญ ไม่ว่าจะเป็นแค่ “เพื่อนสนิท” หรือสนิทจนเป็น “แฟน”
แต่คิดอยู่ว่า สุดท้ายแล้วพี่อูคงไม่ยอมให้อูเป็นแฟนกับเพ็ญแน่ๆ

ส่วนตัวผม ฝึกผ่านแค่วิชามองสาว ไวและเร็วกว่าพวกเพื่อนผู้ชาย(แท้)อีก
แต่วิชารักสาวดันสอบไม่ผ่าน ก็มันยากกว่าแคลคูลัส แถมไม่มีใครช่วยติวด้วย กลุ้มจัง.....

yo408 said...

เอาแล้ว เอาแล้ว

งานเข้า เอิ๊กๆๆๆๆๆ

Anonymous said...

คิดจะเลิกเป็นเกย์ อุอุ
มันไม่ง่ายเหมือนทิ้งผู้ชายนะน้องอู

มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่จะดีกว่านะ
ป้าขวัญ

อู said...

หลานที่หก รู้แล้วเฉยๆไว้ อย่าเพิ่งแฉสิ

เรื่องเพ็ญเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากครับ โดยเฉพาะยิ่งหากเกิดกับคนที่ไม่เคยมีความรักกับหญิงสาวมาก่อน จะลองดูสักครั้งดีไหมนะ ยังตอบไม่ได้เหมือนกันครับ

เลิกเป็นเกย์ไม่ใช่ง่าย แต่ต้องพยายาม เพราะว่าอยากเป็นเหมือนคนอื่นๆครับ ตอนนั้นไม่คิดเป็นไบเลย อยากเลิกอย่างเดียว

พี่ตั้วน่ะอดอยู่แล้ว กวนขนาดนั้นจีบสาวไม่ติดหรอก ผมหน้าตาดีกว่าด้วย จะว่าปาดหน้าเค้กคงไม่ใช่ ถึงไม่มีผมพี่ตั้วก็อาจจะสอบไม่ผ่าน ขอข่มรุ่นพี่หน่อย

หลาบเอง said...

พี่อู จะมีแฟน หญิงแล้ว

หลาบเอง

Choo said...

หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้นะอู

แต่จะว่าไปสังคมตอนนั้น เกย์โดยส่วนใหญ่ก็มีความคิดแบบอูนะ แต่กว่าจะเข้าใจ เรื่องราวต่างๆ ก็อาจจะไปไกลกว่าที่เราจะคาดถึง

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพ็ญก็คงเจียมตัว ไม่กล้าหวังอะไรมากมาย ก็อยู่ที่อูจะให้ความหวังแค่ไหน

เห็นใจและเป็นกำลังใจทั้งสองคน หาเพลงเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน ของ ใหม่ เจริญปุระ ดังมากในช่วงปี 2532-3มาฝากระลึกช่วงเวลานั้น ไม่รู้จะเข้ากับเรื่องหรือเปล่า แต่ขอสนุกสนานไว้ก่อน

http://www.youtube.com/watch?v=BOFaYDp6Cqs&feature=related

เริ่มห่วงเพ็ญแล้วซิ อูก็อย่าใจร้ายเกินนะ

ชู

Anonymous said...

คิดถึงลุงอูจะแย่อยู่แล้ว ไม่ไหวแล้ววันนี้ต้องเข้ามาอ่านให้ได้

บอย boy_aof_za

Anonymous said...

เห่อะๆ รถสาย 8 โดนจับทั้งแก็งค์

tl000

Anonymous said...

มาแล้วครับ ฝนตกทุกวันเลย
อาอูไม่เอามือปิดฟ้าให้หลานๆ

หลาน Arus ของอาอู