Sunday, November 21, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 14

“เฮ้ย พวกมึงเป็นไงกันบ้าง โห ของกูสุดยอดเลย เสียดายไม่ยอมให้เบิ้ล” เพื่อนๆคุยกันหลังจากที่แต่ละคนทยอยกันเสร็จกิจและออกมานั่งรอที่ด้านนอก ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าสุโค่ย บางคนก็บรรยายถึงความประทับใจในการขึ้นครูเป็นครั้งแรก บางคนขี้อายหน่อยก็เงียบๆ ผมเองก็ออกมารอด้วยแต่ว่ายืนเงียบๆไม่ได้คุยอะไร

“เฮ้ย เป็นไงไอ้อู” ไอ้เป้าถามผมหลังจากที่เดินมาสมทบ

“ฮื่อ” ผมตอบสั้นๆ

สักครู่พี่แต้มพี่ต่อก็เข้ามา เมื่อพวกเรามากันครบก็เตรียมตัวกลับ

“ไอ้อู เป็นไง” พี่ต่อถาม ทำสีหน้ายู่ยี่เหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้วและถูกขยำ

“ก็ดีครับพี่” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“เอ็งเข้าไปหลับในห้อง มันจะดียังไงวะ” พี่ต่อถามอีกด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง

เพื่อนๆหยุดคุย หันมาสนใจการสนทนาของผมกับพี่ต่อทันที

“พี่รู้ได้ไง” ผมถาม รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีใครรู้เรื่องบนเตียงของผม

“ก็พี่ไปถามพวกสาวๆดูว่าบริการพวกน้องๆดีหรือเปล่า ถามไปถามมาก็เลยรู้ว่าเอ็งเข้าไปหลับในห้อง” พี่ต่อพูด พวกเพื่อนๆฮากันครืน

“ผมเมาน่ะครับ จะอ้วกด้วย เลยขอพัก แล้วก็หลับไปเลย” ผมอ้อมแอ้ม

“เค้าบอกว่าเอ็งแกล้งเมานะไอ้อู พี่ก็ว่ายังงั้น ตอร์ปิโดแก้วเดียวเอ็งจะเมาจนถึงเช้าเลยหรือไง โฮ้ย เสียดายเงินว่ะ คนหนึ่งตั้งหลายร้อย อุตส่าห์ตั้งใจเลี้ยง กลัวบริการไม่ดีพี่ก็เลือกคนให้อีก เสือกไม่เห็นค่า ตกลงเอ็งเป็นอะไรกันแน่วะ ทำไมต้องแกล้งเมา” พี่ต่อคาดคั้น

“เมาจริงๆพี่ ผมเมาง่าย กินนิดเดียวก็แย่แล้ว ปกติไม่ค่อยได้กินเหล้า” ผมยืนกระต่ายขาเดียวว่าเมา

พี่แต้มเข้ามาไกล่เกลี่ย บอกให้พากันแยกย้ายกลับบ้าน ส่วนพี่ต่อยังบ่นอุบอิบต่อไปอีกเล็กน้อยด้วยความเสียดายเงิน

หลังจากที่พวกเราออกมาจากบ้านหลังนั้น ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว รถเมล์ไม่ค่อยมี จึงนั่งแท็กซี่กลับหอ เมื่อไปถึงหอก็พบว่าประตูหอปิดไปแล้วเสียอีก ต้องกดออดเรียกพี่พรให้มาเปิดประตู

“เดี๋ยวนี้เรียนมหาลัยภาคค่ำเหรอน้องอู” พี่พรประชดขณะที่มือก็ไขแม่กุญแจเพื่อเปิดประตูเหล็ก “ตั้งแต่เรียนมหาลัยนี่กลับดึกๆดื่นๆทุกวัน”

“เรียนภาคกลางวันนี่แหละครับ” ผมตอบ ไม่กล้าเกรียนกับพี่พรเพราะรู้ว่าพี่พรหวังดี ปกติมักคอยสอดส่องดูแลและตักเตือนเรื่องความประพฤติให้แก่เด็กนักเรียนที่อยู่ในหอเสมอ อีกอย่างคือกลัวพี่พรเอาไปบอกแม่ด้วย “แต่ว่ามีกิจกรรมเยอะครับ ไหนจะซ้อมเชียร์ แข่งกีฬา แล้วยังงานรับน้องอีก”

“ดีนะที่ไม่เมาหามกลับมา” พี่พรพูดดักคอเหมือนจะรู้ทัน

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา

วิชาแรกของเช้าวันจันทร์เป็นวิชาเคมี เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องเรียนเคมีก็ไปหาที่นั่งหลังชั้น เพื่อนร่วมกลุ่มสามที่เป็นชายที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นผมก็หัวเราะขำ

“เฮ้ย ไอ้อูล่มปากอ่าวมาแล้วโว้ย” เสียงพูดลอยๆแว่วมาให้พอได้ยิน

ผมชะงัก แต่ก็ทำเนียนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนๆ

“เฮ้ย มันไม่ได้ล่มปากอ่าว ปากอ่าวยังไม่ทันเห็นเลยมันก็หลับเสียก่อน” อีกคนรับมุข ทั้งกลุ่มหัวเราะกันสนุก

“เฮ้ย ไอ้อู มีคนเค้าบอกว่ามึงหลับคาปากหม้อเลยเหรอ” อีกคนหนึ่งแซว

“เฮ้ย วันนั้นเมาหนักไปหน่อย” ผมกลบเกลื่อน “เสียดายของเหมือนกัน”

“หรือว่ามันเป็นโฮโมไม่ชอบผู้หญิงวะ” อีกคนพูด เพื่อนๆหัวเราะกันใหญ่

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว อยากรู้เหมือนกันว่าสีหน้าของตนเองในตอนนั้นเป็นอย่างไร

“เออ ระวังกูบอกรักมึงก็แล้วกัน” ผมพูด รับมุขตามน้ำไปเลยเนื่องจากผมคิดว่าหากพยายามเฉไฉจะยิ่งกลายเป็นพิรุธ

พวกเพื่อนๆหัวเราะกัน ผมก็หัวเราะไปด้วย แต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกขำหรือว่าสนุกไปด้วยเลย ผมเริ่มเบื่อที่จะต้องเก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองเอาไว้เป็นความลับ หลายปีมานี้ผมต้องแกล้งทำเป็นเนียนซึ่งก็ไม่รู้ว่าเนียนพอหรือไม่ พร้อมกับต้องคอยระวังไม่ให้ใครมาขุดคุ้ยรสนิยมส่วนตัวของผม แต่เพื่อนๆก็มักชอบเข้ามาขุดคุ้ยอยู่เสมออย่างเช่นในตอนนี้ ผมอยากมีทางเลือกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้เหลือเกิน...

- - -

ในวิชาฟิสิกส์ หมู่เรียนที่ผมมานั่งเรียนอยู่นี้มีคนเรียนน้อยมาก นักศึกษาเกือบทั้งคณะแห่กันไปเรียนอีกหมู่หนึ่งกัน ห้องเรียนที่ผมนั่งอยู่นี้จึงว่างโล่ง นั่งเหยียดขาได้ตามสบาย

ผมเลือกที่นั่งที่ห่างเพื่อนๆเพื่อจะได้นั่งคนเดียวอย่างสบายๆ ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ชั้นเรียนจะเริ่มขึ้น ผมก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆผม... ชาญนั่นเอง

“เฮ้ย มาได้ไงวะ” ผมถาม

“ก็เดินเข้ามาทางประตูนี่แหละ” ชาญตอบ

“ไอ้เปรต หมายถึงทำไมมาเรียนหมู่นี้ ไม่เรียนกับพวกยายแมวเหมือนเคย” คำตอบของมันทำให้ผมรู้สึกอยากเตะมันขึ้นมา

“ก็อยากลองเรียนห้องนี้ดูบ้างน่ะ” ชาญตอบ พลางเพ่งสายตามาที่กองหนังสือเรียนของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ “เฮ้ย อู นายเปลี่ยนหนังสือเรียนใหม่หมดเลยเหรอ แคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี ซื้อใหม่ทั้งนั้นเลย เปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไรวะ ไม่ทันได้สังเกต แล้วของเดิมไปไหนเสียล่ะ”

“เอ้อ... เอ้อ...” ผมไม่นึกว่าจะเจอคำถามกะหันหันเช่นนี้ “มันหายไปน่ะ นึกไม่ออกว่าไปลืมเอาไว้ที่ไหน เลยไปซื้อมาใหม่”

“หาย” ชาญทวนคำ “หายยังไงวะ งงวุ้ย แล้วสมุดไม่หายเหรอ”

“ไม่หรอก สมุดยังอยู่” ผมตอบ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นถึงได้ย้ายมาเรียนห้องนี้วะ ห้องโน้นหาที่นั่งไม่ได้หรือไง”

“เฮ้ย ไอ้อู เมื่อวันศุกร์เป็นไงบ้าง” ชาญไม่ตอบคำถามผม เอาแต่ตั้งคำถามในเรื่องที่มันอยากรู้

“ก็เมาน่ะ” ผมตอบสั้นๆ

“แล้วตอนอยู่ในห้องทำอะไรไปบ้างวะ” ชาญถามเซ้าซี้ไม่เลิก

“อยากรู้ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ” ผมชักรำคาญ

“ไม่เอาโว้ย กลัวติดโรค พ่อด่าตายห่า” ชาญหัวเราะ เหตุผลของมันง่ายๆแต่ก็ฟังดูดี ทำไมผมจึงนึกเหตุผลนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกนะ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้

“แต่ก็อยากรู้ว่ะ เล่าหน่อยดิ นะนะ ก่อนหลับทำอะไรไปบ้าง” ชาญอ้อน แต่คำว่าก่อนหลับทำให้ผมเคืองขึ้นมา คิดว่ามันกำลังล้อเลียนผมอยู่

“ไม่เล่าโว้ย เรื่องในมุ้ง อยากรู้ไปเองสิ” ผมตัดบท

เห็นชาญหน้าจ๋อยไป หลังจากนั้นชั้นเรียนก็เริ่มขึ้น ชาญนั่งเรียนเงียบๆไม่เซ้าซี้ผมอีกเลย จนจบคาบ หลังจากที่กำลังจะลุกจากที่นั่ง ชาญก็พูดกับผม

“เย็นนี้เรามีซ้อมวอลเลย์ นายไปนั่งเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”

“ไม่ล่ะ จะกลับบ้าน วันนี้ขี้เกียจอยู่เย็น” ผมตอบ รู้สึกเซ็งขึ้นมาจึงปฏิเสธไป

“ไปหน่อยน่า อยากมีเพื่อนคอยเชียร์น่ะ” ชาญอ้อนอีก

“ไปชวนคนอื่นสิ ชวนเจตก็ได้ รายนั้นชอบเล่นวอลเลย์อยู่แล้ว” ผมบอกปัดอีก

สีหน้าของชาญเปลี่ยนไป กลายเป็นจ๋อยสนิท ชาญไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเราสองคนจึงลุกจากที่นั่งและเดินออกจากห้องเรียนไป

- - -

ตลอดทั้งวัน เพื่อนๆเอาเรื่องเมื่อวันศุกร์ไปล้อกันเป็นเรื่องขำ ต้นตอของข่าวก็เป็นพวกเพื่อนๆที่ไปด้วยกันในวันนั้นนั่นเอง แม้แต่เพื่อนสาวบางคนที่สนิทกันยังกล้าแซวผม ชื่อเสียงของผมโด่งดังอย่างรวดเร็วในกลุ่มสาม แต่ไม่ได้ดังในพวกเรียนดีกีฬาเด่น ไปดังในประเภทขบขันแทน เพื่อนๆมักแซวผมว่าอูล่มปากอ่าว กับอูหลับปากหม้อ ฟังดูคล้ายๆชื่อของกิน อย่างหลังดูเหมือนจะติดปากเพื่อนๆมากกว่าเนื่องจากหลายคนยังจำเรื่องที่ผมหลับในวิชาเคมีในวันเปิดภาคเรียนได้ เรื่องผมกับการหลับจึงดูเป็นของคู่กัน

น่าแปลกที่ชาญไม่ได้ไปในวันนั้นแต่กลับถูกแซวเพียงนิดหน่อยว่าเป็นลูกแหง่ยังต้องกินนม ส่วนผมนั้นกลับโดนแซวอย่างหนัก เพื่อนๆคงล้อเล่นขำๆตามประสาเพื่อนฝูง แต่ผมก็รู้สึกอึดอัดมาก ฉายาที่เพื่อนๆตั้งให้นี่เกลียดโคตรเลย

เพื่อนๆอาจเพียงรู้สึกสนุกและคิดว่าเป็นเพียงเรื่องที่หยอกเย้ากัน แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนกับการคุ้ยเขี่ยปมด้อยมาประจานกัน ผมอดนึกถึงตี๋ไม่ได้ ค่อยๆเข้าใจความรู้สึกของมันในวัยเด็กได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผมรู้ดีกว่าหากทำเป็นเคืองหรือพยายามแก้ต่าง เรื่องราวอาจแย่ลง แซวกันแค่นี้ก็ยังดีกว่าแซวว่าอูโฮโม ประสบการณ์จากโรงเรียนเก่าสอนให้ผมรู้ว่าผมทำได้อย่างเดียวในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ... ยิ้มสู้

เย็นวันนั้น ผมไปที่สนามกีฬาในร่มเพื่อดูชาญซ้อมวอลเลย์บอล เห็นสีหน้าจ๋อยสนิทของมันแล้วอดสงสารไม่ได้ สีหน้าเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน...

ชาญอยู่ในสนามขณะที่ผมไปถึง มันจึงไม่เห็นผม ผมนั่งดูอยู่นานจนมันพัก เมื่อมันหันมาทางด้านที่ผมนั่งอยู่ ผมจึงโบกมือให้มัน

“เฮ้ย มาแล้วโว้ย” ผมตะโกน

ชาญยิ้มแป้นทันที ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนกับว่าดวงตาหลังเลนส์แว่นตาสีฟ้านั้นดูแจ่มใสเป็นประกาย... ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับจะยิ้มไปด้วยทีเดียว...

ชาญเดินมาหาผม เมื่อเข้ามาถึงก็จับมือผมกุมพลางโยกมือของผมเล่น

“ไหนบอกว่าจะไม่มาไง”

“ก็เปลี่ยนใจน่ะ” ผมตอบสั้นๆพลางค่อยๆดึงมือของผมออกจากมือของมัน

- - -

“เอ... ทำไมอาการมันมีแต่แย่ลงหว่า” ผมรำพึงกับตนเองในขณะที่ขึ้นไปดูกุหลาบมอญที่ผมเลี้ยงเอาไว้บนชั้นดาดฟ้า

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยผมจึงไม่ค่อยได้รดน้ำแต่ก็ยังขึ้นมาดูอยู่เสมอ หลังจากที่เดิมกุหลาบมีอาการใบหงิกและใบกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว เมื่อผมลิดใบออก ใบที่ผลิใหม่ก็ยังมีอาการเช่นเดิม ลิดไปลิดมาจนใบแทบจะหมดต้นก็ยังไม่หาย นอกจากอาการใบหงิกจะไม่หายแล้ว วันนี้ผมยังสังเกตเห็นว่ากิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททั้งกิ่งอีกด้วย

“ไหนว่าเลี้ยงง่ายไง นี่ต้นที่สองแล้วนะ” ผมถอนหายใจ ชักเริ่มท้อกับการเลี้ยงกุหลาบ หลังจากนั้นก็รีบไปเรียน

หลายวันผ่านไป เรื่องคดีหลับปากหม้อของผมก็ค่อยๆซาลงไปพร้อมกับเสียงแซวที่ค่อยๆลดน้อยลง แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนหยิบยกมาแซวอยู่บ้าง ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าในที่สุดทุกคนจะลืมมันไปจนหมด ขณะเดียวกัน ผมก็พยายามปลีกตัวออกมาจากกลุ่มสาม ไม่แวะเวียนเข้าไปเป็นประจำเหมือนเช่นเคย สาเหตุหนึ่งก็คือเบื่อ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมาดูพี่ต่อจะไม่ค่อยพอใจผมนัก คงยังเคืองผมอยู่ที่ผมทำให้เสียเงินเปล่า ผมจึงพยายามเลี่ยงที่จะพบหน้าพี่ต่อ

ช่วงที่ห่างจากกลุ่มนั้นเป็นช่วงที่เคว้งอยู่บ้างเหมือนกัน เนื่องจากปกติโต๊ะกลุ่มเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์และสรวลเสเฮฮาของนักศึกษา เมื่อไม่ได้ไปที่กลุ่มผมก็แทบจะไม่มีที่ไป รวมทั้งเมื่อไม่ได้ไปที่กลุ่มก็ทำให้ผมห่างจากแก๊งของผมไปบ้าง เพราะปกติแมว จิ๊บ เป้า ไปขลุกอยู่ที่กลุ่มเป็นประจำ ยกเว้นชาญที่ยังไปไหนมาไหนกับผมเสมอ

ในตอนกลางวันผมพยายามใช้เวลาไปกับการอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ในห้องสมุดโดยมีชาญนั่งลอกสมุดจดงานเป็นเพื่อน แต่อ่านไปก็เบื่ออีก ส่วนในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนบางทีก็ไปดูชาญซ้อมกีฬาบ้างพอได้แก้เซ็ง

ที่ห้องสมุดนี้ผมได้พบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ นักศึกษาที่มาใช้ห้องสมุดนานๆมักเป็นพวกที่มีนิสัยเรียบร้อย แตกต่างจากนักศึกษาที่คลุกคลีอยู่ที่กลุ่มซึ่งมักมีนิสัยเอะอะเฮฮา เพื่อนๆที่เป็นหนอนหนังสือฝังตัวอยู่ในห้องสมุดแม้รู้เรื่องของผมแต่ก็ไม่ได้แซวผมมากมายอะไรนัก

และที่ห้องสมุดของคณะนี่เองที่ผมได้เห็นเพ็ญอยู่บ่อยๆ ดูเพ็ญจะเป็นคนที่ขยันเรียนจริงๆ ไม่ค่อยได้เข้ากลุ่ม เวลาว่างส่วนใหญ่ของเพ็ญดูเหมือนจะเป็นการขลุกอยู่กับเจต ดูเจตซ้อมกีฬาบ้าง นั่งทำการบ้านกับเจตบ้าง เมื่อมีเวลาว่างก็มาขลุกที่ห้องสมุดซึ่งในบางครั้งเจตก็มานั่งเป็นเพื่อนด้วย

แต่การปลีกตัวออกจากลุ่มของผมดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ถูกตามตัวให้ไปทำกิจกรรมอีก

“เฮ้ย อู บ่ายสี่โมง เลิกเรียนแล้วไปที่กลุ่มนะ มีประชุม” เจตเดินมาหาผมที่โต๊ะขณะที่เราอยู่ในห้องสมุดและพูดเบาๆ

“ประชุมอีกแล้วเหรอ เรื่องอะไรอีกล่ะ” ผมถาม

“งานรับปริญญา ต้องเตรียมหาตังค์ อย่าลืมล่ะ ใกล้วันเข้ามาแล้ว” เจตตอบพลางย้ำนัดหมาย

กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักศึกษาใหม่ก็คืองานรับปริญญา ในวันนั้นรุ่นพี่ที่เพิ่งจบออกไปจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อร่วมงานรับปริญญา หน้าที่ของนักศึกษาปีหนึ่งก็คือคอยติดดอกไม้แสดงความยินดีแก่พี่ๆบัณฑิต ร่วมถ่ายรูปหรือที่เรียกว่าเป็นแบ็กกราวนด์ เข้าร่วมในหอประชุมขณะมีพิธี และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในช่วงวันรับปริญญาก็คือ... หาเงินเข้ากลุ่ม

ในวันรับปริญญา พี่ๆบัณฑิตจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยในชุดครุยปริญญาพร้อมกับครอบครัวเพื่อถ่ายรูปในตอนเช้าและเข้าร่วมพิธีในหอประชุมในช่วงบ่าย ในการถ่ายรูปในช่วงเช้านั้นจะมีน้องๆมาคอยติดดอกไม้ให้ที่เสื้อครุยปริญญาของพี่ๆ และบูมให้พี่บัณฑิตฟัง การติดดอกไม้และบูมให้พี่ๆนั้นแม้จะทำด้วยน้ำใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้เปล่าๆ เป็นที่รู้กันว่าพี่ๆจะต้องตอบแทนน้ำใจของน้องๆด้วยธนบัตร ในยุคนั้นธรรมเนียมยังเป็นอย่างนี้อยู่ เงินที่ได้จากรุ่นพี่นั้นก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าใครแต่นำมาใช้ในกิจกรรมของกลุ่มและชมรมต่างๆ แต่ต่อมาธรรมเนียมไถเงินรุ่นพี่นี้ถูกยกเลิกไป เหลือเพียงการติดดอกไม้แสดงความยินดีให้โดยห้ามรับเงินจากบัณฑิตหรือจากญาติๆของบัณฑิต

การประชุมในตอนบ่ายวันนั้นเป็นการชี้แจงให้รู้ถึงกิจกรรมหาเงินเข้ากลุ่มในวันรับปริญญาเพื่อนำเงินมาใช้เป็นสวัสดิการของกลุ่ม พวกพี่ๆมีการแบ่งงานและแบ่งกลุ่มปีหนึ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ส่วนหนึ่งคอยทำดอกไม้ อีกส่วนหนึ่งแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยไปไล่ล่าติดดอกไม้ บูม และไถเงินจากพี่บัณฑิต

“พวกที่ติดดอกไม้และบูมต้องไปซ้อมให้ดีๆนะ บูมไม่ดังพี่เค้าก็ให้เงินน้อย ต้องบูมดังๆพี่จะได้จ่ายเยอะๆ เข้าใจมั้ย” พี่ที่เป็นประธานในการประชุมกลุ่มสามในวันนั้นกำชับพวกเรา

“พูดยังกะเป็นหัวหน้าแก๊งรีดไถเลย” ไอ้ชาญกระซิบเบาๆกับผม

“ถ้ายังงั้นเราก็คงเป็นสมุนแก๊งรีดไถ” ผมตอบ

- - -

วันงานรับปริญญา

ในที่สุดวันงานรับปริญญาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ก่อนหน้าวันงาน พวกผู้หญิงไปซื้อดอกกล้วยไม้ที่ปากคลองตลาดกัน จากนั้นนำมาห่อด้วยอะลูมินัมฟอยล์ ที่ใช้ห่ออาหาร ติดเข็มกลัดเข้าไป ทำเป็นช่อกล้วยไม้สำหรับกลัดเสื้อ ทำกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ช่อดอกไม้กลัดเสื้อนี่ทำเยอะที่สุด นอกจากนั้นก็เป็นช่อกล้วยไม้ขนาดใหญ่สำหรับถือ ทำจากกล้วยไม้ ห่อด้วยกระดาษรองก้อนเค้กที่มีลวดลาย ห่อด้วยกระดาษแก้วอีกทีหนึ่ง ใครว่างจากเรียนก็มาช่วยกันทำ เหตุที่เลือกใช้กล้วยไม้แทนที่จะเป็นดอกไม้สดน่าจะเป็นเป็นเพราะว่าดอกกล้วยไม้บานทนทาน สามารถทำล่วงหน้าได้ หากเป็นช่อดอกไม้สดคงเหี่ยวไปแล้ว

เช้าวันนี้ผมรีบตื่นเป็นพิเศษเนื่องจากงานติดดอกไม้ต้องเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เนื่องจากพวกพี่ๆบัณฑิตจะมากันเช้ามาก เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงหอก็ดึก เช้านี้ก็ต้องรีบตื่นอีก

วันนี้ผมแต่งตัวด้วยชุดขาวผูกเนคไทอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากเป็นวันพิเศษ แต่งตัวเสร็จก็ออกจากหอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เช้าวันนั้นการจราจรบนถนนพหลโยธินและถนนพญาไทคับคั่งกว่าปกติ เมื่อรถ ปอ.๒ มาถึงสยามสแควร์การจราจรก็ติดหนัก

เมื่อผมลงจากรถที่สามย่านและข้ามไปทางฝั่งถนนพระรามสี่ ผมก็พบว่าที่หน้ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนสภาพไปจนจำแทบได้ วันนี้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีแผงลอยขายช่อดอกไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเต็มไปหมด เดิมที่มีแต่นักศึกษาเดินกันขวักไขว่วันนี้ก็มีบัณฑิตในชุดครุยและญาติๆเป็นจำนวนมากเดินเลือกซื้อช่อดอกไม้กันจนเต็มทางเท้า ยิ่งเมื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัยก็พบว่าภายในมหาวิทยาลัยมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ทั้งนักศึกษาปีหนึ่งในชุดขาว นักศึกษาปีอื่นๆ บัณฑิตในชุดครุย และญาติมิตรที่มาร่วมงานชุดแต่งกายต่างๆนานาตามสถานภาพ อัดกันจนแน่นมหาวิทยาลัยไปหมด


<การรับน้องที่ริมชายหาดในยุคก่อน ไปกันทีใช้รถบัสนับสิบคัน ข้าวของก็เต็มไปหมด ทั้งเหนื่อยและทั้งสนุก>



<ผมก็พบว่าที่หน้ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนสภาพไปจนจำแทบได้ วันนี้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีแผงลอยขายช่อดอกไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเต็มไปหมด เดิมที่มีแต่นักศึกษาเดินกันขวักไขว่วันนี้ก็มีบัณฑิตในชุดครุยและญาติๆเป็นจำนวนมาก>

19 comments:

Anonymous said...

ที่ 1 เย้ ๆ


ผมว่าครุยเนี่ยะมันครุยเดียวกะที่ผมจบเลยนะเนี่ย ...


ตอนนี้รู้สึกแปลก ๆ กะชาญรึยังครับ


...OaH...

Anonymous said...

มาที่ 2 เย้

นานๆ ครั้ง

มารให้กำลังใจพี่อูค่ะ

น้องแตงกวา

Anonymous said...

มารักอาอู แล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เย้ที่ 4
หลาบ

Bomber_Boy said...

โธ่....พี่อู หมดกันเลย ไว้เชิงหน่อยก็ไม่ได้ พี่ต่อนั่นก็ไม่น่าไปถามเลยจริงๆ

แล้วตกลงชาญนี่ยังไงกันนะ...น่าคิด ว่าแต่พี่อูคิดหรือเปล่าเท่านั้นแหละ

Anonymous said...

วันนี้คุณอูไปลอยกระทงที่ไหนครับ
แล้วไปลอยกับใครครับ ใช่นัยรึเปล่า
ขอให้มีความสุขนะครับในวันลอยกระทง

ยังไม่ได้อ่าน รีบมาแย่งที่หนึ่งในสิบครับ

กัน

Anonymous said...

ถึงเวลาที่น้องอูไปกับหนุ่มๆคงจะไม่หลับคาเคนะจ๊ะ

อิอิ
ป้าขวัญ

เด็กหลัง ร.ร. said...

ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่า ผมกับอูก็มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างนึง เคยเป็นศิษย์เก่าซ่องหลังโรงแรมเอเชีย 55555

จริงๆแล้วเข้ามาคอมเมนท์อูในบล๊อกนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้ลงชื่อครับ เห็นว่าอูไม่ค่อยได้กลับไปเล่นบอร์ดโน้นเลยตามมาเล่นในบล๊อกแทน ยังไงก็ขอเป็นน้องใหม่ในนี้ด้วยคน มีกิจกรรมอะไรบอกให้ทราบบ้างนะครับ จะตามไปเป็นแฟนคลับ

พี said...

ช่วงโดนล้อคงแย่หน่อยนะครับ

แต่ยังดีที่โดนล้อกับสาว ถ้าโดนล้อกับหนุ่มนี่ละก็จะเป็นที่จดจำของเพื่อนๆไปนาน...

*** PEE ***

Anonymous said...

10 พอดี

แบงค์ครับ

Anonymous said...

แล้วพี่อูจะเก็บงำ เรื่องราวของตนเอง
ไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน ??
ยอมบอกก่อนเอง
หรือ
โดนจับได้

หญิง

Anonymous said...

ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าชาญเปิดเผยตัวตนออกมา..อูจะทำยังไงต่อไป ในเมื่อ..อูเหมือนจะติดอยู่กับอดีต..กลัวจะเสียเพื่อนดีๆไปน่ะค่ะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

น่าสงสารง่ะ ยึดติดกะนัยมากมายนะเนี่ย จะมีใครมาช่วยให้หายได้นะ

Choo said...

เข้ามาเอาใจช่วย และเป็นกำลังใจครับ

ชู

Anonymous said...

เริ่มต้นเหมือนจะดี แต่ตอนจบกลายเป็นหักมุมไปซะงั้น
........
แต่ก็ดีไปอีกแบบนะครับ อย่างน้อยๆ เวลาเจอท่านนัยครั้งหน้าก็จะได้รู้สึกว่าไม่มีอะไรติดค้างกัน ผมชอบนะครับ ความรู้สึกลึกซึ้งขนาดนี้ หาได้ยากมากครับ ซึ้งดีครับ

Dionadus

Bomber_Boy said...

รอบนี้หายไปนานเลยนะพี่อู
ไม่เอานานๆ แบบครั้งที่แล้วนะพี่

เห็นใจบรรดาแฟนคลับบ้างนะครับ
ถือซะว่าสงสารน้องๆ หลานๆ

Anonymous said...

อุ้ย ตอนที่ ๑๔ นี้ลืมตอบคอมเมนต์ไปเลย เอาแต่อ่านเสียเพลิน

คงไม่ช้าอย่างเก่าแล้วละครับ จะพยายามให้เร็วขึ้นอีกนิด ตอน ๑๕ รออีกหน่อยเดียวครับ

อู

Anonymous said...

^
^
^
เสร็จละ ลุงอูโดนจิ้ม กิ้กๆๆ
)^_^(ที่โหล่ครับ แต่หล่อ
คราวหน้าจะมาจิ้มอีก

PR said...

D oัพ oาoู ... xุxุ

ไม่ได้มา nักnาย oาoู uาuรุย ... (มัวยยุ่งnะnีฬาภาค ToT)

มาnีนี้ oาoู เืืืกืoบ เสียเชิงใx้สาว แล้วมั้ยล่ะ ...

แล้วตoนนี้ oาoูพลิกล้อค มาืnมาย ทำเoาใจหายใจคว่ำ ...

หุหุ oาoู เป็นกำลังใจให้เสมoนะคัฟ ผม ...

... BY หลานอาร์ ...