Sunday, November 14, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 13

ในยุคนั้นการขายบริการทางเพศก็มีรูปแบบที่หลากหลายใกล้เคียงกับปัจจุบันแล้ว รูปแบบดั้งเดิมที่มีมาแต่ไหนแต่ไรก็คืออาบอบนวด โรงแรมม่านรูด โรงน้ำชา ซ่อง และผีขนุน ส่วนรูปแบบแอบแฝงที่เพิ่งเริ่มต้นมีในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็คือพวกเอสคอร์ตและการนวดแผนไทยหรือที่เรียกว่าหัตถเวช

อาบอบนวดนี่ก็มีแหล่งของมัน เช่น ที่ถนนศรีอยุธยา มีอยู่สองแห่ง เจ้าพระยากับชวาลา เปิดใกล้โรงเรียนเสียด้วย นอกจากนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นย่านเพชรบุรีตัดใหม่ ใกล้มหาวิทยาลัย อย่างเช่นโมนาลิซ่า ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไรที่แหล่งอาบอบนวดทั้งสองแหล่งไปอยู่ใกล้สถานศึกษา ที่สามย่านแถวๆมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนก็มี คือ ส.โบตั๋น

ในยุคนั้นมีบริการพิเศษในหมู่คนรักอ่าง ก็คือการนวดแบบบีคอสอันเป็นการนวดแบบที่ใช้ไม่ใช้มือ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าใช้เท้านวด แต่ที่ไม่ใช้มือนั้นพนักงานนวดจะใช้ลำตัวนวดแขก คงคล้ายงูเหลือมที่เลื้อยตวัดรัดพัน นอกจากนั้นก็เป็นการนวดแบบโตร่า ซึ่งก็เป็นการนวดแบบใช้ลำตัวเหมือนบีคอส แต่ว่ามีน้ำยาลื่นๆชนิดหนึ่งประกอบในการนวดด้วย น้ำยานี้มียี่ห้อโตร่า ต่อมาจึงกลายเป็นชื่อการนวดไป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสมัยนี้ยังมีการนวดแบบโตร่าหรือไม่

แหล่งขายบริการถัดมาจากอาบอบนวดก็คือโรงแรมม่านรูด โรงแรมม่านรูดนั้นใช้แนวคิดแบบโมเตลของฝรั่ง นั่นคือ ขับรถเข้ามาจอดแล้วพักแรม เหมาะสำหรับผู้ที่ขับรถเดินทาง แต่โรงแรงม่านรูดของเราไม่ต้องขับรถเดินทางแต่อย่างใดแต่เป็นการขับรถเจาะจงเข้าไปใช้บริการเลย จะพักแรมหรือชั่วคราวสามชั่วโมงก็ได้

ลักษณะของโรงแรมม่านรูดมักจะเป็นโรงแรมชั้นเดียว ห้องพักแต่ละห้องจะถูกซอยในลักษณะเรียงรายกันไปเหมือนกับคูหาของตึกแถว หน้าห้องจะเป็นที่จอดรถ การใช้บริการโรงแรมม่านรูดก็จะขับรถเข้าไปจอดหน้าห้องพักที่ไม่ได้ปิดม่านอยู่ เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วพนักงานก็จะรูดม่านปิดเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นทั้งรถและห้องพัก ไม่ต้องกลัวว่าใครจะจำรถได้ เวลาลงจากรถก็ไม่มีใครเห็นเพราะว่ามีม่านรูดบังเอาไว้แล้ว โรงแรมม่านรูดในยุคนั้นมักตั้งชื่อโรงแรมเป็นตัวเลขสองหลัก เช่น ๖๖, ๙๙ ฯลฯ ไม่รู้ว่าทำไมต้องตั้งชื่อเป็นตัวเลขเหมือนกัน ย่านที่มีโรงแรมม่านรูดชุกชุมก็เช่นย่านซอยรางน้ำ ราชเทวี ราชปรารภ แต่ที่จริงถ้าจะว่าไปแล้วก็เห็นมีกระจายกันอยู่ทั่วไปทั้งกรุงเทพฯ

การใช้บริการโรงแรมม่านรูดนั้นแขกจะพาผู้หญิงไปเองหรือบางแห่งอาจมีหญิงบริการไว้ให้ด้วยก็ได้ รวมทั้งหากไม่มีรถก็ใช้โรงแรมม่านรูดได้ โดยเดินเข้าไปดื้อๆ หรือจะนั่งแท็กซี่เข้าไปก็ได้

ถัดจากโรงแรมม่านรูดก็เป็นโรงน้ำชา เข้าไปนั่งกินน้ำชาแล้วก็รับบริการจากพนักงานสาวไปด้วย ที่จริงน้ำชาก็เป็นบริการการบังหน้าอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง โรงน้ำชาดังในยุคนั้นจะอยู่ในย่านเยาวราช พวกรุ่นใหญ่มักไปใช้บริการกัน ที่อยู่นอกย่านเยาวราชและมีชื่อเสียงก็เห็นจะเป็นโรงน้ำชานิวกิมซัวที่ลำสาลี บางกะปิ ในสมัยนั้นดังมาก

ที่จริงรูปแบบที่เปิดเผยและเก่าแก่ที่สุดของการขายบริการทางเพศน่าจะเป็นรูปแบบของซ่อง ซึ่งเปิดขายบริการกันแบบจะแจ้ง ชนิดที่ว่าหน้าบ้านแขวนโคมเอาไว้เลย ซ่องนั้นมีมาแต่สมัยโบราณแล้ว ปกติมักเป็นบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด แต่ต่อมาไม่เปิดให้บริการกันอย่างโจ่งแจ้งได้เพราะว่าผิดกฎหมาย จึงต้องเปลี่ยนไปทำธุรกิจรูปแบบอื่นบังหน้า แหล่งขายบริการที่เป็นบ้านในสมัยที่ผมเรียนก็มีอยู่แถวประตูน้ำ ถนนเพชรบุรี ฯลฯ ถ้าเป็นต่างจังหวัดก็มีที่โด่งดังคือย่านกำแพงดิน ย่านท่าม่วง และบ้านโป่ง เป็นต้น

นอกจากแหล่งขายบริการที่มีสถานที่เป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว การขายบริการอีกแบบหนึ่งที่ผู้ขายบริการบริหารจัดการลูกค้าเอาเองเหมือนเป็นศิลปินเดี่ยวก็คือรูปแบบผีขนุน ซึ่งเคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว ผีขนุนนี้จะยืนใต้ต้นขนุน หรืออาจจะยืนใต้เสาไฟฟ้าก็ได้ในยามดึกสงัดก็ได้

ปกติศิลปินเดี่ยวผีขนุนมักใช้บริการโรงแรมชั่วคราวในละแวกใกล้เคียง แต่ถ้าไม่ใช้แม้แต่โรงแรม ไปประกอบกิจกันตามสุมทุมพุ่มไม้ก็จะเรียกว่าไปใช้โรงแรมจิ้งหรีด สมัยก่อนตามสวนสาธารณะที่กลายเป็นโรงแรมจิ้งหรีดก็มีอยู่หลายแห่ง

ผู้ขายบริการแบบศิลปินเดี่ยวถ้ายกระดับตัวเองขึ้นมา ไม่ไปยืนใต้ต้นขนุนหรือตามเสาไฟฟ้า แต่ไปอยู่ตามโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ พวกนี้จะเปลี่ยนชื่อเรียกไป กลายเป็นสาวเอสคอร์ต สาวเอสคอร์ตเป็นเพื่อนที่ยิ่งกว่าเพื่อน คือเป็นทั้งเพื่อนคุย เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว และเพื่อนนอน แต่ว่าปกติแล้วหน้าที่ส่วนใหญ่คือเป็นเพื่อนนอน การใช้บริการต้องใช้การโทรนัด เอสคอร์ตเป็นบริการที่มีราคาแพงเพราะถือว่าเป็นรูปแบบการขายบริการที่พัฒนาขึ้นมา มีการสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมาตามหลักการตลาด แหล่งสาวเอสคอร์ตมีอยู่หลายที่ เช่น ย่านสุทธิสาร อินทามาระ ที่จริงในย่านสุทธิสาร อินทามาระในยุคนั้นเป็นแหล่งที่มีการขายบริการในหลายรูปแบบ ไม่ได้มีเฉพาะสาวเอสคอร์ต ในยุคนั้นหนุ่มเอสอคอร์ตก็มีแล้วแต่ส่วนใหญ่มักให้บริการสาวใหญ่เสียมากกว่า

แหล่งขายบริการที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป และเป็นที่นิยมในยุคนั้นก็คือร้านนวดแผนโบราณ สมัยนั้นไม่ได้เรียกว่านวดแผนไทย แต่เรียกว่านวดแผนโบราณ เดิมก็คงจะแผนโบราณจริงๆ แต่ต่อมา โดยเฉพาะในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นล่างจะเป็นนวดแผนโบราณ แต่ชั้นบนจะไม่โบราณแล้ว ร้านนวดแผนโบราณแอบแฝงขายบริการนี้ทำให้ร้านนวดที่มีแต่บริการนวดแผนไทยจริงๆพลอยถูกเพ่งเล็งและได้รับผลกระทบไปด้วย ปัจจุบันร้านนวดแผนโบราณที่ขายบริการก็ยังมี มักเรียกสั้นๆเป็นที่รู้กันว่า นผบ.

ต่อมาการขายบริการทางเพศก็แพร่ไปตามสถานที่ต่างๆจนแทบไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าบาร์ ร้านตัดผม หรือแม้แต่เพิงขายยาดองก็อาจกลายเป็นแหล่งขายบริการได้ จนมาถึงในยุคปัจจุบันนี้ที่ร้านนวดได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ร้านนวดแผนโบราณ แต่เป็นการนวดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่านวดเฉพาะจุด หรือบางทีก็เรียกให้โจ่งแจ้งยิ่งกว่านั้นว่านวดกระปู๋

- - -

“ลองดูสิ เลือกใครดี” พี่ต่อพูดอีก ตอนนั้นมีแต่พี่ต่อกับไอ้เป้าที่ยืนอยู่กับผม ส่วนคนอื่นนั้นเป็นอย่างไรบ้างผมไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ตกใจกับสถาการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่

ผมกวาดตามองห้องใหญ่ที่ครึ้มสลัว ภายในห้องมีหญิงสาวนั่งและเดินไปเดินมาอยู่หลายคน ตู้กระจกที่มีสาวงามนั่งอยู่นั้นมีเพียงไม่กี่ตู้ ดูไปแล้วเหมือนกับเป็นการตกแต่งเพื่อแสดงไฮไลต์ของสถานที่เสียมากกว่า

“เอ้อ...” ผมอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก ผมรู้ว่าผีเมื่อหามมาถึงป่าช้าแล้วถึงอย่างไรก็ต้องฝัง งานนี้ผมคงไม่มีทางปฏิเสธได้เพราะหากปฏิเสธคงจะกลายเป็นพิรุธ ผมสบตากับไอ้เป้าเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องกลัวไอ้อู คนเรามันต้องมีครั้งแรก จากไม่เคยแล้วก็เป็นเองนั่นแหละ เดี๋ยวเราเลือกคนให้ละกัน” เป้าพูดให้กำลังใจผม จากนั้นหันไปพูดกับพี่ต่อ พี่ต่อก็ไปพูดกับคนดูแลอีกทอดหนึ่ง

หลังจากที่คนดูแลรับออร์เดอร์ไปแล้ว สักครู่หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องซึ่งไม่ใช่ตู้กระจกก็เดินมาหาผม เมื่อเดินมาในระยะใกล้ผมจึงเห็นว่าเธอมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ผิวขาว ใบหน้าป้อมๆ ไว้ผมยาว เธอพยักหน้าเรียกผมให้เดินตามเธอไป หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้วว่าเพื่อนๆแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง

ผมตามเธอไปออกจากห้องอันมืดสลัวนั้น เดินไปตามทางเดินซึ่งมีห้องเรียงรายอยู่ จากนั้นขึ้นไปชั้นบน และเปิดเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง

เมื่อเข้าไปภายในห้อง เห็นภายในห้องสลัวและออกสีเหลืองอุ่นด้วยแสงไฟจากหลอดแบบไส้รุ่นเก่า ในห้องมีเครื่องเรือนเด่นอยู่เพียงสามอย่างเท่าที่ผมจำได้ นั่นคือ เตียงคู่ บนเตียงมีผ้าขนหนูพับไว้เรียบร้อยวางอยู่ ชุดรับแขกเล็กชุดหนึ่งพร้อมที่เขี่ยบุหรี่ และโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกเงา

“น้องนั่งรอก่อนนะ” หญิงสาวพูดกับผมอย่างกันเองจากนั้นก็ออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมอยู่ในห้องแต่เพียงคนเดียว

ผมไปนั่งรออยู่บนเตียง พร้อมกับนึกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี นอนกับผู้หญิงนี่ทำยังไงก็ไม่รู้ ตอนเรียนสุขศึกษาอาจารย์ก็ไม่ได้สอนให้ละเอียดเสียด้วย

เพียงครู่เดียวหญิงสาวคนเดิมก็กลับเข้ามาในห้อง คราวนี้ในมือถือตะกร้าหวายใบเล็กๆมาด้วย ผมสังเกตเห็นในตะกร้ามีของใช้กระจุกกระจิก พวกแปรง หวี และกระปุกใบใหญ่หน่อยซึ่งไม่รู้ว่าข้างในบรรจุอะไร และซองเล็กๆอยู่จำนวนหนึ่ง

เมื่ออยู่กันสองคนในห้อง มีจึงมีโอกาสสังเกตใบหน้าของเธอ เค้าโครงใบหน้าของเธอได้รูป หน้าตาดูพอใช้ได้เลยทีเดียว แต่ผอมไปสักนิด ใบหน้านั้นเรียบเฉย แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบ้าง ในทันใดนั้นผมอดนึกถึงเพลงนางงามตู้กระจกของวงคาราบาวไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอประทินผิวอยู่นั้นได้ซ่อนเร้นปกปิดริ้วรอยแห่งชีวิตเอาไว้มากน้อยเพียงใด

“น้องไม่เคยเที่ยวใช่ไหม” หญิงสาวถาม พลางวางตะกร้าหวายลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง

“ครับ” ผมตอบ รู้สึกว่าใจเริ่มเต้นอย่างแรง แม้แต่เสียงยังพลอยสั่นไปด้วย

“ใจเย็นๆ” ดูเหมือนเธอจะจับความรู้สึกในน้ำเสียงของผมออก “ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”

“น้องอยากทำอะไรบ้างล่ะ” เธอถามผมอีก

“ไม่รู้สิพี่” ผมตอบ ดูเธอคงแก่กว่าผม เลยเรียกพี่เอาไว้ก่อน ใจจริงอยากตอบว่าไม่อยากทำอะไร อยากกลับหอ แต่ในตอนนั้นคงตอบแบบนั้นไม่ได้เป็นแน่

“ไปผลัดผ้าก่อนไป” เธอแนะนำ

“ผลัดผ้า” ผมทวนคำ งงว่าต้องทำอย่างไร

“ก็นุ่งผ้าเช็ดตัวน่ะ อาบน้ำให้สบายตัวก่อน” เธอตอบ พลางนั่งลงบนเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้ผม

อาบน้ำเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน ผมคิด พลางรับผ้าเช็ดตัวมาถือเอาไว้ จากนั้นเดินไปที่ห้องน้ำ ล็อกกลอน ถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้อาบน้ำชำระร่างกาย น้ำเย็นทำให้สติของผมแจ่มใสขึ้น ตอนนั้นอาการเมาลดลงไปมากแล้ว ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อออกมาก็เห็นพี่คนนั้นนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกนั่งอยู่บนเตียงเช่นกัน เมื่อผมเห็นการแต่งตัวของเธอ ผมก็แทบหายเมา เธอกวักมือผมเรียกไปนั่งบนเตียง

“ปล่อยใจให้สบายนะน้อง ไม่ต้องตื่นเต้น” เธอพูด พลางขยับตัวเข้ามาชิดผม จากนั้งมือของเธอก็ล้วงไปใต้ผ้าขนหนูที่ผมคาดเอวอยู่

ผมสะดุ้งเฮือก แทบจะกระโดดหนี แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเมื่อหนีไม่พ้นแล้วเอาก็เอาวะ ลองดูสักหน่อย

เธอค่อยคลึงท่อนลำของผมอย่างนุ่มมือ เพียงไม่นานผมก็รู้สึกว่ามันเริ่มแข็งตัว ตอนนั้นก็ไม่ได้หื่นอะไรมากมาย คงแข็งตัวเพราะถูกกระตุ้นเสียมากกว่า

มือของเธอค่อยๆกำแน่นขึ้น จากมือที่เคล้นคลึงกลายเป็นกำรอบและรูดเป็นจังหวะ นิ้วมือของเธอที่เสียดสีส่วนหัวของผมทำให้ผมเริ่มเคลิ้มและมีอาการตอบสนอง

ผมเริ่มอยากรู้ว่าสรีระของผู้หญิงสาวนั้นแตกต่างจากของผมมากน้อยเพียงใด ตั้งแต่เด็กผมเรียนอยู่ในโรงเรียนชายมาโดยตลอด มีโอกาสเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศไม่มากนัก จำได้ว่าครั้งหนึ่งแก้ผ้าอาบน้ำในบึงกับตุ้มเด็กหญิงแถวบ้าน ผมอาจได้เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ตามแรงยุของลุงหนูหากไอ้นัยไม่ห้ามเอาไว้เสียก่อน จำได้ว่าตอนนั้นผมก็เกิดอารมณ์กับไอ้ตุ้มอยู่เหมือนกัน หากเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นจริง ไม่แน่ว่าผมอาจต้องถูกส่งเข้าสถานพินิจหรืออาจต้องกลายเป็นพ่อคนตั้งแต่ยังเด็กก็ได้

คิดไปคิดมาอารมณ์ก็เตลิดกระเจิง ผมเอื้อมมือไปปลดปมผ้าขนหนูที่หน้าอกของเธอ พลางเอามือลูบไล้เนินอกของเธอแบบไม่เกรงใจ

อือม์ ตึงๆ หยุ่นๆ แปลกดีแฮะ ผมคิด เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้สรีระของเพศตรงข้ามจากของจริง ดูจากภายนอกเหมือนกับว่าเธอค่อนข้างผอม แต่ที่จริงแล้วเรือนร่างของเธอมีน้ำมีนวลพอควรทีเดียว ผมเคล้นคลึงไฟหน้าและหลอดไฟของเธอ ทีแรกก็กล้าๆกลัวๆทำอย่างเบามือ แต่เมื่อเธอปล่อยให้ผมทำโดยไม่ว่าอะไร พอลืมตัวผมก็ทำแรงขึ้น หลังจากนั้นค่อยๆเลื่อนมือลงมายังเบื้องล่าง สามเหลี่ยมทองคำของเธอนั้นอวบอูม ขนกำลังดี ไม่เกาเหลาไม่คาราบาว

ผมเลือนนิ้วแหวกร่องหลืบลงไป จนสะดุดเงี่ยงเล็กๆและถ้ำโพรงที่ซ่อนอยู่ รสสัมผัสจากท่อนลำที่แข็งเกร็งของผมซึ่งมือของเธอกำลังสาวขึ้นลงอยู่ ผสมกับรสสัมผัสจากปลายนิ้วมือของผมที่ชอนไชไปตามซอกหลืบต่างๆใต้เนินอันอวบอูมของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวไปหมด หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น อารมณ์ของคุโชนราวเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่งเมื่อได้แรงลมโหมกระพือ

เหตุการณ์ตอนนั้นเปรียบเสมือนว่าวที่ติดลมบนแล้ว เธอปล่อยมือจากท่อนเนื้อของผม จากนั้นเหตุการณ์ขั้นต่อไปก็ดำเนินไปได้ด้วยตัวของมันเองภายใต้การแนะนำของเธออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เธอจับผมนอนหงายลงบนเตียง ตอนนั้นผ้าขนหนูของเราทั้งสองคนหลุดลุ่ยไปหมดแล้ว ผมนอนเปลือยกายอยู่เบื้องหน้าของเธอ ท่อนเนื้อแดงก่ำเพราะถูกเสียดสี ความเขินอายหมดสิ้นไปแล้ว ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็จำแนกไม่ออกว่าแปลกตรงไหนหรือว่าแปลกเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะความแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นได้

“ใช้ถุงไหม” เธอถาม

“ถุง...” ผมทวนคำ จากนั้นก็นึกได้ว่าหมายถึงถุงยางอนามัยหรือที่สมัยนั้นเรียกว่าร่ม สมัยนั้นนักเที่ยวยังไม่ค่อยกลัวเรื่องการรับเชื้อเอดส์จากหญิงบริการเพราะยังเป็นกรณีที่ค่อนข้างใหม่อยู่ หากจะกลัวก็กลัวแต่พวกกามโรค เช่น ซิฟิลิส หนองใน ฯลฯ ส่วนทางฝ่ายหญิงขายบริการเองบางคนก็ไม่มากเรื่อง อยากใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ เพราะกลัวว่าหากมากเรื่องแล้วแขกจะหนี บางทีการยืนกรานให้แขกใช้ถุงยางก็เหมือนกับกำลังบอกกับแขกว่าตัวเธอไม่ค่อยปลอดภัยนัก “เลือกได้ด้วยเหรอพี่ ถ้ายังงั้นใช้ก็แล้วกันครับ”

เธอหยิบซองเล็กๆออกมาจากตะกร้า ฉีกปากซองออก ข้างในเป็นแผ่นยางบางใส เธอจับถุงยางมาครอบลงบนท่อนเนื้อที่กำลังแข็งเกร็งของผม จากนั้นก็ค่อยๆรูดวงยางลง ถุงยางสีส้มอมชมพูบางใสค่อยๆคลี่ปกคลุมลงจนถึงโคน ผมรู้สึกรัดนิดๆ เป็นความรู้สึกที่แปลกๆ ไม่เคยประสบมาก่อน จากนั้นเห็นเธอหยิบกระปุกออกมาจากตะกร้าหวาย เปิดฝาออกและป้ายสิ่งที่อยู่ข้างในกระปุกออกมาชโลมรอบถุงยางอีกที มันคงเป็นเจลหล่อลื่นอะไรสักอย่าง ตอนนั้นผมแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่านอนกับผู้หญิงทำไมต้องใช้เจลหล่อลื่นด้วย

เมื่อใส่ถุงยางเสร็จ เธอประคองตัวของผมขึ้นในขณะที่เธอเองค่อยๆล้มตัวลงนอนบนเตียง ผมค่อยๆลุกตาม และในที่สุดเธอก็อยู่ในสภาพนอนหงายชันขาทั้งสองข้างขึ้นโดยมีผมคร่อมอยู่ที่หว่างขาของเธอ ภาพร่างกายอันเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ของเราสองคนยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของผมกระเจิดกระเจิง

ทำไงต่อหว่า ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ลังเลใจไม่กล้าสอดใส่ กลัวว่าหากสอดใส่ผิดจะกลายเป็นขี่รถออฟโรดไป

ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าผมไปต่อไม่ถูก จึงเอื้อมมือมาจับท่อนเนื้อของผม ค่อยๆจูงเพื่อจะพาผมเข้าถ้ำ

ร่างของผมโน้มไปข้างหน้า เมื่อมือของเธอจูง สะโพกของผมก็ขยับเข้าไปใกล้ก้นของเธอตามแรงมืออย่างว่าง่าย จนท่อนเนื้อของผมจ่ออยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง... อารมณ์ของผมกระเจิงเต็มที่จนแทบแตกระเบิด เหลือเพียงแค่ผมกดสะโพกลงไปเท่านั้น...

ผมอดนึกถึงไอ้ตุ้มในวัยเด็กไม่ได้ ในที่สุดผมก็จะได้ทำในสิ่งที่ในวัยเด็กยังทำไม่สำเร็จ... เมื่อนึกถึงตุ้ม ผมก็อดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้

“เรื่องเหี้ยๆที่กูไปทำไว้น่ะ กูคิดจะทำเพื่อความสะใจ แต่แล้วก็นึกถึงมึงทุกครั้ง สุดท้ายก็เลยแค่ใช้มือ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น... กูไม่กล้าสู้หน้ามึง... กูสะใจที่ได้ทำ แต่ก็เสียใจที่ได้ทำลงไป ไม่รู้ว่ามึงจะเชื่อเด็กเลวขี้โกหกหรือเปล่า แต่ขอให้มึงเชื่อกูสักครั้งนะอู”

ข้อความในจดหมายฉบับสุดท้ายของไอ้นัยแว่บเข้ามาในหัวของผม ผมรู้สึกหนาววูบขึ้นมาราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ทั้งๆที่วันนั้นอากาศค่อนข้างอบอ้าว ผมมองดูใบหน้าของหญิงสาวที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างเปลือยเปล่าของผม ใบหน้านี้เหมือนไม่ใช่สาวคนเดิมที่เพิ่งพาผมเข้าห้องมาเมื่อครู่...

เธอเป็นใครก็ไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้อีก รักก็ไม่รัก ความผูกพันก็ไม่มี แล้วนี่ผมกำลังจะทำอะไรลงไป ผมจะทำอะไรแบบนี้กับคนที่ผมไม่รักได้อย่างไร...

อารมณ์ที่คุโชนของผมมอดโทรมลงไปมาก ใจหนึ่งอยากหยุดแค่นี้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากหยุดยั้งกลางคัน แค่เพียงกดสะโพกลงไป ผมก็จะได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ผมไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิต มันเป็นประสบการณ์แห่งความสุขที่ชายหนุ่มเป็นจำนวนมากอยากได้ลิ้มลอง... หากผมไม่ลองในวันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะได้ลองอีก แล้วออกไปก็ไม่รู้จะแก้ตัวเพื่อนๆยังไงอีกด้วย...

ความคิดต่างๆพลุ่นพล่านอยู่ในสมอง เพียงวูบเดียว ผมก็ล้มตัวลงนอนข้างๆหญิงสาวโดยหันหลังให้เธอ เอาผ้าขนหนูขึ้นมาคลุมสะโพกและก้นของผมเอาไว้โดยไม่สนใจกับถุงยางที่สวมคาอยู่

“ไม่ไหวแล้วพี่ โคตรเมาเลย กลัวอ้วกรดพี่ ขอพักให้หายเมาก่อน” ผมพูดพลางหลับตา มันเป็นมุขเดียวที่ผมคิดออกในตอนนั้น ผมไม่กล้าลืมตาดูว่าสีหน้าท่าทีของเธอว่าเป็นอย่างไรเหมือนกัน...


ฟังเพลง นางงามตู้กระจก ร้องโดยเทียรี่ เมฆวัฒนา จากอัลบั้มชุดเมดอินไทยแลนด์ วงคาราบาว ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗



<ภาพบัตรนักศึกษาปีหนึ่งในยุคนั้น บัตรกระดาษแข็งติดรูปถ่ายขนาดหนึ่งนิ้วแล้วนำไปเคลือบพลาสติกธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไรเลย ตอนนั้นยังไม่มีบัตรสมาร์ตการ์ด ไม่มีบัตรที่พิมพ์รูปถ่ายอยู่บนตัวบัตรดังเช่นที่ใช้ในปัจจุบัน นักศึกษาปีหนึ่งในยุคนั้นดูจะอ่อนต่อโลกกว่าคนวัยเดียวกันในยุคนี้เนื่องจากตอนนั้นโลกทั้งโลกยังไม่ได้อยู่เพียงแค่เอื้อมในจอมอนิเตอร์หรือในจอโทรศัพท์มือถือดังเช่นในปัจจุบัน แต่ในเรื่องการหาทางออกทางเพศวัยรุ่นในแต่ละยุคสมัยก็มีทางระบายออกของตนเอง ในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยนั้นการขึ้นครูอันหมายถึงการไปเที่ยวผู้หญิงเป็นครั้งแรกนั้นเป็นประเพณีของบางคณะ โดยรุ่นพี่จะพาชี่ที่เป็นชายไปดื่มเหล้าและขึ้นครูหลังจากงานรับน้องโดยรุ่นพี่จะเรี่ยไรเงินกันและเป็นสปอนเซอร์ให้ แต่ธรรมเนียมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน บางคณะที่มีนักศึกษาหญิงมากๆก็อาจไม่มีธรรมเนียมนี้ อย่างเช่นคณะเทคโนก็ไม่มีประเพณีพาชี่ไปขึ้นครู หากจะไปก็เป็นการจัดการกันเองในกลุ่มย่อย>

25 comments:

Anonymous said...

เริ่มมีฉากเสียวๆ กลับมาแล้ว อิอิ รอติดตามตอนต่อไปด้วยใจระทึกครับ

โจ

Anonymous said...

ผมอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก ผมรู้ว่าผีเมื่อหามมาถึงป่าช้าแล้วถึงอย่างไรก็ต้องฝัง

555555555555555
ขอบอะพี่อู
หลาบเองค่ะ

Bomber_Boy said...

เอ่อ...กำลังลุ้นอยู่เลย จบซะงั้น
ว่าแต่พี่อูจะทำอย่างไรต่อไป มาต่อเร็วๆ นะครับ

yo408 said...

หวังว่าจะได้ที่4.น้า ช่วงนี้ติดท๊อปเทนจริงๆ

Anonymous said...

เป็นซะงั้น..ว่าแล้วเชียว!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มารักอาอู แล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ใจอยากให้รอดไปได้ แต่โอกาสริบหรี่เหลือเกิน...

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อ่านแล้วอยากร้องไห้


ทำไมพี่รักนัยได้มากขนาดนี้


...


...OaH...

พี said...

วันนี้ได้เลขเดียวกับวันเกิดเลย...

คุณอูเล่ามาเห็นภาพเลย เพราะ ผม..ตอนปี 1 รุ่นพี่ก็พาไปเหมือนกัน เดี๋ยวค่ำๆจะมาเล่าให้ฟังครับ ขอทำงานก่อน

แต่ เอ...งงกับศัพท์ที่อูใช้นิดนึง...กับด้านบน และด้านล่างของผู้หญิง

หลอดไฟนี่เข้าใจ เกาเหลานี่ก็เข้าใจ แต่คาราบาวนะซิ พอเดาความหมายได้ แต่ว่า เอามาจากไหนคำนี้ นึกตั้งนานนึกไม่ออก

ไปทำงานก่อนดีกว่า

++ PEE ++

Anonymous said...

ลุ้นว่าน้องอูจะรอดหรือเปล่า

ป้าขวัญ

เด็กหลัง รร. said...

ซนจนได้นะอู จะรอดูว่าอูจะผ่านได้หรือไม่ได้ ยังเอาใจช่วยเสมอครับ

Anonymous said...

อ้าว!! พี่อู
สรุปบทท้ายมา
เง้อออ
แง้้้ๆ

หญิง

Anonymous said...

สาวๆมาช่วยลุ้นกันใหญ่ ชักเขินแฮะ

ตอนหน้าก็คงรู้ครับว่ารอดหรือไม่รอด คิดว่าหลังจากนี้คงโพสต์ได้เร็วขึ้นบ้างนิดหน่อย ดูความเร็วระดับนี้ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าเมื่อไรจะจบ เรื่องยังเหลืออยู่อีกไม่น้อยเลยทีเดียว

คาราบาวแปลว่าขนดกครับ พวกนี้เป็นศัพท์นักลงอ่าง เพื่อนในกลุ่มไอ้เชาวน์มีอยู่คนหนึ่งหน้า่หม้อมาก เรียนเก่งแต่ว่าเป็นนักเที่ยวตัวยง จนทุกวันนี้ยังหนีเมียไปนวดกระปู๋กับควงนักศึกษาสาวเอสคอร์ตออกเที่ยวกลางคืนอยู่ เจอกันทีไรก็มีโอกาสได้ฟังมันเล่าวีรกรรมและเรียนรู้ศัพท์นักเที่ยวจากมัน ฟังแล้วขำๆดีก็เลยเอามาเขียนไว้ครับ แต่ถ้าถามว่าต้นตอมาจากไหน ทำไมจึงเรียกแบบนี้ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน


ดีใจมากที่เห็นเด็กหลัง รร เขียนคอมเมนต์ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นคอมเมนต์เลย ครั้งนี้ครั้งแรกใช่ไหม ปลื้มใจจัง คงสบายดีนะครับ

ผมค้างดูดวงอยู่หลายราย ใครที่ยังไม่ได้ดูให้จะพยายามสะสางให้หมดในสัปดาห์นี้ พ้นจากสัปดาห์นี้ไปแล้วหากผมยังไม่ตอบช่วยเขียนทวงด้วยนะครับ แสดงว่าหล่นไป ต้องขออภัยที่ทำให้ต้องรอ แต่ว่าทำไม่ทันจริงๆครับ

รอฟังพีเล่าเรื่องอยู่นะ เข้ามาดูหลายรอบแล้ว

อู

Anonymous said...

โอ๊ะ แสดงว่านัดเท่ยวของเราคงไปได้สินะครับ >w<)//

ดีใจๆ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

มาช้าไปสองสามวัน แต่มาได้อ่าน ตื่นเต้น นึกถึงครั้งแรกแต่กับผู้ชายนะครับ กับผู้หญิงไม่เคยเหมือนคุณอูหรอกนะครับ สุดท้าย ผมว่าคุณอูก็คง.... อิอิอิ

กัน

Anonymous said...

ยังติดตามอูและน้องนัยเสมอนะครับ^__^

Anonymous said...

นัดเที่ยว กับอาอู พฤหัสบดี+ศุกร์ ไว้เจอกัน
ในสถานที่เดิมนะครับ เพื่อนทุกคนที่รู้รหัส(ฮา)

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

ขอโทษ...ด้วยคร้าบ...พอดีติดธุระช่วงค่ำๆนิดหน่อย ตอนกลางวันเมื่อวานก็ไม่สะดวกอีก (ข้อแก้ตัวเยอะจัง...) เล่าเลยดีกว่า....

หลังจากซึ้งจนน้ำตาไหลตอนอยู่ในห้องเชียร์จบแล้ว ก็ประมาณ ทุ่มกว่าๆ รุ่นพี่ก็จะพารุ่นน้องๆปีหนึ่ง ผู้หญิงกลับไปส่งหอ ส่วนผู้ชายก็นั่งรออยู่ที่ลานหน้าตึก พอสาวๆไปหมดแล้วก็เป็นมหกรรมฉลองปิดห้องเชียร์ของผู้ชาย ก็ไม่พ้นเหล้า..ครับ เหมือนพี่ๆจะสอนให้ดื่มทำนองนั้น แต่ไม่ได้สอนให้ดื่มแบบใส่น้ำแข็งผสมโซดา แต่ให้กินแบบที่เรียกว่า "ดับเพลิง"
รินเหล้าใส่แก้วพลาสติกที่ใส่กินน้ำเย็นตอนอยู่ในห้องเชียร์นั้นล่ะ ยกกระดกกินเลย แล้วตามด้วยน้ำขวดโพลาลิส ผมยังจำแม่นเลย เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมกินแล้วเมาจนหลับคาวงเลย ก็จะไม่ให้เมาได้ไง ก็พี่รหัสผมเป็นประธานว๊ากนะครับ ผมโดนชนแก้วตลอด "น้องไอ้...(ชื่อพี่รหัสผม)ต้องหมดแก้วนะโว้ย...ก็คืนนั้นไม่รู้กี่แก้ว แต่จำได้อย่าง ว่าเหล้าพร่องไปครึ่งขวดแล้วก่อนที่จะหลับไปเพราะผมถือขวดของตัวเอง รินเอง มารู้สึกตัวอีกที่ก็ตอนอยู่หน้าหอชายแล้วเพราะรุ่นพี่ที่หิ้วปีกมาส่ง ปลุกถามว่านอนห้องไหน แล้วก็โดนรุ่นพี่กึ่งพยุงกึ่งลากเข้าห้อง พร้อมพูดฝากฝังรุ่นน้องรูมเมตผมให้ดูแลผมด้วย หลังจากนั้นผมก็หลับไปอีกรอบ

ก็นับจากวันปิดห้องเชียร์ที่สอนกินเหล้าแล้ว(ไม่อยากใช้คำว่าดื่ม) สัก 2 อาทิตย์ได้รุ่นพี่ก็นัดไปกินข้าว แต่หลังกินข้าว+เหล้า ก็ประมาณ 4 ทุ่มได้ รุ่นพี่ผู้ชายก็จะพาปีน้อง 1 ผู้ชายไปเที่ยวต่อ ก็จะเป็นรุ่นน้องที่มีพี่รหัสเป็นผู้ชายซ่าๆ ชอบแนวนี้หน่อยๆ หรือรุ่นน้องคนไหนที่มีพี่รหัสผู้หญิง แต่รุ่นพี่ชอบก็จะพาไปด้วย

ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่ากี่คนเพราะมึนๆ งงๆ รุ่นน้องน่าจะไม่ถึง 15 คน

รุ่นพี่ก็พาไปที่ถ้าใครอยู่เชียงใหม่ เมื่อสัก 15-20 ปีก่อน น่าจะพอได้ยินชื่อมาบ้าง "นางฟ้า" หมายถึงซ่องนะครับ ก็พอเข้าไปด้านในก็จะเป็นมืดๆ เปิดไฟ สีๆ นิดหน่อย มีโต๊ะเก้าอี้นั่ง ไม่กี่โต๊ะ ด้านในก็จะมีห้อง ที่มีกระจกกั้น ที่เขาเรียกว่าตู้กระจกนั้นล่ะ ก็จะมี สาวๆติดเบอร์ นั่งอยู่กัน ให้หนุ่มได้เลือก ราคาทั่วไป ตอนนั้น 300 บาท เบอร์ไหนที่เป็นเลขตอง หรือเรียงกัน ราคาจะแพงหน่อยเพราะว่าเป็นเด็กใหม่ หรือว่าสวยกว่าคนอื่น อันนี้ทราบที่หลังตอนมากับเพื่อนๆอีก

ใครเลือกได้เบอร์แล้วก็ไปบอก คนที่ดูแลเขาก็จะประกาศออกไมโครโฟนให้สาวเจ้าของหมายเลขไปรอ ตรงทางไปห้อง หลังจากผมโดนรุ่นพี่ขยั้นคะยอเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรอสาวเจ้าๆ น่าจะอายุประมาณ 25 ปี ก็พาไปที่ห้องของเธอ ที่คล้ายๆห้องเช่าเล็ก สร้างเรียงๆกันไปแถว คล้ายแค้มป์คนงานก่อสร้างพอเข้าห้องไป สภาพภายในห้อง ก็เป็นห้องแคบๆ ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีห้องน้ำ แต่มีลานเล็กมีขอบกันสูงไม่มากไว้พอล้างเนื้อล้างตัวได้ มีเตียงนอนขนาด 3 ฟุต ครึ่ง

นั่งสำรวจอยู่พักใหญ่ สาวเจ้าไม่เห็นผมทำอะไรสักทีมั้งก็เลย ถามผมว่าเป็นนักศึกษารึเปล่า เคยมาเที่ยวไหม ผมก็ตอบไปตามจริงว่าไม่เคย เธอก็เลยให้บอกผมใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้น แล้วมานั่งคู่กับผมที่เตียง ให้ผมจับนมเธอ เธอก็ขยำ พีน้อยของผม แต่ตอนนั้นค่อนข้างตื่นเต้นครับ ไม่รู้เพราะด้วยเมามาด้วยรึเปล่า ไม่สู้ครับ พอเราต่างถอดเสื้อผ้าจับกันแบบไม่มีผ้ามาคั่นก็เลยสู้มือเธอหน่อย พอพีน้อยพร้อมรบแล้ว เธอก็นอนหงายให้ผมสอดใส่เข้าไป ก็ทำไปพักนึง พีน้อยก็อ่อนตัวอีก ก็หยุดให้เธอชักให้ใหม่ แต่ก็ไม่ค่อยขึ้น เธอก็เลยให้ผมชักเอง

ไปๆ มาๆ ผมชัก จนเสร็จไปเลย 555 มันเพลินนะครับ เธอก็บ่นว่าแตกแล้ว ก็จะรอให้แข็งใหม่แต่ผมไม่อยากแล้ว ก็ไปล้างตัวแล้วนั่งเล่นอยู่กันสักพักถึงออกมา รวมแล้วใช้เวลาไป ประมาณเกือบ 2 ชม.ได้ รุ่นพี่หาว่า ผมอึด...ดังเลยเรา ผมก็รับๆ ไป

ตอนหลังมากับกลุ่มเพื่อนอีก แต่ไม่ได้เข้าแล้ว มานั่งรอพวกมันมากกว่า พวกมันก็จะให้เอาเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากแล้ว หาข้ออ้างไปเรื่อยว่าไม่ค่อยมีเงินบ้าง ไม่ชอบเที่ยวแบบนี้บ้าง แต่ผมเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่า ผมไม่ได้ชอบอย่างที่ธรรมชาติให้มาเหมือนคนทั่วไป

เพราะก่อนหน้านั้นผมยังไม่รู้ใจตัวเองอยู่ ว่าชอบแบบผู้ชายทั่ไปรึเปล่า เพราะไม่เคยได้มีแฟนผู้หญิง แม้เคยมีแอบชอบผู้หญิงสวยๆ น่ารัก บ้าง และเกือบได้คบกับเพื่อนหญิงใกล้ๆบ้านแต่เธอก็ย้ายไปเรียนม.ปลาย ที่กรุงเทพฯซะก่อน ตอนนั้นผมขี้อายด้วยไม่กล้าจีบเธอ

แต่พอผมเรียนม.5 ผมดันไปชอบเพื่อนชายในห้อง ที่สนิทมากคนนึง ก็ตอนนั้นก็คิดแค่ ว่าเป็นเพื่อนสนิท อยากเจอ อยากอยู่ใกล้ อยากทำกิจกรรมต่างๆด้วยกัน ไม่ได้คิดเรื่องเกี่ยวเซ็กส์เลย ตอนนั้นอินโนเซ้นต์มากๆ มาคิดตอนนี้ เฮ้อ..เสียดาย ทำไมตอนนั้นโง่จังว่ะ...

*** PEE ***

Anonymous said...

คิดถึงครับ ไม่ค่อยได้เข้ามา แต่ก็เป็นสมาชิกมานานแล้วครับ ตอนนี้เป็นประสบการณ์ใหม่ น่าตื่นเต้นจัง
คุณอูสบายดีนะครับ
peenut

Anonymous said...

รออ่านตอนต่อไปอยู่ครับ

คุณอูบรรยายได้สุดยอดเลย เหมือนอยุ่ร่มในเหตุการณ์เลย

Choo said...

ตอนนี้มีโบนัส ได้อ่านที่เปิดบริสุทธิ์ที่เดียวสองเรื่อง

ขอบคุณพีครับที่ร่วมแชร์ประสบการณ์กับอู

ชู

Anonymous said...

นับๆๆ อายุ "ลุงพี" แล้วสูงเหมือนกันนะเนี่ย

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

แหม...หลาน Arus ของอาอู เรียกคุณอู ว่าอาได้ ไหงเรียกผมว่าลุงอ่ะ...ผมอายุน้อยกว่าคุณอูอีก แง่ม..แง่ม

เด็กแถวๆ ผมอายุ 12-13 ยังเรียกผมว่าพี่...กันอยู่เลย

*** PEE ***

Anonymous said...

นั่นสิ อาว่าหลานเรียกว่าพี่พีก็น่าจะเหมาะแล้วนะ เรียกลุงดูจะแก่ไปหน่อย

อาอู

Anonymous said...

ม่านรูดนี่ผมไปบ่อยมาก 5555 อย่าคิดลึกก ไม่ได้ไปทำไรหรอกนะ ไม่รู้อาอูรู้จักโรงแรม99ป่าว บนถนนพญาไทก่อนถึงสี่แยกศรีอยุธยาน่ะครับ พอดีหอผมอยู่แถวนั้น ถ้าขับมาบนถนนศรีอยุธยาก็จะต้องเข้าซอยเล็กๆข้างตึกสิริภิญโญ แล้วมันจะมีทางเชื่อมของโรงแรมทะลุออกไปถนนพญาไทได้ครับ เคยนั่งมากับเพื่อนผู้หญิง พอตรงทางออกถนนเค้าติดไฟแดงกันอยู่ คนอื่นๆเค้าหันมาเห็นผมกับเพื่อน ขำกันใหญ่เลย T^T

กำลังไล่อ่านอยู่นะ เออ ผมมาเขียนตรงนี้จะมีใครเห็นไหมเนี่ย - -"

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!