Tuesday, November 9, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 12

วันศุกร์

วันนั้นเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆแต่จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่ตก

หลังเลิกเรียนในภาคบ่ายผมไปนั่งเล่นที่กลุ่มเพื่อรอไปเลี้ยงส่งเป้าในตอนเย็น ผมนั่งไปได้สักครู่รู้สึกร้อนมากจึงไปนั่งหลบร้อนในห้องสมุดพร้อมกับชาญ ส่วนแมวและจิ๊บสมัครใจนั่งทนร้อนอยู่ที่กลุ่มต่อไปเพราะอยากคุยมากกว่าเนื่องจากว่าหากเข้าไปนั่งในห้องสมุดแล้วคุยไม่ได้ ส่วนเป้ายังไม่มาที่กลุ่ม คาดว่าคงยังไม่เลิกเรียน

ห้องสมุดของคณะเทคโนอยู่ที่ชั้นสองของอาคารเรียนรวม ที่นั่นติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย ผมเองไม่ค่อยได้มาที่ห้องสมุดบ่อยนักแม้ว่าห้องสมุดจะเย็นสบายก็ตามเนื่องจากเหตุผลหลายๆประการ ประการแรกก็คือห้องสมุดนี้มีแต่หนังสือและนิตยสารวิชาการ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นนโยบายของคณะที่ต้องการให้นักศึกษาคุ้นเคยกับตำรับตำราภาษาอังกฤษ และหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ ส่วนหนังสืออ่านเล่นไม่มีเลย นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ห้องสมุดดุมาก หากใครส่งเสียงดังจะถูกดุเสมอ

จากเหตุผลที่ว่าทำให้นักศึกษาที่อยากเข้าไปนั่งคุยพร้อมกับตากแอร์ให้เย็นใจจึงไม่ค่อยกล้าเข้าไปใช้ห้องสมุดนัก คงเหลือแต่บรรดาหนอนหนังสือที่เข้าไปตั้งใจนั่งอ่านหนังสือ หรือไม่ก็พวกที่เอาการบ้านหรือสมุดจดงานของเพื่อนไปลอกกันอย่างเงียบๆ สำหรับผมนั้นเมื่อเห็นหนังสือวิชาการเยอะๆก็ตาลายแล้วจึงไม่รู้ว่าจะเข้าไปทำไม อีกอย่าง กิจกรรมที่ต้องทำมีอยู่เยอะแยะจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาใช้ห้องสมุด ยกเว้นเมื่อต้องการอ่านหนังสือพิมพ์หรือในวันที่อากาศร้อนมากจริงๆ

เมื่อผมกับชาญเข้าไปนั่งตากแอร์เล่นก็อดที่จะคุยกันไม่ได้ คุยไปคุยมา ก็เห็นมือข้างหนึ่งนำป้ายกระดาษแผ่นโตแผ่นหนึ่งมาวางที่ตรงหน้าของผมและชาญ เห็นในป้ายกระดาษเขียนข้อความว่า

‘โปรดเงียบ เกรงใจผู้อื่นบ้าง’

ผมเงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่เอาป้ายมาวางที่โต๊ะ เห็นเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดนั่นเอง ใบหน้าของเธอยู่ยี่บ่งบอกความหงุดหงิดใจ

“อูย ขอโทษครับ” ผมพูดเบาๆ “ไม่คุยแล้วครับ”

เจ้าหน้าที่หยิบป้ายกระดาษขึ้นจากโต๊ะพร้อมกับเดินกลับไป ตลอดเหตุการณ์เธอไม่เปล่งเสียงพูดออกมาเลยสักคำ สมกับเป็นผู้มีหน้าที่รักษาความสงบในห้องสมุดจริงๆ

“เฮ้ย พี่คนนี้เค้าเป็นใบ้โว้ย” ไอ้ชาญกระซิบแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ทำงานแบบนี้ก็เหมาะดีเหมือนกัน”

“เฮ้ย” ผมกระซิบตอบ “เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากห้องสมุดหรอก ขายหน้าเค้าตายเลย นั่งเงียบๆสักเดี๋ยวละกัน เรายังอยากอยู่ในนี้ว่ะ ขอผึ่งแอร์ให้หายร้อนหน่อย”

หลังจากนั้นผมก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อไปหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรอไปเลี้ยงส่งไอ้เป้า ดูๆไปก็ไม่รู้จะอ่านอะไร ที่เห็นพอจะน่าสนใจอยู่บ้างก็คือหนังสือพิมพ์และพวกวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผมจึงเลือกหยิบวารสารแนววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาษาไทยจากชั้นมาหลายเล่มละนำมาอ่านที่โต๊ะ

ผมพลิกวารสารไปเรื่อยๆอย่างไม่ค่อยสนใจนัก พลันสายตาก็ไปสะดุดกับพาดหัวของคอลัมน์หนึ่งเข้า

‘คุยกับนักจิตวิทยา โฮโมเซ็กชวลรักษาได้’

ในยุคนั้นคำว่าเกย์ยังไม่ค่อยแพร่หลายเท่ากับคำว่าโฮโมเซ็กชวลหรือเรียกสั้นๆว่าโฮโม โฮโมเซ็กชวลหรือรักร่วมเพศนั้นเป็นคำกลางๆสำหรับเรียกพวกที่รักเพศเดียวกัน ที่จริงตามรูปศัพท์ใช้ได้ทั้งกับชายรักร่วมเพศและหญิงรักร่วมเพศ แต่ปกติมักหมายถึงชายรักร่วมเพศ ไม่มีความหมายในเชิงเหยียด ในปัจจุบันคำว่าโฮโมแทบไม่มีใครเรียกกันแล้ว กลายเป็นเกย์ เก้ง กวางแทน

อ่านชื่อบทความแล้วก็สะดุดใจอยู่เหมือนกัน จึงอ่านรายละเอียดดู เนื้อหาในบทความเป็นการคุยกับนักจิตวิทยาผู้ซึ่งมีทัศนะว่าการเป็นเกย์นั้นเกิดจากปัจจัยสภาพแวดล้อมหรือว่าการเลี้ยงดูเป็นสำคัญ และสามารถบำบัดรักษาให้หายได้แม้จะค่อนข้างยากก็ตาม ตลอดเรื่องไม่มีการระบุว่าการรักษาทำอย่างไร รักษาที่ไหน หรือว่าค่าใช้จ่ายเท่าไร

ในเรื่องนั้นบอกว่าบางทีวัยรุ่นที่กลายเป็นรักร่วมเพศเกิดจากความฝังใจในประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก หากมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกกับเพศเดียวกันก็อาจฝังใจและกลายเป็นรักร่วมเพศไปในที่สุด คิดไปคิดมามันก็อาจคล้ายๆกับกรณีชีวิตของผมอยู่เหมือนกัน

“เฮ้ย อ่านอะไรอยู่วะอู หน้าตาจริงจังเชียว” ชาญทักพลางชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมา

ผมรีบพลิกวารสารไปหน้าอื่นแทน

“ก็อ่านฆ่าเวลาไปเรื่อยๆนั่นแหละ อย่าคุยมากเลย เดี๋ยวโดนไล่” ผมบอกชาญ ว่าแล้วก็ก้มหน้าอ่านเรื่องอื่นๆต่อไป แม้สายตาของผมจะจับจ้องอยู่ที่บทความเรื่องอื่นแต่ในหัวของผมกลับวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่เพิ่งอ่านผ่านมา

มันรักษาได้จริงหรือเปล่านะ ไม่น่าเป็นไปได้... ผมรำพึงกับตนเองในใจ

- - -

เย็นวันนั้นพวกเราไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านหมงไข่ระเบิดที่สามย่าน ร้านอาหารในสามย่านฝั่งคณะบัญชีรั้วสีชมพูในเย็นวันศุกร์แน่นขนัดเกือบทุกร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นนิสิตนักศึกษาที่เรียนในย่านนั้นนั่นเอง

ผู้ที่มาเลี้ยงส่งเป้ามีราวสิบคน เกือบทั้งหมดเป็นปีหนึ่งก็คือพวกเราในกลุ่ม ๕ คนและเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มสามกับรุ่นพี่กลุ่มสามอีกสองคนที่เป้าสนิทสนมด้วย รุ่นพี่นั้นคือพี่แต้มกับพี่ต่อ สองคนนี้เป็นคู่หูกันและมักถูกเรียกว่าแต้มต่อเพื่อให้ฟังดูคล้องจองกัน

“ไอ้ไข่นี่มันระเบิดตรงไหนหว่า” ชาญก้มหน้าลงไปมองไข่ระเบิด อาหารเมนูเด็ดของร้านหมงที่เพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ มันเป็นไข่ดาวหลายฟองที่ทอดรวมกันให้ติดกันเป็นแพโดยทอดแค่กึ่งสุก ไข่แดงยังเหลวอยู่ ด้านบนราดด้วยหมูผัดกะเพรา

“สงสัยมากนักเอาหน้าทิ่มลงไปในจานเลยสิ เดี๋ยวก็รู้” พี่ต่อพูดพลางเอามือกดหัวชาญจนหน้าเกือบทิ่มลงไปในจานจริงๆ

“ไม่สงสัยก็ได้พี่” ชาญพูด “แล้วไอ้ต้มยำนี่ทำไมน้ำมันขุ่นคลั่กยังงี้ล่ะ เอาน้ำอะไรมาทำวะเนี่ย”

“หยุดสงสัยได้แล้วไอ้ชาญ เฮ้อ ไม่เห็นนายรู้อะไรสักอย่าง” เป้าพูด แม้เป้าจะไม่เจอกับร้อยแปดคำถามของชาญมากเท่ากับผมแต่มันก็คงเจอมาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

เมนูเด็ดอีกอย่างหนึ่งของร้านนี้ก็คือต้มยำนมสด เป็นต้มยำใส่นมสด เคี่ยวจนน้ำข้นและแตกมันเหมือนใส่กระทิ อร่อยทีเดียว ใครมากินที่ร้านหมงมักหนีไม่พ้นต้องสั่งอาหารสองจานนี้

พวกเรานั่งกินและคุยกันจนค่ำ จนได้เวลาประมาณเกือบสองทุ่มงานเลี้ยงก็เลิกราเนื่องจากบรรยากาศในร้านเอะอะหนวกหูมากอีกทั้งพวกเราก็กินกันจนอิ่มแล้ว

“ยังไม่อยากกลับเลย ไปเที่ยวต่ออีกหน่อยเถอะ ส่งท้าย ต่อไปคงไม่ได้แบบนี้เที่ยวอีกนานเพราะคงไม่ได้กลับเมืองไทยบ่อยๆ” เป้าพูดกับพวกเราขณะที่กำลังรอคิดเงินอยู่

“งั้นไปฟังเพลงกันไหม ที่หน้ามหาวิทยาลัยนี่เอง” พี่ต่อแนะนำ

พี่ต่อกับพี่แต้มเป็นคู่หูที่ค่อนข้างแปลก พี่แต้มดูเป็นคนเรียบร้อย ส่วนพี่ต่อนั้นแค่เห็นการแต่งตัวก็รู้แล้วว่าเป็นขาเที่ยว ยิ่งถ้าได้คุยด้วยก็ยิ่งแน่ใจเพราะพี่ต่อรู้เรื่องบันเทิงดีมาก โดยเฉพาะสถานที่เที่ยวหลังเลิกเรียน ไม่ว่าเรื่องห้าง โรงหนัง โรงโบวลิง ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้าและราคาเสื้อผ้า รู้ไปหมด แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าสองคนนี้เป็นคู่หูกันได้ยังไง

“แมนดารินาเหรอ เออ ดีเหมือนกัน น้องๆไปกันโว้ย” พี่แต้มเห็นด้วย เมื่อได้ยินคำพูดของพี่แต้ม ความคิดที่ว่าพี่แต้มเป็นคนเรียบร้อยนั้นก็เริ่มคลอนคลาย

แมนดารินา (Mandarina) นั้นเป็นชื่อของคอกเทลเลานจ์ที่อยู่ในโรงแรมแมนดาริน ใกล้กับมหาวิทยาลัยนั่นเอง สมัยนั้นเป็นยุคที่นิยมไปนั่งฟังเพลงกันในสถานบันเทิงประเภทที่เรียกว่าคอกเทลเลานจ์ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าบาร์กับคอกเทลเลานจ์นั้นแตกต่างกันอย่างไรทั้งนี้เพราะไม่เคยเข้าทั้งสองประเภท แม้แต่ดิสโก้เธคกับลานสเก็ตที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นผมก็ยังไม่เคยเข้า

แมวกับจิ๊บซึ่งเป็นหญิงเพียงสองคนในกลุ่มขอตัวกลับก่อนเนื่องจากไม่อยากกลับบ้านดึก ส่วนที่เหลือไม่มีปัญหาเรื่องกลับบ้านดึกจึงตกลงใจที่จะไปฟังเพลงกัน

พวกเราข้ามถนนจากฝั่งคณะบัญชีมายังฝั่งมหาวิทยาลัยของเรา โรงแรมแมนดารินแม้จะอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแต่ผมก็ยังไม่เคยเข้ามาก่อน ได้แต่เดินผ่าน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเข้าไป

เราเดินผ่านทางเดินของโรงแรม ผ่านห้องอาหารเข้าไปทางด้านใน ภายในโรงแรมนอกจากจะมีคอกเทลเลานจ์แล้วยังมีดิสโก้เธคอีกด้วย ชื่อเดอะไนล์ (The Nile) ในยุคนั้นไม่ถือว่าดังเท่าไรนัก ที่ดังๆจะเป็นพวกฟลามิงโก ส่วนแมนดารินานั้นเป็นคอกเทลเลานจ์ที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร

เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปในคอกเทลเลานจ์ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัวลงในทันที ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่เวทีสำหรับเล่นดนตรีและที่บาร์เหล้าเท่านั้นที่พอจะมีแสงสว่าง ส่วนพื้นที่โดยรอบนั้นมืดสลัว จัดตั้งโซฟาเป็นชุดมีทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่สำหรับให้ลูกค้ามานั่งฟังเพลง ควันบุรี่ลอยอบอวลอยู่ในห้องเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะรวมทั้งห้องอาหารและโรงหนังดังเช่นในปัจจุบัน ดังนั้นลูกค้าจึงสามารถสูบบุหรี่ได้ตามสบาย แม้ใครที่ไม่อยากสูบก็ต้องทนดมควันบุหรี่ไปด้วย

พนักงานสาวพาพวกเราไปนั่งที่โซฟาโดยมีพี่แต้มพี่ต่อเดินนำหน้า เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วพนักงานก็นั่งย่อตัวในท่าคุกเข่าข้างเดียว ส่งเมนูให้ แต่ละคนเปิดเมนูดู ภายใต้แสงอันมืดสลัว ผมมองรายการแทบไม่เห็น แต่ก็พอรู้ว่าเป็นรายการอาหาร เครื่องดื่ม และของว่าง รายการอาหารยังพอคุ้นชื่อส่วนเครื่องดื่มแต่ละรายการล้วนแต่ชื่อประหลาดทั้งนั้น

“นี่มันเครื่องดื่มอะไรวะอู ไม่เห็นรู้จักชื่อสักอย่าง” ชาญถามเสียงดัง

“เฮ้ย เบาๆ” ผมดุมันด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่รู้ก็อยู่เฉยๆ ขายหน้าเค้าว่ะ”

“ก็สั่งไม่ถูกนี่หว่า แล้วนายรู้จักเหรอ” มันย้อนถาม

“ก็ไม่รู้น่ะสิ ถึงได้พูดเบาๆนี่ไง” ผมตอบ

เป้าสั่งเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่ว ดูท่าคงเคยเข้าสถานบันเทิงพวกนี้มา ส่วนพี่ต่อพี่แต้มนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนผมกับชาญและคนอื่นๆเพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรก ยังสั่งไม่ถูก

“สั่งอะไรดีวะไอ้เป้า” ผมหันไปถามเป้าที่นั่งติดกัน ผมนั่งอยู่ระหว่างชาญกับเป้า

“เราก็ไม่ค่อยรู้จัก สั่งแต่แบบเดิมที่เคยสั่ง นายให้พนักงานลองแนะนำดูสิ” เป้าตอบ

“พี่ช่วยแนะนำหน่อยครับ” ผมหันไปพูดกับพนักงานที่นั่งย่อตัวอยู่กับพื้น การนั่งย่อตัวเช่นนี้ราวกับคนรับใช้กำลังรอรับคำสั่งจากเจ้านายในละครทีวี ผมถูกสอนมาให้นับถืออาวุโส ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างหรูเช่นนี้มาก่อนจึงอดรู้สึกขัดเขินไม่ได้ ขณะเดียวกันก็สะท้อนใจ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐฐานะดูเหมือนจะฉุดศักดิ์ศรีของมนุษย์ให้ต้อยต่ำลงไปด้วย

“เอาแบบมีแอลกอฮอล์หรือไม่มีแอลกอฮอล์คะ” พนักงานสาวถาม

“ไม่เอาแอลกอฮอล์ ผมเอานมสดก็แล้วกัน” ชาญพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า” ผมด่ามัน จู่ๆมันก็เกิดอยากเกรียนขึ้นมา ไม่รู้ว่าคำว่านมสดของมันหมายถึงอะไรกันแน่

“เอาแอลกอฮอล์ครับ” ผมตอบ

พนักงานสาวหยิบเมนูของผม เปิดให้ผมดูรายการในหน้าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ในหน้านั้นมีรายชื่อเครื่องดื่มแปลกๆพร้อมราคา แก้วหนึ่งดูเหมือนจะราคาประมาณ ๑๓๐-๑๕๐ บาท ชาญยื่นหน้ามาอ่านเมนูในมือของผมบ้าง

“อะไรนี่ ไหมไทย ชื่อเพราะดี เอาไอ้นี่ละกัน” ชาญบอก

เมื่อชาญสั่งไหมไทยไปแล้วผมก็ไม่อยากสั่งซ้ำ จึงเลือกหาชื่อแปลกๆที่ดูน่าสนใจ

“เอานี่ละกันครับพี่ ตอร์ปิโด” ในที่สุดผมก็เลือกได้ ชื่อนี้ฟังแล้วเก๋ดี

“เฮ้ย แก้วนี้แรงนะโว้ยไอ้อู เคยกินเหล้าหรือเปล่า” พี่ต่อหันมาถามผมทันทีเมื่อได้ยินรายชื่อเครื่องดื่มที่ผมสั่ง

“เคยดิพี่” ผมตอบ นึกถึงตอนกินเบียร์กับแก๊งของเวชในห้องสนุ้กเมื่อตอน ม.๔ แก๊งของพี่ธิตที่หอพักก็มักตั้งวงกินเหล้ากันบ่อยๆ ผมเองก็ไปร่วมบ้าง ดังนั้นจึงเคยกินเหล้ากินเบียร์มาบ้าง แต่ที่จริงล้วนแต่เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆทั้งนั้น

เมื่อสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ระหว่างที่รอผมจึงมีโอกาสสังเกตสภาพภายในคอกเทลเลานจ์โดยละเอียด ภายในห้องมีการตกแต่งไม่มากนัก อาศัยความมืดทำให้ประหยัดการตกแต่งไปได้มาก จุดที่เน้นก็เน้นด้วยการเล่นแสง ไม่ได้เน้นด้วยการประดับประดา ตอนนั้นลูกค้ายังมีไม่มากนักเนื่องจากยังหัวค่ำอยู่ บนเวทีมีแต่เครื่องดนตรีตั้งอยู่ วงยังไม่เล่น ภายในห้องมีเสียงดนตรีคลอจากการเปิดแผ่น

หลังจากที่เครื่องดื่มและของว่างมาแล้ว พวกเรานั่งฟังเพลงจากแผ่นรออีกสักครู่วงดนตรีก็เริ่มแสดง ในตอนนั้นวงดนตรีที่ถือว่าเป็นวงชูโรงและเรียกลูกค้าให้แก่แมนดารินาก็คือวงสุเทพแอนด์เดอะแซกส์ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหัวหน้าวงคือพี่สุเทพ ประยูรพิทักษ์

เพลงหากินของพี่สุเทพในยุคนั้นก็คือเพลงป่าลั่น รวมทั้งเพลงหิ่งห้อยที่เวลาร้องริบๆๆๆหรี่ต้องเต้นส่ายก้นแบบเป็ดไปด้วย ลีลาการร้อง เต้น และความเป็นกันเองกับแขกที่มาฟังเพลงทำให้บรรยากาศสนุกมาก

เล่นได้สักพักวงก็หยุดเล่นเนื่องจากวงนี้ต้องเดินสายไปแสดงที่อื่นอีก จากนั้นก็เป็นนักร้องคนอื่นขึ้นเวทีมาร้องเพลงขับกล่อมต่อ พวกเราก็ฟังเพลงกันไป ขอเพลงกันไป ไอ้ชาญสนุกกับการขอเพลงมาก

ตอร์ปิโดรสชาติหวานจนกลบรสและความแรงของแอลกอฮอล์ จิบแล้วจิบเล่าที่ผ่านลำคอของผมจนหมดแก้ว เมื่อถึงตอนสี่ทุ่ม พี่ต่อพี่แต้มก็เรียกให้พวกเรากลับ ตอนนั้นผมรู้สึกร้อนวูบวาบและคันไปหมดทั้งตัว หัวก็รู้สึกหนักๆ

“เฮ้ย ไอ้อู หน้าแดงแจ๋เลย ไหวหรือเปล่า” เป้าถามผม ผมหันไปมองหน้าเป้า เห็นหน้ามันแดงเล็กน้อย ส่วนชาญนั้นหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าหน้าของผมและชาญ หน้าใครจะแดงกว่ากัน

“ไหวๆ” ผมตอบ พลางลุกขึ้นยืนตามเพื่อนๆเพื่อจะกลับ

โครม

“เฮ้ย ไอ้อูเมาแล้ว” ใครก็ไม่รู้พูดขึ้นขณะที่ผมรู้สึกวูบไปชั่วขณะ

เมื่อลุกขึ้นยืนและเดินผมจึงได้พบว่าผมมึนจนควบคุมการเดินของตนเองไม่ได้ แทนที่จะเดินไปตามทางเดินผมกลับเซไปชนโต๊ะข้างๆ จนเพื่อนๆต้องช่วยกันหามออกมาถึงหน้าโรงแรม ตอนนั้นแม้จะมึนแต่ยังไม่ถึงกับอ้วกไม่และยังไม่ปวดหัวมากนัก ไม่เหมือนเมื่อตอนที่ผมเมาบุหรี่

เมื่อได้รับอากาศจากภายนอกผมก็รู้สึกดีขึ้น ตอร์ปิโดลูกนั้นรุนแรงกว่าที่ผมคิดไว้มาก ในกลุ่มดูเหมือนจะมีผมอยู่เพียงคนเดียวที่ครองสติแทบไม่อยู่ คนอื่นดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรเลย เพื่อนๆและพี่ๆคุยปรึกษาหารืออะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง ผมได้ยินแต่ฟังไม่รู้เรื่อง จับได้แต่คำว่าเพชรเทวีกับอะไรครูๆ

“เฮ้ย ไอ้อู ไปต่อไหวไหม” เป้าถาม

ผมพยักหน้า

“งั้นไปเที่ยวกันต่อนะ” พี่ต่อถามบ้าง “เคยเที่ยวหรือเปล่า”

ผมพยักหน้าอีก

“ไปพี่ ไป” ผมตอบ

“เฮ้ย งั้นเรากลับก่อนนะ จะไปกินนมนอนแล้ว” ได้ยินชาญพูด จากนั้นอีกสักครู้ชาญก็เดินแยกตัวจากไป ส่วนพวกเราที่เหลือก็เรียกแท็กซี่สองคัน แท็กซี่ทั้งสองพาพวกเราเคลื่อนห่างจากโรงแรมแมนดารินเลี้ยวเข้าไปทางถนนบรรทัดทอง

รถแท็กซี่พาผมไปที่ไหนก็ไม่รู้เพราะว่าเมื่อผมขึ้นรถก็หลับไปเลย ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เมื่อรถแท็กซี่มาถึงที่หมายและเป้าเขย่าตัวปลุกผม

ผมเดินตามเป้าและเพื่อนๆพี่ๆเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อย่างเข้าประตูไปผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศกลับมืดสลัวลงอีกครั้งหนึ่ง พี่ต่อคุยกับคนเฝ้าประตูสองสามคำจากนั้นก็พาพวกเราเดินเข้าไปยังห้องชั้นในอีกห้องหนึ่ง

เมื่อเข้าไปถึงห้องด้านใน เห็นภายในเป็นห้องที่กั้นซอยด้วยแผ่นกระจก ผมเห็นผู้หญิงหลายคนนั่งอยู่หลังแผ่นกระจกนั้น แต่ละคนกำลังมองมาที่กลุ่มของพวกเรา

“เฮ้ย ไอ้เป้า นี่มันซ่องนี่หว่า” ผมรั้งเป้าเอาไว้จนเราสองคนอยู่รั้งท้าย พลางถามอย่าร้อนรน ถึงผมไม่เคยเข้ามาแต่ก็พอเดาได้ ถ้าเป็นไอ้ชาญอาจจะยังเดาไม่ออก

“ก็ใช่น่ะสิ” เป้าตอบ

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ภาพที่เห็นข้างหน้าทำให้ผมสร่างเมาไปมาก ผมไม่ได้นึกอยากจะมาเที่ยวสถานที่แบบนี้เลยสักนิด

“ทำไมไม่ถามกันก่อนวะ” ผมพูดเป็นเชิงต่อว่า

“ก็ถามนายแล้วนี่หว่า นายก็บอกว่าเคยเที่ยว นี่พี่ต่อพี่แต้มเลี้ยงนะ ของฟรีไม่เอาก็บ้าแล้ว” เป้าพูด “ไอ้ชาญนี่แม่งก็โง่ ได้ขึ้นครูฟรีๆยังเสือกไม่มา”

ผมงงว่าไปตอบรับมันตอนไหน แต่ก็จำได้ว่าชาญปลีกตัวจากไปโดยไม่มาด้วย

“เฮ้ย ไม่เคยโว้ย” ผมหลุดปากบอกออกไป

“อ้าว ไอ้อูไม่เคยเที่ยวเหรอ แล้วเมื่อกี้เสือกบอกว่าเคยแล้ว” พี่ต่อเข้ามาได้ยินพอดีและดุผม “ก็ดี ขึ้นครูเสียเลย พี่เลี้ยงเอง เมื่อตอนรับน้องคณะ ชี่คณะอื่นมันขึ้นครูกันไปหมดแล้ว พวกเอ็งก็อย่าน้อยหน้า”



<เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปในคอกเทลเลานจ์ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัวลงในทันที ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่เวทีสำหรับเล่นดนตรีและที่บาร์เหล้าเท่านั้นที่พอจะมีแสงสว่าง ส่วนพื้นที่โดยรอบนั้นมืดสลัว จัดตั้งโซฟาเป็นชุดมีทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่สำหรับให้ลูกค้ามานั่งฟังเพลง ควันบุรี่ลอยอบอวลอยู่ในห้องเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะรวมทั้งห้องอาหารและโรงหนังดังเช่นในปัจจุบัน>

ฟังเพลง ป่าลั่น ร้องโดยสุเทพ ประยูรพิทักษ์
<เพลงนี้ดั้งเดิมร้องโดยคุณสุเทพ วงศ์กำแหง ต่อมาพี่สุเทพ ประยูรพิทักษ์ รวมทั้งอีกหลายๆคนนำมาร้องบ้าง แต่ดูเหมือนว่าฉบับของพี่สุเทพจะได้รับความนิยมเพราะเป็นเพลงหากินที่ร้องประกอบลีลาท่าเต้นไปด้วย โดยเฉพาะเพลงหิ่งห้อยที่เต้นได้ฮามาก>

17 comments:

yo408 said...

ที่1. มั่งนะ ผลบุญจากใส่บาตรทุกวันแน่ๆเลย

Anonymous said...

ที่สองครับบบบบบบ

กัน

Anonymous said...

ครั้งแรก ตื่นเต้นตื่นเต้นๆๆๆๆๆๆ

กัน

Anonymous said...

ตายละวา..ทำไงดีล่ะทีนี้ เสร็จแน่ๆเลยอู!!
......
อูเล่าเรื่องไปเที่ยวฟังเพลงได้ละเอียดมากเลยค่ะ
พี่ก้อเคยไปที่นี่กับญาติๆตอนประมาณปี1
รู้สึกตัวเองโง๊โง่สั่งอะไรไม่ถูกซ้ากอย่าง..
ของแบบนี้ต้องค่อยๆเรียนรู้สั่งสมประสพการณ์
ตอนนั้นได้แต่วนเวียนอยู่แค่..
ไหมไทย สิงคโปร์สลิง มาร์กาเร็ตต้า..
มาบัดนี้..ก้อไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเท่าไหร่เลย 555

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ที่สี่ อิอิ ลุงอูมาโพสลงแต่เช้าเลยนะครับ อิอิ คิดถึงลุงอูมากมายครับ

boy_aof_za

Anonymous said...

555

เสร็จล่ะที่เน้


...

Oah

Anonymous said...

พี่อูจะเสียตัวมั้ยเนี่ย เอิ๊กๆๆ

Anonymous said...

ตอนนี้มีป๋าสุเทพ ก้นกระดกมาเป็นแขกรับเชิญด้วย
น้องอูจะถูกพาไปตีหม้อซะแล้ว รอดหรือเปล่านะ

ป้าขวัญ

Bomber_Boy said...

เอาละเว้ยเฮ้ย...!!! พี่อูจะโดนเปิดซิงมั้ยละเนี่ย
เอ...แต่พี่อูก็โดนพี่นัยเปิดไปแล้วนี่นา...
เอาเถอะๆๆ พี่อูชอบให้ลุ้นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย ตอนหน้ามาเร็วๆ นะครับ อยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ

Anonymous said...

ยังติดตามเป็นกำลังใจให้นิยายพี่อูอยู่ตลอดนะครับ

ไก่

Anonymous said...

นึกว่าจะเสร็จชาญซะอีกอ่ะ อิอิอิ

qui

Choo said...

งานเข้าซะแล้วอู

ลองดูบ้างก็ดีนะ จะได้รู้ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

อยากไปด้วยจัง

ชู

ปล. ไม่เห็น IC นานมาก สบายดีนะครับ

Anonymous said...

ไม่เห็นไก่กับ ic เสียนาน ic กลับเมืองไทยหรือยังล่ะเนี่ย

คิดอยู่แล้วว่าพี่ป้าขวัญคงรู้จักพี่เทพ สงสัยว่าคงเคยไปแมนดารินามาด้วย ตอนนั้นยังแกหนุ่มๆ ฮามาก จำได้ว่ามีนักร้องอื่นด้วย เช่น มัม ลาโคนิก, มะลิลา บราซิลเลียน สองคนหลังนี่เป็นนักร้องยุคนั้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ จำไม่ค่อยได้ เพราะว่าตอนทำงานแล้วก็เคยแวะไป

โรงโบวลิงหน้า ม. ที่ชื่อรามาโบวล์ก็คึกคักในสมัยนั้น มีทั้งนักศึกษาและคนทำงาน แล้วยังมีภัตตาคารกาแล็กซี่ที่อยู่ทางด้านสามย่านฝั่งบัญชี ที่เป็นที่นิยมเพราะมีนักร้องมาร้องเพลงขับกล่อมระหว่างกินอาหาร แต่ผมไม่เคยเข้า ไม่เคยเห็นนักศึกษาเข้าเลย เห็นแต่คนทำงานรุ่นใหญ่หน่อยเข้าไปกัน เห็นเขาว่าเป็นสไตล์นักร้องร้องเพลงแล้วมีป๋าๆเอาพวงมาลัยคล้อง

จะโดนเปิดซิงหรือเปล่าตอนหน้าคงได้รู้กัน ที่จริงตอนนั้นก็ไม่ซิงแล้วนะ แต่เหตุการณ์ในวันนั้นมีส่วนทำให้ชีวิตของผมต้องผลิกผันไปอีกครับ

อู

Bomber_Boy said...

พี่อูนี่ ชีวิตพลิกบ่อยจัง
หวังว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้นนะพี่อู...

Anonymous said...

มารักอาอูแล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

จริงๆ ก็รู้เรื่องราวนี้แล้ว อาอูเคยเล่าเอาไว้
ใน comment เก่าๆ อ่านแล้วก็ถอนใจ

หลาน Arus ของอาอู

แพน said...

ใครๆว่าฟ้าให้คนได้รักกัน
ก็น่าให้ฉันกับเธอชิดใกล้
ทำไมล่ะใจที่ให้เธอไป
ไม่เคยถึงเธอซักที

ไม่โทษว่าฟ้าไม่ให้เรารักกัน
ไม่โทษอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่ดี
คงเพราะว่าฟ้าไม่ค่อยจะมี
เวลาให้เราผูกพัน

แต่จะนานแค่ไหน
และเท่าไร ในหัวใจไม่ท้อ

จะเก็บใจไว้ เก็บเพื่อรอ
ขอรอ รอจนกว่า
จนกว่าที่ฟ้าจะมีเวลาให้เรารักกัน
(ให้เราได้รักกัน)
เก็บคำว่ารักที่ฉันมี
ไม่ให้ใครตราบนานเท่านาน
ไม่เคยหยุดหวัง
วันไหนสักวันจะให้กับเธอ

ในความอดทน ไม่เคยลดไป
ในความตั้งใจ ไม่เคยสิ้นสุด
ในความห่วงใยไม่เคยจะหยุด
ในใจที่มีแต่รัก

แต่จะนานแค่ไหน
และเท่าไร ในหัวใจไม่ท้อ

จะเก็บใจไว้ เก็บเพื่อรอ
ขอรอ รอจนกว่า
จนกว่าที่ฟ้าจะมีเวลาให้เรารักกัน
(ให้เราได้รักกัน)
เก็บคำว่ารักที่ฉันมี
ไม่ให้ใครตราบนานเท่านาน
ไม่เคยหยุดหวัง
วันไหนสักวันจะให้กับเธอ

จะเก็บใจไว้ เก็บเพื่อรอ
ขอรอ รอจนกว่า
จนกว่าที่ฟ้าจะมีเวลาให้เรารักกัน
(ให้เราได้รักกัน)
เก็บคำว่ารักที่ฉันมี
ไม่ให้ใครตราบนานเท่านาน
ไม่เคยหยุดหวัง
วันไหนสักวันจะให้กับเธอ

ขอโทษคับที่ไม่ได้เข้ามานาน นานๆ ผมจึงจะเข้ามาอ่านได้น่ะคับ และขอมอบเพลงนี้ให้คุณอูด้วย ผมชอบเพลงนี้มากๆ เลยคับ แม้ว่าฟังทีไรจะน้ำตาซึมทุกทีก้อตาม

ขอให้มีซักวันที่ฟ้าจะมีเวลา