Tuesday, November 2, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 11

ช่วงหลังผมก็เริ่มสังเกตเหมือนกันว่าเจตกับเพ็ญสนิทกันมาก มักไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ที่จริงเพื่อนกันไปไหนด้วยกันก็ไม่น่าแปลกอะไร แต่ส่วนใหญ่กลุ่มเพื่อนมักมีมากกว่าสองคน ปีหนึ่งที่ไปไหนมาไหนเป็นคู่มีไม่มากนัก เจตกับเพ็ญมักเรียนและไปไหนด้วยกันสองคนเสมอ เมื่อผมสังเกตออก คนอื่นก็คงสังเกตได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเรื่องแซวคะนองปากจึงเกิดขึ้น ถ้าเป็นผู้หญิงแซวกันคงออกมาในลักษณะซุบซิบนินทา แต่เนื่องจากกลุ่มเพื่อนที่แซวเป็นกลุ่มนักศึกษาชายที่มีนิสัยห่าม การแซวจึงค่อนข้างโจ่งแจ้ง เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องจึงกลายเป็นเรื่องขึ้นมา

บ่ายวันหนึ่ง

วันนั้นเป็นวันที่มีแล็บเคมี ผมกับชาญซึ่งเป็นคู่แล็บกันทำแล็บเสร็จช้ากว่าเพื่อนๆกลุ่มอื่นเนื่องจากผมเตรียมสารเคมีผิดจึงต้องทำใหม่ทั้งหมด

“เฮ้อ ไอ้อูเอ๊ย ไม่เอาไหนเลย เสียเวลาจริงๆ” ชาญพูดเยาะเย้ยผม สีหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีของมันทำให้ผมรู้ว่ามันบ่นเล่นๆมากกว่าที่จะหงุดหงิดผมจริงๆ

“ใจเย็นดิ คนเราก็มีผิดพลาดกันได้” ผมพูด

เราเสร็จงานเป็นกลุ่มสุดท้าย คู่อื่นๆทำแล็บเสร็จและออกจากห้องไปกันจนหมดแล้ว

“กลับบ้านตอนนี้รถติดแย่” ชาญบ่นขณะที่เรากำลังเดินออกจากห้องแล็บ พลางจับมือผมแกว่งไปมา “ไปไหนต่อดีวะ”

“ไปนั่งเล่นที่กลุ่มสามก่อนก็แล้วกัน” ผมตอบพลางค่อยๆดึงมือออกให้หลุดจากการเกาะกุมของชาญ

ตั้งแต่ชาญถูกดึงตัวให้ไปเล่นวอลเลย์บอลมันก็มักกลับบ้านในช่วงเย็นหรือค่ำเนื่องจากติดซ้อม วันไหนที่ชาญมีซ้อมมันก็มักชวนผมไปนั่งดูที่ขอบสนามเป็นเพื่อนมันเสมอซึ่งผมก็ไปบ้างไม่ไปบ้างตามแต่โอกาส วันไหนที่ไม่ได้ไปดูชาญซ้อมก็มักมานั่งเล่นที่กลุ่ม ผมพยายามใช้เวลาอยู่ในมหาวิทยาลัยให้มากหน่อยเนื่องจากอยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้วไม่เหงา เมื่อกลับไปหออยู่คนเดียวก็อดเหงาไม่ได้ ไปๆมาๆกลุ่มสามจึงเป็นสถานที่พักพิงในยามเย็นของผมไปโดยปริยาย

ที่โต๊ะกลุ่มปกติไม่เคยเงียบเหงาเลยตลอดทั้งวันเนื่องจากมีนักศึกษาทุกชั้นปีแวะเวียนมานั่งพักผ่อนอยู่ตลอด มีกีตาร์เก่าๆอยู่ตัวหนึ่ง ใครว่างก็มาจับกลุ่มเล่นกีตาร์และร้องเพลง หนังสือพิมพ์ก็มีให้อ่านแต่ว่าไม่แน่นอนและอาจไม่ใช่ของใหม่เนื่องจากเป็นหนังสือพิมพ์ที่รุ่นพี่อ่านแล้วและทิ้งเอาไว้ หรือไม่อย่างนั้นจะเล่นหมากรุกก็ได้ ที่นี่นิยมเล่นหมากรุกจีน หมากฮอส กับเลี๊ยบตุ่ย ส่วนหมากรุกไทยกับหมากรุกฝรั่งไม่เป็นที่นิยม ส่วนเรื่องเล่นไพ่นั้นไม่ต้องพูดถึง ของตายอยู่แล้ว

บ่ายวันนั้นที่กลุ่มค่อนข้างคึกคัก มีนักศึกษาเฮฮากันอยู่ที่กลุ่มไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นพวกปีหนึ่ง ผมมองหาแมว จิ๊บ และไอ้เป้า เพื่อนร่วมกลุ่มที่มักไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ก็ไม่พบใครสักคน คิดว่าคงกลับกันไปแล้ว ผมกับชาญจึงหาที่นั่งใกล้กับเพื่อนๆที่กำลังก้มหน้าก้มตาลอกสมุดจดงานอยู่ ผมและชาญก็มีสมุดเลกเชอร์ของแมวที่ต้องลอกให้เสร็จภายในวันนี้อยู่เหมือนกันจึงเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกที่กำลังจดงาน และที่ใกล้ๆกันนั้นเองก็มีรุ่นพี่กับปีหนึ่งกำลังจับกลุ่มอ่านหนังสือพิมพ์และคุยเรื่องกีฬากันอยู่

ขณะที่ผมกับชาญกำลังลอกสมุดจดอยู่ ข้างหูก็ได้ยินเสียงคุยเอ็ดตะโรของพวกที่จับกลุ่มอ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่กำลังรู้สึกรำคาญกับเสียงรบกวนก็ได้ยินรุ่นพี่คนที่กำลังถือหนังสือพิมพ์อยู่พูดขึ้น

“เฮ้อ แย่โว้ย ประเทศไทยขายหน้าอีกแล้ว” รุ่นพี่พูดแล้วหยุดนิดหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ “อาจารย์เพิ่งบอกพี่ว่าเราโดนต่างชาติยื่นหนังสือประท้วง”

“ประท้วงเรื่องอะไรพี่” ชี่คนหนึ่งซัก

“ก็... เนี่ย สมาคมอะไรวะ... ของฝรั่งน่ะ ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว... มันประท้วงว่าคนไทยทารุณสัตว์” รุ่นพี่พูดต่อ

“ทารุณยังไงเหรอ” ไอ้คนเดิมถามต่อ ผมเองก็ชักสนใจจึงเงยหน้าขึ้นมาฟังด้วย

“มันประท้วงว่าคนไทยทารุณสัตว์... เอานกเขาไปอมทั้งเป็น” รุ่นพี่ตอบพลางชี้ให้ดูข่าวชิ้นหนึ่งที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าเนื้อข่าวเป็นอย่างไรเนื่องจากอยู่ไกลเกินไป

พวกชี่ที่อยู่ใกล้รุ่นพี่เอาหนังสือพิมพ์ไปอ่านแล้วก็ฮากันลั่นโต๊ะ บางคนเอามือเคาะโต๊ะด้วยเพื่อเพิ่มบรรยากาศเฮฮา

“ไอ้เรื่องหนังสือประท้วงนี้เรื่องจริงหรือเปล่าพี่” มีเสียงถามขึ้นมา

“ไม่รู้โว้ย คงจริงมั้ง พี่ก็ฟังเขาเล่ามาอีกทีน่ะ” รุ่นพี่ตอบ

ผมอดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นไปมุงดูข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นบ้าง เป็นเป็นพาดหัวกรอบเล็กอยู่ในหน้าหนึ่ง มีเนื้อความว่า

‘แพทยสภาตัดสินโทษหมอนกเขา พักใช้ใบประกอบวิชาชีพ’

ใต้โปรยข่าวเป็นเนื้อข่าว ขณะที่ผมกำลังอ่านเนื้อข่าวอยู่นั้นเองผมก็รู้สึกว่ามีใครมาเบียดอยู่ที่ข้างหลังของผม ร่างของคนคนนั้นแนบติดกับลำตัวของผมพลางชะโงกหน้ามาร่วมอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามานั้นก็แทบสัมผัสกับแก้มของผม ร่างนั้นแนบร่างผมเพียงวูบเดียวก็ผละออกไป

“เฮ้ย หมอนกเขานี่ใครอะ มันเรื่องอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ได้ยินเสียงชาญถามผมอยู่ด้านหลัง ผมหันกลับไป เห็นชาญกะพริบตาทำหน้างงๆ

“โอ๊ย ตายห่า ที่หน้าบ้านนายมีภูเขาหรือเปล่าเนี่ย” ผมถามมัน

“ไม่มีโว้ย” ชาญตอบพลางหัวเราะ “ก็ไม่รู้จริงๆนี่หว่า”

“เป็นคนกรุงเทพฯได้ไงวะ อะไรก็ไม่เห็นรู้เรื่องสักอย่าง” ผมอดสงสัยไม่ได้

ชาญหัวเราะอีก ใบหน้าหลังเลนส์สีฟ้ารูปหยดน้ำยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“เราเป็นคนฝั่งธนฯ ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ” ชาญแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ

ผมจึงอธิบายเรื่องหมอนกเขาให้ชาญฟัง ตอนต้นปีของปีนั้นมีข่าวอื้อฉาวอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ มีนายแพทย์คนหนึ่งไปทำออรัลเซ็กซ์ให้คนไข้ชาย รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้แต่สุดท้ายแพทย์คนนี้ถูกคนไข้ร้องเรียนว่าล่วงละเมิดทางเพศกับคนไข้และเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ใช้ศัพท์ว่า อมนกเขา และตั้งฉายาให้หมอผู้นี้ว่าหมอนกเขา หลังจากนั้นคงมีฝรั่งบางคนเข้าใจว่าสแลงอมนกเขานี้หมายถึงอมนกเขาที่เป็นนกจริงๆ จึงกลายเป็นเรื่องทารุณสัตว์ไป

“แล้วทำไมฝรั่งมันถึงได้ประท้วงวะ งงจัง” ชาญกะพริบตาทำหน้างงๆอีก

“เฮ้อ ไม่รู้โว้ย” ผมอดทึ่งในความใสซื่อไม่รู้เรื่องของชาญไม่ได้ “ไปถามคนอื่นดูมั่งไป๊”

“ไม่เอา เดี๋ยวมันหาว่าโง่ ถามนายดีกว่า” ชาญตอบพลางหัวเราะ

“เป็นตุ๊ดนี่เสียเปรียบนะ อมนกเขาก็โดนประท้วง สู้เป็นทอมไม่ได้ ตีฉิ่งไม่มีใครประท้วง” เสียงคนในกลุ่มพูดขึ้น

เท่านั้นเองคนในวงก็ฮากันวงแทบแตก เพราะเป็นที่รู้กันว่าคำพูดประโยคนั้นหมายถึงใคร เมื่อผมได้ยินคำพูดนั้นก็อดอึ้งไปชั่วขณะไม่ได้

ผมกับชาญกลับไปลอกสมุดจดงานตามเดิม ชาญดูจะเงียบๆไป ไม่ซักถามอะไรอีก ทันใดนั้นเอง เจตก็บุกมาที่โต๊ะอ่านหนังสือพิมพ์

“เมื่อกี้ว่าใครวะ” เจตท้าวเอวถามเสียงแข็ง

“อะไร้ อะไร ไม่ได้ว่าใครสักหน่อย” เสียงชี่คนหนึ่งในกลุ่มตอบยียวน “ใครร้อนตัวอยากรับก็รับไปดิ”

“เออ ให้มันรู้ไป” เจตพูดเสียงดังลั่น “สงสัยไอ้คนพูดก็คงเป็นตุ๊ด ชอบทำแอบ พูดแล้วไม่กล้ารับ มาท้าชกกันดีกว่า อย่ามาลอบกัด ไอ้ห่าเอ๊ย”

เรื่องมีทีท่าว่าจะบานปลาย เมื่อเจตของขึ้น กลุ่มผู้ชายปากเปราะก็แรง จนในที่สุดรุ่นพี่ในกลุ่มก็เข้ามาห้ามปรามและกันเจตออกไปก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลาม เรื่องจึงได้สงบลง ผมกวาดตาดูโดยรอบแต่ไม่เห็นเพ็ญอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นเลย

- - -

เดือนมิถุนายนเป็นเดือนที่ค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยสำหรับนักศึกษาใหม่ ที่ว่าเหนื่อยนี้ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นความเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมต่างๆ เรียกได้ว่าเล่นเป็นหลัก เวลาพักค่อยไปเรียนหนังสือ

ในตอนปลายเดือนมีกิจกรรมใหญ่สำหรับนักศึกษาใหม่อยู่อีก ๒ งาน นั่นคืองานรับน้องรวมกับงานรับน้องคณะ งานรับน้องรวมนี่เป็นลักษณะค่ายรับน้อง นั่นคือ เป็นงานรับน้องที่จัดขึ้นในต่างจังหวัดซึ่งต้องเดินทางและค้างแรมหนึ่งคืน

ส่วนงานรับน้องคณะจัดขึ้นในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด กิจกรรมการรับน้องคณะก็คล้ายๆกับการรับน้องในโรงเรียน นั่นคือ มีการตั้งซุ้มวิบากต่างๆ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การมุด ลอด และทำให้เปรอะเปื้อนเลอะเทอะ ที่ต่างออกไปจากการรับน้องที่โรงเรียนเก่าของผมก็คือการปีนต้นไม้ที่เพิ่มเข้ามาเพราะว่าที่นี่มีต้นไม้เยอะ ส่วนเกมนั้นก็เป็นแนวพิสดารคล้ายกับงานรับน้องทั่วไป เช่น เกมจับไข่ ฟังชื่อแล้วดูเสียวไส้แต่ที่จริงก็คือให้นักศึกษาหญิงปิดตาจับไข่ไก่ที่นักศึกษาชายห้อยไว้ แต่ถ้าหากจะจงใจจับให้ผิดไข่ก็ฮาได้เหมือนกัน

เรื่องที่ขาดไม่ได้ในงานรับน้องก็คือการผูกข้อมือและรับพี่รหัส พี่รหัสนี่ก็ใช้วิธีจับฉลากวัดดวงเอา ไม่ต้องให้รหัสตรงกันแต่อย่างใด พี่รหัสของผมเป็นนักศึกษาสาวในสาขาสถิติประยุกต์

จากงานรับน้องคณะก็มางานรับน้องรวม งานรับน้องรวมนี้เป็นงานรับน้องที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นโดยมีแนวคิดที่ต้องการให้นักศึกษาในคณะต่างๆมีโอกาสได้รู้จักกัน การมีเพื่อนต่างคณะและต่างสาขาจะช่วยให้สังคมของแต่ละคนกว้างขวางขึ้น ไม่ใช่รู้จักจำกัดอยู่แต่เพียงเพื่อนร่วมคณะหรือร่วมสาขาเท่านั้น และสาเหตุที่ต้องไปจัดในต่างจังหวัดก็เพื่อให้นักศึกษาต่างคณะมีเวลาและโอกาสที่จะรู้จักและสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

สถานที่จัดงานรับน้องของมหาวิทยาลัยในปีนั้นเป็นที่สวนสนประดิพัทธิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สวนสนนี้อยู่ห่างจากหัวหินไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณสามชั่วโมงกว่าๆก็ถึง งานรับน้องรวมนี้เป็นงานที่ใหญ่มาก ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องรวมแล้วนับพันคน ใช้รถบัสไม่รู้ว่ากี่สิบคัน จำได้ว่าผมตื่นเต้นกับงานรับน้องนี้มากเนื่องจากตั้งแต่เด็กมาไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวทะเล ตอนล่องใต้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เมื่อได้ไปเที่ยวชายทะเลก็รู้สึกชอบและอยากไปอีก

งานรับน้องนี้สต๊าฟจัดงานจะเป็นรุ่นพี่จากทุกคณะ พวกรุ่นพี่จะพยายามไม่ให้พวกปีหนึ่งคณะเดียวกันจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ขึ้นรถบัสก็ถูกจับคละให้นั่งรวมไปกับนักศึกษาคณะต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลในแง่การผูกสัมพันธ์ดีทีเดียวเนื่องจากพอขึ้นรถแล้วก็ไม่มีอะไรทำก็ต้องพูดคุยเฮฮากัน ที่เดิมแปลกหน้ากันเมื่อถึงที่หมายลงจากรถก็เลยกลายเป็นคุ้นเคยกัน

สำหรับที่พักนั้นเป็นเต๊นท์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในป่าสนริมทะเล เต๊นท์แต่ละหลังขนาดใหญ่มาก น่าจะจุได้สักร้อยคน ราวกับศาลาเลยทีเดียว ส่วนกิจกรรมสันทนาการนั้นก็ไปเล่นกันที่หาดทราย ทั้งตอนเล่นและตอนนอนนักศึกษาจะถูกจับคละกันเพื่อให้มีโอกาสรู้จักเพื่อนใหม่ให้ได้มากที่สุด

ในการรับน้องนี้มีกิจกรรมสำคัญอยู่อย่างหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของงานรับน้องก็ว่าได้ นั่นคือการผูกข้อมือ และเกมหาพี่รหัสกับเพื่อนรหัส ซึ่งพี่รหัสและเพื่อนรหัสนั้นต้องเป็นนักศึกษาคณะอื่น ห้ามอยู่คณะเดียวกัน พี่รหัสนั้นจะเป็นชั้นปีอะไรก็ได้ พี่รหัสต่างคณะนี้ไม่มีธรรมเนียมยกมรดกให้แก่รุ่นน้องเนื่องจากอยู่ต่างคณะกัน สมบัติส่วนใหญ่ใช้กันไม่ค่อยได้ พี่รหัสต่างคณะของผมเป็นสาวศิลปกรรมปีสาม ชื่อพี่เหล่ง ส่วนเพื่อนรหัสนั้นเป็นเด็กคณะเทคนิคการแพทย์ชื่อปุ๊ก

หลังจากที่กลับมาจากงานรับน้อง ข้อมือของผมทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยด้ายผูกข้อมือ ด้ายผูกข้อมือที่ผูกไว้เดิมนั้นผมก็ยังไม่ได้เอาออก ใส่ข้อมือมาตลอด เมื่อรวมกับด้ายผูกข้อมือรุ่นใหม่ที่พี่ๆผูกให้ในงานรับน้องรวมซึ่งเป็นด้ายหลากสีทำให้ข้อมือของผมเต็มไปด้วยด้ายสีต่างๆลายพร้อย ดูไปคล้ายกับพวกจอมขมังเวทย์อยู่บ้างเหมือนกัน

- - -

เดือนกรกฎาคม

“เอ... มันเป็นอะไรของมันหว่า” ผมพึมพำกับตนเองขณะที่รดน้ำต้นกุหลาบในตอนเช้าวันหนึ่ง กุหลาบมอญตอนนี้มีแต่ใบ ไม่มีดอกติดต้นเลย มิหนำซ้ำใบกุหลาบยังมีสภาพที่ผิดปกติ กล่าวคือ ใบหงิกเกือบทั้งต้น ส่วนยอดอ่อนนั้นก็กลายเป็นสีดำและแห้งไป ไม่สามารถผลิเป็นใบอ่อนได้ มียอดบางส่วนที่สามารถผลิเป็นใบอ่อนได้แต่ทว่าสภาพของใบอ่อนนั้นม้วนหงิกงอและเป็นสีน้ำตาลไหม้

“อูดูอะไรเหรอ เห็นจ้องต้นกุหลาบอยู่ตั้งนาน” เสียงพี่ธิตทักขึ้น พี่ธิตมาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“มันดูแปลกๆครับพี่ ใบหงิกงอและไหม้ไปหมด” ผมพูด

“เออ นั่นสิ” พี่ธิตเริ่มสังเกตต้นกุหลาบบ้าง “พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องต้นไม้เสียด้วย ที่ผ่านมาก็ไม่เคยสังเกต”

เมื่อไม่รู้ว่าเป็นอะไรจึงไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ ได้แต่รอดูอาการไปก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอดปุ๋ยลงไปเล็กน้อย เผื่อว่ากุหลาบอาจจะขาดอาหาร หลังจากที่ผมรดน้ำกุหลาบเรียบร้อยแล้วจึงออกไปเรียน...

- - -

เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัย ตอนนั้นยังเช้าอยู่ ผมจึงแวะไปที่กลุ่มก่อน เมื่อไปถึงก็พบเป้า แมว และจิ๊บ กำลังนั่งคุยกันอยู่

“มากันแต่เช้าเชียว” ผมทักทายเพื่อนๆ

“นี่ นายอู ไอ้เป้ามันจะไม่อยู่แล้วนะ” แมวพูดกับผม

“เฮ้ย มันจะตายแล้วเหรอ หน้าตาก็ดูสดใสดีนี่” ผมทำเป็นตกใจ

“บ้า เค้าจะไม่เรียนที่นี่แล้วต่างหาก” แมวพูด

“อ้าว” คราวนี้ถึงทีผมงงบ้าง “ไม่เรียนที่นี่แล้วจะไปเรียนที่ไหน”

“เป้ามันจะไปเรียนเมืองนอกแล้ว” แมวพูดอีก

เรื่องของเรื่องก็คือไอ้เป้ามันสอบเอนทรานซ์ได้ ในขณะเดียวกันทางบ้านก็ติดต่อสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาเอาไว้ด้วย ยุคนั้นกระแสเรียนเมืองนอกในระดับปริญญาตรีเริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้น แต่เดิมการเรียนเมืองนอกส่วนใหญ่มักไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงประกอบกับมีการลดค่าเงินบาท ค่าใช้จ่ายจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก จึงทำให้การส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกลดน้อยลงไป ต่อมาในระยะไม่กี่ปีมานี้ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พยายามทำตลาดด้านการศึกษาต่างชาติ โดยมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าเรียนที่อเมริกา แถมยังเข้าเรียนได้ง่ายกว่า ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาอังกฤษ แม้ว่าจะเป็นคนละสำเนียงก็ตามแต่ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าไปเรียนเมืองนอกเหมือนกัน การไปเรียนเมืองนอกในระดับปริญญาตรีจึงถูกปลุกกระแสขึ้นมาอีก นักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่ออสเตรเลียจึงมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าหากใครได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาก็ต้องถือว่าที่บ้านมีฐานะพอควรทีเดียว เมื่อไอ้เป้าได้ทั้งมหาวิทยาลัยในเมืองไทยและที่อเมริกามันจึงเลือกที่จะไปเรียนต่อเมืองนอก

“เดือนหน้าเราก็ไม่อยู่แล้วนะโว้ย” เป้าพูด “คงคิดถึงพวกเพื่อนๆแย่เลย”

“รู้ว่าจะไปเรียนนอกแล้วมึงจะสอบเอนทรานซ์ให้มันเสียที่นั่งคนอื่นทำไมวะ” ผมอดถามไอ้เป้าในใจไม่ได้แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเพื่อน ไม่อยากพูดทำลายน้ำใจมัน ใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่เพื่อนที่เพิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันจะต้องจากไป แต่อีกใจหนึ่งก็อดเขม่นเล็กน้อยไม่ได้เพราะว่าในยุคนั้นที่นั่งในมหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องความเป็นความตายสำหรับบางคนเลยทีเดียว



<งานรับน้องคณะจัดขึ้นในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด กิจกรรมก็คล้ายๆกับการรับน้องในโรงเรียน นั่นคือ มีการตั้งซุ้มวิบากต่างๆ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การมุด ลอด และทำให้เปรอะเปื้อนเลอะเทอะ ที่ต่างออกไปจากการรับน้องที่โรงเรียนเก่าของผมก็คือการปีนต้นไม้ที่เพิ่มเข้ามาเพราะว่าที่นี่มีต้นไม้เยอะ ส่วนเกมนั้นก็เป็นแนวพิสดารคล้ายกับงานรับน้องทั่วไป เช่น เกมจับไข่>



<หลังจากการรับน้องผ่านไป พวกชี่ก็ไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่กลุ่มสาม สภาพของกลุ่มก็เป็นดังที่เห็น อาศัยพื้นที่มุมตึกและลานหน้าตึกส่วนหนึ่ง มีโต๊ะและเก้าอี้ เพียงแค่นี้ก็เป็นแหล่งพักผ่อนและสังสรรค์ของพวกนักศึกษาได้แล้ว>

14 comments:

Anonymous said...

อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น คิดถึงเรื่องเก่าๆดีจังเลย

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่านมาตลอดครับผม

อากาศเย็นลงแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

DIONADUS

Anonymous said...

เด๋วนี้ผมมาอ่านเร็วซะจนทำให้คิดถึงเมื่อสามปีก่อนตอนนั้น ม.3 บ้านยังไม่มีเน็ตจะอ่านเรื่องของอาทีต้องเซฟจากเนตที่โรงเรียนมาอ่านที่บ้าน
พอม.5 ที่บ้านก็มีเน็ตทำให้อ่านเรื่องของอาเร็วขึ้น (อย่างน้อยก็ภายในอาทิตย์นั้น)
ตอนนี้มี BB ละ เลยเข้ามาเชคทุกวันเลย
555+ เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก เม้นซะยาว มาต่อเร็วๆนะครับ ไปละ
สนุ๊กเกอร์

Anonymous said...

พิมพ์ซะติดกัน ลืมเว้น โทษทีครับ

Anonymous said...

ในที่สุดผมก็ติดอันดับที่ห้า อิอิ มาสวัสดีลุงอูตอนสามทุ่มนะครับ จะมาอ่านทุกตอนของลุงอูเลยแหละครับ

boy_aof_za

Anonymous said...

เบอร์5..บ้าเห่อมาแล้วค่ะ..
อ่านแล้วคิดถึงอดีตชาติจับใจเลยทีเดียว!!

คนลาดพร้าว

Bomber_Boy said...

พอมีคนมาจับมือเข้าหน่อย รีบสลัดเลยนะครับ อย่างนี้บรรดาแฟนคลับที่รออ่านฉากวาบหวิวก็อดเลยสิ.....(อิอิอิ ไม่ได้หมกหมุ่นนะ แต่ว่าตั้งตารอเลยแหละ)

เอ่อ...ว่าแต่ว่า พี่อูลืมพิสูจน์อักษรหรือเปล่าครับ???

yo408 said...

หาดสวนสนนี่ผมก็เคยไปเข้าค่ายนะ แต่เป็นค่ายลูกเสือ ตอนถอดรองเท้าลุยทรายที่หาด ลูกสนตำเท้าเจ็บมากๆ ไม่รู้จะใช่หาดเดียวกันหรือเปล่า จำได้ว่าออกจากหัวหินไปหน่อยนึง ขาไปต้องแวะกินข้าวที่ตลาดหัวหินกันก่อน เพราะกว่ารถบัสไปถึงตลาดหัวหินมันก็เลยเที่ยงมาหน่อยนึงแล้ว อจ.ประชุมว่าถ้าลากยาวไปถึงสวนสนคงราวบ่ายสองจะหิวกันซะเปล่าๆ

Anonymous said...

เริ่มมีความคืบหน้ากะชาญแล้วเหรอครับ


รู้สึกใจสั่น ๆ บ้างรึยัง


แต่ก็คงยังคิดถึงนัยทุกลมหายใจ ใช่ไม๊ครับ


...OaH...

Anonymous said...

9....

แบงค์ครับ

Anonymous said...

มาช้าอีกแล้ว คราวนี้มากลางสัปดาห์แฮะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ใบหงิก
ใบไหม้
เพลี้ย/แมลง
โดนแดดมากไป
ขาดแร่ธาตุบางอย่าง
คราวนี้จะเป็นอะไรล่ะครับ?

หลาน Arus ของอาอู

Choo said...

เจต กับ เพ็ญ โดนเพื่อนๆ แซวว่าชอบดนตรีไทย

แล้ว อู กับ ชาญ ไม่โดนแซวบ้างหรือครับ ว่า
1.ชอบศิลปะป้องกันตัวหรือเปล่า
2.ชอบกินของหวานดำๆ หรือเปล่า

แซวมาเดี๋ยวโดนอูแตะ

ชู

ปล. ได้ที่โหล

Anonymous said...

ผมไม่ว่างพลาดงานของพี่อูไปหลายเลย
ช่วงนี้ก่อนหน้านี้ และต่อไปนี้จะยุ่งมากๆ
ยังไงก็ติดตามผลงานพี่อูนะ

ปล. หลานอารัส อาชูยังอยู่เป็นขาประจำ


IC

Anonymous said...

อา IC ไม่ว่างขนาดนั้นเทียวเหรอครับ?

หลาน Arus ของอาอู