Friday, October 15, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 9

ในที่สุดการเรียนวันแรกในมหาวิทยาลัยก็ผ่านพ้นไป ที่นี่เป็นเสมือนโลกใบใหม่สำหรับผม มีอะไรแปลกใหม่น่าเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ สถานที่ และวิชาที่เรียน กว่าผมจะกลับถึงหอพักก็เป็นเวลาค่ำแล้ว

เมื่อกลับไปถึงหอพัก มันเหมือนกับว่าผมกลับไปสู่โลกใบเก่าอีกครั้งหนึ่ง ห้องพักเดิมๆ คนเดิมๆ กินอาหารเย็นก็ที่ร้านอาหารตามสั่งเดิมๆ อาหารที่กินก็เป็นเมนูสิ้นคิดแบบเดิมๆ จากกลางวันอันสนุกสนานในมหาวิทยาลัย เมื่อกลับมาถึงห้องพักและอยู่คนเดียวความเหงาก็เริ่มเข้ามาเยือนผมอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้อาการไม่มากนักเนื่องจากผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในโลกใบเก่านี้นานนัก เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นผมก็สามารถกลับไปสู่โลกใบใหม่ที่สดใสได้อีก... อย่างน้อยจะสุขหรือจะเหงาผมก็พอกำหนดเองได้บ้างส่วนหนึ่งแม้จะไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม

- - -

วันจันทร์

หลังจากที่เปิดเรียนไปในปลายสัปดาห์ ผมก็ค่อยๆเริ่มปรับตัวกับชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย ตอนเช้าเมื่อไปถึงที่คณะ สถานที่แรกที่แวะไปคือโต๊ะกลุ่ม ไม่ใช่ที่ห้องเรียนเหมือนเมื่อตอนเรียนมัธยมเพราะว่าในมหาวิทยาลัยไม่มีห้องเรียนประจำ พวกปีหนึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่ๆยังไม่ค่อยจะมีที่ไป ดังนั้นหากว่างจากชั่วโมงเรียนส่วนใหญ่ก็มักมานั่งเล่นหรือคุยกันที่โต๊ะกลุ่ม

เมื่อผมไปถึงกลุ่มสาม ผมก็รู้สึกได้ทันทีถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องล้อมวงเป็นวงใหญ่คุยกันเสียงจ้อกแจ้ก เพื่อนๆที่ผมเริ่มสนิทคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นพี่จุ้ย แมว จิ๊บ เจต ล้วนแต่อยู่กันพร้อมหน้า บรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียด ผมจึงเข้าไปมุงบ้างแต่ก็ได้แต่มุงอยู่วงนอก

“นักศึกษาตายกันไปไม่รู้กี่พันคน เที่ยงนี้กรรมการนักศึกษาทั้งของคณะและของมหาวิทยาลัยจะมีประชุมกันและจะเข้าร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยเพื่อไปประท้วงกันที่หน้าสถานทูต เค้าขอให้ไปกันมากๆเพื่อแสดงพลังของนิสิตนักศึกษา ตอนบ่ายใครว่างไปสถานทูตด้วยกัน” ได้ยินเสียงรุ่นพี่พูด

ทันใดนั้นผมรู้สึกตึงวูบที่แขนเสื้อเหมือนกับมีใครมาดึง

“เฮ้ย อู ตัวสูงๆบอกหน่อยดิว่ามันเรื่องอะไรกัน นักศึกษาที่ไหนตายเป็นพัน” เสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบเพื่อนใหม่บัดดี้แล็บเคมีของผม... ชาญนั่นเอง ชาญมุงอยู่ข้างหลังผมและพยายามเขย่งดูว่าตรงกลางวงคุยอะไรกันอยู่ แต่คงถูกบังจนมิด

“ยังไม่รู้เลย ตกข่าวเหมือนกัน” ผมหันไปตอบ

ในที่สุดหลังจากถามเพื่อนๆที่มุงกันอยู่ก็ได้ความว่าเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของประเทศจีน นักศึกษาและประชาชนที่รวมตัวกันนับแสนคนชุมนุมกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมินใจกลางกรุงปักกิ่งตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อเรียกร้องให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการแสดงออกและจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่คำตอบสุดท้ายที่นักศึกษาและประชาชนในยุคนั้นได้รับก็คือกฎอัยการศึกและการปราบปรามโดยใช้กำลังทหาร การปราบปรามเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง มีนักศึกษาและประชาชนล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก

รุ่นพี่รวมทั้งปีหนึ่งหลายคนตกลงใจที่จะไปประท้วงที่หน้าสถานทูตจีน ใครสนใจเรื่องการเมืองมากน้อยเพียงใดก็พอจะดูออกได้จากการพูดคุยนี้ เจตเป็นคนหนึ่งที่ดูจะเป็นทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้มาก

“เฮ้ย แล้วนักศึกษาจีนเค้าประท้วงกันตั้งแต่เมื่อไรวะ เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ชาญกะพริบตาถามอย่างงงๆ

“เป็นข่าวมาตั้งเดือนสองเดือนแล้ว” ผมตอบ ที่จริงเรื่องนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก แค่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ผ่านตาเท่านั้น แต่ไอ้ชาญนี่ยิ่งหนักกว่า ถึงขนาดไม่รู้อะไรเอาเลย “นายมัวไปอยู่ที่ไหนมาวะ”

“แล้วนายจะไปหรือเปล่า” ชาญไม่ตอบแต่ถามผมกลับ

“ไม่รู้สิ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน” ผมตอบ “นายคิดยังไงล่ะ”

“ถ้านายไปเราไปเป็นเพื่อนก็ได้นะ” ชาญตอบ

“อะไรว้า คนตายไปตั้งเยอะแยะ พวกนายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ” เจตสาวห้าวซึ่งกระตือรือร้นที่จะไปร่วมแสดงพลังหันมาพูดเสียงดัง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจาะจงพูดกับผมหรือชาญ หรือว่าทั้งคู่ แต่ผมฟังแล้วออกจะแปร่งหูอยู่บ้างเหมือนกัน ใครจะไปหรือไม่ไปไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาบังคับใจกัน

“เราไม่ไปนะเจต” แมวพูดขึ้น “ไปชุมนุมเย้วๆเราไม่ถนัด”

ยุคนั้นห่างจากยุค ๑๔ ตุลามานานสิบกว่าปีแล้ว โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ เกมคอมพิวเตอร์ทำให้ชีวิตวัยรุ่นอยู่กับตัวเองและมีโลกส่วนตัวมากขึ้นกว่าวัยรุ่นยุคก่อนหน้านั้น และความคิดแนวปัจเจกดูจะมีบทบาทในชีวิตนักเรียนนักศึกษามากกว่าอุดมการณ์เพื่อประชาชน พลังของนักศึกษาในยุคนั้นส่วนใหญ่อ่อนโทรมลงไปมากแล้ว คงมีเพียงนักศึกษาบางส่วนเท่านั้นที่สนใจติดตามปัญหาบ้านเมือง แสดงบทบาทและความคิดเห็น ตลอดจนขับเคลื่อนทางการเมืองในนามของกลุ่มและองค์กรต่างๆอย่างต่อเนื่อง

นักศึกษาที่ชุมนุมกันอยู่ที่กลุ่มสามส่วนใหญ่ไม่ไปร่วมประท้วงที่หน้าสถานทูต คงมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่กระตือรือร้นที่จะไป ส่วนผมนั้นตัดสินใจไม่ไปเช่นกันเนื่องจากไม่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย ผลดีผลเสียก็ยังไม่รู้ชัด ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องพวกมากลากไป

“ใครจะไปก็ไป ใครไม่ไปเย็นนี้สี่โมงมาประชุมที่กลุ่มตามเดิม งานนี้ไม่เลื่อน” พวกรุ่นพี่สรุป

“โฮ้ย พวกเธอทำไมไม่ยอมไปสถานทูตด้วยกัน” เจตต่อว่าพวกเพื่อนๆปีหนึ่งหลังจากที่แยกออกมาจากรุ่นพี่แล้ว “เป็นผู้ชายกันหรือเปล่าวะนี่”

คำพูดของเจตนั้นพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมก็อดรู้สึกหน้าชาไม่ได้ ผมอาจคิดไปเองก็ได้แต่ว่ามันเหมือนกับเจตกำลังจงใจว่าผมอยู่

- - -

บ่ายวันนั้นนักศึกษากลุ่มสามบางส่วนไปร่วมยื่นหนังสือประท้วงที่สถานทูตจีน พวกที่ไปส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษารุ่นพี่เสียมากกว่าเนื่องจากการไปต้องโดดเรียนในภาคบ่าย นักศึกษาปีหนึ่งส่วนใหญ่ยังไม่กล้าโดดเรียนกัน ยกเว้นเจตกับเพื่อนๆอีกบางคนที่ลงทุนโดดเรียนเพื่อไปร่วมชุมนุม ส่วนพวกเราที่ไม่ได้ไปก็เข้าเรียนกันตามปกติ เมื่อเลิกเรียนแล้วก็มาประชุมที่กลุ่มตามที่รุ่นพี่นัดเอาไว้

ปรากฏว่าการนัดในวันนี้ไม่ได้มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือธุระการงานแต่อย่างใด เป็นเพียงรุ่นพี่เรียกมาเพื่อทำกิจกรรมว้ากเท่านั้นเอง

ในยุคที่ผมเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นเรื่องระบบอาวุโสในคณะก็อ่อนโทรมลงไปมากแล้ว ซึ่งก็คงเป็นไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าระบบอาวุโสในยุคก่อนนั้นเข้มข้นมาก รุ่นพี่จะสั่งให้รุ่นน้องทำอะไรก็ได้โดยที่รุ่นน้องไม่สามารถมีปากมีเสียงได้ ต่อมาหลังยุค ๖ ตุลา ก็ค่อยๆลดความเข้มข้นลงไป ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารุ่นพี่ไปรู้มาได้อย่างไรเพราะพี่คนที่เล่าก็คงไม่ทันเหมือนกัน แต่ในยุคของผมนั้นระบบอาวุโสอ่อนไปมากแล้วจริงๆ รุ่นน้องเถียงรุ่นพี่ก็ได้ สั่งแล้วไม่ทำก็ได้ ถ้านักเลงหน่อยชกหน้ารุ่นพี่ก็ยังมี อีกทั้งหากรุ่นพี่ทำอะไรแผลงๆหรือแรงๆกับรุ่นน้องก็มักจะตกเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ คงมีเพียงบางสาขาในบางสถาบันเท่านั้นที่ยังสืบทอดประเพณีระบบอาวุโสอย่างเหนียวแน่น แต่อย่างไรก็ตาม แม้ระบบอาวุโสจะเจือจางลงไปแต่กิจกรรมว้ากก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าว้ากกันแค่พอสนุก

รุ่นพี่สั่งให้พวกปีหนึ่งย้ายไปรวมกันที่บันไดหน้าตึก โดยพวกพี่ๆประมาณสิบกว่าคนนั่งอยู่บนขั้นบันได ส่วนพวกปีหนึ่งยืนบนพื้นถนน

“เอ้าๆ ตั้งแถวๆ ชายคนหญิงคนเรียงสลับกันไป ชายห้ามยืนติดชาย หญิงห้ามยืนติดหญิง เดี๋ยวฟ้าผ่า” รุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดหรือที่เรียกว่าว้ากเกอร์เริ่มตะโกนสั่งด้วยเสียงที่ดุดัน ผิดจากอัธยาศัยในยามปกติเมื่อเจอกันที่โต๊ะกลุ่ม

พวกปีหนึ่งที่คุ้นเคยกันก็มักเกาะกลุ่มใกล้ๆกัน เมี่อตอนตั้งแถวคนข้างๆผมข้างหนึ่งเป็นจิ๊บซึ่งก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะเรายืนใกล้ๆมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่อีกข้างหนึ่งเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน อีกทั้งเมื่อตอนอยู่ที่กลุ่มก็ไม่เคยพบกันอีกด้วย

“อ้าว เพ็ญ” ผมอุทาน เพ็ญสาวสวยคนเก่งจากต่างจังหวัดที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันกับผมนั่นเอง

“หวัดดีจ้ะ...” เพ็ญทัก แล้วเรียกชื่อจริงของผม จำชื่อจริงของผมได้เสียด้วย ถ้าจำชื่ออูได้จะไม่แปลกใจเท่าไรนัก

“จำชื่อเราได้ด้วยเหรอ” ผมถาม

“จำได้สิ เธอหลับในห้องเคมีแล้วถูกอาจารย์เรียก” เพ็ญพูดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เรื่องที่ทำให้เพ็ญจำผมได้กลับไม่ใช่เรื่องที่มีหน้ามีตาอะไรนัก

“ไม่นึกว่าเพ็ญอยู่กลุ่มสาม ไม่เคยเห็นเลย” ผมพูด

“ไม่ค่อยได้เข้าไปที่กลุ่มน่ะ นั่งอยู่ในห้องสมุดมากกว่า” เพ็ญตอบ

หลังจากที่ทักทายกันได้เล็กน้อยรุ่นพี่ก็เริ่มกิจกรรมว้าก การว้ากก็คือการเอ็ดตะโรใส่รุ่นน้องและสั่งให้รุ่นน้องทำโน่นทำนี่ตามที่รุ่นพี่ต้องการ เมื่อไม่ได้อย่างใจก็จะสั่งลงโทษ แต่หากถูกใจก็จะได้รางวัล ซึ่งรางวัลกับการลงโทษนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก เช่นหากได้รางวัลก็ให้ร้องเพลง หากโดนลงโทษก็ให้ไปปีนต้นไม้ เป็นต้น รุ่นพี่บอกว่ากิจกรรมว้ากเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ส่วนรุ่นน้องก็ว่ากิจกรรมว้ากเป็นเรื่องของคนที่อยากแสดงอำนาจข่มคนอื่น

“เฮ้ย สองคนนั่นคุยอะไรกัน” รุ่นพี่ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดเอะอะใส่ผมและเพ็ญ “บอกให้ตั้งแถวจับคู่ไม่ได้บอกให้คุยกัน”

“อยากคุยมากนักเรอะ ถ้ายังงั้นคุยดังๆเลย คุยให้ดังไปถึงสนามฟุตบอลเลย” รุ่นพี่อีกคนเอ็ดตะโรใส่เราสองคนอีก เพ็ญหน้าเสีย

“บอกให้คุยดังๆ คุยเร็วเข้า” รุ่นพี่ที่นั่งบนขั้นบันไดช่วยกันตวาดเสียงเซ็งแซ่ “ไม่งั้นจะโดนซ่อมนะ”

“เอ้อ หวัดดีเพ็ญ” ผมแหกปากตะโกน “ไม่ค่อยเห็นที่โต๊ะกลุ่มเลย”

เพ็ญทำหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็แผดเสียงบ้าง

“หวัดดีอู ส่วนใหญ่เรานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดน่ะ”

“...” ผมคิดอะไรไม่ออก

“เฮ้ย คุยกับสาวทั้งทีมีแค่เนี้ยนะ คุยอีกไอ้อู ไม่งั้นโดนซ่อมแน่เอ็ง” รุ่นพี่ตะโกนขู่

เมื่ออับจนสิ้นหนทาง ผมก็คุยแบบเพ้อเจ้อ ดินฟ้าอากาศบ้างอะไรบ้าง อายโคตรๆ เพ็ญก็เออออไปด้วย สักพักก็คิดอะไรไม่ออกอีก รุ่นพี่ก็เอะอะอีก

“เนี่ย เพ็ญ เราซวยฉิบหายเลย โดนรุ่นพี่แกล้ง ขอโทษด้วยนะ เพ็ญเลยซวยไปด้วยเพราะเรา” ผมตะโกน

คราวนี้รุ่นพี่เฮกันลั่น

“เฮ้ย มันบังอาจว่ารุ่นพี่ น้องตบหน้ามันให้พี่ที” รุ่นพี่หญิงคนหนึ่งตะโกน

“ตบ ตบ ตบ ตบ ตบ ตบ” รุ่นพี่คนอื่นๆส่งเสียงเชียร์ เพ็ญจึงตบหน้าผมเบาๆไปหนึ่งที

“กลัวมันเจ็บเหรอ ไม่ต้องกลัว ตบแรงๆ” รุ่นพี่ยุส่งอีก “เร็วเข้า ตบแล้วพวกพี่จะได้ไปเล่นงานคนอื่นต่อ”

เพ็ญได้ยินดังนั้นจึงหันมามองหน้าผม ทำตาปริบปริบ คล้ายกับจะบอกว่าขอสักทีเถอะนะ ผมพยักหน้า

“เพียะ”

- - -

การว้ากในวันนั้นผ่านไปด้วยความเรียบร้อย พวกปีหนึ่งแต่ละคนโดนแกล้งหรือโดนทำโทษไปต่างๆนานา ให้บูมแข่งกันบ้าง เสียงเบาก็โดนเอ็ด แพ้ก็ไปปีนต้นไม้ ฯลฯ เมื่อกิจกรรมว้ากจบลงพี่ๆก็เข้ามาตบหลังตบไหล่ผม

“เฮ้ย ไม่มีอะไรนะอู ตอนว้ากก็ยังงี้แหละ จบแล้วก็จบกัน” รุ่นพี่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าที่ดุดันหายไปจนหมดสิ้น

“ครับ” ผมตอบ อดเอามือลูบแก้มของตนเองไม่ได้ ผมคิดว่ามันยังมีรอยผื่นเป็นรูปนิ้วอยู่ รสชาติที่ถูกผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เมื่อแยกจากรุ่นพี่แล้ว พวกเพื่อนๆก็เข้ามาทักทายผม โดยเฉพาะเพ็ญเข้ามาขอโทษ จิ๊บหัวเราะถูกอกถูกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนแมวบอกว่าสงสารผมแต่ก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ มีเพียงชาญเท่านั้นที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยทางเดียวกับผม

“เป็นไงวะอู” ชาญถาม “เจ็บปะ”

“นายจะเอาความจริงหรือจะเอาเรื่องโกหกล่ะ” ผมถามกลับ

“เอาความจริงดิ” ชาญตอบ

“ตบโคตรเจ็บเลย มือหนักฉิบหาย” ผมพูด

“แล้วถ้าเอาเรื่องโกหกล่ะ” ชาญชักอยากรู้

“ไม่รู้โว้ย จะซักเอาอะไรนักหนา” ผมอดหัวเราะไม่ได้

- - -

หลังจากการว้ากในวันนั้น ชื่อของผมก็เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มสามโดยเฉพาะสาวๆ เมื่อผมเข้าไปนั่งเล่นที่กลุ่มทีไรก็มักถูกสาวๆแซว เช่นบอกว่า อารมณ์ไม่ดี ขอตบระบายอารมณ์หน่อยได้ไหม ใหม่ๆก็อาย แต่พอหลายวันเข้าก็ทำเนียนไป บอกว่าถ้าอยากหยิกเบาๆหรืออยากหอมแก้มละก็ได้ แต่ถ้าตบไม่เอา ก็ไม่ปรากฏว่ามีสาวคนใดต้องการหยิกแก้มหรือหอมแก้มผมแต่อย่างใด

เมื่อใช้ชีวิตในการเรียนและทำกิจกรรมร่วมกันไปได้สักระยะหนึ่ง พวกนักศึกษาปีหนึ่งก็รู้จักกันมากขึ้น จากเดิมที่ดินเคว้งไม่ค่อยรู้จักกันกลายเป็นเกาะกลุ่มกัน พวกที่คุยกันถูกคอถูกอัธยาศัยกันก็มักเรียน เล่น และทำกิจกรรมด้วยกัน

ผมก็เริ่มมีกลุ่มเช่นกัน กลุ่มของเรามี ๕ คน ก็คือแมว จิ๊บ ชาญ ผม และเป้า ไอ้เป้านี่เป็นเด็กที่สอบเทียบมาและเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างแมวในวันที่ผมโดนตบ หลังจากนั้นเป้ากับแมวก็คุยถูกคอกัน มันจึงเดินติดสอยห้อยตามแมวโดยตลอด จึงพลอยสนิทกับพวกเราไปด้วย

การเรียนของนักศึกษาปีหนึ่ง คณะเทคโนนี้ไม่มีการทำรายงานกลุ่มแต่อย่างใด ต่างคนต่างเรียน คะแนนใครคะแนนมัน แต่ถึงแม้โดยรูปแบบการเรียนจะเป็นเช่นนั้น แต่ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนกันเป็นทีม มีการพึ่งพาอาศัยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสมุดจดคำบรรยายหรือที่เรียกว่าสมุดจดเลกเชอร์ ส่วนใหญ่มักจดไม่ค่อยทัน หรือจดแล้วมาอ่านอีกทีไม่รู้เรื่อง ทำให้ต้องหยิบยืมของเพื่อนมาลอกหรือถ่ายเอกสาร นักศึกษาหญิงที่ลายมือสวยๆมักเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มเนื่องจากสมุดจดน่าอ่านและน่าขอยืมนั่นเอง

สำหรับกลุ่มของผม สมุดของแมวเป็นต้นฉบับที่ใช้ได้เลยทีเดียว ไอ้เป้ามักขอยืมไปบ่อยๆ ส่วนจิ๊บนั้นแม้จดรู้เรื่องแต่ลายมือไม่สวย จึงไม่ค่อยมีใครเอายกเว้นเวลาจำเป็น ผมเองเวลาเรียนหลับบ้างตื่นบ้างก็มักต้องขอใช้บริการจากแมวบ้างเช่นกัน ส่วนชาญนั้นชอบมาขอยืมสมุดของผมหลังจากที่ผมลอกแมวเสร็จแล้วทั้งๆที่ลายมือของผมแสนห่วย

นอกจากต้องพึ่งพากันในเรื่องสมุดจดแล้ว เรื่องที่พวกเรามักต้องพึ่งพากันก็คือเรื่องการจองที่นั่ง เนื่องจากการเรียนในแต่ละวิชานั้นเปิดสอนหลายหมู่เนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก หากเป็นวิชาที่สอนเดี่ยว หมายถึงว่าผู้สอนเหมาสอนคนเดียวตลอดทั้งเทอม หากเป็นคนละหมู่ผู้สอนก็จะเป็นคนละคนกัน อย่างเช่นวิชา ฟิสิกส์ เคมี นักศึกษาจะรู้กันเองว่าใครสอนเข้าใจได้ง่ายกว่ากัน เมื่อถึงเวลาเรียนห้องหนึ่งก็จะว่างโล่งส่วนอีกห้องหนึ่งก็จะแน่นขนัดเนื่องจากนักศึกษาไปเบียดกันเรียนกับอาจารย์ที่สอนง่ายกว่านั่นเอง บางส่วนถึงกับต้องนั่งเรียนกับพื้น ดังนั้นเรื่องการจองที่จึงจำเป็น หากไปช้าต้องไปนั่งจดเลกเชอร์กับพื้นที่หน้าชั้นเรียนซึ่งค่อนข้างลำบาก และเรื่องจองที่นั่งนี่เองที่เป็นเหตุให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ้างเหมือนกัน

“โอ๊ย มันอะไรกันวะ มีแต่โต๊ะเปล่าๆให้เพื่อนวางสมุดจองที่เอาไว้ ตัวก็ไม่โผล่หัว คนมาก่อนต้องไปนั่งเรียนกับพื้น คนมาหลังได้นั่งโต๊ะที่เพื่อนจองไว้ให้” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นในเช้าวันหนึ่งในวิชาฟิสิกส์ ผู้ที่โวยวายไม่ใช่ใครอื่น เจตนั่นเอง เห็นเจตยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับเพ็ญยืนอยู่ข้างๆ พยายามหาที่นั่งแต่ก็หาไม่ได้



<นับตั้งแต่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตง สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในปี ค.ศ.1949 ได้มีการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินอยู่หลายครั้ง และครั้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิง

เติ้งเสี่ยวผิงผู้มีเค้าหน้าและรูปร่างคล้ายนักการเมืองของไทยผู้หนึ่งได้เข้ามากุมอำนาจในการบริหารประเทศโดยเป็นนายกรัฐมนตรีของจีนในปี 1977 และต่อมาได้เป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์ เศรษฐกิจของจีนในยุคนั้นย่ำแย่ ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจึงขาดแรงจูงใจที่จะทำงาน เติ้งเสี่ยวผิงผู้มีหัวก้าวหน้าจึงมีนโยบายเปิดประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจโดยเปิดรับวิทยาการและความเจริญต่างๆจากนานาชาติ มีการผ่อนคลายกฎระเบียบให้ประชาชนชาวจีนสามารถทำธุรกิจได้ สามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้ยกเว้นที่ดินที่ยังถือว่าเป็นของรัฐ มีสิทธิและเสรีภาพมากขึ้น ส่วนในทางการเมืองแล้วยังคงจำกัดเช่นเดิม

ผลพวงจากการเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจของจีนก้าวหน้าขึ้น ประชาชนมีความรู้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งมีความคิดที่เสรีมากขึ้นอีกด้วย การประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้นอยู่เสมอแต่สุดท้ายก็คลี่ลายไป ยกเว้นเหตุการณ์ในปลายยุคของเติ้งเสี่ยวผิง

ในครั้งนั้นกลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากผู้นำจีนได้ชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็จบลงด้วยการนองเลือดในวันที่ 4 มิถุนายนเมื่อรัฐบาลปักกิ่งใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วงซึ่งมีเยาวชนในวัยเรียนเป็นจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อยแต่จนถึงวันนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ของจีนก็ยังไม่มีการระบุจำนวนผู้เสียชีวิตที่แน่ชัด แต่จากการประเมินของชาวต่างประเทศคาดว่าน่าจะหลายพันคน รวมทั้งยังมีผู้บาดเจ็บและพิการ และผู้ที่ถูกจองจำที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกจำนวนมาก

ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ชาวจีนนับแสนล้อมรูปจำลองรูปปั้นเทพีแห่งเสรีภาพสูง 10 เมตร ขณะนั้นฝูงชนปักหลักเรียกร้องประชาธิปไตยแม้รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกในกรุงปักกิ่งแล้ว>



<นักศึกษาฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยนั่งเผชิญหน้ากับทหารก่อนมีการนองเลือด>



<ภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่า tank man เป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน หลังจากเหตุการณ์นองเลือดปราบปรามผู้ประท้วงหนึ่งวัน ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดเข้าขวางรถถังที่วิ่งดาหน้าอยู่บนถนนเทียนอันซึ่งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง แม้พลขับจะพยายามขับรถถังหลบแต่ชายผู้นี้ก็ยังตามไปยืนขวาง ผู้เห็นเหตุการณ์พากันไปช่วยลากตัวออกมาก่อนที่จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น>

23 comments:

Anonymous said...

เย้!มาแล้วๆ

คนลาดพร้าว

yo408 said...

ที่2.
โย่วๆ

Anonymous said...

ที่ 3 เย้

น้องแตงกวา

Anonymous said...

4... เลขสวย

แบงค์ครับ

Anonymous said...

อาอูครับ บอยนี่หลุดวงโคจรไปแล้วหรอครับ เดาว่าเด๋วเพ็ญจะต้องแอบชอบอาอูแน่เลย

สนุ๊กเกอร์ครับ

Anonymous said...

มาอ่านก่อนไปสอบครับ

รักอาอูเสมอ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

)^_^(ที่๑+๖ อรุณสวัสดิ์ครับลุง
^
^
เหมือนเม้นของพี่เขาเลย คิดถึงน้องบอย บอยจงมาปรากฏต่อหน้าลุงอูโดยเร็ว แล้วลุงไม่กลับไปโรงเรียนบ้างหรือครับผมอยากรู้ว่าพวกเพื่อนๆลุงเป็นยังไงบ้าง

Anonymous said...

ช่วงหลังๆมานี้ออกแนวได้ความรู้นะครับ ว่าแต่เติ้ง เสี่ยว ผิง ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีเหรอครับ ผมว่าผมไม่ได้จำผิดนะ
Federick

Anonymous said...

สวัสดีครับ คุณอู

มาติดตามเหมือนเดิม ยังเป็นแฟนประจำของคุณอูนะครับ

ช่วงอูเป็นนักศึกษา สงสัยน่าจะมีรักสามเศร้า ของหญิงเข้ามาเกี่ยวด้วยแน่เลย แบบว่าชายสองหญิงหนึ่ง ฮะฮะฮะ

ติดตามตอนต่อไปครับ
กัน

Anonymous said...

คุณอูครับ
ปีนี้ คุณอูเขียนมาถึงตอนนี้รวมเป็น44ตอนนะครับ เหลืออีกสองเดือนกว่า ก็จะสิ้นปี ปีที่แล้วเขียนรวม84ตอน
ถ้าเป็นเขียนออกขายถือว่าทำงานน้อยลง50% แสดงว่าคุณอูปีนี้ยุ่งเรื่องงานมาก(เรื่องแฟนด้วยรึเปล่าอิอิอิ)
แต่ก็ยังอุตสาเขียนให้แฟนนักอ่านติดตาม ก็ขอบคุณมากครับ (เขียนแบบขอความเห็นใจให้เขียนให้อ่านมากขึ้น ฮาฮาฮาฮา)

ขอบคุณมากครับและจะติดตามต่อไปถึงจะเขียนน้อยลง
กัน

Anonymous said...

อีกเรื่องหนึ่งครับ เขียนถึงนัยมังซิครับ
ขอบอกคิดถึงนัยมากๆๆ

กัน

Anonymous said...

สมัยเทียนอันเหมินนี่ป้าทำงานได้หลายปีแล้วนะ
ดูข่าวทีวีก้ยังเศร้า

น้องอูเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตมหาลัยได้แล้ว
แต่ฝันที่เก็บไว้ให้คนนั้นก็ยังอยู่ใช่หรือเปล่า

andy kwan

Anonymous said...

สวัสดีครับคุณอู มีงานพอควร แต่ก็ตามตลอดนะครับ
pe...

Anonymous said...

ครับ ก็ค่อยๆเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เรื่องบอยนั้นที่จริงเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือนเอง ยังไม่ได้ลืมหมดไปจากใจหรอกครับ หัวใจไม่ใช่สวิทช์ไฟ จะปิดเปิดให้ได้ทันใจสำหรับผมคงทำไม่ได้ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ สุขหรือทุกข์ตัวของเราเองสามารถกำหนดไปบางส่วน ผมก็พยายามเฮฮาไปกับเพื่อนๆเพื่อจะได้ไม่ต้องไปจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ชีวิตหลังจากนี้ก็อยู่ในมหาวิทยาลัยเยอะขึ้น กลับหอค่ำๆ ใช้เวลาอยู่ในห้องพักน้อยลง จะได้ไม่ต้องคิดมาก

อีกไม่นานก็จะกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าแล้วครับ นักศึกษาใหม่มักจะกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าก็ในวันไหว้ครู มีดอกไม้ติดมือไปไหว้ครูอาจารย์เก่าๆด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหาบอยดีไหม อยากรู้ข่าวเหมือนกันว่าสอบได้หรือเปล่า แล้วก็มีคนพิเศษคนหนึ่งในโรงเรียนที่ผมแวะไปเยี่ยมด้วย

ปีนั้นนอกจากข่าวเทียนอันเหมินแล้วยังมีข่าวดังอีกข่าวหนึ่ง เป็นข่าวในประเทศแต่ก็ดังไปต่างประเทศเหมือนกัน และมีผลต่อความคิดและการตัดสินใจของผมไม่น้อย บอกให้อยากรู้ไว้ก่อน

เรื่องปูน้อยนั้นองค์ ๕ ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่ได้อยู่แถวนั้นอาจไม่รู้จัก ที่มีใครบอกว่าพี่อ้อยหวานนั่นก็ถูกแล้ว ปากคนก็เรียกพี่ปูน้อย อีกหน่อยจะมีกล่าวถึงอีกครับ

ดีใจที่เห็นข้อความจากพี่ป้าขวัญอีก หลายๆตอนจะได้เจอกันสักที ส่วนพี่สาวลาดพร้าวนั้นเจอกันทุกตอน ต้องขอบคุณที่หอบเชี่ยนหมากกับถังอ๊อกมาเชียร์โดยสม่ำเสมอครับ ที่ถามผมว่าฝันที่เก็บไว้ให้คนนั้นยังใช่อยู่หรือเปล่า พี่ถามเอาประเด็นสำคัญของเรื่องเลยทีเดียว จับประเด็นได้แม่นมาก แบบนี้ต้องตามอ่านต่อไปครับ บอกแล้วก็ไม่อ่านต่อสิ

ขอบคุณกันที่ช่วยทำสถิติมาให้ดู ปีนี้เขียนน้อยจริงๆ แต่ปีนี้มีแรงเท่านี้เอง เอาไว้จะพยายามเพิ่มขึ้นครับ

นัยเป็นยังไงก็ไม่รู้ครับ ขาดการติดต่อไปเลย ผมไปขึ้นรถที่ปากซอยภาวนาทุกวันมาตลอดหลายปีก็เพราะความคิดลมๆแล้งๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าวาสนาที่มีต่อกันนั้นมันหมดสิ้นไปหรือยัง

เป็นกำลังใจให้กับการสอบของหลาน arus ครับ ขนาดก่อนสอบยังเข้ามาเม้น ปลื้มใจจัง

อู

Anonymous said...

เรื่องของอานัยนั้น ผมว่าคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันนะครับ
Federick

Bomber_Boy said...

ลงความเห็นด้วยคนครับว่าปีนี้พี่อูเขียนน้อยจริงๆ มีอยู่ช่วงนึงหายไปเป็นเดือนเลย ว่าแล้วก็เคืองนะเนี่ย...อย่าหายไปนานๆ แบบนั้นอีกนะครับ ผมคิดถึง

Anonymous said...

น้อยจิงๆๆ ค่ะส่งสัยงานยุ่งเหมือนกัน
หลาบ

Anonymous said...

ไม่ได้เข้ามานานเหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ลุงอูถึงไหนแล้ว อิอิ

บอย

Anonymous said...

ไม่ได้เข้ามานานเหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ลุงอูถึงไหนแล้ว อิอิ

บอย

Anonymous said...

รู้สึกว่าพี่อูจะยุ่ง ๆ นะครับช่วงเน้ ...

...OaH...

Choo said...

นึกไม่ออกว่าปี 32 บ้านเรามีเหตุการณ์อะไรที่เป็นที่สนใจจากทั่วโลก

แต่ปี 33 ช่วงเดือนกันยายนนะมี เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ รถแก๊สระเบิดตรงทางลงท่างด่วน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ มีคนเสียชีวิตทันที 60 กว่าคน เสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีกมากมาย คนบาดเจ็บอีกเป็นร้อย งานนั้นดังทั่วโลกครับ

แต่เชื่อว่าช่วงปีสองปีนี้ บ้านเราดังกว่า แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร

นายอูตามท้องเรื่อง ปีนี้คงสดใสร่าเริงนะครับ เหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ บ้าง คงมีรักสามสี่ห้าเส้ามาให้อูปวดหัว 555

แต่ก็คงไม่คบใครจริงจัง เพราะคงเก็บไว้ในเค้า...คนนั้น

ชู

Anonymous said...

อือม์ รู้สึกได้เหมือนกันว่าพี่อูตอนเข้ามหาลัยแล้วดูร่าเริงขึ้น พี่อูสู้ๆครับ

nai said...

เดาว่าเหตุการณ์ ที่อูว่า น่าจะเป็นพายุเกย์ ที่ถล่มประเทศไทย ทางภาคใต้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นจังหวัดชุมพร มีคนตายและบาดเจ็บเป็นพันคน

อ้าว อู โดนผู้หญิงตบหน้า คุ้มๆ สาวๆติดเกลียวเลย

นัย