Monday, October 4, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 8

แม้ลูกไฟที่ลุกไหม้จะมีขนาดใหญ่ แต่อยู่ห่างจากโต๊ะเรียนไม่น้อย ดังนั้นพวกนักศึกษาจึงไม่ได้แตกตื่นถึงขนาดวิ่งเหยียบกัน ส่วนใหญ่ทยอยกันเดินออกจากห้องไปด้วยความเรียบร้อย คงมีบางส่วนที่ยังนั่งอยู่ในห้องเพื่อรอดูเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างไรต่อไป... รวมทั้งผมด้วย

สักครู่เจ้าหน้าที่ชายก็วิ่งออกมาจากห้องเล็กๆแล้วปราดเข้าไปหยิบถังเครื่องพับเพลิงสีแดงสภาพเก่าแก่ที่แขวนอยู่รอบห้องมาถังหนึ่งจากนั้นถอดสลักออกและนำปลายท่อฉีดไปจ่อที่กองเพลิง

เงียบ ไม่มีอะไรออกมาจากท่อฉีดเลย เจ้าหน้าที่รีบวางถังดับเพลิงถังนั้นลง จากนั้นรีบไปปลดถังดับเพลิงอีกถังหนึ่งจากผนังมาใช้แทน แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม

“โอ๊ย ใช้งานไม่ได้เลยสักถัง” อาจารย์บ่น ขณะเดียวกันไฟก็ลุกไหม้เครื่องปิ้งแผ่นใสรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“อาจารย์รอเดี๋ยวครับ” เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นหันรีหันขวางด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปนอกห้อง คาดว่าคงไปตามคนมาช่วยดับไฟหรือไม่ก็ไปหาถังดับเพลิงที่ใช้งานได้มาจากห้องอื่น

“ฉันน่ะรอได้ แต่ไฟกองนี้มันคงไม่รอ เดี๋ยวก็หมดทั้งตึกหรอก” อาจารย์พูดเสียงไม่ดังนักแต่พวกเราที่อยู่ในห้องก็ได้ยินกัน ยังอดขำไม่ได้ว่าอาจารย์ช่างใจเย็นเหลือเกิน

อาจารย์หายเข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่อีกครั้ง จากนั้นไฟแสงว่างภายในห้องก็ดับลงทั้งหมด คงเป็นเพราะอาจารย์ยกสะพานไฟลง สักครู่อาจารย์ก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าห่มแบบราคาถูกผืนหนึ่ง เอามาโยนลงในอ่างล้างมือจากนั้นก็เปิดน้ำลงในอ่าง เมื่อผ้าเปียกอาจารย์ก็หยิบผ้าเอาไปคลุมที่เครื่องฉายแผ่นใสที่ตอนนี้มีสภาพเป็นลูกไฟกองหนึ่งไปแล้ว

นักศึกษาชายบางคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเหมือนกับเพิ่งจะได้สติ รีบวิ่งไปที่หน้าชั้นเพื่อนจะเข้าไปช่วยอาจารย์ แต่อาจารย์ห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้เพราะเกรงจะเป็นอันตราย ดูอาจารย์มีสติอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าผ้าเปียกน้ำของอาจารย์ได้ผล เปลวไฟส่วนใหญ่เมื่อถูกผ้าเปียกปกคลุมก็ไม่ลาม มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ลามเลียออกมาได้ เมื่อเปลวไฟมีขนาดเล็กลงอาจารย์ก็เดินหายเข้าไปในห้องเล็กอีก จากนั้นเดินออกมาพร้อมกับผ้าอีกผืนหนึ่ง จากนั้นเอาไปชุบน้ำแล้วเอามาโปะตรงส่วนที่เปลวไฟยังลามเลียอยู่ เพียงครู่เดียวไฟก็ดับหมดทั้งกอง เหลือเอาไว้แต่ควันไฟที่ลอยโขมงอยู่เต็มห้อง

หลังจากที่ไฟมอดดับลง เจ้าหน้าที่ชายคนเดิมก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชายอีกหลายคนวิ่งกรูกันเข้ามา ในมือของแต่ละคนถือเครื่องดับเพลิงอยู่

“ดับเสร็จแล้ว เดี๋ยวช่วยจัดการต่อทีก็แล้วกัน ผ้าห่มของใครก็ไม่รู้นะ หน้าสิ่วหน้าขวานขออนุญาตไม่ทัน” อาจารย์พูดกับเจ้าหน้าที่ ยังอดติดตลกไม่ได้ จากนั้นก็หันมาพูดกับพวกนักศึกษา “พวกเราลงไปข้างล่างกันก่อน อย่าดมควันนานๆ”

หลังจากนั้นอาจารย์และนักศึกษาทั้งหมดก็ออกไปยืนออกกันที่นอกตึก เมื่อยืนอยู่นอกตึกยังสามารถเห็นกลุ่มควันไฟลอยอ้อยอิ่งออกมาจากหน้าต่างห้องเรียนได้ ผมมองดูอาจารย์ด้วยความทึ่ง อาจารย์ดูใจเย็นและหนักแน่นมาก ตลอดเวลาที่เกิดเหตุอาจารย์สามารถควบคุมสติได้ในขณะที่ผมเองยังรู้สึกตกใจอยู่บ้าง

พวกเราทั้งหมดยืนคุยเฮฮากันอยู่พักใหญ่ จนอาจารย์บอกว่าสงสัยจะต้องเลิกชั้นเรียนในวันนี้เอาไว้เพียงแค่นี้ ก็พอดีกับที่เจ้าหน้าที่มาบอกว่าสามารถใช้ห้องเรียนต่อไปได้แล้ว อาจารย์จึงสั่งให้ทั้งหมดขึ้นไปเรียนต่อจนกว่าจะหมดคาบ

เมื่อหมดคาบลง ขณะที่อาจารย์เพิ่งเดินลับไปจากห้องและนักศึกษาก็เริ่มทยอยกันออกจากห้อง เห็นมีนักศึกษารุ่นพี่คนหนึ่งเดินมายืนที่หน้ากระดานดำ หยิบชอล์กเขียนบนกระดานอ่านได้ความว่า

“วันนี้ปี ๑ ทุกคนประชุมเชียร์ที่ห้องนี้ เวลา ๑๒.๓๐ น. ห้ามขาด”

“บอกเพื่อนๆด้วยนะน้อง วันนี้เป็นวันประชุมเชียร์วันแรก ต้องมาให้ได้” รุ่นพี่ที่เขียนกระดานกล่าวย้ำทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้พวกปี ๑ ที่อยู่ในห้องวิจารณ์กันอื้ออึง หลายคนบ่นว่ากินอาหารไม่ทัน บ่นกันไปพลางทยอยกันเดินออกจากห้องไป

การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นต่างจากในโรงเรียนตรงที่ในโรงเรียนนั้นส่วนใหญ่เป็นอาจารย์เดินมาสอน นักเรียนนั่งอยู่แต่ในห้อง แต่ในมหาวิทยาลัยนั้นแทบทุกวิชาต้องเปลี่ยนห้องเรียนและตึกเรียน ดังนั้นนักศึกษาจึงได้เดินยืดเส้นยืดสายกันทุกคาบซึ่งก็ดีเหมือนกัน ทำให้ไม่ง่วง

วิชาถัดไปของผมเป็นวิชาแคลคูลัส ตึกเคมีกับตึกคณิตศาสตร์อยู่ห่างกันพอสมควร ต้องเดินข้ามสนามฟุตบอลไป ถ้าฝนตกกว่าจะไปถึงก็คงเปียกน่าดูเหมือนกัน ตึกคณิตศาสตร์นี้ก็เป็นตึกกลางเก่ากลางใหม่ ห้องเรียนใหญ่มีหน้าต่างมากมายทำให้ดูไม่อับทึบเหมือนตึกเคมี กระดานดำก็เป็นกระดานสีเขียวแบบที่เห็นกันทั่วไปในห้องเรียน กระดานมีเพียงแผ่นเดียว ดึงขึ้นลงไม่ได้ ส่วนที่นั่งเรียนนั้นเป็นเก้าอี้โครงเหล็กเหมือนเก้าอี้นั่งทั่วไป แต่มีเท้าแขนเป็นแผ่นไม้สำหรับรองเขียนหรือที่เรียกกันว่าเก้าอี้เลกเชอร์นั่นเอง

เก้าอี้เลกเชอร์นี้เป็นเก้าอี้เดี่ยว ดังนั้นต่างคนจึงเลือกที่นั่งกันตามสบาย ส่วนผมนั้นแยกจากแมวและจิ๊บหลบไปนั่งหลังชั้นเพราะเกรงว่าจะนั่งหลับและโดนอาจารย์เรียกอีก

ในที่สุดการเรียนในช่วงเช้าของวันแรกก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย วิชาก่อนเที่ยงเป็นวิชาชีววิทยา เมื่อเรียนเสร็จพวกเราก็เดินเกาะกลุ่มกันไปยังโรงอาหารของคณะ หลายคนเดินคุยกันไปและพูดกูมึงกันราวกับรู้จักกันมานาน ส่วนผมนั้นก็เดินเกาะกลุ่มไปกับพวกที่นั่งเรียนเก้าอี้ใกล้ๆกัน ยังไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษจนสามารถพูดกูมึงกันได้ เห็นคนที่สามารถเข้ากับเพื่อนๆได้อย่างรวดเร็วแล้วอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ สำหรับผมไม่ได้เข้ากับคนได้ง่ายขนาดนั้น ยังรู้สึกแปลกหน้าไม่คุ้นเคยกับเพื่อนๆอยู่บ้าง ใจจริงรู้สึกอยากเจอเพื่อนหรือรุ่นพี่จากโรงเรียนเก่า อย่างน้อยการที่มีสายเลือดโรงเรียนเดียวกันคงทำให้ผมหายเคว้งไปได้บ้าง ในเวลานี้แม้เป็นไอ้กี้ก็ยังดี แต่ก็ไม่เจอใครเลย

- - -

โรงอาหารของคณะเป็นห้องอาหารขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ชั้นล่างใต้อาคารเรียนรุ่นเก่าเก่าหลังหนึ่งมาทำเป็นโรงอาหาร ที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นห้องอาหารมากกว่าเนื่องจากไม่ได้มีลักษณะเป็นโรงอะไร แต่ใครๆก็เรียกว่าโรงอาหารกันทั้งนั้นผมจึงเรียกโรงอาหารตามไปด้วย

เมื่อเราเข้าไปในโรงอาหาร ก้าวแรกที่ผมย่างเข้าไปในโรงอาหาร บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที จากบรรยากาศที่ร่มรื่นของภายนอกกลายมาเป็นบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว กลิ่นอาหารตลบอบอวล นักศึกษาทุกชั้นปีทั้งนั่งและเดินกันแน่นโรงอาหารไปหมด มีแผงขายอาหาร น้ำดื่ม และขนม รวมแล้วไม่ถึง ๑๐ แผง โรงอาหารที่โรงเรียนเก่าของผมขนาดว่าแน่นแล้วยังเป็นรองที่นี่ ที่คานของห้องอาหารมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ห้อยลงมาสะดุดตา ชนิดที่ว่าใครเข้ามาก็ต้องเห็น บนโปสเตอร์มีภาพของเด็กผอมเหลือแต่ซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นเด็กในทวีปแอฟริกา ดูแล้วน่าเวทนา ใต้ภาพมีข้อความเด่นสะดุดตาเขียนเอาไว้ว่า

“กินอาหารให้หมด คนอดยังมี”

เมื่อผมเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกผมถึงกับชะงัก อดนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมการกินอาหารของตนเองไม่ได้ ตั้งแต่เด็กมาผมถูกสอนไม่ให้กินทิ้งกินขว้างอยู่แล้ว แต่บางครั้งในจานอาหารก็ไม่ถึงกับเกลี้ยง มีเหลืออาหารติดก้นจานเอาไว้นิดหน่อยเพื่อไม่ให้เพื่อนล้อว่าตะกละตะกลาม แต่เมื่อเห็นภาพนี้เข้าความคิดของผมก็เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อเข้ามาในโรงอาหารกลุ่มของเราก็แตกกระจาย ต่างคนต่างก็ไปเลือกซื้ออาหาร เรื่องที่นั่งนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะได้นั่งกินด้วยกัน แค่หาที่กินให้ได้ก็ยากแล้ว แต่เรื่องเล่นเกมเก้าอี้ดนตรีเป็นของถนัดสำหรับผมมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าแล้ว ดังนั้นภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ผมซื้ออาหารเสร็จผมก็สามารถหาที่นั่งจนได้ มันเป็นที่นั่งว่างประมาณ ๔-๕ ที่ติดกัน ตรงกลางของที่ว่างนั้นมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งหันหลังให้ผมนั่งกินอยู่เพียงคนเดียว สองข้างของนักศึกษาคนนั้นว่างโล่งราวกับเพิ่งมีใครลุกไป

สบายล่ะ เมื่อผมเห็นที่นั่งว่างตรงนั้นเข้าผมก็เสียบเข้าไปนั่งทันที

“นั่งด้วยคนนะครับ” ผมเอ่ยทักทายนักศึกษาหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆจากนั้นก็นั่งลง ทักทายกันเอาไว้เผื่อจะได้เพื่อนๆเพิ่มขึ้นบ้าง ที่จริงผมก็ยังไม่รู้ว่าคนที่นั่งข้างๆนั้นเป็นปีหนึ่งหรือว่าเป็นรุ่นพี่กันแน่เนื่องจากเส้นผมยาวของเธอบดบังใบหน้าไปเป็นส่วนใหญ่ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ถึงอย่างไรก็ทักเอาไว้ก่อน

“นี่ ชาวปู ตัวเองชื่ออะไรน่ะ” นักศึกษาหญิงหันมาถามผมด้วยเสียงยานคางและแหบห้าว

เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย ผมอดเหลือบมองใบหน้าของเธอซ้ำอีกครั้งไม่ได้ เมื่อผมเห็นใบหน้าของเธอชัดขึ้นก็ต้องตกใจ เพราะว่า ‘เธอ’ นั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ เนื่องจาก ‘เธอ’ ไม่ได้เป็นผู้หญิง แต่ ‘เธอ’ เป็นผู้ชายที่ไว้ผมยาว!

“เอ้อ ชาวปู” ผมงง ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ก้นก็ขยับถอยห่างออกมา ชักไม่แน่ใจว่า ‘เธอ’ คนนั้นเป็นใครหรือว่าเป็นเพศอะไรกันแน่ แถมใบหน้ายังเดาอายุไม่ออกแต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปีหนึ่งแน่นอน

“แหม” เธอผู้นั้นลากเสียงยาว “ก็พวกเรานั่นแหละ ชาวปู ตัวเองชื่ออะไรล่ะ”

“ชื่ออูครับ แล้วพี่ชื่ออะไรครับ” ผมตอบพร้อมถามกลับไป ชักรู้สึกแหม่งๆเมื่อผมต้องกลายเป็น ‘ตัวเอง’ ไป

“พวกเราชาวปู อยู่ในรู กระดึ๊บ กระดึ๊บ” เธอผู้นั้นเอื้อนเบาๆออกมาเป็นเพลงแต่ไม่ยอมบอกชื่อแก่ผม

“พี่ครับ เพื่อนมันเรียกให้ไปนั่งกับมันทางโน้น เมื่อกี้พอดีไม่มีที่ว่าง ผมเลยเดินมาหาทางนี้ ผมขอตัวก่อนนะพี่” ผมเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบพูดพร้อมกับลุกขึ้น ในใจก็รู้สึกกลัวอยู่นิดๆเพราะว่าผู้ที่ผมกำลังคุยอยู่ด้วยนั้นมีลักษณะแปลกๆแม้ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีดุร้ายออกมาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวลเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังอดกลัวไม่ได้อยู่ดี

“แหม ไม่นั่งคุยกันก่อนเหรอ เค้าอยากมีคนคุยด้วย” เค้า พูดจาอ้อนผมเล็กน้อย

“แหะๆ ต้องขอตัวจริงๆพี่ ต้องรีบกินแล้วไปประชุมเชียร์อีก ขอโทษนะครับ” พูดจบผมก็ยกจานอาหารลุกออกมาแล้วรีบเดินหลบไปกินที่ม้าหินใต้ต้นไม้นอกโรงอาหารอยู่คนเดียว ไม่กล้านั่งกินอยู่ภายในโรงอาหารเนื่องจากกลัว ‘เค้า’ มาเจอแล้วพบว่า ‘ตัวเอง’ ไม่ได้นั่งกินอาหารอยู่กับเพื่อนๆดังที่ได้อ้างเอาไว้

โห คณะนี้มีอะไรแปลกๆเยอะเลย ท่าทางจะสนุก แค่วันแรกก็เจอเรื่องแปลกไปหลายเรื่องแล้ว นี่ถ้าอยู่จนจบปริญญาตรีคงเจอเรื่องประหลาดเป็นพันๆเรื่องเป็นแน่ ผมคิดขำอยู่ในใจ

- - -

“เอ้า น้อง ขึ้นไปแล้วเข้าไปนั่งที่เร็วๆ ตรงต่อเวลากันหน่อย” เสียงรุ่นพี่หลายคนทั้งชายและหญิงจำนวนเกือบสิบคนยืนเอะอะเอ็ดตะโรอยู่ที่หน้าตึกเคมีเก่าคอยกวาดต้อนนักศึกษาปีหนึ่งเข้าไปในห้องบรรยายใหญ่ที่เพิ่งเกิดไฟไหม้ไปเมื่อเช้า “เร็ว เร็ว เร็ว อย่าอ้อยอิ่ง”

พวกปีหนึ่งที่ตอนแรกเดินอย่างอ้อยอิ่งพอมาถึงหน้าตึกเมื่อโดนรุ่นพี่กวาดต้อนด้วยน้ำเสียงอันดุดันต่างก็รีบโกยอ้าวขึ้นตึกไป เมื่อขึ้นไปถึงหน้าห้องบรรยายใหญ่ก็ยังพบรุ่นพี่อีกจำนวนหนึ่งยืนแจกหนังสือเพลงเชียร์อยู่ที่หน้าห้องพร้อมทั้งคอยเร่งรัดให้นักศึกษารีบเข้าไปนั่งในห้อง

“นั่งเข้าไป นั่งเข้าไป ไม่ต้องมัวเลือกที่นั่ง เร็วๆ” รุ่นพี่เอ็ดตะโรเสียงเข้ม

หลายคนบ่นอุบอิบว่าไม่เห็นเหมือนกันตอนวันแรกพบน้องใหม่หรือตอนที่ผูกข้อมือน้องเลยซึ่งผมก็ว่ามีส่วนจริงอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นรุ่นพี่ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่รุ่นพี่กลุ่มที่จัดประชุมเชียร์ในวันนี้กลับดุและเข้มงวดไม่ต่างอะไรกับตอนที่เรียน รด. เลย

หลังจากที่นักศึกษาเข้าที่นั่งเรียบร้อย รุ่นพี่ก็พากันมาแนะนำตัวที่หน้าชั้น โดยแนะนำตัวประธานเชียร์ ของคณะ รองประธานเชียร์ และคณะทำงาน พวกพี่ๆอธิบายให้ฟังว่ากิจกรรมเชียร์เป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของนักศึกษาในคณะเพราะในแต่ละปีจะมีการแข่งขันกีฬาหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาระหว่างคณะ กีฬามหาวิทยาลัย รวมทั้งการแข่งขันนัดพิเศษต่างๆ ซึ่งกำลังสำคัญทั้งในด้านตัวนักกีฬาและด้านกองเชียร์ก็คือนักศึกษาปีหนึ่งนั่นเอง อีกอย่างก็คือการเชียร์กีฬาทำให้เกิดวินัยและความกลมเกลียวในหมู่คณะ ดังนั้นนักศึกษาปีหนึ่งในคณะทุกคนจึงจำเป็นต้องมาซ้อมเชียร์เป็นประจำตามที่สตาฟเชียร์ของคณะจะเป็นผู้นัดหมาย ห้ามเบี้ยวเป็นอันขาด

หลังจากที่สตาฟเชียร์ร่ายยาว หลังจากนั้นก็เริ่มสอนน้องๆให้ร้องเพลงเชียร์ โดยเพลงแรกที่พวกเราได้หัดก็คือเพลงบูมประจำคณะ

“เอาใหม่ ร้องให้ดังอีก เสียงมีแค่นี้เองเหรอ” ประธานเชียร์ตะโกนลั่น ส่วนพวกเราปีหนึ่งก็โก่งคอร้องกันจนหน้าดำหน้าแดง ร้องเท่าไรก็ไม่ถูกใจท่านพี่ประธานเสียที

“นี่ ต้องยังงี้ คอยฟังนะ” ประธานเชียร์ตะโกนลั่นหลังจากที่พวกเราบูมจบลง จากนั้นพวกสตาฟเชียร์ก็บูมให้พวกน้องๆฟัง แม้มีเพียงสิบกว่าคนแต่บูมได้สนั่นแก้วหูจริงๆ

“ขอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะปล่อยให้ไปเรียนภาคบ่ายกันแล้ว” ประธานเชียร์ตะโกนจนคอโป่งพองออกมา “ร้องอีกครั้ง เอาให้สุดเสียงเลย น้องเป็นร้อยเสียงแพ้พวกพี่สิบกว่าคนก็อายหมาแล้ว แล้วตอนแข่งกีฬาถ้าบูมแล้วเสียงแพ้คณะอื่นยิ่งอายหมาเข้าไปใหญ่ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หา”

ร้องสู้ไม่ได้ก็ไม่เห็นจะต้องอายหมาตรงไหน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พวกน้องๆเมื่อถูกท้าทายเช่นนี้ก็ชักฮึดสู้ ตะเบ็งเสียงบูมแข่งกับรุ่นพี่บ้าง ร้องไปร้องมาก็ชักสนุก เพียงครึ่งชั่วโมงที่ซ้อมเชียร์ปรากฏว่าเสียงแสบเสียงแห้งไปตามๆกัน

- - -

การเรียนในช่วงบ่ายเป็นวิชาแล็บเคมี วิชาแล็บหรือว่าวิชาปฏิบัติการนี้แม้มีน้ำหนักเพียงวิชาละ ๑ หน่วยกิต แต่หนึ่งหน่วยกิตของวิชาแล็บนั้นเท่ากับ ๓ ชั่วโมง ห้องปฏิบัติการเคมีของพวกเราเป็นห้องขนาดใหญ่ ภายในห้องเรียงรายไปด้วยโต๊ะที่มีลักษณะเป็นเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่หลายตัว โต๊ะแต่ละตัวนั่งได้ ๑๐-๑๒ คน บนโต๊ะมีชั้นวางของ บนชั้นเต็มไปด้วยขวดแล้วและเครื่องแก้วอื่นๆเต็มไปหมด ตรงกลางโต๊ะเป็นรางน้ำยาวตลอดแนวโต๊ะ มีก๊อกน้ำเรียงรายอยู่ แถมยังมีท่อแก๊สสำหรับจ่ายแก๊สหุงต้มเพื่อเอาไว้ใช้กับตะเกียงแก๊สอีกด้วย เครื่องมือเครื่องใช้แต่ละอย่างดูผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน

ในวิชาแล็บเคมีนั้นการทำการทดลองในแต่ละเรื่องจะไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่จะมีการจับคู่กันเพื่อช่วยกันทำงานหรือที่เรียกว่าเป็นบัดดี้กัน ซึ่งอาจารย์ที่ควบคุมห้องแล็บให้พวกนักศึกษาจับคู่กันเองตามอัธยาศัย พวกที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วก็สามารถจับกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นผมที่ยืนละล้าละลังไม่รู้ว่าจะจับคู่กับใครเนื่องจากหันไปทางไหนก็จับคู่ได้กันไปจนหมดแล้ว

เมื่อใกล้ๆตัวไม่มีคู่ให้จับ ผมก็ต้องวิ่งเร่ไปหาคู่ที่โต๊ะอื่นๆ จนในที่สุดก็ไปปะกับนักศึกษาร่างเล็ก หัวโต ผิวขาว ใส่แว่นสีฟ้ากรอบทองทรงหยดน้ำตาขนาดใหญ่ ใครใส่แว่นทรงนี้ในสมัยนี้คงเชยแหลก แต่สมัยก่อนนิยมกัน

“เฮ้ย นายได้บัดดี้หรือยัง” ไอ้คนนั้นถามผม

“ยังเลย” ผมตอบ “นายล่ะ”

“โอ๊ย แย่ฉิบหาย ไม่มีใครเอาเราเลยว่ะ” นักศึกษาร่างเล็กหัวเราะพร้อมทั้งบ่นอย่างอารมณ์ดี หมอนี่ดูเป็นคนยิ้มง่าย ท่าทางตลกๆ

“ฮื่อ เหมือนกันนั่นแหละ” ผมตอบ

“งั้นเราเป็นบัดดี้กันก็แล้วกันนะ ขี้เกียจวิ่งหาแล้ว” มันสรุปเอาดื้อๆ

ว่าแล้วมันก็แนะนำตัวเองว่าชื่อชาญ ผมก็แนะนำตัวเองไปบ้าง ชาญหน้าตาไม่จัดว่าหล่อแต่ก็น่ารักดีทีเดียว อีกทั้งยังยิ้มง่าย อารมณ์ดี เราสองคนสามารถเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว

การเรียนวิชาแล็บในวันนั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก เป็นเพียงการแนะนำให้รู้จักเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ จากนั้นปลายคาบอาจารย์ก็ให้ไปลงชื่อจองซื้อเสื้อกาวน์ซึ่งเป็นเสื้อสำหรับสวมทับชุดนักศึกษาในเวลาทำแล็บเพื่อป้องกันไม่ให้ชุดนักศึกษาเปรอะเปื้อนหรือเสียหายจากสารเคมีในระหว่างการเรียน เมื่อสั่งเสื้อกาวน์เสร็จเรียบร้อยก็กลับได้

“จะกลับบ้านแล้วเหรอ” ชาญถามผมขณะที่เราออกมายืนอยู่ที่หน้าห้องแล็บและเตรียมจะแยกย้าย

“เปล่า ยังไม่กลับ ว่าจะแวะไปที่โต๊ะกลุ่มเสียหน่อย” ผมตอบ

“นายกลุ่มอะไรวะ” ชาญถาม

ผมตอบไปว่ากลุ่มสาม ชาญก็บอกว่ามันก็กลุ่มสาม เราสองคนต่างก็แปลกใจเพราะว่าจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นอีกฝ่ายหนึ่งที่โต๊ะกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน ความสนิทสนมก็ดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นอีกมาก

เมื่อเราไปถึงกลุ่มสามก็เห็นพวกเสื้อขาวผูกเนกไทหรืออีกนัยหนึ่งพวกนักศึกษาปีหนึ่งเต็มไปหมด รุ่นพี่ปีอื่นๆก็มีแต่ว่ามีจำนวนน้อยกว่า พร้อมกันนั้นบนบอร์ดประจำกลุ่มมีข้อความเขียนตัวโตๆเอาไว้ว่า

“ชี่กลุ่มสามทุกคนวันจันทร์นี้ให้มาที่กลุ่มเวลา ๑๖ น.”

“ชี่” ชาญพูดแบบงงๆ

“ชี่ก็เฟรชชี่ หมายถึงปีหนึ่งไง” ผมอธิบาย พร้อมกับแอบขำอยู่ในใจ แปลกใจที่ชาญไม่รู้จักคำนี้ มันบอกว่าบ้านอยู่ฝั่งธนฯ ดูท่าจะเป็นคนกรุงเทพฯ แค่คำว่าเฟรชชี่ก็ไม่รู้จัก ขนาดผมเป็นเด็กมาจากต่างจังหวัดยังดูจะมีความรู้รอบตัวมากกว่ามันเสียอีก

“อ้อ เหรอ” ชาญหัวเราะพร้อมกับผิวปากเป็นเพลงอะไรก็ไม่รู้ แต่ฟังแล้วเหมือนกับจะไม่เป็นเพลงเสียมากกว่า “นัดอีกแล้ว เรียนมหาลัยนี่นัดเยอะฉิบหาย มีนัดโน่นนัดนี่แทบทุกวัน ตอนเรียนมัธยมไม่เห็นยุ่งยากแบบนี้”

“นั่นดิ” ผมเห็นด้วย


<โรงอาหารที่โรงเรียนเก่าของผมขนาดว่าแน่นแล้วยังเป็นรองที่นี่ ที่คานของห้องอาหารมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ห้อยลงมาสะดุดตา ชนิดที่ว่าใครเข้ามาก็ต้องเห็น บนโปสเตอร์มีภาพของเด็กผอมเหลือแต่ซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นเด็กในทวีปแอฟริกา ดูแล้วน่าเวทนา ใต้ภาพมีข้อความเด่นสะดุดตาเขียนเอาไว้ว่า ‘กินอาหารให้หมด คนอดยังมี’>

23 comments:

Anonymous said...

ดีใจจังได้เป็นที่หนี๋ง
ขอมาจองที่หนี๋งนะครับ
ยังไม่ได้อ่านเลย

กัน

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงชีวิตตัวเอง สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเลยครับ อาอู ช่วงนี้อาการเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยถ้วนหน้าด้วยนะครับ
Federick
ป.ล.แฝดน้องเราก็คิดถึงนายนะ แต่ถ้่าจะให้ส่งแต่อีเมล์อย่างเดียวก็คงช้าหน่อยนะ ส่วน FB ยังไม่ได้สมัคร ถึงส่งมาใ้แอดก็ยังแอดไม่ได้อยู่ดี ต้องขอโทษด้วยนะ

Anonymous said...

ช่วงนี้ไม่มีเรื่องตื่นเต้นมังรึครับ
มีแต่เรื่องเล่าถึงอดีตการเรียน สถาบัน สถานที่
แต่ก็ติดตามอ่านอยู่นะครับ เป็นแฟนประจำนะครับ

กัน

Bomber_Boy said...

เฝ้ารอมาหลายวัน..ว่าแต่ทำไมต้องบอกด้วยว่าชาญหน้าตาน่ารัก พี่อูคิดอะไรอยู่หรือเปล่าเนี่ย???

ตอนต่อไปขอเร็วๆ แบบนี้อีกนะครับ
อย่าหายไปนานนะ

qui said...

เย้ๆ มาแล้ว
สวัสดีวันจันทร์ครับ

qui

Anonymous said...

มารักอาอู ไปอ่านหนังสือสอบไว้สอบเสร็จจะมาอ่านนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

มาอ่านแล้วคร้าบ...

ตอนนี้บรรยายล้วนๆ เลย มีบทพูดนิดเดียวเอง

ว่างแล้ว ก็มาต่อให้อีกนะครับ ...ชี่ อู

*** P ***

Anonymous said...

แอบอ่านตอนกินข้าวก่อนไปสอบ
ไข้ขึ้น+ท้อเงสีย

หลาน Arus ของอาอู

nai said...

ดีใจจังได้เม้นท์ 9 สักที แต่แอบน้ำตาตกนัย อู จะมีกิ๊กใหม่ หน้าตาน่ารักซะด้วย
นัย

Anonymous said...

)^_^(ที่1 0 ....บูม....แปะๆ ผมบูมให้ลุงซะหน่อย ชาญบุคคลนี้กำลังแรงทุกคนกำลังจับตาดูพฤติกรรมลุงต่อไปครับ

Anonymous said...

ได้ที่1กับ1กับเค้าซะที..
ตอนนี้พอเดาทางได้เลาๆแล้วค่ะว่าอูอยู่คณะอะไร เป็นธรรมดานะที่พวกซี่จะมองพวกสตาฟเชียร์เป็นเทวดากับนางฟ้า ส่วนสตาฟว๊ากนี่มาจากไหนกันล่ะเนี่ย..ดุชะมัดยาด! เจอกันข้างนอกไม่กล้าสบตาแหงๆ..555

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

คนที่โหลนึง

...

ช่วงนี้เดินเรื่องช้านะครับพี่ สงสัยอยากให้รายละเอียดเยอะ ๆ

OaH

Anonymous said...

อย่างน้อยก็เริ่ม ตัวละคร
ที่มีมิติมากขึ้น อย่างชาญ

ติดตามตลอด
แต่ไม่ค่อยได้รายงานตัวหน่ะ

tl000

Anonymous said...

เพิ่งจะได้เข้ามาอ่าน อ่านแล้วรุ้สึกดีจัง

ติดตามผลงาน เรื่อยๆนะคับ

ขอฝากตัว เป็น น้องอีกคนนะคับ (ไม่ชินกับการเรียก คุณอาเลย ^^ ขอเรียกคุณพี่แล้วกันนะคับ คงไม่ว่า )

อาร์ต คับ

Anonymous said...

จะขอนึกถึงความหลังบางช่วงบางตอนที่อยู่ในความทรงจำบ้างก็มาต่อว่าอีก ใจร้าย T_T'

:-(

อู

Anonymous said...

“พวกเราชาวปู อยู่ในรู กระดึ๊บ กระดึ๊บ”
น่าจะเป็น อ้อยหวานนะครับ

Anonymous said...

ช้าก็ดีแล้ว นานาจิตตัง
ช่วงมัธยมปลายเร็วเกินไปมากๆ เลย
ไม่ได้อยาก "อ่านเอาเรื่อง" อ่ะครับ T-T

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

คุณอู...เริ่มงอนล่ะ

มีใครอาสาไป โอ๋....คุณอูบ้างคร้าบ...

สัปดาห์ ละตอน กำลังพอดีครับ

แล้วแต่งานด้วยนะครับ แต่ก็อย่าช้ามากนะครับ...

แบบ...ติดตามตลอดนะครับ

*** P ***

Choo said...

ตอนก่อนเมนต์เร็ว
ตอนนี้ขอเมนต์ปิดท้าย อันดับที่ 19
แต่จะท้ายสุดของตอนนี้หรือเปล่า....ไม่แน่ใจ

เอาใจช่วยให้อูมีเพื่อนใหม่ที่ดี
มีรักใหม่ที่สมบูรณ์กว่าเดิม

ขอบคุณที่เขียนให้อ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยครับ

ชู

Anonymous said...

อยากจะโอ๋ๆอูด้วยคริสปี้โดนัท แต่ก้อจนใจ..
เพราะบุกพารากอน2รอบแล้วยังล้มเหลวอยู่เลย
กินมิสเตอร์โดนัท(ชิ้นละ9บาทในยุคนู้น)ไปก่อนมั้ยคะ?

คนลาดพร้าว

–• องค์ ๕ •– said...

แหะ แหะ แหะ
^ ^

ไม่ได้เข้ามาซะนานเลย
พอดีอยู่ในช่วงสอบอ่ะคับ
เลยไม่ค่อยจะว่างเปิดคอมสักเท่าไร
ตอนนี้สอบเสร็จแล้ว รอลุ้นผลงาน !



"ชาวปู" งงกับคำนี้จริงๆ
ยังไง รบกวนคุณอู ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยนะคับ ถ้ารู้ !!!

ช่วงนี้คนไม่สบายเยอะแยะ
ยังไง คุณอูก็รักษาสุขภาพด้วยนะคับ !




–• องค์ ๕ •–

Fryderyk C. said...

^ ^

Anonymous said...

เข้ามาบอกอูว่า..หมากในเชี่ยนจวนหมดแล้วค่ะ!!
แต่ถ้ายังไม่สะดวก..รอได้ค่ะ :)
ป.ล.วันก่อนซื้อตะโก้ยี่ห้อที่ครอบครัวใหญ่พอสมควรมาลองทาน ไม่ผ่านค่ะอู..!!

คนลาดพร้าว