Sunday, October 24, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 10

ในที่สุดเจตก็หาที่นั่งจนได้โดยมีเพ็ญนั่งอยู่ติดกัน แม้เจตได้ที่นั่งแล้วแต่ก็ยังบ่นเสียงดังต่อไปอีกจนกระทั่งอาจารย์เข้ามาในห้องจึงหยุดโวย

“ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยไอ้คู่นี้” จิ๊บกระซิบกับแมว เสียงกระซิบนั้นแม้จะแผ่วเบาแต่ผมก็พอได้ยินเนื่องจากนั่งอยู่ติดกัน คำพูดของจิ๊บทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมาในใจ

- - -

วันพฤหัสบดี กลางเดือนมิถุนายน

ผ่านมาได้สองสัปดาห์นับแต่เปิดภาคเรียน ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมยังไม่เคยเงียบเหงา พวกนักศึกษาใหม่มีกิจกรรมให้ทำมาโดยตลอดทั้งงานราษฎร์และงานหลวง งานราษฎร์หมายถึงกิจกรรมที่รุ่นพี่จัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมเชียร์ การว้าก ส่วนงานหลวงนั้นหมายถึงงานที่ทางคณะหรือทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดขึ้น อย่างเช่นงานวันไหว้ครูในวันนี้

กลางเดือนมิถุนายนของทุกปี หลังจากที่เปิดภาคการศึกษาไปแล้วระยะหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยก็จะจัดให้มีพิธีไหว้ครูขึ้นอันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องโดยมีแต่ละคณะเป็นผู้ดำเนินการ

เช้าวันนั้น ที่ลานหน้าตึกคณบดีคลาคล่ำไปด้วยอาจารย์และนักศึกษา คณาจารย์ในคณะเทคโนโลยีนั่งเรียงรายกันอยู่บนเก้าอี้เป็นแถวยาว เบื้องหน้าของอาจารย์มีนักศึกษาปีหนึ่งทั้งชายและหญิงตั้งแถวอยู่ พร้อมโต๊ะวางพานดอกไม้สำหรับไหว้ครู ส่วนพวกนักศึกษาชั้นปีอื่นๆยืนกระจายกันอยู่โดยไม่ได้ตั้งแถว

“โอ๊ย เหม็นเขียวโว้ย” จิ๊บบ่นขณะที่ยืนอยู่ในแถว

“บ่นอะไรเจ๊ ไม่สบายเหรอ ไปกินยาประสะนอแรดซะไป” เป้าที่ยืนอยู่ติดกันพูดสวนขึ้นทันที

“บ้า แรดอะไรที่ไหน เหม็นเขียวหัวพวกเธอนั่นแหละ” จิ๊บหัวเราะพร้อมทั้งมองไปที่หัวของเป้าซึ่งตัดผมใหม่จนเกรียน

ผมอดลูบเผมของตนเองเองไม่ได้ หลังจากที่เปิดเทอมมาผมมีโอกาสได้ใช้หวีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ในที่สุดก็ต้องกลับไปตัดผมสั้นอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากต้องเรียน รด. สาเหตุที่ทางคณะจัดตารางเรียนของชั้นปีหนึ่งโดยเว้นวันพุธบ่ายให้ว่างเอาไว้ไม่มีวิชาเรียนเลยก็เพราะต้องจัดเวลาเอาไว้สำหรับให้นักศึกษาที่สอบเทียบมาไปเรียน รด. นั่นเอง และเมื่อวานก็เป็นการเรียน รด. เป็นวันแรก แม้ยังไม่มีการเรียนอะไรแต่ก็ต้องไปรายงานตัวและมีการตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายและทรงผม

เมื่อถึงวันเรียน รด. จำนวนนักศึกษาชายที่เป็นเด็กสอบเทียบมาก็ถูกเปิดเผยโดยดูจากทรงผม ปรากฏว่านักศึกษาชายหัวเกรียนหรือทรงนักเรียนแบบเอาหวีรองมีอยู่ถึงค่อนคณะ ยังไม่รู้ว่านักศึกษาหญิงที่สอบเทียบมามีจำนวนเท่าไรเนื่องจากไม่มีอะไรเป็นเครื่องแสดงออก รู้แต่ว่าพวกผู้หญิงบ่นเหม็นเขียวกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“เฮ้ย ไอ้อูมันเดือดร้อนนะ จะว่าไอ้เป้าก็นึกถึงไอ้อูมันบ้าง” ชาญหัวเราะ “แต่ไอ้พวกเด็กสอบเทียบนี่มันแย่งที่จริงๆเลย ถ้าไม่มีพวกนี้ป่านนี้เราได้คณะทันตฯไปแล้ว”

“ตกลงนี่จะช่วยหรือจะหลอกด่ากันแน่วะ” ผมถามชาญ

“ก็ช่วยแหละ ช่วยซ้ำเติมไง” ชาญตอบพร้อมกับหัวเราะอารมณ์ดี

กลุ่มของเราห้าคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มนี้มีผมกับเป้าที่สอบเทียบมา ไอ้เป้านี่มาจากโรงเรียนเอกชนชื่อดัง แม้ว่าท่าทางและการแต่งตัวไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคนฐานะเลยแม้แต่น้อยแต่พวกเรารู้กันดีว่าบ้านของเป้าคงมาฐานะพอสมควรเนื่องจากมันขับรถมาเรียน ในยุคนั้นนักศึกษาที่ขับรถมาเรียนยังมีน้อย ใครขับรถมาเรียนก็มักเป็นจุดเด่น

เก้าโมงเช้า หลังจากที่ยืนกระเซ้าเย้าแหย่กันได้พักใหญ่ พิธีไหว้ครูก็เริ่มขึ้น

“ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา...” นักศึกษาปีหนึ่งพนมมือ ในมือมีช่อดอกเข็ม ดอกมะเขือ และหญ้าแพรก อันเป็นของไหว้ครูตามประเพณี พร้อมกับร้องบทไหว้ครูในทำนองสรภัญญะตามผู้แทนนักศึกษา

พิธีไหว้ครูเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่น่าประทับใจ ตัวแทนนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งนำพานดอกไม้ไปกราบตัวแทนอาจารย์ จากนั้นนักศึกษาปีหนึ่งที่ตั้งแถวอยู่ก็ทยอยกันไปกราบอาจารย์ที่นั่งเรียงรายกันอยู่ด้วยดอกไม้บูชาครูที่เตรียมไว้แล้วอยู่ในมือ

เพียงชั่วโมงกว่าๆพิธีไหว้ครูก็เสร็จสิ้นลง วันนั้นทั้งวันไม่มีการเรียนการสอน หลังจากที่ไหว้ครูเสร็จพวกนักศึกษาปีหนึ่งก็มักใช้โอกาสนี้กลับไปไหว้ครูที่โรงเรียนเดิมที่ตนจบมา พวกผมก็เช่นกัน

หลังจากเสร็จพิธีไหว้ครู พวกเราที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่อันหมายถึงทั้งพวกที่สอบเทียบและสอบตามปกติก็มารวมตัวกัน รวมแล้วก็นับสิบคนทีเดียว พวกเรายกให้พี่จุ้ยเป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยาย แต่ละคนก็เตรียมดอกไม้ไหว้ครูไปคนละหลายๆชุด จากนั้นก็เดินทางไปที่โรงเรียนด้วยกัน ผมชวนตี๋ไว้ด้วยเพราะว่าก่อนหน้านั้นผมเจอตี๋ในมหาวิทยาลัย จึงได้บอกถึงเรื่องการนัดหมายพร้อมกับบอกว่าให้กลับไปโรงเรียนด้วยกัน แต่ตี๋บอกว่าหลังจากไหว้ครูที่คณะเสร็จแล้วจะไปเจอกันที่โรงเรียนเลย

- - -

ที่โรงเรียน

พวกเรานั่งรถเมล์สาย ๔๐ โดยขึ้นรถที่หน้ามหาวิทยาลัยและลงจากรถแถววัดตึก จากนั้นก็เดินทะลุวังบูรพา ในตอนนั้นก็ยังไม่มีดิโอลด์สยามพลาซ่า พวกเราเดินไปหยอกล้อกันไปอย่างสนุกสนานเนื่องจากมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่นานก็ถึงหน้าประตูโรงเรียน

“น่าเสียดาย ไม่น่าเรียน รด. ตอนนี้เลย” ไอ้กี้บ่นกับผมเมื่อเรายืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน

“ทำไมเหรอ” ผมงงกับคำพูดที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของมัน

“ไอ้ฟายเอ๊ย” ไอ้กี้หัวเราะชอบใจที่ผมรับมุขของมันไม่ถูก “ก็ไม่ได้ไว้ผมยาวมาอวดเพื่อนๆไง เป็นนักศึกษาแทนที่จะได้เท่ยังต้องมาตัดผมทรง รด. อีก เฮ้อ... กลุ้ม”

“กูนัดหมอให้มึงแล้วนะ วันเสาร์นี้” ผมบอกมัน

“หมออะไรวะ” ไอ้กี้งง “ นัดหมอที่ไหนกัน”

“นัดหมอให้ผ่าเอาหมาในปากมึงออกมาไง” ผมตอบ ว่าแล้วก็รีบเดินหนีเข้าโรงเรียนไป

เมื่อย่างเท้าเข้าประตูโรงเรียน ภาพแรกที่ผมเห็นก็คืออาคารเรียนยาวเหยียดที่ผมเคยเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.๒ โดยเฉพาะลานหน้าบันไดตึกที่เคยใช้เป็นที่จัดแสดงดนตรีนักเรียน ทันใดนั้นหัวใจของผมก็เหงาวูบขึ้นมา ความรู้สึกร่าเริงหายไปจนหมดสิ้น ในจินตนาการของผมเหมือนกับแลเห็นไอ้นัยในชุดนักเรียนกำลังเล่นกีตาร์อยู่ที่ลานนั้นในงานวันปีใหม่

เพียงไม่กี่เดือนที่ไม่ได้มาที่นี่ ผมรู้สึกว่าโรงเรียนเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมพยายามสำรวจดูอย่างละเอียดว่ามีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปก็พบว่านอกจากอาคารใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว อย่างอื่นเท่าที่มองเห็นด้วยสายตาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

นัย... มึงอยู่ที่ไหนนะ... จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“อู อู” พี่จุ้ยเขย่าแขนผม “เฮ้ย เป็นอะไร ยืนซึมเชียว เร็วเข้า พวกเราเดินไปกันหมดแล้ว”

“อ้อ ครับพี่” ผมตื่นจากภวังค์ จากนั้นก็เดินตามพี่จุ้ยไป

ตอนนั้นยังอยู่ในเวลาเรียน บริเวณโรงเรียนจึงสงบเงียบ คงมีเพียงเสียงอาจารย์สอนดังลอดออกมาจากห้องต่างๆตามทางเดินที่เราเดินผ่านไป

พวกเราเดินไปที่ตึก ม.๕ และ ม.๖ ก่อนซึ่งเป็นตึกเดียวกัน แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปไหว้อาจารย์ประจำชั้นของตนเอง ผมกับไอ้กี้ไปไหว้อาจารย์ด้วยกันเนื่องจากเรียนอยู่ห้องเดียวกัน

เสร็จจากชั้น ม.๕ ก็ไปที่ตึก ม.๔ เพื่อไปไหว้อาจารย์วารี อาจารย์คนหนึ่งที่ผมรู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุด ตอนนั้นอาจารย์กำลังสอนอยู่แต่ก็ออกมาคุยกับพวกเรา

“ครูยังนึกถึงอูกับกี้อยู่เสมอ” อาจารย์วารีพูดด้วยความดีใจ “โดยเฉพาะดีใจกับอูที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตอนที่เธอเรียนกับครูครูยังหนักใจกับผลการเรียนของเธออยู่เลย”

“ผมก็ไม่นึกเหมือนกันครับว่าจะได้เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นถ้าไม่ได้อาจารย์ผมอาจจะไม่ได้จบ ม.๖ ด้วยซ้ำ” ผมสารภาพความในใจออกมา

“เธอไม่แย่ถึงขนาดนั้นหรอก ครูดูเธอออก” อาจารย์ปลอบใจ

หลังจากนั้นอาจารย์วารีก็พาเราเข้าไปแนะนำกับพวกน้องๆ พร้อมทั้งบอกให้น้องดูพวกเราเป็นแบบอย่าง ในใจผมอดรู้สึกขมวูบขึ้นมาไม่ได้ แอบบอกกับน้องๆในใจว่าอย่ามาเป็นอย่างพี่เลย ไปเลือกคนอื่นเป็นแบบดีกว่า

ขณะที่อยู่ในชั้น ผมพยายามมองดูนักเรียนในชั้นว่ามีใครบ้าง และหลังจากที่เราลาอาจารย์วารีมาผมก็แกล้งเดินช้าๆผ่านหน้าห้องต่างๆ การใส่ชุดนักศึกษาขาวมาเดินอยู่ในโรงเรียนนี่เป็นจุดเด่นพอสมควร พวกนักเรียนที่อยู่ในห้องมักหันมามองในขณะที่เราเดินผ่านหน้าห้องไป ซึ่งก็เป็นโอกาสให้ผมมองหาใครบางคน...


“เฮ้ย ไอ้อู มึงมองหาใครวะ” เสียงไอ้กี้ถามผมขณะที่เราเดินลงจากตึก ม.๔

“เอ้อ... เปล่า ก็ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ”

“อ้อ...” ไอ้กี้ครางด้วยเสียงครุ่นคิด “จำได้ว่าเมื่อก่อนมึงก็มาเดินลับๆล่อๆที่ตึกนี้ ตอนนี้ก็เดินเหมือนกับหาใคร... หรือมึงมีต้อยอยู่แถวนี้จริงๆวะ”

ผมใจหายวูบ ไอ้กี้รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆและปะติดปะต่อเรื่องราวออกมาจนได้ แม้ผมจะพยายามระวังแล้วแต่ก็ยังเผยพิรุธออกมา นี่ถ้ามันเอาไปพูดที่คณะผมคงพังแน่ คงวิจารณ์กันสนุกปาก

ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเหมือนกำลังถูกจ้องจับผิด ผมพยายามพูดกลบเกลื่อนพร้อมกับหาโอกาสหนีจากไอ้กี้โดยอ้างว่าจะไปไหว้อาจารย์ชั้น ม. ต้น หากเดินด้วยกันนานไปคงไม่ดีแน่

หลังจากที่ไหว้อาจารย์ประจำชั้นเก่าจนครบทุกชั้นแล้ว ผมก็เดินมาหยุดยืนที่หน้าสหกรณ์ ตอนนั้นเป็นเวลาเรียน สหกรณ์จึงไม่มีคนอยู่ หากสอบถามจากน้องๆในห้องนี้ก็น่าจะพอได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง

ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง สายตาเหม่อมองดูประตูที่ปิดสนิทอยู่ แม้สายตาจะถูกประตูกางกั้นเอาไว้ แต่หัวใจของผมเสมือนกับส่องเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในห้องอย่างชัดเจน... หลายปีมาแล้ว... เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเอกสาร เด็กคนนี้หัวดีจนสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านทำฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ได้... และภาพต่อมาเป็นภาพของเด็กวัยรุ่นอีกคนหนึ่งกำลังถูกขึงให้นอนอยู่บนโต๊ะพร้อมกับมีเทปกาวแผ่นใหญ่คาดอยู่ที่ปาก...

ผมยืนลังเลอยู่นาน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินจากมา... อะไรที่ผ่านไปก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไปดีกว่า...

ผมจากสหกรณ์มา ในมือยังเหลือดอกไม้ไหว้ครูอีกชุดหนึ่ง ผมเดินเรื่อยไปตามทางเดินที่ทอดยาว ลงบันไดมาที่ชั้นล่าง จากนั้นก็แวะหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง

“สวัสดีครับ” ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับยกมือไหว้สตรีวัยกลางคนร่างสูงโปร่งในชุดสีฟ้า เธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

“สวัสดีจ้ะ” สตรีในชุดสีฟ้าวางหนังสือในมือลงและรับไหว้ผมอย่างงงๆ “เธอ เอ้อ...”

“ผมมาไหว้อาจารย์ครับ วันนี้เป็นวันไหว้ครูที่มหาวิทยาลัย ผมเลยถือโอกาสกลับมาไหว้อาจารย์” ผมพูด พร้อมกับยกมือไหว้และยื่นดอกไม้บูชาครูให้ เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“วันนี้เห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดินถือดอกไม้อยู่ในโรงเรียนเหมือนกัน ทุกปีก็มีนักศึกษาแวะมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าเสมอแต่ไม่ค่อยมีใครแวะมาที่ห้องพยาบาลหรอก” สตรีในชุดสีฟ้าพูดหลังจากที่รับดอกไม้จากผม เธอผู้นี้คือพยาบาลผู้มีใจอารีนั่นเอง

“ผมยังนึกถึงอาจารย์เสมอครับ” ผมตอบ ยังไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่อาจารย์ยอมเซ็นใบลาป่วยให้ผมกลับได้ทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่ได้ป่วยจริง “เมื่อก่อนผมเคยมานอนที่ห้องนี้ ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเมื่อถึงวันไหว้ครูจะมาไหว้อาจารย์ครับ”

“ขอบใจมากนะ เธอชื่ออะไรนะ แจ้ใช่ไหม” พยาบาลผู้อารีถาม

“ชื่ออูครับ แจ้นั่นนักร้องครับ” ผมหัวเราะ “อาจารย์เรียกชื่อผมผิดทุกที”

“เอ้อ นั่นแหละ จำได้ว่าชื่อเธอเป็นไก่อะไรสักอย่าง” คำพูดที่ตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด

หลังจากคุยกันชั่วครู่ผมก็ลาจากมา และต่อมาในวันนั้นเอง ในที่สุดผมก็ได้เจอตี๋ที่โรงเรียน ตี๋ในวันนั้นใส่ชุดขาวผูกเนกไทเดินไปเดินมาตามตึกต่างๆคนเดียว ชุดขาวของตี๋เป็นสีขาวตุ่นๆอันเนื่องจากความเก่า กางเกงขาลอยเห็นถุงเท้า แลดูรัดไปทั้งขาเหมือนกางเกงทรงเกาหลีขาแคบสมัยนี้ แขนเสื้อกลับยาวคลุมหลังมือ ไหล่เสื้อตก รวมๆแล้วดูไม่ค่อยพอดีตัวเท่าไรนัก

“เฮ้ย” ผมทักทาย “หามึงอยู่ตั้งนาน นึกว่ามึงเบี้ยวเสียแล้ว”

“ก็ว่าจะไม่มาอยู่เหมือนกัน” ตี๋บอก “นี่ถ้าไม่รับปากมึงเอาไว้ก็คงไม่มาแล้ว”

“อ้าว ทำไมยังงั้นล่ะ” ผมถามอย่างแปลกใจ

“เอาไว้วันหลังค่อยมาก็ได้” ตี๋ตอบแบบบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมบอกเหตุผลที่แท้จริง ผมรู้นิสัยตี๋ดีจึงไม่ซักอะไร เมื่อก่อนมันไม่เคยซักไซร้อะไรจากผมเลย ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบสาวความลับคับใจของมัน

“เฮ้อ เมื่อไรจะเลิกใส่ชุดขาวเสียที” ตี๋บ่นขึ้นมาในขณะที่เราคุยกัน “อึดอัดจะแย่”

“เป็นอะไรไปล่ะ” ผมถาม สำหรับผมนั้นสัปดาห์หน้าก็ไม่ต้องใส่ชุดขาวแล้ว ใหม่ๆก็เห่ออยู่เหมือนกัน แต่ต่อมาก็หายเห่อเพราะว่าการผูกเนกไทเรียนนี่ร้อนอบอ้าวมาก

“กางเกงมันคับไปหน่อย ใส่แล้วอึดอัด” ตี๋พูดเรื่อยๆ

“สงสัยรุ่นพี่จะตัวเล็กหน่อย” ผมพยายามเลียบเคียงถึงที่มาของชุดขาวกางเกงเล็กเสื้อใหญ่ของตี๋

“พี่กูไม่มีชุดให้ นี่ต้องไปขอจากพี่คนอื่นเขามา ก็ได้มาแบบนี้แหละ คนหนึ่งให้เสื้อ อีกคนให้กางเกงมาแต่ยังไงก็ดีกว่าต้องตัดชุดเองเพราะใส่แค่ไม่นาน” ตี๋ตอบ

ผมรู้ความหมายของตี๋ดีว่ามันหมายถึงอะไร เงินทุกบาทมีค่าสำหรับตี๋เสมอ ผมรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ลึกๆ ผมรู้ดีว่านิสัยของตี๋ไม่เคยปริปากบ่นกับใคร แต่ในช่วงหลังนี้ตี๋มีแอบบ่นกับผมบ้าง สะท้อนให้เห็นว่ามุมมองของชีวิตมันอาจเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว หลังจากที่เจอเรื่องอะไรต่ออะไรมาหลายอย่างดูมันจะรู้สึกคับข้องใจกับชะตาชีวิตของมันมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่ามันไว้ใจผมมากเพียงใด หัวใจของเพื่อนนั้นยากที่จะได้มาง่ายๆ แต่อย่างน้อยผมก็ได้มาสองคนแล้ว...

“แล้วไถอะไรจากรุ่นพี่ได้อีกบ้างล่ะ ตำรา ชีต...” ผมถาม

ตี๋ส่ายหัว “ได้มาแค่ชีตนิดหน่อย”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไถรุ่นพี่กูมาให้เอง” ผมปลอบใจมัน “ยังพอหาได้หลายวิชา”

ในยุคนั้นคณะเทคโนฯกับคณะศึกษาฯเรียนวิชาพื้นฐานด้วยตำราเล่มเดียวกัน อาจารย์ผู้สอนก็คนเดียวกัน แม้ว่าจะแยกกันเรียน แยกกันสอบ และตัดเกรดแยกกันก็ตาม ดังนั้นพวกชีตและตำราจึงใช้กันได้ ยกเว้นข้อสอบเก่าที่ไม่เหมือนกัน

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าลำบากเลย” ตี๋ปฏิเสธ หลังจากนั้นเราคุยกันต่ออีกสักครู่ก็แยกจากกัน

หลังจากหมดคาบ ผมกลับไปที่ตึก ม.๖ อีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นผมได้พบเพื่อนร่วมห้องเมื่อครั้งที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.๔ และ ม.๕ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพี่ใหญ่ชั้น ม.๖ ไปแล้ว

ห้องเรียนชั้น ม.๖ ว่างโล่ง มีนักเรียนราว ๓๐ คนเท่านั้น เก้าอี้ที่ว่างโล่งก็คือนักเรียนที่สอบเทียบได้และเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนั่นเอง กลุ่มไอ้เฉาหายไปเกือบหมด สอบติดแพทย์และวิศวะกันเป็นส่วนใหญ่ บางคนก็ยังไม่ไปไหนเพราะต้องการสอบชิงทุน เวชและเกรียงก็ยังอยู่แต่ดูซ่าน้อยลง หมูและสิทธิ์ก็ยังอยู่และยังเป็นนักดูหนังตัวยงเช่นเดิม เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าห้องเรียนของเราในปีนี้สงบเรียบร้อยขึ้นเนื่องจากนักเรียนหายไปส่วนหนึ่ง ประกอบกับแต่ละคนตั้งใจเตรียมสอบเอนทรานซ์เพราะเวลาใกล้เข้ามาแล้ว การเกรียนในห้องเรียนจึงไม่ค่อยมี แต่เรื่องไม่สนใจขณะที่อาจารย์สอนกลับมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มีทั้งโดดเรียน เอาหนังสือกวดวิชามาอ่านในเวลาเรียน แต่โดยรวมแล้วเป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่เอะอะ ห้องเรียนจึงดูสงบเรียบร้อย

- - -

“ขยันจริงอู ไปเรียนแต่เช้าทุกวัน” พี่ธิตทักขณะที่เห็นผมกำลังชื่นชมกับต้นกุหลาบมอญอยู่ กุหลาบมอญต้นที่สองนี้ตอนซื้อมาดอกบานสะพรั่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยออกดอกนัก หลังจากที่ทิ้งช่วงไปพักใหญ่จึงจะออกดอกสักหนึ่งหรือสองดอก เมื่อออกดอกแต่ละดอกผมจึงรู้สึกชื่นชมเป็นพิเศษ กุหลาบสีชมพูเข้มจนเกือบแดงบานส่งกลิ่นหอมที่ประทับในความทรงจำของผมอย่างล้ำลึก

“พี่ว่าวันนี้ฝนจะตกไหมครับ” ผมถามพี่ธิตพลางแหงนหน้าดูท้องฟ้ายามรุ่งอรุณที่มืดครึ้มจนไม่เห็นแสงเงินแสงทอง ทุกเช้าผมต้องขึ้นมารดน้ำกุหลาบและได้พบกับพี่ธิตเสมอ

“ก็น่าจะตกนะ” พี่ธิตแหงนหน้าดูท้องฟ้าบ้าง

“รดน้ำไปก่อนก็แล้วกัน เกิดไม่ตกเดี๋ยวขาดน้ำแย่เลย” ผมรำพึงกับตนเอง เดิมทีคิดว่าจะไม่รดน้ำเพราะว่าฝนกำลังจะตก แต่คิดไปคิดมารดน้ำไว้ก่อนดีกว่า แม้ว่าช่วงปลายเดือนมิถุนายนฝนตกค่อนข้างชุก บางทีตกสองสามวันติดๆกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนอะไร

“โธ่ ไอ้อูเอ๊ย อยากจะรดก็รดไป แล้วจะถามพี่หาหอกอะไร” พี่ธิตหัวเราะ

“แหะๆ ก็อยากให้พี่ตอบว่าอาจจะไม่ตกน่ะ ไม่รดน้ำแล้วไม่สบายใจครับพี่” ผมกวน

ขณะที่รดน้ำต้นไม้ ผมสังเกตเห็นยอดอ่อนผลิออกมาจากตาของกุหลาบหลายยอด บางยอดเห็นใบเริ่มคลี่ออกมาแต่ก็ยังหงิกงอและเป็นสีน้ำตาลอมดำอยู่ ฤดูฝนนี่ช่วยให้ต้นไม้งอกงามดีจริงๆ เมื่อรดน้ำเสร็จจึงรีบเดินทางไปมหาวิทยาลัย

ช่วงนี้การเรียนในห้องเรียนเริ่มไม่ค่อยสนุกเพราะว่าเนื้อหาวิชาที่เรียนเริ่มยากขึ้น เรียนไปก็ง่วงไป ผมย้ายห้องเรียนวิชาฟิสิกส์จากห้องที่คนแน่นจนต้องไปนั่งจดเลกเชอร์กับพื้นไปเรียนกับอาจารย์อีกคนหนึ่งซึ่งห้องเรียนว่างโล่งนั่งสบาย อาจารย์ห้องโล่งนี้สอนยากกว่าจริงๆ มีการให้ไปอ่านตำราล่วงหน้าก่อนเข้าชั้น จากนั้นเมื่ออยู่ในชั้นก็สอนราวกับการคุยกัน มีการตั้งประเด็นคำถามแล้วให้นักศึกษาออกความเห็น แม้การเรียนจะยากกว่าแต่ผมก็รู้สึกว่าการเรียนการสอนเป็นผู้ใหญ่ดีเหมือนกัน เคยดูในหนังฝรั่งเห็นนักศึกษาฝรั่งเรียนก็กันแบบนี้ นอกจากนี้แล้วผมจะได้หลีกเลี่ยงเรื่องการจองที่นั่งให้เพื่อนหรือการมีใครมาจองที่นั่งให้ผมด้วย ไม่อยากโดนใครด่า เรื่องการย้ายห้องเรียนฟิสิกส์นี้ผมย้ายเองคนเดียวอย่างเงียบๆ

แม้การเรียนจะเริ่มยาก แต่นอกเวลาเรียนนั้นกลับสนุกสนานยิ่งขึ้น การว้ากเริ่มน้อยลงไป ส่วนการซ้อมเชียร์กลับเข้มข้นขึ้นเนื่องจากตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงช่วงกลางภาคมีการแข่งขันต่างๆมากมาย ตั้งแต่แข่งกีฬา แข่งขันตอบปัญหา แข่งขันเกมในร่ม เช่น ครอสเวิร์ด ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นพวกแข่งคัดตัว ซึ่งในแต่ละนัดล้วนแต่ต้องการกองเชียร์ เรียกว่านักศึกษาปีหนึ่งถูกเรียกใช้จนแทบไม่มีเวลาว่าง ใครที่ไม่เป็นนักกีฬาก็ต้องไปเป็นกองเชียร์ หรือหากหน่วยก้านดีรุ่นพี่ก็จะดึงตัวให้ไปทำงานสตาฟเชียร์รวมทั้งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พี่จุ้ยได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ได้ยินมาว่าสถิติไม่เลวเลยทีเดียว ชาญถูกบังคับให้ลงแข่งวอลเลย์บอลชายเนื่องจากทีมวอลเลย์บอลชายไม่ค่อยมีผู้สมัคร ส่วนทีมวอลเลย์บอลหญิงของคณะกลับคึกคัก ดาวเด่นคนหนึ่งของทีมคือเจตนั่นเอง เจตนอกจากจะเล่นวอลเลย์บอลแล้วยังเล่นกรีฑาได้อีกด้วย ส่วนผมนั้นไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง เรียนก็ไม่ดี กีฬาก็ไม่เด่น จึงเป็นได้แค่กองเชียร์

นอกเหนือจากการแข่งขันและการเชียร์แล้ว นักศึกษายังมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำอีกโดยการเข้าร่วมในชมรมต่างๆ ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีวันเปิดโลกกิจกรรมขึ้นเพื่อแนะนำกิจกรรมชมรมต่างๆเพื่อให้นักศึกษาเลือกทำกิจกรรมชมรมที่ตนสนใจและสมัครเข้าเป็นสมาชิก ชมรมเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ชมรมส่วนกลางได้แก่ชมรมที่นักศึกษาทุกคณะเข้ามาร่วมทำกิจกรรมได้ เช่น ชมรมดนตรี ชมรมธรรมะ ชมรมแวมไพร์ ฯลฯ ส่วนชมรมในสังกัดคณะก็จะมีแต่นักศึกษาในคณะเท่านั้นที่เข้าร่วมทำกิจกรรม

สำหรับชมรมในคณะเทคโนก็มีอยู่หลายชมรม เช่น ชมรมค่ายอาสา ชมรมวิชาการ ฯลฯ และนอกจากนี้ หากไม่อยากเข้าร่วมกับการแข่ง การเชียร์ หรือชมรมใดๆ นักศึกษาก็ยังสามารถใช้เวลาว่างพักผ่อนอย่างสบายๆได้ที่โต๊ะกลุ่มของแต่ละกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็ไปนั่งจับกลุ่มพูดคุย เล่นไพ่ (ต้องมีคนดูต้นทาง) และร้องเพลง โดยแต่ละกลุ่มมักมีคนที่เล่นกีตาร์ได้และมีกีตาร์วางอยู่ประจำในแต่ละกลุ่ม

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่นักศึกษาปีหนึ่งเริ่มสนิทสนมกันแล้ว พวกเราก็สนุกกันสุดเหวี่ยง เรื่องเรียนนี่แทบไม่ต้องพูดถึง กลายเป็นงานอดิเรกไปเสียแล้ว งานหลักคือกิจกรรมต่างๆนั่นเอง นี่ยังไม่รวมกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัย เช่น ดูหนัง เดินสยามสแควร์ และเดินห้าง ฯลฯ

เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมและเพื่อนๆถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นกองเชียร์ในการซ้อมวอลเลย์บอลหญิง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือรุ่นพี่บังคับให้พวกเราไปซ้อมเชียร์ในสนามนั่นเอง พวกกองเชียร์เมื่อว่างเว้นจากการตะเบ็งเสียงร้องเพลงเชียร์ก็หันมาคุยกันเอง

“ไอ้เจตนี่แม่งเก่งหลายอย่างเลย” นักศึกษาชายคนหนึ่งพูดขึ้น

“เออ นั่นสิ เห็นมันซ้อมลงแข่งตั้งหลายอย่าง แล้วมันเอาเวลาที่ไหนไปเรียนหนังสือวะ” นักศึกษาชายอีกคนหนึ่งสงสัย

“มึงยังไม่รู้อะไร นอกจากเล่นกีฬาแล้วแม่งยังเล่นดนตรีไทยเก่งนะโว้ย” ไอ้คนแรกคุยอีก

“มันเล่นอะไรวะ แล้วทำไมมึงถึงได้รู้” อีกคนถาม

“มันเล่นตีฉิ่งวะ”

พวกนักศึกษาชายที่จับกลุ่มคุยกันวงเล็กๆฮากันกระจาย ผมอดเหลือบไปดูในกลุ่มกองเชียร์ไม่ได้ หนึ่งในบรรดากองเชียร์หญิงที่นั่งอยู่ที่ขอบสนามก็คือเพ็ญนั่นเอง



<การว้ากก็คือการเอ็ดตะโรใส่รุ่นน้องและสั่งให้รุ่นน้องทำโน่นทำนี่ตามที่รุ่นพี่ต้องการ รุ่นพี่บอกว่ากิจกรรมว้ากเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ส่วนรุ่นน้องก็ว่ากิจกรรมว้ากเป็นเรื่องของคนที่อยากแสดงอำนาจข่มคนอื่น ภาพนี้เป็นการว้ากหน้าตึกในสมัยยี่สิบกว่าปีมาแล้ว>

22 comments:

พี said...

ตอนที่แล้ว.. ไม่ได้คอมเม้นต์ ตอนนี้ขอ เบอร์ หนึ่ง นะครับ....

คนอื่นๆ อย่าว่ากันล่ะ

*** P ***

Anonymous said...

เฮ้อ ท่าทางบอยจะไปแล้วจริงๆ แฮะ

ปูเสื่อรอตอนต่อไป

สนุ๊กเกอร์ครับ

Anonymous said...

ชมรมธรรมะนี่เข้าใจครับ แต่ชมรมแวมไพร์นี่คือ!!!?

dionadus

Anonymous said...

ชีวิตมหาวิทยาลัย ของพี่อู
ดูจะมีเรื่องราวอีกมากเลยนะคะ
เพื่อนเริ่มเยอะแล้ว ^^

หญิง

Anonymous said...

ชีวิตในมหาลัยของอาอู(ขอเรียกอานะคับ = = ว่าแต่จะขอทำไม)มีเรื่องสนุกๆเยอะดีจังเลยคับ ผมอ่านเรื่องอาอูมานานแล้วแต่ก้ไม่เคยเม้นเลย นี้เม้นแรก

เฟิร์น

พี said...

มาคอมเม้นต์ อีกครั้งหลังดูบอลจบครับ....

อย่างที่สนุ๊กเกอร์ ว่าไว้ ไม่กล่าวถึงชื่อ...บอยเลย มีกล่าวเพียง

" และภาพต่อมาเป็นภาพของเด็กวัยรุ่นอีกคนหนึ่งกำลังถูกขึงให้นอนอยู่บนโต๊ะพร้อมกับมีเทปกาวแผ่นใหญ่คาดอยู่ที่ปาก... "

ตอนแรกผมหวังไว้ว่าคงได้เจอบอย หรือ ได้ข่าวคราวเพื่อติดต่อกันอีก...

คิดถึงน้องบอยจัง...

*** P ***

Anonymous said...

ไม่ได้อ่านเลยครับอา
ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าอ่านก็ไม่รู้หลังๆ

แต่ยังคิดถึงอาๆทุกคนครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

คราวนี้มีชื่อนัย ออกมาด้วย อย่างน้อยมีชื่อก็ยังดี แม้จะไม่รู้ว่านัยเป็นอย่างไรก็ตาม
รักครั้งแรกก็คงไม่มีใครลืมได้หลอกนะครับ

อิจฉาคนที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยจัง เด็กเคยฝันอยากจะเรียน แต่ไม่เป็นไร ได้อ่านเรื่องราวในมหาวิทยาลัยที่อูเรียนก็เหมือนได้เรียนด้วย

คิดถึงนะครับ
กัน

Anonymous said...

รายงานตัวครับผม

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

10.... พอดี

แบงค์ครับ

Anonymous said...

ดูพี่อูแข็งข้อกับกี้มากเลยนะครับ แต่ก่อนโดนด่าก็ยังเฉย เดี๋ยวนี้มีสวน

เด็ก (ชอบ) สวน

Anonymous said...

รายงานตัวเป็นคนที่โหลค่ะ..
เพิ่งกลับจากตจว.ค่ะอู เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาน้ำเอ่อสูงน่ากลัวมาก พี่เลยนึกถึงบ้านของอูตอนเป็นเด็กที่เป็นโรงอิฐว่าจะได้รับผลกระทบกับเค้ารึเปล่านะเพราะย่านนั้นดูเหมือนจะมีความเสี่ยงเหมือนกันใช่มั้ยคะ?

ขอเอาใจช่วยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สู้ๆนะคะทุกคน..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อยากอ่านตอนต่อไปเร็ว ๆ คร้าบบบบ


น่าลุ้น ๆ


...OaH...

Anonymous said...

น้องอูเริ่มซึมซับนิสัยเด้กมหาลัย
โดดเรียน+กิจกรรมเป็นเรื่องหลัก
เข้าเรียนเป็นเรื่องรอง

โรคโบราณตั้งแต่สมัยป้าขวัญ
andy_kwan

nai said...

มีคนบอกว่า จะเม้นต์คนที่ 16 ผมก็เลยมาเป็นคนที่ 15 เอ้าใครจะเม้นต์คนที่ 16 ก็อย่าลืมเข้ามานะ

อ่านตอนนี้แล้วฟุ้งซ่าน อยากกลับไปเป็นวัยเรียนอีกครั้งจัง

นัย

Choo said...

มารายงานตัวครับ คุณอู กะ คุณนัย

ก็รอเมนต์ที่ 16 อยู่เพราะอ่านตอนนี้แล้วนึกถึงตอนอายุ 16 ครับ

แต่ไม่อยากกลับไปวัยเรียนหรอกครับ เพราะจะไม่มีสตางค์ใช้ ทุกอย่างต้องประหยัด 555

น้ำท่วม อากาศก็เริ่มเปลี่ยน รักษาสุขภาพกันทุกคนนะครับ

ชู

Anonymous said...

ดูข่าวน้ำท่วมแล้วใจหายเหมือนกันครับ เศร้าด้วย ทั้งทรัพย์สิน เรือกสวนไร่นา เกษตรกรที่สวนล่มนาล่มนี่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกับคนกรุงที่ถูกไฟไหม้บ้านหมดหลังกระมังครับ

ชมรมแวมไพร์คือชมรมที่ทำพวกกิจกรรมบริจาคโลหิต เรียกล้อกัน

ปีหนึ่งนี่เอาแต่เล่นจริงๆครับ บางคนก็เอาเวลาไปทำกิจกรรม แต่บางคนก็ใช้เวลาไปกับการสังสรรค์และเที่ยว มีต่างๆนานา เรื่องเรียนนี่บางทีก็ลืมๆไปบ้างเหมือนกันครับ

เรื่องกี้นี่ก็... จะบอกว่าไงดีล่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมโตขึ้นนิสัยเลยเปลี่ยนไปบ้างกระมัง หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นเพราะว่ามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นก็ได้ครับ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน

ผมไปงานสัปดาห์หนังสือมา คนกร่อยมากเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน คนโล่ง เดินสบาย ทั้งๆที่เป็นตอนหัวค่ำ ปกติคนแน่นมาก น่าแปลกอยู่เหมือนกันครับ

อู

Anonymous said...

)^_^(ที่18 สวัสดีครับ ลุงได้กินโดนัทคิดปี้ยังอ่า อร่อยดีน่าครับ ไปงานหนังสือมี3เล่ม100ขายด้วยหรือป่าวกิ้กๆ

Anonymous said...

^
^
^
^
)^_^(ลืมมาจิ้มไป หุหุ

Anonymous said...

นึกถึง บอยนะ

Anonymous said...

ไม่เม้นใช่ว่าไม่ได้อ่าน นะคะ

หลาบ

Anonymous said...

ในที่สุดลุงอูก็มาต่อ อิอิ ผมน่ะรอตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เพราะรู้ว่าลุงคงงานยุ่ง แต่ยังไงผมก็จะไม่ลืมบล๊อคนี้หรอกนะ ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คิดถึงลุงอูเป็นที่สุดนะครับ

บอย boy_aof_za