Monday, September 27, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 7

ต้นเดือนมิถุนายน วันเปิดเรียน

หลังจากผ่านขั้นตอนต่างๆในการรับนักศึกษาใหม่ ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็เปิดภาคเรียน

แม้ว่าผมจะไปที่มหาวิทยาลัยบ่อยครั้งในช่วงปลายเดือนที่แล้วแต่ว่าวันนี้จึงเป็นวันที่เริ่มต้นชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง

ผมใส่ชุดนักศึกษาสีขาวพร้อมผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มออกจากหอพักตั้งแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ซอยภาวนาเช่นเคย

แม้ว่าผมจะขึ้นรถเมล์ที่ป้ายนี้เกือบทุกวันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่าที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้มีอะไรใหม่ๆให้ผมสังเกตอยู่เสมอ ในวันเปิดภาคเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัยวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อก่อนผมมักสังเกตนักเรียนที่รอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แต่ในวันนี้ผมกลับพยายามสังเกตวัยรุ่นที่อยู่ในชุดนักศึกษา และผมก็สังเกตพบว่ามีนักศึกษาปี ๑ ของมหาวิทยาลัยหลายแห่งมารอขึ้นรถเมล์ที่ป้ายนี้เช่นกัน ที่เห็นหลายคนหน่อยได้แก่นิสิตที่ผูกเนกไทสีเขียวเข้มที่กำลังรอรถเมล์สาย ๑๒๖ ซึ่งแน่นมาก

ในช่วงนั้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพิ่งเริ่มมีวิทยาเขตกำแพงแสน นิสิตปีที่หนึ่งและสองเรียนที่บางเขน พอขึ้นปีสามและปีสี่ส่วนใหญ่ก็จะย้ายไปเรียนที่กำแพงแสน และคงพูดได้ว่าในช่วงที่ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้เองเป็นช่วงเริ่มต้นของยุควิทยาเขต เพราะต่อจากนั้นมามหาวิทยาลัยต่างๆก็ทยอยเปิดวิทยาเขตในพื้นที่ปริมณฑลของกรุงเทพฯเนื่องจากความแออัดของพื้นที่ในเมือง จนมาถึงในยุคปัจจุบัน นอกจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯที่ไปเปิดวิทยาเขตในต่างจังหวัดแล้ว มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดก็ยังมาเปิดวิทยาเขตในกรุงเทพฯหรือไปเปิดวิทยาเขตในจังหวัดอื่นๆอีกด้วย วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยบางแห่งก็เป็นเพียงสถานที่เล็กๆไม่ต้องมีพื้นที่ใหญ่โตเป็นไร่ๆหรือมีอาคารหลายหลัง แค่เช่าพื้นที่เพียงไม่กี่ร้อยตารางเมตรในอาคารก็ได้แล้ว

รถ ปอ.๒ ในวันนั้นแน่นขนัดยิ่งกว่าทุกวันที่ผมเคยขึ้นมา ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก อีกทั้งมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯเปิดพร้อมกันเกือบทุกแห่ง แม้มหาวิทยาลัยในยุคนั้นจะไม่มากมายเหมือนในวันนี้แต่การจราจรและรถเมล์กลับแออัดไม่แพ้ในปัจจุบันหรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

แม้ว่าผมจะขึ้นรถปรับอากาศแต่ทว่าอากาศภายในรถก็ร้อนอบอ้าว เนกไทสุดเท่ที่ผมเห่ออยู่นั้นเริ่มทำให้ผมรู้สึกร้อนและอึดอัดที่ลำคอ ส่วนเป้ใบใหม่ที่ผมสะพายไหล่อยู่นั้นก็เริ่มรู้สึกเกะกะ

เจ็ดโมงสี่สิบห้านาที กว่าจะถึงสามย่านก็ใช้เวลาอยู่ในรถเมล์ราวหนึ่งชั่วโมง เมื่อลงจากรถผมก็รีบจ้ำอ้าวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยเนื่องจากชั้นเรียนวิชาแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยของผมเริ่มเรียนตอนแปดโมงเช้า แม้ว่าจะมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเดียวกันเดินกันเป็นกลุ่มแต่เนื่องจากไม่เห็นใครที่ผมรู้จัก ดังนั้นผมจึงรีบเดินโดยไม่สนใจใคร

หลังจากที่เดินจ้ำอย่างรีบร้อนบนถนนพระรามสี่เพียงชั่วครู่ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแว่วอยู่ทางด้านหลังเรียกอะไรตี๋ๆแต่ผมไม่ได้สนใจ

“โอ๊ย มันจะรีบไปตามควายหายที่ไหน เรียกตั้งหลายครั้งยังไม่ได้ยิน” ได้ยินเสียงของหญิงสาวพูดขึ้น

“อุ๊ย เธอ พูดน่าเกลียดเชียว” เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดปนหัวเราะ “เราเดินนินทาไปเรื่อยๆก็แล้วกัน ดูซิว่าเมื่อไรเค้าจะได้ยิน”

จากนั้นก็เป็นเสียงหัวเราะกันกุ๊กกิ๊กๆ ผมเริ่มเอะใจจึงหันไปมอง

“อ้าว” ผมอุทาน สองสาวที่ผมได้ยินเสียงอยู่ข้างหลังก็คือแมวกับจิ๊บนั่นเอง “เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

“ตั้งนานแล้วล่ะ นินทาเธอไปตั้งเยอะแต่เธอไม่ได้ยิน” แมว สาวน้อยหุ่นเจ้าเนื้อ ดวงตากลมโต พูดด้วยน้ำเสียงหวานน่ารัก

“ที่จริงไม่ได้นินทานะ เพราะเราตั้งใจคุยให้เธอได้ยิน ถ้าเธอได้ยินก็ไม่เรียกว่านินทา แต่เธอดันหูตึงเสียนี่” จิ๊บแก้ไขคำพูดของแมว

“เอ้อ เมื่อกี้ได้ยินอะไรตี๋ๆเหมือนกัน แต่นึกว่าเรียกคนอื่น” ผมชะลอฝีเท้าลงและเดินคุยไปกับสองสาว “แล้วยังมีอะไรควายๆด้วย”

“เรียกตี๋อู ไม่ใช่ตี๋เฉยๆ” แมวอธิบายแล้วก็หัวเราะกิ๊ก “จิ๊บมันบอกว่าเธอตามควายหาย ไม่ได้ว่าเธอเป็น... ฮิฮิ ... นะ”

“กลัวจะเข้าเรียนวิชาแรกไม่ทันน่ะ เลยรีบเดิน” ผมอธิบาย “วิชาแรกเรียนเคมี”

“ก็เรียนวิชาเดียวกันนั่นแหละเดินแค่นี้เอง ทันถมเถ” จิ๊บพูด “แล้วซี้เธอล่ะ”

“ซี้ของเรา ใครเหรอ” ผมงง ซี้นี่หมายถึงเพื่อนซี้หรือว่าเพื่อนสนิท

“ก็เด็กที่มาจากโรงเรียนกับเธอนั่นไง คนที่พูดเก่งๆน่ะ” จิ๊บอธิบาย

“อ๋อ ไอ้พัชน่ะเหรอ” ผมตอบ “เรียนอยู่คนละห้องกัน แค่เคยเห็นหน้า เพิ่งมาคุยกันก็ตอนอยู่ที่คณะนี่แหละ”

“อ้าว งั้นเหรอ” แมวทำเสียงแปลกใจ “นึกว่าเพื่อนซี้เธอเสียอีก แล้วเธอมีเพื่อนสนิทที่สอบได้คณะนี้ด้วยกันหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอก” ผมอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนส่ายหน้า ตอนเรียนที่โรงเรียนยังแทบไม่มีเพื่อนสนิทเลย อย่าว่าแต่เพื่อนสนิทที่สอบได้คณะเดียวกัน ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา

เดินอีกไม่นานก็ถึงมหาวิทยาลัย เมื่อเข้าประตูมหาวิทยาลัยไปบรรยากาศภายในก็แตกต่างไปจากภายนอก นักศึกษาเดินกันขวักไขว่ พวกนักศึกษาปีหนึ่งจะสังเกตได้ง่ายเพราะว่าชุดที่สวมใส่อยู่ส่วนใหญ่เป็นชุดใหม่เอี่ยมละออทั้งหญิงและชาย รวมทั้งนักศึกษาชายจะใส่ชุดขาวด้วยซึ่งพี่ปีอื่นๆที่เป็นชายจะไม่ใส่ชุดขาวกัน จะมีบ้างที่ชุดขาวของปีหนึ่งดูมอๆหน่อยเนื่องจากเป็นชุดที่ได้มาจากรุ่นพี่ ส่วนนักศึกษาหญิงแต่งตัวเหมือนกันทุกชั้นปี ถ้าหากไม่สังเกตความใหม่ของชุดนักศึกษาก็ต้องใช้การสังเกตความใหม่ของใบหน้าเอาว่าเป็นรุ่นไหน

ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งเรื่องการพกพาหนังสือและอุปกรณ์การเรียน ในโลกใบใหม่ที่ผมอยู่นี้แตกต่างจากโลกใบเก่าค่อนข้างมาก ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม นักเรียนชายในโรงเรียนส่วนใหญ่มักสะพายเป้หรือไม่ก็ถือกระเป๋านักเรียนหรือกระเป๋าหนังจาคอบ ที่ถือหนังสือมาเรียนโดยไม่มีกระเป๋าก็พอมีบ้างแต่ว่าน้อย แต่เมื่อมาเรียนที่นี่ ผมไม่เห็นใครถือกระเป๋านักเรียนหรือแม้แต่กระเป๋าหนังเลย หากเป็นนักศึกษาชายส่วนใหญ่จะสะพายเป้ ย่าม หรือกระเป๋าผ้า พวกนี้จะเป็นแบบสะพายไหล่เดียว พวกเป้หลังสะพายสองไหล่ตอนนั้นยังไม่ฮิต ถ้าไม่สะพายก็ถือหนังสือในมือไปเลย ส่วนนักศึกษาหญิงมักนิยมถือกระเป๋าพลาสติกใสๆ ใบเล็กๆ พวกกระเป๋าคิตตี้หรือมีตัวการ์ตูนญี่ปุ่นน่ารักๆ ข้างในบรรจุของได้ไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่ใส่ได้แต่สมุดจดกับเครื่องเขียน หนังสือตำราเรียนก็ต้องถืออยู่นอกกระเป๋าอยู่ดี แต่ก็มีนักศึกษาหญิงบางคนที่ใช้กระเป๋าหนังหรือกระเป๋าผ้าลักษณะคล้ายๆถุง กระเป๋าแบบนี้จะจุของได้มากหน่อย

ผมสังเกตว่าแมวใช้กระเป๋าผ้าทรงถุง ส่วนจิ๊บถือกระเป๋าพลาสติกใบเล็กๆ สำหรับผมนั้นก็สะพายเป้เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าเปลี่ยนเป้ใบใหม่เนื่องจากใบเก่ามีตราโรงเรียนอยู่ ส่วนใบใหม่นี้ไม่มีตราอะไร เป็นเป้ที่ซื้อจากร้านทั่วไป

วิชาแรกของชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมเป็นวิชาเคมี แบบแผนการเรียนของคณะเทคโนนี้วันจันทร์ พุธ ศุกร์ จะใช้สูตร แปด เก้า สิบ สิบเอ็ด อันหมายถึงว่าตั้งแต่แปดโมงเช้ายันเที่ยงเรียน ๔ วิชานั่นเอง วิชาที่เรียนก็ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และแคลคูลัส แต่การเรียงลำดับรายวิชาของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในหมู่เรียนที่เท่าไร ส่วนบ่ายวันจันทร์กับบ่ายวันศุกร์ รวมทั้งวันอังคารกับพฤหัสบดีเต็มวันจะเป็นวิชาพวกแล็บฟิสิกส์ แล็บเคมี แล็บชีววิทยา วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาสังคม

เราสามคนเดินไปยังตึกเคมีเก่าซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของห้องเรียนวิชาเคมี ตึกเคมีนั้นมีตึกเก่ากับตึกใหม่ ตึกใหม่ก็คือตึกที่รุ่นพี่มักใช้นัดพบว่าที่นักศึกษาใหม่ในช่วงก่อนนั่นเองเนื่องจากตึกนี้มีพื้นที่ใต้ตึกเป็นลานกว้างขวาง ส่วนตึกเคมีเก่านั้นเป็นตึกสองชั้นที่อยู่ใกล้ๆกัน ตัวตึกเมื่อดูจากภายนอกน่าจะเก่ามาก

ก้าวแรกที่เข้าไปภายในตึกเคมีเก่าผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศสลัวลงในทันที ทางเดินภายในอาคารมืดทึม ภายในตึกตรงกลางเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ ห้องเรียนเดียวกินเนื้อที่ทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง นอกนั้นเป็นห้องเรียนย่อยและห้องปฏิบัติการสำหรับเรียนวิชาแล็บ

ทางเข้าห้องเรียนใหญ่เป็นประตูไม้บานใหญ่สีโอ๊ค ทางเดินทึมๆและประตูไม้โบราณขนาดใหญ่สร้างบรรยากาศลี้ลับวังเวงเหมือนอยู่ในหนังเขย่าขวัญ ดีที่มีนักศึกษาเดินอยู่ในตึกเป็นจำนวนมาก ถ้ามาคนเดียวในวันหยุดผมอาจจะไม่กล้าเข้ามาในตึกก็เป็นได้

เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียน เห็นห้องเรียนมีขนาดใหญ่ เพดานสูงมาก โคมไฟห้อยลงมาก้านยาวเหยียด พัดลมเพดานก็เป็นพัดลมแบบเก่าก้านยาวเหยียดเช่นกัน เครื่องตกแต่งล้วนแต่เป็นไม้สีโอ๊คทำให้ดูทึมและขรึม พื้นเป็นระดับขั้นเหมือนในหอประชุม แถวหนึ่งมีโต๊ะเรียน ๓ ชุด โต๊ะเรียนที่ว่าเป็นโต๊ะยาวพร้อมเก้าอี้ยาว ตัวหนึ่งตัวสามารถจุนักศึกษาได้ถึงหกคน หากนั่งเต็มแถวแล้วคนที่นั่งอยู่ตรงกลางจะเข้าออกไม่สะดวกเนื่องจากต้องฝ่าออกไป เห็นโต๊ะเก้าอี้ไม้ยาวในห้องเรียนแล้วทำให้นึกถึงโบสถ์คาทอลิกเก่าๆที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ยังไงยังงั้นเลย

บริเวณด้านหน้าของชั้นเรียนซึ่งเป็นบริเวณของผู้สอนเป็นยกพื้น มีโต๊ะขนาดใหญ่เหมือนกับเป็นเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ตรงกลาง ตรงกำแพงเป็นกระดานดำ ด้านข้างของกระดานดำทั้งสองข้างเป็นตู้ใม้ขนาดใหญ่มีขวดสารเคมีวางอยู่ภายใน ดูแล้วน่าเป็นของโชว์มากกว่าของที่ใช้งานจริง

และที่น่าสนใจก็คือกระดานดำ กระดานดำในห้องเรียนปกติเป็นสีเขียว แต่กระดานดำที่นี่เป็นสีดำจริงๆ ลักษณะเก่าแก่กระดำกระด่าง และมีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งยังมีสองแผ่นวางอยู่บนรางเลื่อน แผ่นหนึ่งอยู่ข้างล่างในระดับที่เอื้อมมือไปเขียนได้ถึง ส่วนอีกแผ่นอยู่ข้างบน เอื้อมมือเขียนไม่ถึง กระดานดำชุดนี้เองที่ทำให้ห้องเรียนนี้ดูขลังขึ้นอีกมาก

อุปกรณ์ชิ้นเดียวที่ดูจะขัดกับสภาพภายในห้องก็คือเครื่องฉายภาพแบบข้ามหัวหรือที่เรียกว่าโอเวอร์เฮดโปรเจกเตอร์เพราะดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ไฮเทคที่สุดในห้อง เครื่องฉายภาพนี้นักศึกษามักเรียกกันขำๆว่าเครื่องปิ้งแผ่นใส เพราะในยุคนั้นยังเป็นเครื่องฉายภาพที่ต้องวางแผ่นใสบนเครื่องแล้วเอาปากกาเมจิกเขียนลงไปบนแผ่นใสนั้น ต่างจากในยุคปัจจุบันที่ใช้ไฟล์พาวเวอร์พอยต์ฉายลงบนฉากหรือใช้เครื่องฉายภาพแบบสะท้อนแสงที่เขียนลงไปบนกระดาษธรรมดาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นใส

เมื่อเข้ามาในห้องเรียน แมวกับจิ๊บชวนผมไปนั่งที่ด้านหน้าชั้นเรียน ผมสังเกตว่าพวกผู้หญิงมักไปออกันอยู่ที่แถวหน้า ส่วนผมนั้นแม้ไม่ชอบนั่งด้านหน้าแต่เมื่อเพื่อนชวนก็ขัดไม่ได้

ขณะที่เดินอยู่ในห้องเรียน ทันใดนั้นสายตาของผมก็สบกับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง คู่กัดของผมนั่นเอง มันกำลังเดินขึ้นไปทางหลังห้อง

“ไอ้ห่าหมากี้” ผมทักมันก่อน

ไอ้กี้มองหน้าผมนิ่งเหมือนกับตะลึงไปชั่วขณะ พยายามลืมตาโพลงเพื่อแสดงความประหลาดใจแต่ดูยังไงตาก็ไม่โพลง เห็นเป็นเพียงเส้นเล็กๆ

“ไอ้เหี้ยนี่ เดี๋ยวนี้มึงเรียกกูแบบนี้เหรอ” กี้พูดแล้วก็หัวเราะ

“จะเรียกแบบนี้แล้วมีอะไรมั้ย” ผมตอบ

“ไม่มีครับพี่” ไอ้กี้ตอบ หลังจากแหย่กันอีกเล็กน้อยแล้วกี้ก็เปลี่ยนเรื่อง “กูว่าห้องเรียนของโรงเรียนเราโบราณแล้วนะ ที่นี่โบราณกว่าอีกว่ะ มืดก็มืด กูนึกว่าอยู่ในโบราณสถานเสียอีก”

“ฮื่อ” ผมเห็นด้วย “ห้องเรียนแสงน้อยมึงคงเรียนลำบากแย่เลย ไปนั่งข้างหน้าด้วยกันก็ได้นะ”

“แสงน้อยแล้วกูเรียนลำบากตรงไหนเหรอ” กี้งง

“ก็ตามึงนิดเดียว แสงน้อยแล้วมึงจะเห็นเหรอ” พอผมพูดจบก็รีบเดินหนีทันที

“คนนี้คงใช่เพื่อนซี้จากโรงเรียนเก่าของเธอแล้วละสิ” แมวพูดขึ้นขณะที่เราเดินไปนั่งหาที่นั่งแถวโต๊ะด้านหน้า “แซวกันแรงกันซะขนาดนั้น”

“เพื่อนซี้เหรอ” ผมทวนคำ สองคนนี้คงเป็นคู่หูกันมานาน แล้วยังได้มาเรียนคณะเดียวกันอีก จึงมักคิดว่าคนอื่นๆคงมีเพื่อนคู่หูที่มาจากโรงเรียนเดียวกันด้วยเช่นกัน อย่างไอ้กี้นี่ถือว่าเป็นเพื่อนซี้ได้หรือเปล่า ผมอดคิดไม่ได้ แม้ว่าเราเรียนห้องเดียวกันมาหลายปี แถมตอนไปล่องใต้ก็ยังไปด้วยกัน ถ้าจะบอกว่ารู้จักกันมานานละก็คงใช่ แต่นึกถึงตอนที่มันด่าผมอย่างสาดเสียเทเสียแล้วผมคงยกตำแหน่งเพื่อนซี้ให้มันไม่ลง “ซี้ซั้วมากกว่ามั้ง”

โต๊ะเรียนที่ด้านหน้าแน่นขนัดไปด้วยนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นหญิง แมวกับจิ๊บต้องแยกกันและนั่งเบียดเสียดกับเพื่อนใหม่ ส่วนผมเองก็หาที่นั่งแทรกเข้าไปได้ตรงกลางๆห้องเรียน ผมนั่งติดกับกลุ่มนักศึกษาหญิงสามคนซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่

ช่วงเวลาก่อนเข้าชั้นเรียนในเช้าวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวาย เพราะว่าแต่ละคนต่างก็พยายามทำความรู้จักกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้เสียงพูดคุยดังจ้อกแจ้กไปทั้งห้องเรียน ส่วนเพื่อนสาวที่นั่งข้างผมทั้งสามคนนั้นหันมาทักทายผม หลังจากแนะนำตัวแล้วก็หันไปคุยกันเองต่อ ทิ้งให้ผมนั่งเก้ออยู่คนเดียว

อากาศในห้องร้อนอบอ้าว ประกอบกับเนกไทและกระดุมคอเสื้อที่กลัดอยู่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เมื่อนั่งได้เพียงครู่เดียวผมก็รู้สึกง่วงนอนจึงฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ…

- - -

ผมมารู้สึกตัวอีกทีที่หอพัก กำลังนั่งฟุบหน้าหลับกับโต๊ะเพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์จนเมื่อย มารู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมาเขย่าแขนให้ตื่น แต่ผมพักอยู่คนเดียวนี่นา คนที่มาปลุกผมในห้องนี้เป็นใครกัน

“นี่ เธอ ตื่นเร็วเข้า อาจารย์เรียกแล้ว” เสียงแจ๋วๆของหญิงสาวเรียกผม เมื่อผมโงหัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในห้องเรียนวิชาเคมี ไม่ใช่ในหอพัก และที่หน้าชั้นมีอาจารย์วิชาเคมีซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนกำลังมองมาที่ผม

ฉิบหายแล้ว เผลอหลับไปจนอาจารย์เข้าสอนแล้วก็ยังไม่รู้ตัว โดนเรียกเสียเลย

“เอ้า นักศึกษาว่าไง ฝันเห็นเลขอะไร เอามาบอกกันบ้าง” อาจารย์พูดเสียงดังได้ยินกันไปทั้งห้อง ห้องเรียนนี้แม้จะใหญ่โตแต่กลับใช้ไมค์ตะโกน ไม่ใช้ไมโครโฟน

“...”

“ว่าไง อย่าหวงเอาไว้คนเดียว บอกเพื่อนๆมั่งสิ” อาจารย์พูดต่อ เห็นเลขอะไรบ้าง”

“ในฝันดูเหมือนจะไม่มีตัวเลขเลยครับอาจารย์” ผมตอบอ้อมแอ้ม นักศึกษาทั้งชั้นฮาครืน

“อ้อ นี่คุณฝันจริงๆเหรอเนี่ย เมื่อคืนไปเข้าเวรยามที่ไหนมาหรือเปล่า ทำไมเปิดเรียนวิชาแรกก็ง่วงนอนขนาดนี้” อาจารย์ถาม คราวนี้ผมสังเกตออกว่าอาจารย์ถามยิ้มๆ ไม่มีแววดุ

“อากาศมันอบอ้าวครับ ผมเลยง่วงแล้วก็เผลอหลับไป ไม่ได้เฝ้ายามหรือทำงานที่ไหนครับ” ผมตอบไปตามตรง เวลาตอบต้องตะโกนดังๆให้อาจารย์ได้ยิน รู้สึกอายเพื่อนๆมาก แต่ยังดีที่อาจารย์ไม่ถามชื่อ ไม่อย่างนั้นชื่อของผมอาจกระฉ่อนไปทั้งชั้นปีก็เป็นได้

“เอ้า หายง่วงแล้วเรามาเริ่มวิชาของเรากัน” อาจารย์ไม่ติดใจผมอีกและวกกลับมาที่การเรียนการสอน

ในชั่วโมงแรก อาจารย์ผู้สอนแนะนำให้นักศึกษารู้จักเกี่ยวกับระบบการศึกษาภายในคณะ จากนั้นพูดคุยกับเนื้อหาวิชาและวิธีการคิดคะแนนและตัดเกรด วิชาบรรยายก็เรียนในภาคบรรยายและสอบด้วยการทำข้อสอบ ไม่มีการปฏิบัติ คะแนนระหว่างภาคมาจากคะแนนสอบกลางภาคกับคะแนนทดสอบย่อยหรือที่เรียกว่าควิซ (quiz) ไม่มีการทำรายงานหรือการทำการบ้านส่งเนื่องจากนักศึกษามาก อาจารย์ตรวจไม่ทัน ยกเว้นกรณีพิเศษนานๆครั้ง ส่วนการเข้าเรียนนั้นจะมีการสุ่มเช็คชื่อในบางครั้ง หรืออาจเช็คชื่อทุกครั้งก็ได้ แล้วแต่ผู้สอนจะเห็นสมควร ซึ่งเรื่องการไม่มีรายงานและการบ้านนั้นถูกใจผมมาก

ขณะที่อาจารย์พูดก็วางแผ่นใสเกี่ยวกับหลักสูตรและฉายขึ้นจอประกอบไปด้วยซึ่งเราเรียกกันง่ายๆว่าปิ้งแผ่นใส ขณะที่อาจารย์คุยไป ปิ้งแผ่นใสไป จู่ๆกลิ่นไหม้ก็ลอยอบอวลไปทั้งห้องเรียน

“เอ๊ะ พวกคุณได้กลิ่นไหม้อะไรหรือเปล่า” อาจารย์หันมาถามพวกนักศึกษาพร้อมทั้งทำจมูกฟุดฟิด

ยังไม่ทันที่ใครจะตอบอะไร กลุ่มควันก็พวยพุ่งออกมาจากเครื่องปิ้งแผ่นใส จากนั้นไฟก็ไหม้เครื่องฉายและลามเลียไปบนแผ่นใสอย่างรวดเร็ว อาจารย์กระโดดถอยห่างไปตั้งหลักก่อนโดยไม่กล้าเข้าไปถอดปลั๊กไฟเนื่องจากปลั๊กไฟอยู่ใกล้เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ เพียงพริบตาเดียวไฟก็ลุกไหม้ท่วมเครื่องปิ้งแผ่นใสจนกลายเป็นลูกไฟกองใหญ่

“เฮ้ยๆ ไฟไหม้ ไฟไหม้” นักศึกษาเอะอะ เสียงดังไปทั้งห้อง

“นักศึกษาออกไปก่อน ไม่ต้องรีบแต่เร็วๆเข้า ออกไปรอที่หน้าตึกก่อน” อาจารย์ตะโกนบอกนักศึกษา จากนั้นก็เดินไปที่หน้าห้องเล็กๆซึ่งมีประตูทางเข้าอยู่ที่หน้าชั้น น่าจะเป็นห้องควบคุมหรือห้องเตรียมการสอน “ไฟไหม้แล้ว เจ้าหน้าที่มาดับไฟหน่อย”


<เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียน เห็นห้องเรียนมีขนาดใหญ่ เพดานสูงมาก เครื่องตกแต่งล้วนแต่เป็นไม้สีโอ๊คทำให้ดูเก่าพื้นเป็นระดับขั้นเหมือนในหอประชุม แถวหนึ่งมีโต๊ะเรียน ๓ ชุด โต๊ะเรียนที่ว่าเป็นโต๊ะยาวพร้อมเก้าอี้ยาว ตัวหนึ่งตัวสามารถจุนักศึกษาได้ถึงหกคน หากนั่งเต็มแถวแล้วคนที่นั่งอยู่ตรงกลางจะเข้าออกไม่สะดวกเนื่องจากต้องฝ่าออกไป>


<กระดานดำในห้องเรียนปกติเป็นสีเขียว แต่กระดานดำที่นี่เป็นสีดำจริงๆ ลักษณะเก่าแก่กระดำกระด่าง และมีขนาดมหึมา อีกทั้งยังมีสองแผ่นวางอยู่บนรางเลื่อน แผ่นหนึ่งอยู่ข้างล่างในระดับที่เอื้อมมือไปเขียนได้ถึง ส่วนอีกแผ่นอยู่ข้างบน เอื้อมมือเขียนไม่ถึง เมื่อเขียนกระดานแผ่นล่างจนเต็มผู้สอนก็จะดันกระดานแผ่นล่างขึ้นไปอยู่ข้างบน และดึงกระดานแผ่นบนลงมาเขียนต่อไป การใช้กระดานดำสองแผ่นเลื่อนขึ้นลงได้เช่นนี้ก็ทำให้ไม่ต้องลบกระดานดำเร็วเกินไปและนักศึกษาก็มีเวลาจดตามไปทันนั่นเอง กระดานดำชุดนี้เองที่ทำให้ห้องเรียนนี้ดูขลังขึ้นอีกมาก>

21 comments:

Choo said...

ขอที่หนึ่งบ้างนะ

ชู

ปล. ขอบคุณครับ

nai said...

หนี้งานมาโพสหรอ เดี๋ยวจะฟ้องเจ้านาย

นัย

Anonymous said...

เดี๋ยวจะฟ้องเจ้านายเหมือนกันว่าหนีงานมาอ่าน

Anonymous said...

รายงานตัวเป็นคนที่4ค่ะ
อ่านตอนนี้แล้วให้หวนถึงอดีต..
นั่งหลับในวิชาชีววิทยาตอนม.ศ.4
อาจารย์ผู้สอนเอานิ้วขึ้นมาทำเสียงจุ๊ จุ๊ที่ปาก
พร้อมพูดว่า"พวกเราคุยกันเบาๆหน่อยเดี๋ยวจะเป็นการรบกวนการนอนของเพื่อน"..และแล้วห้องก้อเงียบลง
..จนกระทั่งเงียบสนิท และสายตาทุกคู่ก้อจับจ้องมาที่พี่ จนเราต้องตื่นอ่ะเพราะมันเงียบผิดปกติ จำได้ว่าอายมากหน้างี้หูงี้ร้อนผ่าวไปหมดเลย..555

คนลาดพร้าว

พี said...

ติดท็อป 5 ก็เอา....

เอ..บรรยากาศที่คุณ อูบรรยายมา มามันคุ้นๆ ยังไงไม่รู้

จะลองอ่านดูอีก สัก 2-3 ตอน ว่าใช่ ม.สมมติในกทม.จริงอะเปล่า

บรรยากาศ ช่วงลงทะเบียนเรียน ปีหนึ่ง เทอมแรก ผมจำได้แม่นจำเลย ตั้งแต่
... มีรุ่นพี่ (จังหวัด) มาพาจากหอพัก ไปอาคาร RB รอเข้าแถวเรียกตามหมายเลขลงท้ายของรหัสนักศึกษาว่าลงท้ายด้วยเลข อะไรก้จะได้ลงทะเบียนพร้อมๆกับเลขที่เดียวกัน อย่างของผม สมมติว่า รหัสประจำตัวนักศึกษา ....160 ลงท้ายด้วย 0 ก้จะได้ลงทะเบียนพร้อมนักศึกษาทุกคณะ ที่ลงท้ายด้วย เลข 0
แค่นี้ก่อนนะครับ..

*** P ***

Anonymous said...

มาแล้ว ๆ

ตั้งใจอ่านมากกว่า

อ่านหนังสือสอบ

อีกนะคับเนี่ย

Anonymous said...

มาติดตามครับ แต่ว่าไม่ได้หลบงาน มาแอบอ่านนะครับ
ห้าห้าห้า

กัน

PP said...

ขอติดตามด้วยคนนะคับ
เริ่มกลางเดือนกันยายน 53
นี้เอง
แต่อ่านหมดทุกตอนแล้วคับ
รอตอนต่อไปนะคับ

Anonymous said...

โอ้ววว!!!?? ไฟไหม้ตั้งแต่วันแรกเริ่มเรียนเลยเหรอครับนี่ อะไรจะร้อนแรงขนาดนั้น!!

DIONADUS

Anonymous said...

โอ้เริ่มเรียนก็มีเรื่องตื่นเต้นซะแล้ว ติดตามต่อไปด้วยใจระทึก
Federick

Anonymous said...

พีว่าอะไรคุ้นๆครับ บอกแล้วว่าอยู่สะพานเหลือง

ว่าแต่รุ่นพีได้ใช้บัตรเจาะรูไหม ที่เรียกว่า punched card ใช้ตอนลงทะเบียนน่ะ พี่สาวลาดพร้าวน่าจะได้ใช้ รุ่นผมไม่ได้ใช้แต่ได้เห็น เพราะยังมีพวกรุ่นพี่ๆใช้กันอยู่ตอนลงทะเบียน

เรื่องหลับนี่ตอนเรียนมัธยมไม่เป็น ชอบนั่งใจลอยแต่ไม่นั่งหลับ พอมาเรียนมหาวิทยาลัยวิชาแรกก็หลับเลย แถมด้วยมีเรื่องตื่นเต้นให้ต้องวิ่งเสียอีก รุ่นผมนี่โชคดีจริงๆ เล่าล่วงหน้าไว้หน่อยก็ได้ เจ้าหน้าที่เอาถังดับเพลิงมาฉีด ถังดับเพลิงสีแดงๆที่มีอยู่ในห้องก็โบราณพอๆกับห้องเรียน ดังนั้นจึงฉีดไม่ออกครับ ไฟจึงลุกโชน คราวนี้ละวิ่งออกจากห้องแทบไม่ทัน จะไหม้ตึกหรือเปล่าตอนหน้าจะบอกครับ

เดือนนี้จะพยายามโพสต์ให้ได้ ๔ ตอนครับ เหลืออีกตอนหนึ่ง ไม่กล้ารับปากแต่จะพยายามทำให้ได้ครับ

หลาน arus เป็นไงบ้าง อาเป็นกำลังใจให้เสมอ เด็กวางระเบิดเป็นไงบ้าง ขอโทษที่ทำให้คอยนาน

อู

Bomber_Boy said...

ตั้งหน้าตั้งตารออีกหนึ่งตอน!!!! ตามที่พี่อูบอก

yo408 said...

ผมมาทันยุคเครื่องฉายแผ่นใสตอนที่รร.มัธยมต้องมีใช้ เป็นยุคที่ผู้ใหญ่ให้ทุกรร.มีห้องแล๊ป และห้องแล๊ปต้องมีเครื่องฉายสไลด์กับจอสีขาวเป็นผ้าเงินๆดึงขึ้นดึงลงได้ และแน่นอน หมวดวิชาที่ใช้พวกนี้บ่อยคือหมวดวิทยาศาสตร์ เพราะมันง่ายที่จะนำเสนอแผนภาพต่างๆ ยิ่งเจอซีร๊อกซ์สีใส่แผ่นใสเอามาปิ้งบนเครื่องนี่ยิ่งง่ายในการสอนกว่ากระดานดำ ส่วนหมวดที่ใช้น้อยที่สุด ก็ต้องเป็นหมวดภาษาไทย เพราะยุคนั้นวิชาภาษาไทย เป็นแค่วิชาภาษาพ่อภาษาแม่ ที่ไม่ใคร่จะได้รับความนิยมในการปรับปรุงหลักสูตรหรือวิธีการสอนแต่อย่างใด เนื้อหาก็ซ้ำๆเหมือนๆเดิม หลักภาษา วรรณคดี ทุกอย่างใช้การอ่านจากหนังสือเอาและครูอธิบาย ไม่จำเป็นต้องมาปิ้งแผ่นใสให้ยุ่งยาก แล้วเจ้าเครื่องนี่ก็ร้อนมาก คนนั่งใกล้จะได้กลิ่นเหม็นไหม้ตลอดเวลา ครูที่ใช้เขียนไปสอนไปตาจะเบลอกับแสงจ้าด้วย หลายคนเลยเลือกจะไม่ใช้ถ้าเลี่ยงได้

กลับมาที่หมวดวิทย์ เครื่องเคยเกือบไหม้ด้วยครับ จนหมวดต้องออกกฎ ใช้1คาบพัก1คาบ ต้องแบ่งคิวกันใช้ในหมวดกันเอาเอง จนไปแฮฟยกเครื่องของหมวดภาษาไทยมาใช้ ถึงได้มีใช้สลับกันสองเครื่องใน1ห้อง
ส่วนห้องแล๊ปหมวดภาษาไทย ก็กลายสภาพเป็นห้องเรียนปกติที่มีม้วนจอเป็นของตกแต่งห้องเท่านั้นเอง

boyaofza2 said...

มาแล้วมาแล้ว ลุงอู บอยสอบครับช่วงนี้ติว ค่อนข้างไม่มีเวลา อิอิ แต่มีเวลาให้บล๊อกนี้เสมอนะครับ ลุงอู

Anonymous said...

มารักอาอูช้า เพราะไม่สบาย
อ่านหนังสือสอบไม่ทันครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

โห วันแรกก็เกิดเรื่องเลย ขออาอูแรงจริงๆ

ไม่สบาย ยังไม่หายครับ ตอนนี้ เริ่มไออีกแล้ว
วันเสาร์ กับวันพุธที่ผ่านมาโดนฝนอีกแล้ว

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ขออภัย ไม่ทันครับ เืดือนกันยายนว่าจะให้ได้สัก ๔ ตอนในที่สุดก็ทำไม่ได้ เมื่อวานวันสิ้นเดือน รถติดมาก กลับถึงบ้านเลยสลบไป

หลาน arus และหลานคนอื่นๆตั้งใจสอบกันนะครับ ช่วงนี้ฝนตกชุก หวัดระบาด ระวังสุขภาพกันด้วย

อู

Anonymous said...

วันแรกก็ไฟไหม้ซะแล้ว ...

วันต่อ ๆ ไปจะเกิดอะไรอีกหว่า ....


ช่วงนี้ฝนตกบ่อยใช่มะครับ


รักษาสุขภาพด้วยครับ


...OaH...

Anonymous said...

)^_^(ที่1-9 ปิดเทอมไม่ใหญ่แต่หัวใจว้าวุ่น

Fryderyk C. said...

T T...

พี said...

ตอน 8

มาช้านะ...

*** P ***