Sunday, September 19, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 6

หลังจากที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องเครื่องแต่งกายจนเรียบร้อยแล้ว ก่อนเปิดภาคเรียนเพียงไม่กี่วัน ผมก็มีโอกาสได้แต่งตัวในชุดนักศึกษาเป็นครั้งแรก

ขั้นตอนของทางมหาวิทยาลัยขั้นต่อมาสำหรับนักศึกษาใหม่ก็คือการพบอาจารย์ที่ปรึกษา ลงทะเบียนเรียน และปฐมนิเทศ หลังจากนั้นจึงจะเปิดภาคเรียน

นักศึกษาชั้นปีที่ ๑ แต่ละคนจะมีอาจารย์ที่ปรึกษาหนึ่งคน อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างจากอาจารย์ประจำชั้นเนื่องจากการเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้แบ่งนักเรียนออกเป็นห้อง ดังนั้นการเรียนของนักศึกษาจึงไม่มีห้องประจำ จึงไม่สามารถมีอาจารย์ประจำชั้นได้ แต่การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็จำเป็นต้องมีอาจารย์คอยดูแล ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงต้องจัดให้มีอาจารย์คอยดูแลให้คำปรึกษาแก่นักศึกษา เรียกว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

บทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาในความคิดของผมในขณะนั้นยังไม่ชัดนัก แต่อย่างน้อยที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาในความดูแลก็คือการเซ็นเอกสารลงทะเบียนเรียน

ในวันลงทะเบียนเรียน เช้าวันนั้นผมแต่งตัวในชุดนักศึกษา เสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสีน้ำเงินเข้ม ไม่ผูกเนกไท ออกจากหอพักไปตั้งแต่เช้า แต่ก่อนออกจากหอผมไม่ลืมที่จะขึ้นไปรดน้ำกุหลาบมอญที่ชั้นดาดฟ้าเสียก่อน

“เฮ้ย อู นายใส่ชุดนี้แล้วดูเปลี่ยนไปเยอะเลย” แป๋งทักผมเมื่อเราพบกันที่ชั้นล่าง แป๋งในชุดนักเรียนกำลังจะออกไปโรงเรียนพอดีเราจึงเดินออกไปปากซอยด้วยกัน ผมสังเกตเห็นแป๋งผอมลงไปบ้างแต่สีหน้าดูยิ้มแย้มแจ่มใสดี

“เปลี่ยนยังไง” ผมถาม

“ก็ดูโตขึ้นเยอะ” แป๋งตอบ แล้วเอียงหน้ามาใกล้ๆผม “แล้วไอ้นั่นโตขึ้นด้วยหรือเปล่าวะ”

“ไอ้เปรต” ผมเอียงหน้าไปกระซิบตอบมันบ้าง “อยากรู้มาวัดดูเองโว้ย”

“เดี๋ยวนี้มีต่อปากต่อคำด้วยนะ” แป๋งหัวเราะ ว่าแล้มแป๋งก็ขยับตัวให้ห่างจากผม “ไม่อยากเดินกับนายว่ะ เดินด้วยกันแบบนี้คนอื่นจะคิดว่านายเป็นรุ่นพี่เรา”

“เอ้อ ที่จริงเราก็เป็นรุ่นพี่นายไปแล้วนะ ต่อไปอย่าลืมเรียกพี่อูด้วยล่ะ” ผมรีบเกทับ

“เฮอะ ฝันเถอะ” แป๋งตอบ

เมื่อถึงปากซอยผมก็แยกจากแป๋งโดยเลี้ยวซ้ายเพื่อเดินไปยังซอยภาวนา

“ไปก่อนนะแป๋ง”

“ยังไปขึ้นรถที่ป้ายนั้นอยู่อีกเหรอ” แป๋งถาม “งงโว้ย ขึ้นตรงนี้สะดวกกว่าตั้งเยอะ”

“ฮื่อ มันเคยชินน่ะ รอรถตรงนั้นสบายดี” ผมตอบส่งเดช

เมื่อผมไปถึงป้ายรถเมล์ตรงข้ามซอยภาวนา เห็นนักเรียนยืนคอยรถเมล์อยู่ที่ป้าย ผมอดก้มลงไปมองดูชุดนักศึกษาที่สวมใส่อยู่ไม่ได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เองผมยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย ชีวิตของผมเดินหน้าต่อไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว ไอ้ชัชก็เหมือนกัน แล้วไอ้นัยล่ะ อยากให้มันมาเห็นผมในชุดนี้จัง รวมทั้งผมเองก็อยากเห็นมันใส่ชุดนักศึกษาบ้าง แต่เท่าที่ดูจากในหนังฝรั่ง การเรียนที่นั่นไม่มีเครื่องแบบ แต่งกายตามสบาย คงต้องให้มันกลับมาเรียนในมหาวิทยาลัยเมืองไทยจึงจะเห็นมันใส่ชุดนักศึกษา

ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็สอดส่ายมองไปในหมู่ผู้คนที่ยืนรอรถเมล์เหมือนกำลังมองหาใครอยู่ มันเป็นความเคยชินที่ผมปฏิบัติมานานหลายปีแล้วด้วยหวังว่าในเช้าวันหนึ่งอาจมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นและผมได้พบใครบางคน... แต่มันก็เป็นเช่นทุกวันที่ผ่านมา... ที่แม้ว่าปฏิหาริย์อาจมีจริงแต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับผม

รถ ปอ.๒ ในช่วงเช้าแน่นมากจนถึงกับปิดประตูไม่ได้เนื่องจากผู้โดยสารล้นออกมาถึงประตู และคนหนึ่งที่ยืนขวางประตูเอาไว้จนปิดไม่ได้ก็คือผมนั่นเอง ผมพยายามเบียดขึ้นรถคันนั้นจนได้เนื่องจากไม่อยากเสียเวลารอคันถัดไปซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมาแต่ก็ต้องยืนที่ประตูรถ รถเมล์ขับไปจนถึงปากทางลาดพร้าวกว่าที่จะมีคนลงและปิดประตูได้

ค่าโดยสารรถเมล์ปรับอากาศในยุคนั้นเป็นขั้นๆตามระยะทาง ๕, ๗, ๙, ๑๑, ๑๓ และ ๑๕ บาท จากซอยภาวนาไปสามย่านดูเหมือนจะจ่ายค่าโดยสาร ๙ หรือ ๑๑ บาท ในขณะที่รถเมล์ธรรมดาแบบครีมน้ำเงินเสียค่าโดยสาร ๒ บาท รถเมล์ครีมแดงเสียค่าโดยสาร ๓ บาท มาเรียนที่นี่ผมต้องขึ้น ปอ.๒ ทำให้จ่ายค่ารถเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว ในยุคนั้นยังมีรถเมล์อีกประเภทหนึ่ง นั่นคือ รถด่วนพิเศษ ที่ว่าด่วนพิเศษก็เพราะว่าจอดเฉพาะบางป้ายเท่านั้น เสียค่าโดยสาร ๓.๕๐ บาท เห็นทำอยู่หลายปีเหมือนกันแล้วก็เลิกไป

เมื่อไปถึงคณะเทคโนฯผมก็เดินไปที่ตึกสำนักงานของคณะเพื่อตรวจรายชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเสียก่อน ที่หน้าตึกคณะเต็มไปด้วยนักศึกษาในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมละออ สีขาวกระจ่างกับสีน้ำเงินเข้มละลานตาไปหมด พวกปีหนึ่งเมื่อมาพบกันก็ทักกันวุ่นวาย พี่จุ้ย ไอ้กี้ และพัชก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน

เมื่อผมเห็นไอ้กี้ในชุดนักศึกษาเป็นครั้งแรกผมก็อดสะดุดใจไม่ได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมเห็นกี้ในชุดนักเรียนกางเกงขาสั้น ทรงผมก็ยังเป็นทรงนักเรียนตัดสั้นอยู่ มาวันนี้ผมเห็นมันในชุดนักศึกษา ไว้ผมรองทรง ดูมันเติบโตขึ้นอีกมาก ความเป็นเด็กแทบไม่มีเหลือแต่กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เพียงช่วงไม่กี่เดือนมานี้ราวกับว่ามันเติบโตอย่างกะทันหันอีกหลายปีเลยทีเดียว แม้เพื่อนคนอื่นๆเช่นพี่จุ้ยและพัชก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เหมือนกัน แต่กี้เป็นคนที่ผมเห็นมันมาตั้งแต่มัธยมต้น เห็นมันตั้งแต่ตอนที่มันเด็กกว่านี้ ตัวเล็กกว่านี้ ผมจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของมันได้ชัดเจนกว่าที่เห็นจากในคนอื่นๆ

ผมก้มลงที่ชุดของตนเองแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นึกถึงคำพูดของแป๋งเมื่อเช้า ผมเองก็คงมีความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับไอ้กี้เพียงแต่ในยามปกติอาจจะดูตนเองไม่ออก พร้อมกันนั้นก็รู้สึกใจหาย ผมต้องละทิ้งชีวิตแบบวัยเด็กไปเพื่อแลกกับการเจริญเติบโต... ในขณะที่ผมก้าวต่อไปข้างหน้าผมจำเป็นต้องทิ้งอดีตเอาไว้ข้างหลัง ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นความท้ายทายแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดายและประหวั่นกลัว ทันใดนั้นเอง จู่ๆผมก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา

“อู เป็นไรไปวะ เห็นมาแล้วก็ยืนเฉยๆ” พี่จุ้ยเดินเข้ามาทักทายผมเป็นคนแรก จากนั้นกี้ก็เดินตามมาสมทบ

“ไม่ได้เป็นอะไรนี่พี่” ผมตอบ

“เห็นนายเหมือนกับงงๆ” พี่จุ้ยพูดต่อ

“ไอ้ห่านี่มันชอบใจลอยน่ะพี่ ไม่รู้ว่าแม่งสอบติดได้ยังไง วันๆเห็นเอาแต่นั่งเหม่อทั้งวัน ตอนเรียนมันก็เป็นแบบนี้แหละ” กี้รีบใส่ไฟ

“น้อยๆหน่อย ยังไงกูก็สอบเข้าได้ ไม่ได้จับฉลากได้เหมือนมึง” ผมเอาคืนบ้าง

“โห ดุเสียด้วย” กี้หัวเราะจนตาเหลือเส้นเดียว “เดี่ยวกูส่งไปเฝ้าสวนเสียเลย”

“พอแล้ว” พี่จุ้ยรีบปราม “กัดกันแต่เช้าเชียว เดี๋ยวไปลงทะเบียนไม่ทันหรอก”

การหยอกของพวกเราจึงยุติลง แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาของตนตามตึกต่างๆ

ตึกคณิตศาสตร์เป็นตึกค่อนข้างเก่า มีเพียงสองชั้น พวกตึกที่เกี่ยวกับวิชาพื้นฐานมักเป็นตึกเก่าและมีความสูงเพียงไม่กี่ชั้นเพราะใช้ตึกที่มีมาแต่ดั้งเดิม ส่วนตึกใหม่ๆจะเป็นห้องเรียนรวมกับตึกที่เป็นสาขาด้านประยุกต์ที่เปิดขึ้นมาในช่วงหลังและมักเป็นตึกสูง

เมื่อผมเข้าไปในตึกก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นห้องพักอาจารย์ เมื่อพบห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาของผมก็เคาะประตูและผลักประตูเข้าไป

เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่าข้างในเป็นห้องทำงานเล็กๆ เก่าๆ แออัดไปด้วยนักศึกษาทั้งชายแลหญิงราวสิบคน ที่โต๊ะทำงานมีอาจารย์ที่ปรึกษาของผมนั่งอยู่ ด้านตรงข้ามมีเก้าอี้สองตัวสำหรับต้อนรับแขกหรือนักศึกษาที่มาพบ

อาจารย์ที่ปรึกษาของผมชื่ออาจารย์สุ เป็นหญิงในวัยกลางคน รูปร่างโปร่งๆ เส้นผมไม่ถึงกับดำสนิท มีผมขาวแซมบ้างประปราย เมื่อผมเข้าไปอาจารย์กำลังคุยกับนักศึกษาด้วยน้ำเสียงที่แช่มช้า เนิบๆ อันส่อว่าน่าจะเป็นคนที่ใจดีและใจเย็น ผมยกมือไหว้

“สวัสดีจ้ะ ที่มาใหม่นั่นชื่ออะไรล่ะ” อาจารย์รับไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายผม

ผมแนะนำตนเอง อาจารย์พยักหน้า

“ยังเหลืออีกคนหนึ่ง รออีกเดี๋ยวนะ มาครบแล้วครูจึงค่อยเริ่ม” อาจารย์พูด

ผมลองนับคนในห้องดู ปรากฏว่ามีนักศึกษา ๑๑ คนรวมทั้งตัวผมด้วย ทั้งชายและหญิงจำนวนพอๆกัน แสดงว่าอาจารย์รับนักศึกษาปี ๑ ไว้ ๑๒ คนหรือหนึ่งโหล หลังจากที่รอสักครู่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ก็เข้ามา เธอเป็นสาวที่หน้าตาสวยทีเดียว

หลังจากที่มากันครบอาจารย์ก็ให้พวกเราแนะนำตัวทั้งชื่อเล่นและชื่อจริง เพื่อว่าอาจารย์จะได้รู้จักพวกเรารวมทั้งพวกเราจะได้รู้จักกันเองด้วย เพื่อนๆที่ร่วมอาจารย์ที่ปรึกษาเดียวกันนี้ไม่มีใครที่ผมคุ้นหน้าเลยสักคน จึงคิดว่าน่าจะมาจากกลุ่มอื่นเนื่องจากถ้าเป็นกลุ่ม ๓ ด้วยกันน่าจะพอคุ้นหน้ากันบ้าง

“อ้อ เพ็ญ คุณนี่เอง” อาจารย์สุพูดขึ้นมาลอยๆหลังจากที่สาวหน้าตาดีที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายแนะนำตัว

“ค่ะ” เพ็ญขานรับ คนอื่นๆในห้องทำหน้างงๆไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันอยู่

“ไม่มีอะไรหรอก ครูเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ของเพ็ญตอนเอนทรานซ์ เพ็ญได้คะแนนสอบสูงมาก ดูเหมือนคุณจะเป็นนักเรียนดีเด่นประจำจังหวัดด้วยใช่ไหม” อาจารย์สุพูดกับทุกคน ส่วนประโยคสุดท้ายหันมาพูดกับเพ็ญ

“อาจารย์สัมภาษณ์นักเรียนตั้งมาก ยังจำหนูได้เหรอคะ” เพ็ญยิ้ม เวลาที่เธอยิ้มใบหน้ายิ่งดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่ผมที่ไม่ได้สนใจผู้หญิงนักก็ยังอดชมไม่ได้ว่าเพ็ญเป็นนักศึกษาที่สวยและมีเสน่ห์ แถมยังเป็นคนต่างจังหวัดเหมือนกับผมเสียด้วย

หลังจากนั้นอาจารย์ก็อธิบายเกี่ยวกับชีวิตนักศึกษาในคณะ ระบบการเรียน ขั้นตอนการลงทะเบียน และหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาว่ามีอะไรบ้าง และจะช่วยอะไรให้แก่นักศึกษาได้บ้าง

“การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่เหมือนกับในโรงเรียนมัธยม ในมหาวิทยาลัยไม่มีใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช ไม่ว่าวิชาอะไรก็ตาม ไม่มีใครมาคอยตามให้ส่งการบ้าน ไม่มีใครมาคอยตามให้เข้าห้องเรียน ทุกเรื่องอยู่ที่ตัวของพวกคุณเอง หากไม่ทำก็ไม่มีคะแนนเก็บหรืออาจไม่มีสิทธิ์สอบ ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้” อาจารย์คุยให้พวกเราฟังด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง ความแตกต่างอย่างหนึ่งเท่าที่พบก็คือที่นี่อาจารย์จะใช้สรรพนามบุรุษที่สองกับนักศึกษาว่าคุณ ไม่ใช่เธอเหมือนตอนที่เรียนมัธยม

“เมื่อเรียนในมหาวิทยาลัยนักศึกษาต้องดูแลตัวเอง เท่าที่ครูสังเกตมานักศึกษาปีหนึ่งเมื่อเข้ามาแล้วมักจะเล่นกันมาก อาจเป็นเพราะว่าเคร่งเครียดจากตอนเรียนมัธยมปลายมาก็ได้ พอเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็อยากเรียนให้สบายๆบ้าง แต่ครูอยากบอกพวกคุณว่าเกรดปีหนึ่งนั้นสำคัญมาก หากเล่นจนเกรดเสียตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้วจะแก้ไขได้ยาก เกรดในระดับปริญญาตรีมีความสำคัญต่อการหางานไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นครูอยากให้ระวังเรื่องผลการเรียนตั้งแต่ต้น อาจารย์ที่ปรึกษานั้นชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นอาจารย์ที่คอยให้คำปรึกษา ดังนั้นหากพวกคุณมีอะไรก็มาหาครู มาคุยกับครูได้ แต่หากคุณไม่มาหาไม่มาคุย ครูก็ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ” อาจารย์เตือนสติพวกเรา

หลังจากนั้นอาจารย์ก็ชี้แจงเกี่ยวกับการเลือกรายวิชาในการลงทะเบียนเรียนในภาคแรกนี้ การลงทะเบียนในยุคนั้นยังเป็นระบบเอกสารอยู่ ใบลงทะเบียนเป็นสมุดเล่มเล็กๆรูปทรงและขนาดคล้ายกับสมุดเช็ค ข้างในมีกระดาษที่มีคาร์บอนในตัวซ้อนกันอยู่หลายแผ่น เวลากรอกให้เขียนหนักๆลงบนแผ่นแรกแล้วแผ่นล่างๆก็จะติดไปด้วย

ระบบการลงทะเบียนในยุคนั้นยังไม่ได้เป็นแบบเหมาหรือว่าแบบแพกเกจดังเช่นในปัจจุบันที่ในแต่ละภาคการศึกษามีการจัดรายวิชาที่ต้องลงมาให้อย่างเรียบร้อย รวมทั้งค่าลงทะเบียนและค่าธรรมเนียมต่างๆก็คิดให้เบ็ดเสร็จในลักษณะเหมาจ่าย ผู้เรียนแทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากชำระค่าลงทะเบียนแล้วก็เรียนไปตามนั้น

สำหรับการลงทะเบียนเรียนในยุคของผมนั้นเป็นแบบพึ่งตนเอง นั่นคือ ต้องเลือกรายวิชาเอง คำนวณค่าลงทะเบียนเอง ที่จริงแล้วการลงทะเบียนเรียนในยุคนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก ต้องอาศัยเทคนิคพอสมควรในการจัดวิชาเรียนในแต่ละภาคเรียน โดยเฉพาะนักศึกษาที่ผลการเรียนไม่ดีจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น แต่เนื่องจากวิชาเรียนในชั้นปีหนึ่งนั้นเป็นวิชาบังคับพื้นฐานที่ต้องเรียนเหมือนๆกันทั้งสิ้น ได้แก่พวกวิชาแคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ วิชาด้านสังคม และวิชาแล็บหรืออีกนัยหนึ่งวิชาภาคปฏิบัติซึ่งต้องมีการทำการทดลองในห้องแล็บ จึงเรียกว่าวิชาแล็บ ดังนั้นตอนปีหนึ่งเทอมหนึ่งจึงไม่ต้องเลือกอะไรเองเลย

ในส่วนที่เป็นวิชาบังคับนั้นที่นักศึกษาสามารถเลือกได้เองในการลงทะเบียนก็คือการเลือกหมู่เรียน เนื่องจากแต่ละวิชานั้นมีนักศึกษาเรียนกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องแบ่งการสอนออกเป็นหลายห้องเรียน หรือที่เรียกว่าหลายหมู่ วิชาไหนเปิดกี่หมู่สามารถดูได้จากตารางเรียนที่คณะ ชอบใจหมู่ไหนก็เลือกลงทะเบียนว่าต้องการเรียนในหมู่นั้น แต่สำหรับในเทอมแรกนี้เนื่องจากเป็นการลงทะเบียนครั้งแรก หากให้เลือกหมู่เองก็ยังเลือกไม่ถูกอยู่ดี ดังนั้นอาจารย์จึงจัดหมู่ให้นักศึกษาเลือกตามนั้น จะได้เรียบร้อยไม่มีปัญหา

การกรอกใบลงทะเบียนก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่กรอกชื่อและรหัสนักศึกษาของตนเอง รหัสวิชา ชื่อรายวิชา หมู่ที่จะลง ซึ่งอาจารย์จัดรายละเอียดมาให้ พวกเราเพียงแต่ลอกลงไป จากนั้นก็ตีเส้นปิดรายการเพื่อว่าจะได้ไม่มีใครมาแอบเติมภายหลัง และให้อาจารย์ที่ปรึกษาลงชื่อกำกับ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ส่วนขั้นตอนการลงทะเบียนนั้นต้องไปลงทะเบียนและชำระเงินที่สำนักทะเบียน ตอนนั้นค่าหน่วยกิตวิชาภาคบรรยายหรือที่เรียกว่าวิชาเล็กเชอร์หน่วยกิตละ ๒๕ บาท ส่วนค่าหน่วยกิตวิชาภาคปฏิบัติหรือที่เรียกว่าวิชาแล็บนั้นหน่วยกิตละ ๕๐ บาท เทอมหนึ่งลงทะเบียน ๒๑ หน่วยกิต เสียเงินค่าหน่วยกิตกับค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงอื่นๆอีกเพียงนิดหน่อย รวมแล้วเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น แต่หลังจากนั้นมาเพียงไม่กี่ปีก็มีการปรับขึ้นค่าหน่วยกิต ค่าธรรมเนียม และค่าบำรุงอีกหลายระลอก จนสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นหน่วยกิตละ ๒๐๐ บาท และหลังจากนั้นก็กลายเป็นระบบแพ็กเกจหรือว่าระบบเหมาจ่ายเทอมละเป็นหลักหมื่นบาท

- - -

หลังจากการลงทะเบียนผ่านไป วันต่อมาก็เป็นการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ นักศึกษาใหม่ทุกคณะต้องไปเข้าร่วมงานปฐมนิเทศเวลา ๙.๐๐ น. ในชุดขาวซึ่งหมายความว่าต้องผูกเนกไทด้วย

ผมลืมเรื่องผูกเนกไทไปสนิท จนป่านนี้ยังผูกเนกไทไม่เป็นเลย ดังนั้นในตอนเช้าของวันปฐมนิเทศผมจึงแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาเสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงขายาวสีขาวแต่ไม่ได้ผูกเนกไทเพราะว่ายังผูกไม่เป็น ออกจากหอตั้งแต่เช้า เมื่อไปถึงคณะก็รีบไปที่โต๊ะกลุ่มสามทันที

ตอนนั้นเป็นประมาณแปดโมงกว่า เกือบจะแปดโมงครึ่งแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเข้าหอประชุมเพื่อปฐมนิเทศ เมื่อไปถึงที่กลุ่มก็เห็นนักศึกษาชายปีหนึ่งหลายคนกำลังหัดผูกเนกไทอยู่ รุ่นพี่ชายก็กำลังง่วนสอนน้องๆผูกเนกไท ส่วนนักศึกษาหญิงปีหนึ่งก็นั่งคุยกันเพื่อรอเวลาเข้าหอประชุม

“เอ๊า น้องอู ไม่ผูกเนกไทมาเหรอ” ได้ยินเสียงเจตทัก ตอนนั้นเจต แมว จิ๊บ และเพื่อนอีกหลายคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่

“ยังผูกไม่เป็นเลย” ผมรีบตอบ พลางชูเนกไทใหม่เอี่ยมในมือให้เจตดู “ผูกเป็นป่าว สอนหน่อยสิ เร็วๆเข้า”

“จะบ้าแล้ว” เจตหัวเราะ “ชั้นจะผูกเนกไทเป็นได้ไง”

“เฮ้ย มันผูกเป็น มันเป็นทอม” เสียงใครก็ไม่รู้ดังขึ้น กลุ่มสนทนาหัวเราะกันสนุก

ผมไม่มีเวลาจะสนุกด้วย หันรีหันขวาง เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังพยายามผูกเนกไทอยู่ก็เสนอให้ความช่วยเหลือ

“มาๆ จะสอนให้” เพื่อนคนนั้นพูด พร้อมกับบอกให้ผมทำตาม “เอาเนกไทคล้องคอแบบนี้ก่อน”

หลังจากนั้นมันก็สอนให้ผมผูกเนกไททั้งๆที่ตนเองก็ยังผูกไม่เสร็จ ชื่ออะไรยังผมก็ยังไม่ทันได้ถามเลย

“นี่ๆ ขวาทับซ้าย แล้วก็ยังงี้ ยังงี้” มันทำให้ดู ผมพยายามทำตาม แต่ทำแล้วก็ไม่สำเร็จ มันไม่เป็นปมเนกไท เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไอ้คนสอนเองก็ทำไม่สำเร็จ

“ตายห่า ลืมไปแล้วว่ะ” มันบอก พลางเนกไทออกมาลองผูกใหม่

โธ่เอ๊ย ซวยจริงๆ ยิ่งรีบอยู่ด้วย จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่รุ่นพี่คนหนึ่งที่กำลังสอนการผูกเนกไทอยู่

“พี่ๆ สอนผมด้วยครับ” ผมรีบพูด

“ใกล้จะได้เวลาเข้าหอประชุมแล้ว” รุ่นพี่ดูเวลา “เอายังงี้ดีกว่า ส่งเนกไทมา”

ผมงง แต่ก็ส่งเนกไทให้ พี่คนนั้นเอาเนกไทไปผูกที่คอของตนเอง จากนั้นก็คลายปมให้หลวมแล้วยกเนกไทออกมาจากคอมายื่นให้ผม

“เอาสำเร็จรูปไปฟังปฐมนิเทศก่อน คล้องหัวเข้าแล้วรูดปมขึ้น เท่านี้ก็เสร็จ แล้วบ่ายๆค่อยมาหัดอีกที”

หลังจากนั้นพวกพี่ๆช่วยผูกเนกไทแบบสำเร็จรูปให้แก่น้องๆที่ยังผูกไม่สำเร็จ เมื่อเรียบร้อยพวกปีหนึ่งทั้งหมดก็เดินไปที่หอประชุมด้วยกัน

ในการปฐมนิเทศนั้น อธิการบดีพูดได้จับใจผมมาก ทำให้ผมนึกถึงภาพที่ตนเองเมื่อจบการศึกษาไปแล้วเป็นบัณฑิต ออกไปประกอบอาชีพและรับใช้สังคมอย่างมีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ พร้อมกับมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น ช่วยผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า แม้ว่าหลายเรื่องจะฟังดูเป็นอุดมคติอยู่บ้างก็ตาม แต่ว่าเหล่านี้ก็ทำให้ผมเกิดความฝันใหม่ๆขึ้นมา มันเป็นความฝันที่แตกต่างจากความฝันวัยเด็กของผม ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมมีเป้าหมายและเกิดกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า


<สามย่านในปัจจุบัน คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดขยาย ภาพถ่ายจากดาวเทียมที่เป็นฉากหลังถ่ายในปี ๒๕๕๒ ซึ่งมีสภาพใกล้เคียงกับในปัจจุบันมาก ลองมาดูกันว่าสถานที่ของสามย่านในอดีตทั้ง ๖ แห่งที่ปรากฏในภาพที่แล้วในปัจจุบันนี้ เมื่อกาลเวลาผ่านไปและเมื่อโลกเปลี่ยนไป สถานที่เหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

หมายเลข ๑ ตลาดสามย่าน ปิดตำนานตลาดอายุ ๔๓ ปีไปเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๑ ตลาดยามย่านถูกโยกย้ายไปยังพื้นที่แห่งใหม่ พื้นที่ตลาดเดิมถูกรื้อถอนจนกลายเป็นที่ว่างในเวลาต่อมา ส่วนอาคารรอบๆตัวตลาดนั้นติดปัญหาเรื่องผู้เช่าย้ายออกล่าช้า ทำให้การรื้อถอนคาราคาซัง แต่ปัจจุบันผู้เช่าย้ายออกไปหมดแล้วและกำลังรื้อถอน
หมายเลข ๒ โรงหนังสามย่าน ปัจจุบันเป็นศูนย์การศึกษาต่อเนื่อง
หมายเลข ๓ ถนนพระราม ๔ และหัวมุมสามย่านด้านตลาดสามย่าน ปัจจุบันกำลังรื้อถอน
หมายเลข ๔ สามย่านด้านคณะบัญชี จุฬาฯ ปัจจุบันเป็นจัตุรัสจามจุรีหรือจามจุรีสแควร์ เปิดดำเนินการราวปลายปี ๒๕๕๑ ร้านค้าดั้งเดิมที่อยู่ในยุคที่ผมเรียนกระจัดกระจายไปเปิดใหม่ในพื้นที่ต่างๆกัน
หมายเลข ๕ ร้านจีฉ่อย ปัจจุบันย้ายไปอยู่แถวยูเซ็นเตอร์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกเนื่องจากพื้นที่ในย่านร้านดั้งเดิมกำลังถูกรื้อถอน
หมายเลข ๖ โรงเรียนศึกษาวัฒนา ปัจจุบันกำลังถูกรื้อถอน>

25 comments:

Anonymous said...

ที่1 ที่1 ที่1

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ทำไมอูจำอะไรได้มากมายขนาดนี้เนี่ย..
พี่จำได้แค่การลงทะเบียนที่มหา'ลัยเมืองเหนือ
เราจะอยู่ในคอกที่กั้นไว้ พอเค้าปล่อยออกจากคอก
เราจะพากันวิ่งๆๆๆๆเพื่อไปเลือกsectionที่ต้องการ
ส่วนรายละเอียดอื่นๆจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ แฮ่ะ แฮ่ะ
คงต้องรอป้าขวัญและพีเข้ามาสมทบข้อมูลเพิ่มเติม

ปอ.2นี่เป็นรถในดวงใจพี่เลยนะ
ใช้บริการตั้งแต่ม.ต้นจนจบการศึกษาและเข้าทำงานใหม่ๆ
หลังๆย้ายบ้านจึงเลิกใช้ไป
ขนาดนั่งอยู่หลายปียังจำค่าโดยสารไม่ได้เลยค่ะ
สงสัยตัวเองเหมือนกันเราคงเป็นปลาทองตัวทวดแหงๆ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

3...

แบงค์ครับ

แพน said...

หวัดดี คุณอู

ผมอ่านเรื่องของคุณแล้ว สนุกมากครับ มีครบทุกรสชาด ผมใช้เวลาอ่านอยู่นานทีเดียว 2 เดือนเห็นจะได้ กว่าจะทันตอนปัจจุบัน จบภาค 2 รู้สึกเศร้ามากๆ เลย จนผมไม่สามารถที่จะอ่านได้อีกแล้ว

จะว่าบังเอิญมันก็ช่างเหลือเชื่อจริงๆ เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่าตัวผมมีอะไรๆ คล้ายๆ กับคุณนัยหลายอย่าง มันทำให้ผมอินกับเรื่องของคุณเอามากๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะเล่าดีหรือไม่เล่าดี เพราะกลัวใครจะหาว่าผมแหล สุดท้ายก็คิดว่าจะเล่า เพราะว่าอ่านแล้วมันไปสะกิดอะไรบางอย่างในใจของผมอย่างจังเลยทีเดียว และขออนุญาตระบายความในใจไว้ด้วย เผื่อว่าจะมันจะเข้ามาอ่านเพราะว่าผมกับมันไม่เคยได้ติดต่อกันเลย คงเป็นเพราะว่าผมไม่กล้าสู้หน้ามันด้วยแหละครับเลยไม่กล้าติดต่อกับมันเพราะไม่รู้ว่ามันรู้สึกกับผมยังไง หวังว่ามันคงรู้ว่าเป็นผม เพราะคงมีไม่กี่คนหรอกที่มีชีวิตคล้ายๆ กับคุณนัย (ที่จริงคงมีผมแค่คนเดียวนี่แหละ)

ตอนเรียนผมเองก็มีเพื่อนสนิทเหมือนกัน เราสนิทกันมาก และเคยชักเว้าด้วยกันบ่อยๆ จนบางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นเหมือนกันกับผม แต่บางครั้งก็คิดว่ามันไม่ได้เป็น ก็แค่ความคึกคะนอง อยากรู้ อยากลองตามประสาเด็ก

- - - -

หวัดดีเพื่อน

กูมีความในใจหลายๆ เรื่องที่ไม่เคยบอกมึงเลย ได้แต่เก็บเอาไว้คนเดียววันนี้กูขอระบายสิ่งต่างๆ ที่เก็บเอาไว้หวังว่าสักวันหนึ่งมึงคงจะได้เข้ามาอ่าน

กูเคยไปบ้านมึงหลายครั้ง กูอิจฉามึง มึงมีครอบครัวที่อบอุ่น ใครๆ ก็รักมึง แม่ก็ใจดี กูเคยเห็นพี่มึงซักผ้าให้มึงด้วย ตอนนั้นยังแซวเลยว่ามึงนะเป็นชายน้อย (ก็มึงเป็นลุกชายคนเล็กนี่)

เวลาไปเที่ยวบ้านมึงกูมีความสุขมาก บ้านมึงต้อนรับกูราวกับกูเป็นลูกของเขาอีกคนก็ไม่ปาน ราวกับว่ากูก็มีครอบครัวที่อบอุ่นกับเขาเหมือนกัน

อยู่โรงเรียนเราก็ไปไหนด้วยกันเสมอ มึงชอบแซวกูเรื่องแต่งตัว ก็ใครจะไปหล่อเหมือนมึงล่ะ มึงขาว สูง ส่วนกูตัวคล้ำๆ หน่อย ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีไว้ก่อน เดี๋ยวน้อยหน้ามึง

มึงหน้าตาดี ใครๆ ก็ชอบมึง กูเคยลองยุให้มึงลองจีบดู คิดว่าถ้ามึงเป็นเหมือนกูมึงก็คงจะจีบล่ะ แต่ว่ามึงเคืองกูใหญ่ แสดงว่ามึงไม่ได้เป็น

กูประทับใจมึงหลายๆ อย่าง มึงดีกับกูมาก ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนดีกับกูเหมือนที่มึงดีกับกูมาก่อนเลย แต่ใจก็พยายามคิดว่ามึงกับกูเป็นเพื่อนกันมึงไม่ได้เป็นอย่างที่กูเป็น

กูกับมึงก็เคยถูกล้อว่าเป็นคู่เกย์เหมือนกัน แต่กูไม่สนใจหรอก กูไม่แคร์ กูแคร์มึงคนเดียว จนหลังๆ เห็นมึงไม่ค่อยชอบไปไหนกับกูเท่าไร เห็นหน้ามึงตึงๆ มึงคงโดนล้อแล้วไม่ชอบ กูกลัวมึงไม่สบายใจเลยพยายามห่างๆ มึง มึงก็ไม่ว่าไร ตอนนั้นกูรู้สึกทั้งน้อยใจ เสียใจ ที่มึงไม่สนใจกู ชีวิตเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

กูเหงา ว้าเหว่ รู้สึกเดียวดาย ไม่มีใครรักกูเลย เหมือนกับว่ากูเดินคนเดียวท่ามกลางความมืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี ไม่มีใครรัก ไม่มีใครห่วง ไม่มีใครสนใจ กูอยากให้มึงสนใจกูบ้าง แต่กลายเป็นว่ามันทำให้กูกับมึงทะเลาะกัน

กูทะเลาะกับมึง ทะเลาะกับทางบ้าน กลายเป็นเด็กมีปัญหา ยิ่งพอทางบ้านเขารู้ว่ากูเป็นยังไงเขาก็ยิ่งเกลียดกู กูทะเลาะกับแม่ เขาด่ากู เขาบอกว่าเขาแค่เอากันสนุกๆ กูมันเลวเสือกเกิดมา สร้างแต่ความเดือดร้อน ขายหน้า คนเราตอนที่โกรธสติสัมปชัญญะ ก็หมดไป สิ่งที่เขาด่า เขาพูด ก็ล้วนแต่ออกมาจากจิตใจส่วนลึกๆ ของเขาทั้งสิ้น นี่กูมันเลวขนาดนั้นเลยเหรอ กูมันเป็นส่วนเกิน ไม่มีใครต้องการ เขาไล่กูออกจากบ้าน

แล้วกูก็ต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียว มันโดดเดี่ยว อ้างว้าง บรรยายไม่ถูกเลย ใครไม่มาเป็นกูไม่มีทางรู้หรอก กูเป็นส่วนเกินของสังคม ไม่มีใครต้องการ ต้องใช้ชีวิตตามลำพัง ตอนไม่สบายนอนเป็นไข้นี่โคตรเลวร้ายเลย กูจับไข้ต้องนอนคนเดียวท่ามกลางความมืด กูคิดถึงมึงมาก แต่มึงไม่เคยคิดถึงกูเลย มึงมีครอบครัวที่อบอุ่น เข้าใจมึง คอยดูแลมึง แต่กูไม่มี กูอยากมีพ่อ มีแม่แบบมึงบ้าง อยากมีพี่แบบมึง คอยดูแลเอาใจใส่กู หลายครั้งที่กูคิดอยากตายๆ ไปซะให้พ้น แต่ก็คิดถึงมึง อยากเจอมึงอีกครั้งถ้าเป็นไปได้

boyaofza2 said...

ขอโทษลุงอูด้วยระครับ ผมเรียนหนักอ่ะครับ
ไม่มีเวลาเข้ามาอ่ะนเลยอ่ะครับ คิดถึงบล็อกก็คิดถึง
แต่ไม่มีเวลาเข้ามาอ่านเลยครับ

Anonymous said...

มาติดตามครับ
แต่ไม่เคยได้เป็นที่หนึ่งเสียที
อย่างที่คุณคนลาดพร้าว พูดนะครับ
ทำไมคุณอูถึงได้จำรายละเอียดได้มาก
ผมก็จำเรื่องบางเรื่องได้คราวๆๆ บางทีจำไม่ได้เลยก็มี
แต่คุณบรรยายขี้นมา ก็ทำให้จำได้ขี้นมา
อ้าว อย่างนี้จะรู้อายุผมไหมเนี่ย ก็คงไม่มากไม่น้อยกับคุณอู กับ คุณคนลาดพร้าว ห้าห้าห้า

กัน

Anonymous said...

งวดนี้อาอู มาเร็วทันใจดีจัง แล้วก็เห็นใจคุณ llwu มากๆครับ ผมอยากถามว่าตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ
Federick

Anonymous said...

รอมานานครับดีใจได้อ่านต่อ

Anonymous said...

มาเข้าชื่อรักอาอูครับ

หลาน Arus ของอาอู

Chu said...

อ่านที่คุณแพน (llwu)เขียนระบาย ก็รู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อยครับ คิดว่าคุณแพนคงเขียนจบแล้ว แต่คงโพสขึ้นไม่ได้หมดเท่านั้น

ขอเป็นตัวแทนชมรมคนรักอู (Uu FC)เป็นกำลังใจให้คุณแพนผ่านความทุกข์ครั้งนี้ไปให้ได้ เอาบอร์คนี้เป็นที่พักเพื่อต่อสู้ต่อไปอย่างมีความหวังนะครับ อูคงไม่ว่าอะไรหรอกครับ

"หลังพายุร้าย มักจะเห็นท้องฟ้าโปร่งและทอแสงประกายเสมอนะครับ"

เอาคลิปนี้มาฝากให้เป็นแรงบันดาลใจ เป็นภาษาจีน แต่มีแปลอังกฤษให้

http://www.youtube.com/watch?v=Y7CeoUZbW3Y&feature=player_embedded


คุณค่าของเรา อยู่ที่เราเป็นผู้กำหนดนะครับ

ชู

ปล.ขอขโมยซีนของอูละกัน

nai said...

รอมาทั้งวัน จะเป็นที่ 1 กับ 1 พี่ชูมาช่วยไว้ได้ เห็นไหมอู เรา ตั้งใจเป็นที่ 11 ไม่ได้เข้ามาช้าสักหน่อย
ว่ากันเรื่องน้ำมาก ตอนนี้ก็เลยอัดแน่นไปด้วยเนื้อหา เรียกว่า เก็บกันทุกเม็ดเลยนะอู

ต่อจาก พี่ชู แล้วกันครับ คุณแพน ฟ้าหลังผม สดใจเสมอ เป็นกำลังใจให้ครับ

นัย

ปล.งวดนี้ Chu สะกดแปลกๆแฮะ

Anonymous said...

ที่ ๑ กับ ๑ มีคนเอาไปแล้ว งั้นขอเป้นที่โหลก็แล้วกัน

ยินดีกับพี่สาวลาดพร้าวที่ได้ที่ ๑ กับเขาเสียที นี่เรียกว่าแบกถังออกซิเจนเข้าเส้นชัยกันเลยนะเนี่ย แหะๆ ล้อเล่นนะพี่ อย่าโกรธ

ที่จริงผมเป็นคนขี้ลืมครับ รายละเอียดในอดีตใครจะจำได้หมด ผมไปค้นเอกสารเก่าๆเอาน่ะครับ เดี๋ยวนี้จะทำอะไรต้องมีหลักฐาน เพราะว่าแผนกจับผิดทำงานกันหนักมากครับ ผมยังมีรูปเก่าๆ สวยๆอีกหลายรูป เอาไว้จะทยอยโพสต์ให้ดูครับ หลานๆหลายคนอาจไม่เคยเห็นกระดานดำในมหาวิทยาลัยรุ่นเก่า อลังการมาก อดใจคอยนิดหนึ่ง

อ่านเรื่องราวของคุณ llwu (อ่านว่าอะไรก็ไม่รู้) แล้วรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ชีวิตคุณคล้ายกับนัยหลายอย่างเลย ต้องให้นัยคนที่ ๑ กับ ๑ ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มาช่วยยืนยันว่าคล้ายกันจริงหรือไม่ นี่ถ้าอำผมผมคงนึกว่านัยตัวจริงมาอีกคนแล้ว แต่ส่วนเพื่อนของคุณที่เป็นผมนั้นไม่ค่อยเหมือนผมเท่าไร เพราะว่าผมไม่หล่อ และไม่เคยเป็นคนฮอต

ไม่รู้ว่าคุณอายุเท่าไร แต่ว่าคนโสด ไม่มีครอบครัว ตัวคนเดียว ไม่ว่าเกย์ ทอม หรือว่าคนปกติ จากที่เด็กๆไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน พอเข้าวัยหนุ่มสาวอันเป็นวัยที่เริ่มก่อร่างสร้าตัวเราก็จะมีเป้าหมายในชีวิตและพยายามทำงานหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ชีวิตช่วงนี้คงเป็นวัยที่ดีที่สุดกระมัง เพราะมีเป้าหมาย อีกทั้งมีกำลังและความกระตือรือร้น

แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็จะถึงวันหนึ่งที่เราสูญเสียเป้าหมายในชีวิตไปอีกครั้งหนึ่ง ก็คงต้องผ่านช่วงนั้นไปให้ได้แหละครับ ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม พี่ชู (วันนี้สะกดชื่อแปลกๆ) ก็บอกแล้วว่ามีอะไรก็เข้ามาคุยกันได้

ตอบคุณกัน ผมกับพี่ลาดพร้าวห่างกันหลายรุ่นอยู่เหมือนกันครับ ถ้านับตามอาวุโสเท่าที่มีการเปิดเผยกันก็พี่ ments42 (หายตัวไปแล้ว) แล้วก็พี่สาวลาดพร้าว พี่ชู แล้วค่อยมาผมกับนาย ๑ กับ ๑ (มั้ง) เด็กหลังโรงเรียนเก่ากับพีนี่น่าจะรุ่นใกล้ๆกับผมเช่นกัน แล้วคุณกันอยู่รุ่นไหนล่ะ

หลาน arus คงสบายดีแล้วนะ แฝดพี่กับแบงค์ก็คงสบายดีเช่นกัน แฝดน้องหายตัวไปเลย หลาน (^ ^) ก็ไม่เห็นตั้งนาน ดีใจที่เข้ามาทักลุงครับ

อู

Anonymous said...

ยังไม่หายครับ ใกล้สอบแล้วด้วย

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ชอบมากเลยครับ
ผมอ่านแล้วคล้อยตามมากเลย
เขียนได้เก่งมาก ๆ เลยครับ ผมอ่านมาสามวันจบ
รายละเอียดต่าง ๆ ก็ดี ยอดมากเลย
แอบหวังอยู่เล็กว่าตอนจบจะลงเอยด้วยดี
อยากให้นัยได้สมหวังกับอูในท้ายที่สุด
แต่ต้องขอพักสมองหน่อย
เพราะผมเป็นคนคิดมากคิดตามตัวละครตลอด
เลยอดทะเทือนใจไปด้วยไม่ได้
ขอบคุณที่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ให้อ่านนะครับ

boyaofza2 said...

อยากเจอชัชจังครับลุงอู ไม่ไปหาเขาที่เตรียมอุดมหรอครับ คิดถึงนัยด้วยแหละ ต้นกุกลาบต้นนี้ท่าจะอยู่ได้นานนะครับลุง เอ้อลุงอูครับผมกลับไปอ่านตอนต้นๆของภาค1อ่ะครับลุงเขียนล่ำลาผิดด้วยแหละครับ

ช่วงที่ผ่านมาถ้าผมไม่ได้เข้ามาก็อย่าพึ่งน้อยใจนะ ผมต้องอ่านหนังสือเตรียมที่จะสอบอ่ะครับ เดี๋ยวก็สอบเสร็จแล้วแหละครับ จะมาติดตามทุกฉากเลยแหละครับ

วันนี้แค่นี้ก่อนนะ ขอตัวไปเรียนวิชาภาษาไทยก่อนนะครับ อิอิ โชคดีทุกคนนะครับ

–• องค์ ๕ •– said...

งะ ! ทำไมมากันเร็วจัง ?


เอ่อ...เออ...เอ่อ......
คุณ llwu นี่ ชื่อจริงว่า "วินัย" หรือป่าวคับ ?
55555555+




–• องค์ ๕ •–

–• องค์ ๕ •– said...

งะ ! ทำไมมากันเร็วจัง ?


เอ่อ...เออ...เอ่อ......
คุณ llwu นี่ ชื่อจริงว่า "วินัย" หรือป่าวคับ ?
55555555+




–• องค์ ๕ •–

–• องค์ ๕ •– said...

งะ ! ทำไมมากันเร็วจัง ?


เอ่อ...เออ...เอ่อ......
คุณ llwu นี่ ชื่อจริงว่า "วินัย" หรือป่าวคับ ?
55555555+




–• องค์ ๕ •–

–• องค์ ๕ •– said...

งะ ! ทำไมมากันเร็วจัง ?


เอ่อ...เออ...เอ่อ......
คุณ llwu นี่ ชื่อจริงว่า "วินัย" หรือป่าวคับ ?
55555555+




–• องค์ ๕ •–

–• องค์ ๕ •– said...

งะ ! ทำไมมากันเร็วจัง ?


เอ่อ...เออ...เอ่อ......
คุณ llwu นี่ ชื่อจริงว่า "วินัย" หรือป่าวคับ ?
55555555+




–• องค์ ๕ •–

Anonymous said...

เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจเช่นเคยครับ

..OaH...

Anonymous said...

ชอบที่คุณอูเล่าเรื่องราวเก่าๆได้อย่างถึงรายละเอียด ทั้งสถานที่และเรื่องราวต่างๆ ช่วยฟื้นควาทรงจำเก่าๆของผมได้ดี ขอบคุณมากครับ

Fryderyk C. said...

ไม่ได้หายไปไหนนะครับ

ช่วงนี้เครียล์งานเยอะมาก




Fryderyk

miss Federick

Anonymous said...

องค์๕ เป็นอะไรอะ ๕ เม้นต์เลยนะ
สงสัยคงนึกว่า ment not be sent แน่ๆ
ไม่ว่ากันคับ
อิอิอิ
บางทีผมก้อเป็นคับ
นิก

Bomber_Boy said...

หายไปนานอีกแล้วนะพี่อู ปล่อยให้พวกผมรอนานอีกแล้วนะ