Monday, September 13, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 5

สามย่านฝั่งข้างคณะบัญชีเมื่อก่อนยังไม่ได้เป็นจตุรัสจามจุรีหรือว่าจามจุรีสแควร์ดังเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นตึกแถวที่ปลูกซ้อนกันอยู่ตลอดทั้งบริเวณ ส่วนที่ติดกับรั้วด้านข้างของคณะบัญชีจะเป็นซอยลึกไปจนถึงประตูข้างคณะบัญชีด้านหลัง (ปัจจุบันคือถนนทางเข้าที่จอดรถ) และเลยต่อไปอีก

เมื่อพี่แต้มพาผมข้ามฝั่งไปยังข้างคณะบัญชี เห็นปากซอยเป็นแผงลอย มีรถเข็นขายเต้าฮวยพร้อมโต๊ะและเก้าอี้นั่งหลายชุดวางเรียงรายอยู่ มีคนนั่งกินเต้าฮวยกันอยู่พอสมควร ทั้งคนทำงานและวัยหนุ่มสาว ใกล้ๆกันเป็นรถขายกล้วยปิ้งนครปฐม พี่แต้มพาเราไปนั่งที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง จากนั้นถามขึ้นว่า

“จะกินอะไร ที่นี่มีเต้าฮวยร้อน เต้าฮวยเย็น เฉาก๊วยร้อน เฉาก๊วยเย็น”

“เต้าฮวยเย็นเป็นไงพี่” พัชถาม ผมเองก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เคยกินแต่เต้าฮวยร้อนๆ

“อยากรู้ต้องลองสั่งดู” พี่แต้มตอบ

สรุปแล้วพวกน้องๆสั่งเต้าฮวยเย็นกันหมดเพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไง ส่วนพวกพี่ๆก็สั่งกันตามอัธยาศัย มีทั้งเต้าฮวยและเฉาก๊วย

เมื่อเต้าฮวยเย็นถูกนำมาส่งที่โต๊ะ ผมจึงเห็นว่าเต้าฮวยเย็นนี้ก็คือเต้าฮวยราดน้ำเชื่อมแล้วใส่น้ำแข็ง ส่วนเต้าฮวยร้อนจะเป็นเต้าฮวยราดน้ำขิงร้อนๆแล้วใส่น้ำตาลทรายแดงตามแบบที่ขายกันทั่วไป รสชาติของเต้าฮวยเย็นเมื่อกินขณะที่อากาศร้อนก็ชื่นใจดีเหมือนกัน

หลังจากที่กินเต้าฮวยเสร็จพวกเราก็แยกย้ายจากกัน ผมข้ามถนนกลับมายังฝั่งตลาดสามย่าน เพื่อรอรถ ปอ.๒ กลับหอพัก ขณะที่เดินทางกลับ ผมอดคิดไม่ได้ว่าประสบการณ์ที่ได้พบมาในรั้วมหาวิทยาลัยช่างแตกต่างกับที่โรงเรียนอย่างสิ้นเชิง นี่ขนาดยังไม่เปิดเทอม เมื่อเปิดเทอมไปแล้วชีวิตคงมีอะไรใหม่ๆให้เรียนรู้ยิ่งกว่านี้อีกเป็นแน่

- - -

ใกล้เวลาเปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรอให้ถึงเวลาเปิดเทอมใหม่ด้วยจิตใจที่กระตือรือร้น หลังจากวันที่จัดแบ่งกลุ่มน้องใหม่แล้วชีวิตของผมก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ผมต้องจัดการเรื่องต่างๆให้พร้อมก่อนที่จะเปิดเทอม

เครื่องแต่งตัวนั้นผมต้องหาซื้อใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตทั้งแขนสั้นและแขนยาว พร้อมกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มและกางเกงขาว เข็มขัด เนกไท ถุงเท้า รองเท้า กางเกงในไม่ต้อง ใช้ของเก่าก็ได้ วันรุ่งขึ้นผมจึงไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง คิดเอาไว้ว่าเครื่องแต่งกายทั้งหมดจะซื้อสำเร็จรูปเอาจากร้านสหกรณ์นั่นเองเพราะไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหน เอาง่ายไว้ก่อน ที่จริงจะสั่งตัดก็ได้เพราะในยุคนั้นยังมีร้านตัดเสื้อผ้าของผู้ชายอยู่ ลักษณะก็เป็นห้องแถวแบบร้านตัดเสื้อผู้หญิงนั่นเอง และผมสังเกตเอาเองว่าร้านตัดเสื้อชายเหล่านี้ชื่อร้านมักมีคำว่าสูท ทรง หรือคำว่าเทเลอร์อยู่ด้วย เช่น สูทดารา ทรงสมัย ฯลฯ แถวย่านซอยภาวนาก็มีอยู่หลายร้าน แต่จะสั่งตัดก็เกรงจะเสียเวลาคอยนาน เดี่ยวจะไม่ทันกับเปิดเรียน

แต่เมื่อไปที่สหกรณ์ร้านค้าของมหาวิทยาลัย พอเลือกเสื้อผ้าเข้าจริงๆกลับไม่มีอะไรถูกใจ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นผ้าก็บางจ๋อยราวกับผ้าซีทรู แบบนี้ซักไม่กี่ทีคงพัง เสื้อแขนยาวก็ไม่พอดีตัว ที่ไหล่พอดีแขนเสื้อก็สั้นเกิน ถ้าเป็นเสื้อเบอร์ใหญ่ก็โคล่งไปเลย เรื่องซื้อเสื้อนี่ไปคนเดียวก็ลำบากนิดหน่อยเพราะว่าไม่มีห้องให้ลอง ต้องอาศัยการทาบไหล่เอา เมื่อไม่มีเพื่อนไปซื้อด้วยก็ต้องอาศัยพนักงานขายให้ช่วยทาบไหล่ให้ ซึ่งวันนั้นพนักงานขายก็ยุ่งมากเพราะมีนักศึกษาใหม่เข้ามาซื้อเครื่องแต่งกายกันคับคั่ง ลองได้นิดหน่อยก็เกรงใจพนักงานขายจึงคิดว่าจะไปหาซื้อเสื้อจากที่อื่นดีกว่า แล้วก็เปลี่ยนไปเลือกกางเกงขายาวแทน

กางเกงขายาวก็มีปัญหา ขากางเกงสั้นเกิน กางเกงนักศึกษาที่ขายที่นี่เป็นแบบที่พับปลายขากางเกงไว้เรียบร้อยแล้ว แบบที่ปลายขาปล่อยเอาไว้ให้ไปตัดขาเอาเองก็ไม่มี สุดท้ายเลยได้มาแต่เนกไทกับเข็มขัด ที่เหลือต้องไปหาซื้อที่อื่น ทีแรกคิดว่าจะไปหาซื้อที่เซ็นทรัลลาดพร้าวแต่พนักงานขายแนะนำให้ไปดูแถวย่านประตูน้ำเพราะว่าราคาเสื้อผ้าน่าจะถูกกว่าซื้อในห้าง ผมจึงลองไปดู

ในช่วงวัยเด็กถึงมัธยม โลกของผมมีอยู่แค่ที่พัก โรงเรียน และสยามสแควร์ พออยู่ ม.ปลายก็มีศูนย์ฝึก รด. ที่ถนนวิภาวดีรังสิตกับศูนย์ กศน. ที่บางกะปิเพิ่มขึ้นมา อะไรที่อยู่นอกเส้นทางรถเมล์สาย ๘ สาย ปอ.๒ และสาย ๙๒ แล้วผมแทบไม่รู้จักเอาเลย

ย่านประตูน้ำในตอนนั้นยังไม่มีห้างแพลตินัม มีแต่ซิตี้พลาซ่าซึ่งก็คือซิตี้คอมเพล็กซ์ที่ปากซอยเพชรบุรี ๒๑ ในปัจจุบัน ซอยนี้สามารถเดินไปจนทะลุถึงตึกใบหยก ๑ ได้ ในตอนนั้นยังไม่มีตึกใบหยก ๒ และที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆไปหน่อยก็จะเป็นอาคารพันธุ์ทิพย์พลาซ่า

เมื่อผมลงจากรถเมล์ผมก็แวะไปที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่าก่อน อาคารพันธุ์ทิพย์พลาซ่าในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพันธุ์ทิพย์พลาซ่าศูนย์กลางของอุปกรณ์ไอที ภาพยนตร์ และซอฟต์แวร์เช่นในปัจจุบัน แต่เป็นห้างสรรพสินค้าชื่อพันธุ์ทิพย์ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ โรงหนัง และภัตตาคาร ลานสเก็ตและสนุกเกอร์

เมื่อเข้าไปภายในตึกผมก็พบกับความเงียบวังเวง ตอนที่ผมไปนั้นผมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าห้างใกล้จะปิดมิปิดแหล่อยู่แล้ว ตรงชั้นลอยเป็นร้านพระเครื่องและมีร้านขายของมือสองกินพื้นที่กว้างเลยทีเดียว ชื่อร้านดูเหมือนจะชื่อว่าคู่มือซื้อขายอันเป็นชื่อนิตยสาร คือทำทั้งนิตยสารคู่มือซื้อขายของมือสองกับทำร้านขายของมือสองควบคู่กันไปด้วย ร้านค้าในพลาซ่านอกจากนั้นถ้าไม่ใช่ร้านว่างแล้วก็จะเป็นร้านประกอบคอมพิวเตอร์แบบขายส่ง คือเป็นทั้งร้านและเป็นสถานที่ประกอบเครื่องเลย ไม่ต้องใช้โรงงานในการประกอบแต่อย่างใด พื้นที่ชั้นบนๆเป็นสำนักงานให้เช่า ส่วนห้างและโรงหนังนั้นอยู่ในสภาพที่วังเวง

ผมเดินสำรวจห้างเล่นอยู่สักพัก รู้สึกว่าวังเวงจนน่ากลัว ขณะที่กำลังจะออกจากห้างอยู่นั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นลิฟต์ด้านที่อยู่ริมถนนเพชรบุรีเข้า

เออ ลิฟต์แก้วนี่หว่า ว่างๆเสียด้วย งั้นลองขึ้นเสียหน่อยก็แล้วกัน

ในยุคนั้นห้างที่มีลิฟต์แก้วดูเหมือนจะมีอยู่เพียงสองแห่งเท่านั้น คือที่โรบินสันราชดำริกับที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ว่ากันว่าตอนที่เปิดบริการใหม่ๆคนเข้าแถวรอขึ้นลิฟต์กันยาวเหยียด แต่ตอนที่ผมไปนั้นลิฟต์แก้วที่เคยมีชื่อเสียงและเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้ากลับต้องจอดอย่างเงียบเหงาเนื่องจากไม่มีลูกค้ามาใช้บริการเลย

ผมลองขึ้นลิฟต์แก้วขึ้นลงเล่นรอบหนึ่ง ดูทิวทัศน์ภายนอกผ่านลิฟต์แก้วก็น่าตื่นเต้นดี ในยุคนั้นลิฟต์แก้วขึ้นลงเพียงแค่ห้าหกชั้นก็ถือว่าหรูแล้ว แตกต่างจากสมัยนี้ที่ลิฟต์แก้วขึ้นตึกสิบชั้นยังถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ผมออกมาจากพันธุ์ทิพย์พลาซ่าด้วยมือเปล่า ไม่มีอะไรให้ซื้อเลย จึงเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อไปที่ซิตี้พลาซ่า

บรรยากาศภายในห้างซิตี้พลาซ่าแตกต่างจากพันธุ์ทิพย์พลาซ่าโดยสิ้นเชิง ห้างซิตี้พลาซ่าและบริเวณใกล้เคียงไปจนถึงตึกใบหยกเป็นแหล่งขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่นที่ขึ้นชื่อ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างก็มาจับจ่ายซื้อเสื้อผ้ากันอย่างคับคั่ง และไม่ได้ซื้อกันคนละตัวสองตัว แต่ซื้อกันเป็นมัดๆ บางรายถึงกับต้องเอาใส่เข่งเนื่องจากซื้อเยอะมาก ผมเดินวนไปเวียนมาจนตาลายก็ยังเลือกซื้อเสื้อผ้าไม่ได้เพราะว่าคนเบียดมาก อีกทั้งพ่อค้าแม่ค้าไม่ได้แสดงท่าทีสนใจผมเลยแม้แต่น้อย

เดินวนเวียนอยู่แถวซิตี้พลาซ่าอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้เสื้อผ้าที่ต้องการ ผมเดินทะลุไปจนถึงโรงแรมอินทราก็ยังซื้อชุดนักศึกษาไม่ได้ ส่วนหนึ่งผมก็ไม่ค่อยตั้งใจมองหาด้วยเนื่องจากคนเบียดกันแน่นมาก แออัดจนรู้สึกว่าไม่น่าเดินและไม่น่าซื้อ ในที่สุดเมื่อไม่ได้อะไรผมจึงไปที่พึ่สุดท้าย นั่นก็คือห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว

เมื่อไปถึงห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ผมเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ต้องการได้จนครบ ไม่ต้องเบียดคนด้วย รู้ยังงี้มาที่นี่แต่แรกก็ดีหรอก แต่จะว่าไปหากไม่ได้ไปที่ประตูน้ำป่านนี้ก็คงยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นลิฟต์แก้วยอดฮิตเสียที

- - -

เมื่อผมออกจากห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ตอนนั้นก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ขณะที่ยืนรอรถเมล์อยู่นั้นผมอดสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในย่านปากทางลาดพร้าวไม่ได้ ลาดพร้าวในหลายปีที่ผ่านมานี้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเร็วทีเดียวโดยเฉพาะลาดพร้าวในช่วงต้นไปจนถึงแยกรัชดาภิเษก

เมื่อเห็นปากทางลาดพร้าวก็อดคิดถึงครูช่วยและโรงเรียนเก่าไม่ได้ เมื่อคิดถึงโรงเรียนเก่าก็อดคิดเลยไปถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่ยังเรียนอยู่ที่นี่ไม่ได้... ชัชนั่นเอง

หลายปีมานี้ผมต้องเดินทางไปและกลับโดยผ่านโรงเรียนเก่าเกือบทุกวัน ผมนั่งรถและผ่านเลยโรงเรียนไปทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน... จนลืมไปว่าผมยังมีเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เคยสนิทกันมากเมื่อสมัยประถมเรียนอยู่ที่นี่... จะว่าไปก็เหมือนกับผมแกล้งลืม ซึ่งมันก็คงมีส่วนจริงเพราะผมยังนึกไม่ออกว่าเมื่อพบไอ้ชัชแล้วจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับไอ้นัยอย่างไรดี ในที่สุดเมื่อนึกไม่ออกก็เลยพานเลี่ยงไม่พบเสียเลยดีกว่า

ป่านนี้ไอ้ชัชทำอะไรอยู่นะ ผมอดคิดไม่ได้ นี่ก็เลิกเรียนไปนานแล้ว สงสัยว่าถ้าไม่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ก็คงกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในหอนักเรียนประจำ ปกติเด็กหอเมื่อไม่มีอะไรทำก็มักนั่งดูทีวีหรือไม่ก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ในห้องดูทีวี เมื่อคิดถึงไอ้ชัช ภาพในอดีตก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงคำนึงของผมเป็นฉากๆ มันทำให้ผมอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปเยี่ยมเพื่อนรักในวัยเด็กแต่อีกใจหนึ่งก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ หากไปเยี่ยมไอ้ชัชในตอนนี้คงไม่แคล้วโดนมันด่าว่าทิ้งเพื่อนหายไปหลายปี พร้อมกันนั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเล่าเกี่ยวกับไอ้นัยให้ไอ้ชัชฟังอย่างไรดี แต่เมื่อมาคิดดูอีกที หากผมไม่เข้าไปเยี่ยมไอ้ชัชในตอนนี้ ปีหน้าเมื่อมันจบจากโรงเรียนนี้ไปแล้วก็ไม่รู้ว่ามันสอบได้มหาวิทยาลัยที่ไหน บ้านที่ต่างจังหวัดมันยังอยู่ที่เดิมหรือย้ายไปแล้วก็ไม่รู้ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจขาดการติดต่อกันไปจริงๆก็ได้

- - -

เมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปในโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนในสมัยประถม ผมก็พบว่าโรงเรียนเปลี่ยนแปลงไปมาก พนักงาน รปภ ก็แปลกหน้า ไม่ใช่คนเก่าๆที่ผมคุ้นเคย มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหลายตึกทีเดียว และตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบันน่าจะเป็นตึกที่สูงมาก ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยหายไปจนหมด เหลือไว้แต่ความเป็นคนแปลกหน้า

ภายในโรงเรียนในตอนนั้นยังมีนักเรียนเหลืออยู่บ้าง ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่รอผู้ปกครองมารับกับพวกที่เล่นกีฬา ผมเดินไปที่สนามฟุตบอลแต่ก็ไม่พบไอ้ชัช ขณะที่เดินผ่านตึกเรียน ในอุปาทานเสมือนกับผมได้เห็นภาพตนเองกำลังนั่งอยู่กับไอ้นัยและไอ้ชัชเพื่อรอให้คุณอาไอ้นัยมารับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่นัยโดนไอ้ชิดรังควานโดยมีผมเป็นต้นเหตุ ผมกับไอ้ชัชต้องอยู่เป็นเพื่อนไอ้นัยทุกวันจนกว่าอาของมันจะมา

ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงแผนกอนุบาล จำได้ว่าไอ้ชัชเคยแอบมานั่งเล่นชิงช้าคนเดียวที่นี่เพราะว่าน้อยใจผม ไม่รู้ว่าตอนนั้นชัชอ่อนไหวเกินไปหรือว่าผมซื่อบื้อเกินไป กว่าที่ผมจะเข้าใจความรู้สึกของมันได้ก็เกือบจะสายเกินแก้แล้ว มาถึงตอนนี้เมื่อคิดย้อนไปก็อดขำไม่ได้ เรื่องที่เคยดูเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเมื่ออดีต ครั้นเวลาผ่านไปก็กลับกลายเป็นเพียงรอยเท้าบนพื้นทรายเท่านั้น

อาคารใหม่ๆที่เกิดขึ้นทำให้ผมอดนึกถึงครูช่วยไม่ได้ ตอนที่ผมไปนั่งเล่นที่บ้านของครูช่วยที่ซอยลาดพร้าว ๑ นั้นจำได้ว่าครูช่วยเคยเล่าเกี่ยวกับโรงเรียนในยุคแรกให้ฟังว่าสมัยที่โรงเรียนเริ่มเปิดดำเนินการใหม่ๆนั้นตึกที่สูงที่สุดในโรงเรียนมีเพียง ๖ ชั้น หลังจากนั้นก็มีตึก ๑๑ ชั้นซึ่งถือว่าเป็นตึกเรียนที่สูงมากในสมัยนั้น อาจารย์ใหญ่เป็นปลื้มกับตึกสูงนั้นมากและพวกครูอาจารย์ก็มักนำตึกนี้มาอำกันสนุก เช่น บอกว่าวันไหนที่อากาศดีจะสามารถมองเห็นทะเลบางแสนได้ หรืออำกันว่าเวลาสอนต้องคอยระวังเพราะเครื่องบินอาจบินชนตึกได้เนื่องจากตึกสูงมาก ฯลฯ

ผมเดินพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปในอดีตเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าหอพัก ความลังเลผุดขึ้นมาอีกแต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน

เมื่อไปถึงบริเวณห้องดูทีวีใต้ตึก สายตาของเด็กหอต่างก็จ้องมองมาที่ผม นักเรียนที่อยู่ในห้องดูทีวีในขณะนั้นไม่มีใครที่ผมคุ้นหน้าเลย สายตาที่จ้องมองเหมือนกับกำลังดูคนแปลกหน้าที่บุกรุกเข้ามาจนทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

“เอ้อ ผมมาหาชัช ม.๖ เห็นบ้างมั้ยครับ” ผมถามเด็กหอคนที่อยู่ใกล้ตัวผมมากที่สุด

เด็กหอคนนั้นส่ายหัว

“ไม่เห็นมีนี่พี่” เด็กคนนั้นตอบ คราวนี้เด็กหอหลายคนเริ่มเข้ามามุงผมเมื่อรู้ว่าผมมาหาคน

“ชัช ม.๖ แต่ไม่รู้ว่าห้องไหน มันอยู่หอนี้มาตั้งแต่ชั้นประถมเลย” ผมพยายามอธิบายเพิ่มเติม “ที่ผอมๆ ท่าทางเหมือนลิงน่ะ”

พวกเด็กหอต่างพากันส่ายหัวไม่รู้จัก จนผมรู้สึกแปลกใจและเริ่มใจไม่ดี พอดีเหลือบไปเห็นแม่บ้านทำความสะอาดคนหนึ่งซึ่งทำงานในหอพักนักเรียนประจำมาตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ที่นี่ ผมจึงเดินเข้าไปหา

“น้ามัย จำผมได้มั้ยครับ ผมอูไง” ผมยกมือไหว้พลางกล่าวทักทาย

“อูเหรอ” น้าละมัยนิ่งคิดอยู่สักครู่เหมือนกับจะทบทวนความจำ “โอ้โฮ โตขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ ไม่ได้แวะมาหลายปีเลยนะ จำเกือบไม่ได้ ตอนนี้เรียนอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ผมเข้ามหาวิทยาลัยแล้วครับ” ผมตอบ

“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เมื่อก่อนน้ายังเห็นอูเป็นเด็กเล็กๆอยู่เลย เดี๋ยวเดียวโตเป็นหนุ่ม เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว” น้าละมัยพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ “ดีใจที่อูกลับมาเยี่ยม นักเรียนเก่าๆส่วนใหญ่ไปแล้วก็ไปเลย ไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมกันหรอก”

“ผมมาหาไอ้ชัชครับน้ามัย ถามน้องๆก็ไม่มีใครรู้จัก” ผมพูด

“ชัชน่ะเหรอ” น้าละมัยคิดสักครู่ “ออกไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่จบ ม.๓”

ผมใจหายวาบ ที่จริงเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แก่ใจดีว่าในยุคนั้นนักเรียนประถมที่นี่ส่วนใหญ่จะแยกย้ายไปเรียนต่อที่อื่นกัน มีเพียงส่วนน้อยที่เรียนที่นี่ตั้งแต่ประถมจนจบ ม.๖ ดังนั้นนักเรียนมัธยมของที่นี่ส่วนใหญ่จึงเป็นนักเรียนมามาจากที่อื่นและมาเข้าเรียนในชั้น ม.๑ คงเป็นทำนองคนในอยากออก คนนอกอยากเข้านั่นเอง แต่สำหรับไอ้ชัชนั้นผมรู้ดีว่าที่บ้านของมันต้องการให้มันเรียนอยู่ที่นี่เพราะทั้งสะดวกและสบาย ดังนั้นผมจึงประมาทคิดไปว่ามันคงต้องอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆจนจบชั้น ม.๖

ผมถามน้าละมัยว่ามีใครที่เป็นเด็กเก่ารุ่นผมเหลืออยู่บ้าง น้ามัยก็ตอบว่ายังพอมีอยู่บ้าง เมื่อเอ่ยชื่อผมก็พบว่าเป็นคนละห้องและคนละกลุ่มกัน แม้ไม่สนิทกับไอ้ชัชเท่าไรนักแต่ก็น่าจะพอถามได้ความ ผมจึงขอให้น้าละมัยช่วยตามเพื่อนเก่าเหล่านี้จากบนหอมาสักสองสามคนเพื่อสอบถาม เมื่อน้าละมัยตามเพื่อนเก่าเหล่านี้มาถามก็ได้ความว่าไอ้ชัชสอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมจึงได้ลาออกไป

- - -

กว่าที่ผมจะออกมาจากโรงเรียนก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ใจหนึ่งรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสได้พบกับไอ้ชัช แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งใจที่ผมไม่ต้องเล่าเรื่องที่ไม่อยากรื้อฟื้นให้มันฟัง อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ที่จริงถึงผมไม่พบใครที่โรงเรียนนี้ผมก็โทรไปถามที่บ้านมันก็ได้ เบอร์โทรศัพท์ของที่บ้านมันผมยังจำได้แม่น ถ้าไม่ย้ายไปเสียก่อนก็คงถามได้ความมาเช่นกัน ส่วนที่ว่าจะไปตามหามันที่โรงเรียนเตรียมฯหรือไม่ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น

เมื่อกลับมาถึงหอพัก เรื่องแรกที่ผมทำก็คือขึ้นไปดูกุหลาบที่ชั้นดาดฟ้า ตอนนี้กุหลาบมอญต้นแรกตายไปเรียบร้อยแล้วโดยที่ไม่อาจช่วยอะไรได้ ดินในกระถางแข็งเป็นดานจนน้ำไหลผ่านไม่ได้อันเนื่องจากฤทธิ์ของปุ๋ยเคมี ส่วนต้นที่สองนี้ผมดูแลมันเป็นอย่างดี ตั้งกระถางเอาไว้ริมกำแพงเพื่อไม่ให้รับแดดมากเกินไป ตอนบ่ายจะได้เงาจากกำแพงบ้าง รดน้ำเฉพาะตอนเช้ากับตอนบ่ายไม่เกินบ่ายสี่โมง หากวันไหนกลับช้าก็เท่ากับว่ารดน้ำตอนเช้าเพียงครั้งเดียว รอบบ่ายข้ามไปเลย ปุ๋ยก็ใส่ตามที่ลุงขายกุหลาบแนะนำอย่างเคร่งครัด แม้กุหลาบต้นที่สองนี้จะยังดูเรียบร้อยดีอยู่แต่ทว่าหลังจากที่ออกดอกรุ่นแรกไปแล้วมันก็ยังไม่ออกดอกอีกเลย

เมื่อได้ชุดนักศึกษามาแล้วผมก็ลงมือซักและรีด จากนั้นก็จัดตู้เสื้อผ้าเสียใหม่ ชุดนักเรียนก็ไม่ต้องใช้แล้ว ผมจึงปลดเสื้อนักเรียนลงมาจากไม้แขวนพร้อมกับกางเกงนักเรียนสีดำที่วางอยู่ในตู้แล้วพับเก็บเอาไว้ในลิ้นชักข้างล่าง ขณะที่เก็บเสื้อผ้าอยู่นั้นก็อดรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเสื้อที่ปักตราโรงเรียนไม่ได้ จากนั้นก็เอาเสื้อนักศึกษาทั้งแขนสั้นและแขนยาว พร้อมกับเนกไทและกางเกงขายาวที่ซักและรีดเรียบร้อยแล้วมาแขวนแทน โดยเฉพาะเนกไทนี่เท่ชะมัด ในชีวิตยังไม่เคยผูกเนกไทกับเขาสักทีเพราะเมื่อก่อนก็ไม่มีโอกาสพิเศษอะไรที่จะต้องผูกเนกไท

เออ แล้วผูกเนกไทกันยังไงหว่า... ไม่เป็นไร เอาไปให้พี่ที่คณะช่วยสอนก็ได้ ทีแรกคิดว่าจะเอาไปให้พี่ธิตสอนวิธีผูกให้แต่ก็เกรงว่าพี่ธิตจะคิดว่าอวดเนกไทจึงเปลี่ยนใจ



<ตึกพันธุ์ทิพย์พลาซ่าแต่ดั้งเดิมนั้นมีห้างสรรพสินค้าชื่อเอกซ์เซลดีพาร์ทเมนท์สโตร์เช่าเหมาพื้นที่ตึกจากเจ้าของตึกไปบริหาร โดยทำเป็นโครงการดีพาร์ทเมนต์สโตร์ ภัตตาคาร ลานสเก็ต โต๊ะสนุกเกอร์ และมีร้านค้าในโซนพลาซ่า เปิดในราวปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ช่วงปี ๒๕๒๖-๒๕๒๗ เป็นยุคที่ห้างสรรพสินค้ากำลังเฟื่อง มีห้างสรรพสินค้าเกิดใหม่ขึ้นมามากมาย แต่ต่อมาในปลายปี ๒๕๒๗ เศรษฐกิจเริ่มพลิกผันเพราะทางการประกาศลดค่าเงินบาท ห้างเอกซ์เซลพอเปิดได้ไม่นานก็ขาดสภาพคล่อง ต่อมาก็มีการเทกโอเวอร์เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๘ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่กลายเป็นกลุ่มเจ้าของตึกนั่นเอง และเปลี่ยนชื่อห้างสรรพสินค้าชื่อพันธุ์ทิพย์ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ แม่เหล็กดึงดูดคนของพันธุ์ทิพย์พลาซ่านี้มีหลายอย่าง ทั้งห้างสรรพสินค้าที่เน้นความทันสมัย มีการนำระบบบาร์โค้ดมาให้เป็นห้างแรกๆ อีกทั้งมีโรงหนังพันธุ์ทิพย์เธียเตอร์และมีลิฟต์แก้วตัวที่สองของประเทศไทย (ที่เห็นอยู่ที่มุมตึกในภาพ ลิฟต์แก้วตัวแรกอยู่ที่ห้างโรบินสันราชดำริ เปิดราวปี ๒๕๒๕) และพันธุ์ทิพย์ภัตตาคารอาหารจีนที่นิยมเอาดาราฮ่องกงมาจัดคอนเสิร์ตที่นั่น แต่แม้ว่าเปลี่ยนกลุ่มผู้ถือหุ้นแล้วกิจการก็ยังไปไม่ไหวอีกเนื่องจากในยุคนั้นห้างมาบุญครองเปิดและดึงลูกค้าไปทางด้านสยามสแควร์แทน โรงหนังกับภัตตาคารก็คึกคักได้เพียงช่วงเดียวในระยะต้นๆ ประกอบกับมีการปรับเปลี่ยนการจราจรบนถนนเพชรบุรีจากเดินรถสวนทางเป็นเดินรถทางเดียวหรือว่าวันเวย์ในปี ๒๕๒๙ ทำให้ห้างในย่านถนนเพชรบุรีและเพชรบุรีตัดใหม่ได้รับผลกระทบมาก ธุรกิจของพันธุ์ทิพย์พลาซ่าจึงซบเซา ในยุคที่ซบเซานี้เองได้มีกลุ่มผู้ค้าพระเครื่องและร้านประกอบคอมพิวเตอร์ขายส่งหรือที่เรียกกันในยุคนั้นว่าคอมพิวเตอร์ห้องแถวมาเช่าพื้นที่เนื่องจากค่าเช่าถูกมาก ต่อมาก็มีการเปลี่ยนเจ้าของอีกครั้งในปีที่ผมเข้าเรียนปี ๑ นี่เอง กลุ่มทุนใหม่ที่เข้ามาคือกลุ่มของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ใช้เวลาปรับปรุงอยู่หลายปีและเปลี่ยนแนวธุรกิจเป็นศูนย์การค้าด้านไอที นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางด้านพระเครื่องอีกด้วย พันธุ์ทิพย์พลาซ่ายุคที่เป็นธุรกิจไอทีจริงจังน่าจะเริ่มในช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีการเจริญเติบโตเรื่อยมาจนเป็นเช่นในปัจจุบัน ส่วนโรงภาพยนตร์นั้นอยู่มาจนถึงประมาณปี ๒๕๔๔ ก็เลิกไป>

17 comments:

Anonymous said...

ขอคนแรกมั่งนะ นานๆที

หลานหนิง

Choo said...

จริงครับอู พอเวลาผ่านไป
ก็เหมือนรอยเท้าบนพื้นทรายอย่างที่ว่า
เหลือไว้เพียงคราบน้ำตาและรอยยิ้ม

พันทิพย์ฯ ถึงจะเป็นเพียงสถานที่
แต่ก็ยังต้องผ่านร้อนผ่านหนาวเฉกเช่นกัน

ขอบคุณน่ะที่มาเขียนต่อ ดีใจที่อูหายป่วยแล้ว

ชู

Anonymous said...

มาไม่เคยได้ที่หนึ่งสักที

กัน

Anonymous said...

มารักอาอูแล้วครับ วันนี้ท้องเสียถ่ายเป็นเลือดปนเพิ่ม
ฝนตกหนัก ไข้ขึ้นด้วย

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

5....

รอมานาน ได้อ่านสักที

แบงค์ครับ

Anonymous said...

อ่านตอนนี้เหมือนอ่านสารคดีไปพร้อมๆกับรำลึกความหลังเรื่องชัชไปพร้อมๆกัน ได้ความรู้ไปพร้อมๆกับอาการใจหายพิกล
Federick
ป.ล.อาอูหายป่วยแล้วนะครับ

วิตามิน อาหารเสริม said...

Cheer up!!!

Anonymous said...

มารายงานตัวเป็นคนที่8ค่ะ
หวังว่าชีวิตในรั้วมหา'ลัยของอูคงเต็มไปด้วย
ความสนุกสนานนะคะ เพราะโตแล้วนี่แถมมีกิจกรรม
มันส์ๆให้เจอะเจออีกเยอะแยะเลย

อ่านตอนเลือกเสื้อผ้า พาลให้นึกไปว่าอูนี่ต้องเป็นคนผอมบางสูงโปร่ง แขนขายาว แต่ขาจะยาวเท่าชูของหลานหนิงอ๊ะเป่าอันนี้ไม่แน่ใจ อิ อิ

อ่านเม้นท์แล้วให้นึกเป็นห่วงหลานArusหลานรักของอาอู
เป็นไงบ้างคะ หวังว่าคงจะดีขึ้นในเร็ววันนะลูก ใกล้สอบแล้วด้วย พักผ่อนเยอะๆค่ะจะได้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ขอบคุณพี่คนลาดพร้าวนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

ตอนที่ 5 มาแล้ว แสดงว่า คุณอู ก็ คงสบายดีแล้ว
รักษาสุขภาพไว้นะครับ ช่วงนี่อากาศกำลังเปลี่ยน ฝนตกหนักๆ แล้วเดี๋ยวก็จะเปลี่ยนไปเข้าหนาวแล้ว...

*** P ***

nai said...

เมื่อคืนเปิดมา หลานหนิงแย่งที่ 1 กะว่าจะรอ เม้นท์ที่ 9 เอาฤกษ์เอาชัยสักกะหน่อย แต่ได้ที่ 1 กับ 1 ก็ยังดี ชิมิ ชิมิ
นัย

Anonymous said...

ครับ ผมเป็นคนแขนขายาว เกะกะจัง นั่งม้านั่งเล็กๆแบบม้านั่งซักผ้าก็มักหงายท้อง และไม่ชอบขึ้นรถสองแถวสีแดงๆด้วยเพราะว่าขึ้นแล้วเมื่อยคอมั่กๆ

ช่วงที่ผ่านมาป่วยไม่มากครับ แค่มึนๆ แต่วันนี้ไปโดนฝนมาอีก เปียกมอมไปหมดเลย กลับมาปวดหัวจัง ต้องรีบกินฟ้าทลายโจร ช่วงนี้หวัด 2009 ระบาดอีกแล้ว ชักเสียวเหมือนกัน

ปกติไม่ค่อยตัดเสื้อผ้าครับ เลือกซื้อสำเร็จรูปเอามากกว่า แต่ก็อย่างว่า บางทีขนาดไม่ได้จริงๆก็ต้องตัด แต่ที่จริงตัดเสื้อกับกางเกงนี่ราคาก็ไม่ได้แพงนะครับ เสื้อผ้ามีแบรนด์ยังแพงกว่าสั่งตัดเสียอีก

ชีวิตตอนเปิดเทอมคงมีเรื่องสนุกๆตามมาครับ คณะผมคนเยอะด้วย คนเยอะเรื่องก็เยอะ อยากรู้เหมือนกันว่าระบบการเรียนในสมัยผมกับในสมัยนี้ต่างกันแค่ไหน

ชัชเมื่อไม่เจอก็ไม่ได้ไปตามหาครับ ผมก็หาข้ออ้าง แก้ตัวกับตัวเองไปเรื่อย และตลอดเวลาที่เรียนก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลย กว่าจะได้เจอกันอีกทีก็เรียนจบกันไปแล้ว อย่างที่เคยบอกนั่นแหละครับ

จะพยายามโพสต์ให้ถี่ขึ้นเพื่อชดเชยกับช่วงที่หายตัวไปครับ

อู

Anonymous said...

อ้อ นิ้วไว กดปุ่มโพสต์เร็วไปหน่อย ยังเขียนไม่หมดเลย

เป็นกำลังใจให้หลาน Arus ด้วย ยังไงก็ต้องสู้ละนะ หนิงก็เหมือนกัน ตั้งใจทำงาน อย่าอู้มากนัก รวมทั้งขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงและให้กำลังใจครับ นายคนที่ 1 กับ 1 น่ะ เข้ามาอ่านช้า็บอกมาเถอะ ยังมาทำเนียนว่ารอที่ 9 เสียอีก พีเสียอีก แวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ ต้องขอบคุณมาก กันและแบงค์ก็เช่นกัน

แล้วหลานแฝดพี่เป็นไงบ้าง ช่วงก่อนว่ามีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม ดีขึ้นหรือยังครับ

พี่ชูเงียบๆไป เขียนสั้นจิ๊ดเดียว สงสัยจะยุ่ง

ทักทายใครตกหล่นไปบ้างอย่าเพิ่งเคืองนะครับ แต่ผมว่าครบนะ

อู

Anonymous said...

ใช่ครับ มีปัญหาไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องงาน ตอนนี้ก็ยังเครียดๆอยู่ แต่เครียดไปก็เท่านั้น ก็ต้องสู้ๆกันต่อไปครับ ขอบคุณอาอูที่เป็นห่วงนะครับ
Federick

Anonymous said...

ดูแลสุขภาพด้วยครับพี่อู


OaH ครับ

–• องค์ ๕ •– said...

ก็ว่าอยู่ ว่าคุณอูเคยบอกเอาไว้แล้ว

เตรียม ? น้องบอย ?




–• องค์ ๕ •–

Anonymous said...

)^_^(ที่17 อรุณสวัสดิ์ครับลุง อยู่มหาลัยแล้วเรียนรดยังไงเนี่ย แล้วต้องตัดผมเกรียนด้วยป่าวเวลานั่งเรียนในห้องก็ตลกสิครับเหมือนมีเด็กมานั่งเรียนด้วยเลยกิ๊กๆ