Tuesday, August 24, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 3

เพียงวันสองวัน ดอกกุหลาบมอญสีแดงที่บานติดต้นมาตั้งแต่ตอนที่ซื้อก็ค่อยๆโรย เมื่อผมเอามือไปโดนดอกกุหลาบ กลีบดอกที่กลายเป็นสีแดงปนน้ำตาลก็ร่วงพรูทันที แต่เนื่องจากกุหลาบมอญเป็นกุหลาบที่ออกดอกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ในขณะที่ดอกแรกในกลุ่มโรย ดอกอื่นในกลุ่มที่เมื่อตอนที่ซื้อมาเป็นดอกตูมสีเขียวอยู่ก็เริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอมกระจาย

กลิ่นกุหลาบมอญยามเช้าทำให้ผมนึกถึงบทเพลงของรอเบิร์ต เบิร์นส์ รวมทั้งยังทำให้นึกไปถึงบทเพลงที่ผมยังไม่มีโอกาสมอบให้ไอ้นัย ป่านนี้ไอ้นัยคงโตขึ้นอีกมาก ไม่รู้ว่าอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า จะสูงกว่าผมหรือยังก็ไม่รู้

“อ้าว พี่อู ยังไม่แต่งตัวไปโรงเรียนอีกเหรอ” ผมตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อผมหันไปดูก็เห็นน้องปั้น ชั้น ๓ นั่นเอง ปั้นอยู่ในชุดนักเรียน ในมือถือผ้าเช็ดตัว คงกำลังเอาผ้ามาตากก่อนไปโรงเรียน เห็นชุดนักเรียนของปั้นทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่โรงเรียนเริ่มเปิดเรียนภาคต้น ผมสังเกตเห็นเข็มกลัดตราโรงเรียนที่อกเสื้อของปั้น วันนี้คงเป็นวันแรกที่ปั้นติดเข็มไปโรงเรียน

“ไม่ไปหรอก” ผมตอบอ้อมแอ้ม กำลังนึกลังเลว่าจะบอกเรื่องสอบเอนทรานซ์ดีหรือไม่เพราะว่าที่ผ่านมาคนในหอพักไม่มีใครรู้เรื่องการสอบของผมเลยเนื่องจากผมเก็บตัวไม่ค่อยได้คุยกับใคร นี่ถ้าบอกปั้นไปแล้วสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านก็คงเสียหน้าแย่ จึงทำเนียนเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่น “ม.ปลายแล้วนะเรา ติดเข็มไปเบ่งกับ ม.ต้นได้แล้ว”

“เบ่งอะไรกันพี่ มันกลัวรุ่นพี่เสียที่ไหน” ปั้นหัวเราะฮิฮะ ทำหน้าทะเล้น ว่าแล้วก็วกมาเรื่องเดิมอีก “ว่าแต่พี่อูทำไมไม่ไปโรงเรียน โดดเรียนตั้งแต่วันแรกเชียว”

“เฮ้ย เปล่าโดด พูดซะเสียหมด” ผมรีบปฏิเสธ “พี่สอบเอนทรานซ์ได้น่ะ กำลังรอประกาศผลอยู่”

“เฮ้ย พี่สอบเทียบได้แล้วเหรอ โห ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ปั้นแปลกใจ

“ก็ไม่รู้ว่าจะสอบได้หรือเปล่า พูดไปแล้วทำไม่ได้เสียหน้าเปล่าๆ เอาไว้ได้แน่ๆแล้วค่อยบอกก็ไม่สาย” ผมตอบไปตามตรง “ปั้นรีบไปเรียนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะสาย กลับมาแล้วค่อยมาคุยกันก็ได้”

หลังจากที่อยู่อย่างเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายในกรุงเทพฯอยู่พักหนึ่งผมก็เริ่มเบื่อ ยังดีที่ช่วงก่อนเปิดเทอมในหอพักคึกคักตลอดทั้งวันทำให้ผมไม่ค่อยเหงานัก แต่หลังจากที่โรงเรียนเปิดแล้วในเวลากลางวันหอพักคงกลับมาเงียบเหงาเหมือนเดิม ในที่สุดเช้าวันนั้นผมก็ตัดสินใจกลับบ้านชั่วคราว

ปกติเมื่อผมคิดกลับบ้านก็กลับได้เลย ไม่มีอะไรที่ต้องเตรียมตัวหรือว่าต้องเป็นห่วง แต่ว่าครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ผมรู้สึกเป็นห่วงกุหลาบมอญ ถ้าไม่อยู่ใครจะรดน้ำ สองสามวันที่ได้กุหลาบมอญต้นนี้มาผมต้องขึ้นมาดูแลและสูดกลิ่นหอมของมันทุกวัน ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเพียงกุหลาบธรรมดา แต่ในความรู้สึกอันลางเลือน มันเป็นเสมือนตัวแทนของอะไรบางอย่าง... หรือไม่ก็เป็นตัวแทนของใครบางคน... ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่

ก๊อก ก๊อก

ในที่สุดผมก็คิดอะไรได้อย่างหนึ่ง ผมเดินไปเคาะประตูห้องพี่ธิตซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนักทันที เสียงกุกกักที่ดังลอดออกมาจากในห้องแสดงว่าเจ้าของห้องยังไม่ได้ออกไปทำงาน

“พี่ธิตครับ นี่อูครับ” ผมส่งเสียงเรียก

ประตูห้องเปิดออก พี่ธิตที่แต่งตัวในชุดทำงานเรียบร้อยเดินออกมาทักทาย

“ว่าไงอู ไปทำอะไรมาเก็บเงียบไม่บอกเลยนะเรา” พี่ธิตพูด

“เมื่อกี้พี่ได้ยินเหรอ” ผมถาม

“หูพี่ไม่ได้หนวกนี่หว่า มายืนคุยหน้าห้องพี่ก็ได้ยินสิ” พี่ธิตตอบ “ดีใจด้วยนะอู”

“ขอบคุณครับพี่ธิต” ผมตอบ “ผมมีเรื่องอยากจะขอรบกวนพี่หน่อย”

“เรื่องอะไรล่ะ” พี่ธิตถาม

“คือผมจะกลับบ้านสักสองสามวันน่ะพี่ ว่าจะไปวันนี้เลย แต่เป็นห่วงกุหลาบ จะฝากพี่รดน้ำมันในช่วงที่ผมกลับบ้านหน่อยจะได้ไหมครับ รดน้ำเช้าเย็นแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรยุ่งยาก”

“แล้วไป นึกว่าจะยืมเงิน ชักสงสัยแล้วสิว่ากุหลาบต้นนี้มีอะไรสำคัญนักหนา อูถึงได้ห่วงขนาดนี้” พี่ธิตหัวเราะ “ได้ๆ แค่นี้เรื่องเล็ก เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง อูไม่ต้องเป็นห่วง”

“ขอบคุณครับพี่ เดี๋ยวเช้านี้พี่ไม่ต้องรดน้ำนะ ผมจะจัดการเอง ตอนเย็นพี่กลับมาค่อยมารด” ผมไม่วายกำชับ

“เออ เออ ได้ ได้” พี่ธิตรับคำ

หลังจากพี่ธิตปิดประตูไปแล้ว ผมก็กลับมาที่ต้นกุหลาบ จัดการรดน้ำจนชุ่ม ผมสังเกตเห็นว่าเม็ดปุ๋ยที่โคนต้นละลายไปมากแล้ว

เติมปุ๋ยอีกหน่อยดีกว่า จะไม่อยู่อีกหลายวัน เดี๋ยวจะอดอยาก ผมคิด จากนั้นก็เดินลงไปที่ห้อง หยิบเอาปุ๋ยเม็ดมาโรยลงไปอีก จากนั้นจึงกลับลงไปที่ห้อง ครั้นเวลาสายผมก็ออกจากห้องพื่อเดินทางกลับบ้าน

- - -

ผมกลับบ้านเพียงไม่กี่วันก็กลับมากรุงเทพฯอีกครั้งเพื่อมาดูประกาศผลสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในขั้นสุดท้าย โดยในครั้งนี้ผมนั่งรถทัวร์เที่ยวเช้ามืดจากบ้านมาลงที่หมอชิตและเข้ามาดูประกาศผลเลย ที่สนามประกาศผลมีคนไม่มากมาย ต่างจากตอนประกาศผลสอบข้อเขียนมาก

เฮ้ย ติดด้วยโว้ย ผมอุทานในใจหลังจากที่เห็นชื่อของตนเองอยู่ในประกาศที่ติดอยู่บนบอร์ด ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจ อีกใจหนึ่งก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าติดได้ยังไง ต่อมาผมจึงได้ทราบความจริงว่าการสอบสัมภาษณ์นั้นส่วนใหญ่มักไม่มีปัญหาอะไรดังที่รุ่นพี่เคยพูดเอาไว้นั่นเอง แต่ปัญหาอาจมีได้ตอนตรวจร่างกายเสียมากกว่า เช่น บางคนไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าตนเองตาบอดสี เมื่อตรวจร่างกายและพบว่ามีอาการตาบอดสีก็อาจทำให้เรียนในบางสาขาไม่ได้ เป็นต้น

หลังจากที่รู้ผลแล้ว ที่บอร์ดก็จะมีประกาศเกี่ยวกับการไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย ครั้งนี้ผมรู้แล้วว่าต้องเดินตามหารุ่นพี่ที่คณะที่คอยมาเป็นพี่เลี้ยงเพื่อขอคำแนะนำเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ควรหาคนแนะนำเอาไว้ก่อนจะได้ไม่พลาด ผมเดินอยู่ในบริเวณสนามประกาศผลเพียงครู่เดียวก็พบมุมที่รุ่นพี่ของคณะเทคโนฯจับกลุ่มกันอยู่

“น้องคณะเทคโนฯ มะรืนนี้ต้องมารายงานตัวและรับเอกสารที่คณะนะน้อง แล้วสิบโมงเช้ามาพบกันที่ใต้ตึกหลังเดิม... ที่เก่าเวลาเดิม” ได้ยินเสียงรุ่นพี่บอกรุ่นน้องที่แวะเข้ามาหาซ้ำแล้วซ้ำอีก

เมื่อผมเดินผละจากกลุ่มรุ่นพี่คณะเพื่อกลับหอพัก ผมก็รู้สึกว่ามีคนเอามือมาตบไหล่ของผม ผมหันไปดูแต่ไม่เห็นใคร เมื่อเหลือบลงไปมองที่ด้านล่างก็เห็นไอ้ตี๋นั่งย่อตัวอยู่ข้างหลังของผม มุขนี้เป็นมุขที่ไอ้ตี๋ชอบแกล้งผมตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๑ สมัยที่มันยังซ่าอยู่ หลังจากที่เกิดเรื่องใหญ่ตอนชั้น ม.๒ นิสัยของตี๋เปลี่ยนไปเป็นเงียบขรึม มันก็ไม่ค่อยหยอกผมด้วยมุขนี้อีก

“ไอ้ตี๋” ผมอุทานด้วยความดีใจ “มึงติดคณะอะไรวะ”

“ศึกษาศาสตร์โว้ย คณะที่อยู่ใกล้ๆกับมึงนั่นแหละ” ตี๋ตอบ

“มึงรู้เหรอว่ากูติดที่ไหน” ผมงง มันรู้ได้ยังไงกัน

“กูเห็นมึงแยกออกมาจากกลุ่มพี่คณะเทคโนฯก็รู้แล้วว่ามึงติดที่ไหน” ตี๋ตอบ

“ดีใจด้วยนะไอ้ตี๋” ผมจับมือมันมากุม แสดงความยินดีกับมันจากใจจริง “ในที่สุดมึงก็ทำสำเร็จ”

“ได้ก็เพราะหนังสือที่มึงให้นั่นแหละ” คำตอบของตี๋ทำให้ผมต้องสะท้อนใจ หนังสือติวมูลค่าเพียงไม่กี่ร้อยบาทที่ผมไม่ได้ใช้และไม่ได้สนใจอะไรกลับมีค่าต่อมันมาก ทำไมชีวิตของคนเราจึงแตกต่างกันได้มากมายขนาดนี้ “ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เรียนไหม”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมถาม

ตี๋มองไปที่แขนข้างที่ลีบเล็กของมัน “ก็กูพิการ ไม่รู้ว่าเค้าจะรับคนไม่สมประกอบหรือเปล่า” ตี๋พูดเรื่อยๆเหมือนจะให้ฟังเป็นเรื่องขำ แต่ผมฟังแล้วไม่รู้สึกขำเลยแม้แต่น้อย

“เอาน่าตี๋ ยังไงมึงก็สู้จนสำเร็จแล้ว จะไปคิดเรื่องแบบนั้นอีกทำไม” ผมตัดบท ไม่อยากให้มันคุยเรื่องนี้ต่อ “แล้วหลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จมึงไปทำอะไรมาบ้างวะ”

“กูก็พยายามหางานชั่วคราวทำ จะได้มีรายได้เป็นทุนเรียน ส่วนใหญ่ก็พยายามหางานขาย พนักงานเสิร์ฟ หรือไม่ก็เป็นเด็กหลังแคชเชียร์ตามซูเปอร์มาร์เก็ต ทำได้สักเดือนหนึ่งก็ยังดี” ตี๋เล่า ผมอดรู้สึกผิดนิดหน่อยไม่ได้ ในขณะที่มันกำลังตระเวนหางานพิเศษทำ ผมก็กำลังเพลิดเพลินกับการล่องใต้อยู่

“ทำแล้วเป็นไงบ้างล่ะ เก็บเงินได้เยอะไหม” ผมรีบถามต่อ ดีใจที่เปลี่ยนเรื่องคุยได้สำเร็จ

“ได้ทำที่ไหนล่ะ ไปสมัครที่ไหนก็ไม่มีใครรับ” ตี๋ตอบช้าๆด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนจับความรู้สึกไม่ออก

โอย แบบนี้แย่แน่ คุยไปคุยมาก็กลับมาที่เรื่องเก่าอีก

“ไปสมัครตั้งหลายที่ เสียเงินค่ารถไปหลาย แต่ในที่สุดก็เสียเงินเปล่า ต้องกลับมาช่วยที่บ้านขายของตามเดิม รู้ยังงี้ไม่รนหาที่ให้เสียเงินหรอก อยู่เฉยๆดีกว่า” ตี๋พูดต่อ

ปกติตี๋เป็นคนที่อดทนมาก มีอะไรก็ทบเก็บเอาไว้ ไม่เคยปริปากบ่น มาคราวนี้มันถึงกับหลุดปากระบายออกมาแสดงว่าชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของมันคงได้รับความคับแค้นใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ถ้ามีอะไรที่กูพอจะช่วยได้ก็บอกนะตี๋ อีกหน่อยเราคงได้เจอกันอีกบ่อยๆ ถ้ามีอะไรขอให้บอก” ผมตบไหล่มันเป็นเชิงปลอบใจ

ตี๋จับมือผมเอาไว้พร้อมกับบีบเบาๆแล้วพยักหน้า จากนั้นเราก็จากกัน

- - -

ผมกลับถึงหอพักในตอนบ่าย เมื่อกลับไปถึงหลังจากวางของไว้ในห้องแล้วผมก็รีบขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าทันที ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯเสียหลายวันไม่รู้ว่ากุหลาบมอญของผมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เมื่อขึ้นไปเห็นต้นกุหลาบผมก็ต้องตกใจ ผมเห็นใบของต้นกุหลาบเหี่ยวและกลายเป็นสีเหลืองอมเขียวไปทั้งต้น ดอกกุหลาบที่ติดมากับต้นตั้งแต่ตอนที่ซื้อมานั้นไม่ต้องพูดถึง กลีบโรยไปจนหมดแล้ว

พี่ธิตคงลืมรดน้ำแน่เลย กุหลาบถึงได้เหี่ยว คิดแล้วก็อดโมโหพี่ธิตไม่ได้ ฝากแค่นี้ก็ไม่ได้เรื่อง คิดพลางก็เอาขันไปรองน้ำมารดที่โคนต้นกุหลาบ

ผมสังเกตพบว่าน้ำที่เคยซึมผ่านผิวหน้าดินและไหลออกไปทางรูก้นกระถางอย่างรวดเร็วมาวันนี้กลับซึมช้าผิดปกติไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร ผมรดน้ำกุหลาบจนชุ่มและพยายามลิดใบที่เหลืองมากๆออกไปบ้าง

“โอ๊ย” ผมอุทานออกมา ความสะเพร่าและความใจร้อนของผมทำให้หนามกุหลาบตำนิ้วอย่างแรงจนเลือดออก ตอนที่หนามกุหลาบตำเข้าไปในนิ้วนั้นผมรู้สึกปวดมาก แม้ถอนหนามกุหลาบออกไปแล้วก็ยังรู้สึกปวดไม่คลาย

“ซวยจริงๆเลย” ผมบ่นพึมพำกับตนเอง พยามยามเค้นเลือดออกจากปลายนิ้ว “เจ็บตัวเสียอีก”

เย็นวันนั้นผมมาดักรอพี่ธิตที่หน้าห้องตั้งแต่ตอนเย็นด้วยความโมโห ตั้งใจจะต่อว่าพี่ธิตเต็มที่ แต่เมื่อพี่ธิตขึ้นมาที่ห้องยังไม่ทันที่ผมจะพูดว่าอะไรพี่ธิตก็ชิงทักผมเสียก่อน

“เฮ้ย อู เห็นกุหลาบหรือยัง” พี่ธิตถาม

“เห็นแล้วพี่” ผมตอบ ความเคืองทำให้คำว่าครับที่ควรจะมีหายไป

“พี่รดน้ำเช้าเย็นตามที่เราบอกทุกอย่างเลยนะ ไม่ได้ลืมเลยสักวัน แต่ทำไมมันเป็นยังงี้ได้ก็ไม่รู้” พี่ธิตรีบอธิบาย สีหน้าแสดงความกังวล คงเกรงจะถูกผมต่อว่าว่าดูแลไม่ดีนั่นเอง “ตั้งแต่อูไปมันก็เริ่มเหลืองเลย”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น อีกทั้งเห็นพี่ธิตไม่สบายใจ แม้จะยังไม่หายเคืองแต่ก็ไม่อยากต่อว่าพี่ธิตแล้ว ไหนๆผมก็กลับมาแล้ว ต่อไปดูแลเองก็คงไม่เป็นไรแล้ว

- - -

คืนนั้นผมโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านเรื่องผลการสอบ เพื่อนๆในหอพักที่คุ้นเคยกันก็รู้กันทั่วจากปากคำของพี่ธิตและปั้น ปีนั้นในหอพักมีผมเพียงคนเดียวที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ชาวหอคนอื่นๆถ้าไม่ใช่เรียนจบและทำงานแล้วก็กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาหรือไม่ก็ในระดับอาชีวศึกษา

หลังจากการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ชีวิตของผมก็ไม่ได้อยู่ว่างๆรอคอยเวลาให้ผ่านไปวันๆอีกต่อไป ตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย เริ่มตั้งแต่การไปรายงานตัว รับเอกสารคู่มือนักศึกษาใหม่ การขึ้นทะเบียนนักศึกษา การพบอาจารย์ที่ปรึกษาและการลงทะเบียนเรียน ตลอดไปจนถึงการซื้อเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์การเรียน ตัดผม ถ่ายรูป ฯลฯ และที่สำคัญคือกิจกรรมต่างๆตามแต่รุ่นพี่จะนัดหมาย เรียกได้ว่าช่วงปลายเดือนมีเรื่องให้ออกจากหอพักได้ทุกวัน

หลังจากที่ผมไปรายงานตัวแล้วก็ได้รับเอกสารต่างๆมาอ่านหลายเล่ม ทั้งคู่มือ ระเบียบ และอื่นๆ อ่านแล้วก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ดีที่มีรุ่นพี่คอยให้คำแนะนำเป็นขั้นๆจึงเข้าใจขั้นตอนต่างๆ จากนั้นผมก็ไปถ่ายรูปเพื่อเตรียมไว้ใช้ประกอบเอกสารต่างๆรวมทั้งใช้ในการทำบัตรนักศึกษา

บัตรนักศึกษาในยุคนั้นยังใช้รูปถ่ายที่ไปถ่ายมาจากร้านถ่ายรูปนำมาแปะบนบัตรอยู่ ไม่ได้ไฮเทคเป็นสมาร์ตการ์ดแบบในปัจจุบันที่ถ่ายรูปแล้วพิมพ์ลงบนบัตรไปเลย ผมต้องไปถ่ายรูปขนาด ๑ นิ้วในชุดนักศึกษาเพื่อใช้ติดบัตรจากร้านถ่ายรูปแถวๆสามย่านเนื่องจากฝั่งสะพานเหลืองหน้ามหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีร้านรวงเท่าไรนัก จะทำอะไรหรือว่าจะซื้ออะไรส่วนใหญ่ต้องข้ามไปทางฝั่งสามย่าน

เมื่อไปถึงร้านถ่ายรูปผมก็เปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา ชุดนักศึกษาที่ว่าก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตขาวและเนคไทที่มีตรามหาวิทยาลัยปักอยู่ เสื้อเชิ้ตกับเนคไทนี้ทางร้านถ่ายรูปมีเตรียมเอาไว้ให้แล้ว ไปถึงก็เปลี่ยนเสื้อ เอาเนคไทซึ่งผูกเป็นห่วงเรียบร้อยแล้วคล้องคอ รูดปมให้กระชับคอ แล้วก็ถ่ายได้เลย

- - -

วันเสาร์

หลายวันต่อมา ต้นกุหลาบมอญของผมอาการทรุดหนักลง จากใบที่สีเหลืองอมเขียวกลายเป็นสีเหลืองอ๋อยและเหี่ยวไปทั้งต้น แม้ว่าผมจะรดน้ำอย่างไรอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ด้วยความรู้สึกที่ผูกพันกับกุหลาบต้นนี้ทำให้ผมรีบไปที่ตลาดนัดจตุจักรเพื่อถามลุงคนขายกุหลาบให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกุหลาบของผม

เมื่อผมไปถึงร้านของลุงขายกุหลาบ ผมเห็นแกกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงพับรอลูกค้าอยู่เช่นเคย

“ลุงครับ กุหลาบมอญที่ผมซื้อไปเมื่อวันก่อนน่ะ ไหนว่าเลี้ยงง่ายไง ตอนนี้ใบมันเหลืองไปทั้งต้น จะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว” ผมต่อว่าลุงขายกุหลาบทันที

“หา พ่อหนุ่มเลี้ยงกุหลาบมอญยังไม่รอดเลยเหรอ” ลุงขายกุหลาบมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

โห แน่มากเลยนะลุง มีการเกทับกลับมาว่าผมเลี้ยงต้นไม้ไม่เป็นเสียอีก

“ผมก็ทำตามที่ลุงแนะนำทุกอย่าง รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ทำไมมันเป็นยังงี้ละครับ ต้มไม้มันเป็นโรคอะไรอยู่แล้วหรือเปล่าครับลุง” ผมโบ้ยความผิดไปให้ลุงบ้าง

“มันจะเป็นโรคอะไรล่ะ ตอนที่พ่อหนุ่มซื้อไปยังออกดอกงามอยู่เลย ต้นไม้ไม่แข็งแรงจะออกดอกสวยแบบนั้นได้ยังไง ไหน เล่าอาการของต้นไม้มาให้ลุงฟังก่อน”

ผมก็เล่าอาการของกุหลาบให้ฟังตามที่เห็น

“สงสัยจะรากเน่านะ แต่ เอ... รากเน่ามันก็ไม่น่าเร็วขนาดนี้” ลุงรำพึงกับตนเอง

“เนี่ย ผมดูแลอย่างดี รดน้ำเช้าเย็น แถมใส่ปุ๋ยลงไปตั้งหลายหน” ผมบ่นด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นลุงขายกุหลาบไม่ยอมรับว่าต้นไม้ของตนเองไม่แข็งแรง

“ไหน พ่อหนุ่มใส่ปุ๋ยยังไง” ลุงถาม

ผมก็เล่าให้ลุงฟังว่าโรยปุ๋ยลงไปอย่างไร พอเล่าจบลุงก็หัวเราะก๊าก

“ตายแล้ว ใครเขาเลี้ยงต้นไม้กันอย่างนั้น” ลุงหัวเราะขำไม่หาย “ใส่ปุ๋ยเคมีเยอะขนาดนั้น รดน้ำขนาดนั้น มันจะไปรอดได้ยังไง ลุงบอกให้โรยทีละนิด เจ็ดวันสิบห้าวันก็ใส่ลงไปสี่ห้าเม็ด นี่โรยเป็นกำมือ ปุ๋ยมันเป็นพิษน่ะสิ ดินเสียหมดแล้วล่ะ เหมือนคนกินข้าวน่ะ กินมากๆท้องก็แตกตาย”

จริงด้วยสิ ลุงเคยบอกเอาไว้ว่าให้ใส่ปุ๋ยทีละนิด แต่ว่าผมอยากให้มันโตไวๆจึงอัดปุ๋ยใส่ลงไปเสียตั้งเยอะ เมื่อรู้ความจริงผมถึงกับจ๋อย

“ไม่รอดแน่แล้วหรือครับลุง” ผมเสียงอ่อย

ลุงขายกุหลาบส่ายหน้าและถอนหายใจแทนคำตอบ

“เอายังงี้นะ พ่อหนุ่มอย่าเพิ่งท้อใจ ลองเอาต้นใหม่ไปเลี้ยงอีกสักครั้งไหม ลองแก้ตัวดู คราวนี้ตั้งใจเลี้ยงตามที่ลุงบอก ต้นใหม่นี้ลุงลดให้เหลือ ๒๐ บาทเท่านั้น” ลุงเสนอเงื่อนไขจูงใจ

ใจหนึ่งก็ชักจะเริ่มท้อ แต่อีกใจหนึ่ง... มันเป็นความรู้สึกลึกๆที่อธิบายไม่ถูก... ในที่สุด วันนั้นผมก็กลับหอพักพร้อมกับต้นกุหลาบมอญต้นใหม่อีกหนึ่งต้นเพื่อนำมาเลี้ยงทดแทนต้นที่กำลังจะตายจากไป


<หลังจากการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาอันเป็นการประกาศผลขั้นสุดท้ายของกระบวนการสอบเอนทรานซ์ ผู้ที่สอบได้ก็ต้องไปรายงานตัวและดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเป็นนักศึกษา ณ มหาวิทยาลัยที่ตนสอบได้ ผู้ที่สอบได้มหาวิทยาลัยในภูมิภาคก็เช่นกัน เมื่อประกาศผลแล้วก็ต้องเก็บกระเป๋าและร่ำลาครอบครัวเพื่อเดินทาง กิจกรรมเกี่ยวกับการเดินทางเพื่อเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ที่กล่าวขานถึงมากที่สุดน่าจะเป็นการรับน้องรถไฟของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กิจกรรมนี้มีมานานแล้วและจัดทุกปีจนกลายเป็นประเพณี โดยรุ่นพี่จะเหมาขบวนรถไฟเพื่อให้นักศึกษาใหม่เดินทางจากกรุงเทพฯไปด้วยกัน ใช้เวลาในขบวนรถไฟประมาณ ๑๕ ชั่วโมง ถือเป็นการรับน้องและสร้างความสัมพันธ์กันไปในตัว>

19 comments:

Choo said...

ขอที่ 1 บ้างนะ

ชู

Anonymous said...

ที่สอง กับเช้าที่อากาศสดชื่น...

แบงค์ครับ

Anonymous said...

ได้เรียนหมอซะที

Anonymous said...

มหาวิทยาลัยแถวสะพานเหลือง นึกไงก้อนึกไม่ออกอ่า ...


แต่ช่างเห้อะ ...



มารอต่อครับ ...


OaH ครับ

Anonymous said...

..ว่าแล้วเชียว กุหลาบตายแหงแก๋เพราะใส่ปุ๋ยมากเกินไปจนดินแข็ง นี่เป็นบทเรียนอีกบทนึงสำหรับมือใหม่หัดปลูกค่ะ ทั้งนี้เป็นเพราะความตั้งใจดีของอูแท้ๆอยากทำนุบำรุงให้มันงอกงามเพื่อใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเชื่อมโยงถึงใครบางคนที่จากไป ..วัยรุ่นก้อเงียะ!!

หลังจากหน้าแตกเรื่องทายคณะที่เอนท์ติดแล้ว ทุกวันนี้พี่ยังมืดบอด จินตนาการต่อไม่ถูก ไปไม่เป็นเลยค่ะอู..

คนลาดพร้าว

พี said...

อู...กล่าวถึงรับน้องมอชอ คิดถึงเชียงใหม่อีกแล้ว


แต่ละจังหวัดที่มีสถานีรถไฟ ไล่ตั้งแต่หัวลำโพง จะมีน้องๆ มาขึ้นรถไฟไปรายงานตัว บรรยากาศดูคึกคัก ยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ โดยเฉพาะ จังหวัดในเขตภาคเหนือ

*** P ***

.C kyredyrF said...

ที่ 7

Anonymous said...

มาลงทะเบียนรักอาอู แล้วครับ
ยังไม่หายป่วยเลย T-T
แล้วอาอูหายป่วยหรือยังครับ?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

พี่สาวลาดพร้าวหายไปพักหนึ่ง ว่าแล้วเชียวว่าต้องไม่อยู่ ที่แท้หลบไปเที่ยวนี่เอง ว่าแต่ทำไมเที่ยวตอนฝนตกชุกละครับ

ตะโก้แห้วกระทงใบเตยหอมนี่ความคิดแจ่มมากเลยครับ นึกไม่ถึงเลย เตยหอมกับกลิ่นกุหลาบมอญเข้ากันมาก ผมลองดูแล้ว ถ้าจะให้ดีก็อบควันเทียนเสียด้วยจะได้แจ่มสุดๆไปเลย

เรื่องที่พี่ไปต่อไม่ถูกนั้นอย่าว่าแต่พี่เลย ผมเองก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน เอ ไม่ใช่สิ ต้องต่อถูกสิเนอะ

ขอบคุณหลาน arus ไม่สบายยังอุตส่าห์แวะเข้ามาทัก อาก็ยังไม่หายเจ็บเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรมาก หลานก็ควรรีบหายไวๆเช่นกัน

มหาวิทยาลัยแถวสะพานเหลืองอยู่ที่ไหนหากนึกไม่ออก ตอนหน้าจะพาไปชมสถานที่เก่าๆครับ

พีคิดถึงความหลังละสิ ที่จริงมีภาพรับน้องขึ้นดอยรุ่นเกือบสามสิบปีมาแล้วด้วย พี่ป้าขวัญกับพี่สาวลาดพร้าวคงถูกใจ ดูแล้วน้ำหมากหก ตอนเรียนชอบเที่ยว เป็นขาเที่ยวเลย ขึ้นดอย ปีนภู แค้มปิ้ง ฯลฯ ถ้ามีโอกาสเป็นไป เที่ยวเก่งไม่แพ้สาว มช พี่สาวลาดพร้าว ผมมีภาพเชียงใหม่ถ่ายเมื่อสมัยเรียน ถ้าจำไม่ผิดจะเห็นร้านโบ๊ตด้วย แต่น่าเสียดาย ฟิล์มพังครับ เก็บนานไปหน่อย เลยไม่มีให้ดูกัน

อู

Anonymous said...

ถูกหวยสินะ >.< ปุ๋ยพิฆาตกุหลาบมอญ!!
อยากเห็นภาพ"กุหลาบมอญของอานัย เอ๊ยอาอู"
มากๆ เลยครับ มั่นใจว่าอาอูต้องถ่ายเก็บไว้แน่ๆ
ไอหนักมาก มีรสเสมหะเต็มคอเลย

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เราอาจจะเคยเจอกันก้อได้นะคะอู..!!
ก้ออูเล่นไปแอ่วมอ.ชอ.ตั้งกะยังเป็นวุ้นขนาดนั้น
ชักจำได้เลือนๆแล้วล่ะจะใช่ละอ่อนน้อยที่นั่งร้านโบ้ตทั้งวันสั่งอาหารแค่จานเดียวรึเปล่าน้อ?..555

เอาล่ะสิ เจ้าของเรื่องออกอาการเป๋เอาไงดีล่ะคะทีนี้.. เดี๋ยวรออ่านตอนต่อไปดีกว่าว่าจะเฉไฉไปทางไหน? เพราะแค่ชื่อมหา'ลัยยังเล่นซะคนแก่เอ๋อไปเลย แล้วรูปประกอบจะชวนให้เอ๋อเพิ่มขนาดไหนน้า..

ทุกวันนี้เจอใบเตยหอมได้ซะที่ไหน วิญญาณแม่พลอยร่ำๆจะเข้าสิงอยากเย็บกระทงตะโก้อยู่นั่นแล้..ลีมไปเลยว่าคนสมัยนี้เค้าชอบกินขนมที่เป็นวิทยาศาสตร์กัน

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มาติดตามครับผม

กัน

Anonymous said...

ว้าวได้ Lucky Number ซะด้วย ช่วงนี้อยากจะบอกว่าผมมีปัญหาชีวิตซะด้วย วุ่นวายไปหมด เฮ่อ ยังไงขอกำลังใจจากอาอูและเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนด้วยนะครับ
Federick

–• องค์ ๕ •– said...

ต้นที่ 2 จะเป็นยังไงน้าาาาา...???

ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เปิดคอมเลย
ติดเพื่อน ขนาดหนัก
แหะ แหะ แหะ

ไม่ค่อยว่างด้วยละคับ
รายงานอีกเล่มยังไ่ม่ได้ทำ
ส่งอาทิตหน้าแล้ว




–• องค์ ๕ •–

–• องค์ ๕ •– said...

เวลาที่รอคอยช่างนานแสนนาน

ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่บทแรกใหม่ดีกว่า
เหมือนเป็นการทบทวนบทเรียนไปในตัว

แหะ แหะ แหะ




–• องค์ ๕ •–

Anonymous said...

อยกาอ่านตอนที่4ต่อแล้วอ่ะครับ อาอูมาลงเร็วๆๆเน้อ อาอู


Oui

Anonymous said...

อรุณสวัสดิ์ครับ

วันนี้ได้อ่านตอน ๔ ครับ โปรดรอนิดหนึ่ง

อู

พี said...

สวสดีตอนเช้าครับ....

จะรอ ครับ

Anonymous said...

พึ่งกลับจากโรงพยาบาลครับ T-T
หยุดเรียนตลอดเลย

หลาน Arus ของอาอู