Wednesday, August 18, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 2

“ถ้าอยากเรียนแพทย์จริงไปเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเอกชนจะดีกว่ามาเรียนที่นี่ไหม” อาจารย์อีกคนหนึ่งเสริมขึ้น

ในปีนั้นมหาวิทยาลัยรังสิตอันเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์และเปิดรับนักศึกษาเป็นปีแรก และถือว่าเป็นคณะแพทย์แห่งแรกของมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทย ผมสบตากับอาจารย์ทั้งสองคน อ่านใจอาจารย์ไม่ออกว่าอาจารย์ถามด้วยความรู้สึกอะไร ถามเพราะว่าอยากรู้ความตั้งใจของผมหรือว่าถามเพราะต้องการจะไล่ต้อนผมให้จนมุม เพราะว่าค่าเล่าเรียนนั้นแพงมาก ตลอดหลักสูตร ๙๙๐,๐๐๐ บาท ขาดอีกหมื่นเดียวก็ครบหนึ่งล้านบาท เงินหนึ่งล้านบาทในยุคนั้นไม่ใช่น้อยๆ น้ำมันเบนซินยังแค่ลิตรละประมาณ ๕-๖ บาทเท่านั้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครอยากเรียนก็จะเรียนได้

สัมภาษณ์แรงแบบนี้สงสัยผมคงอดเรียนแน่ ผมคิด พร้อมทั้งนึกต่อว่ารุ่นพี่อยู่ในใจด้วยว่าทำไมติวแต่คำถามที่อาจารย์ไม่ได้ถาม ทีเรื่องสอบเอนทรานซ์ใหม่กลับไม่ติวคำตอบสวยๆให้บ้าง

ในตอนนั้นผมคิดว่าคงหมดหวังแน่แล้ว เพราะดูกรรมการสอบสัมภาษณ์จะไม่ค่อยชอบเด็กสอบเทียบนัก แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังวลมากนัก คิดแต่ว่าหากไม่ได้ก็กลับไปเรียน ม.๖ ที่โรงเรียน ปีหน้าผมก็ยังมีโอกาสสอบอีก พร้อมกันนั้นก็เกิดความรู้สึกโกรธ พอสอบติดคณะนี้พ่อก็ว่า พอมาสัมภาษณ์อาจารย์ก็ขับไล่ไสส่งอีก ดูเหมือนว่าผมทำอะไรก็ผิดไปหมด ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ถูกเสมอ

เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงตอบไปแบบพลีชีพ

“มหาวิทยาลัยเอกชนแพงครับ ที่บ้านไม่มีฐานะจะส่งหรอกครับ” ผมตอบ “อันดับที่ผมเลือกนั่นแสดงถึงความตั้งใจของผมจริงๆครับ เพราะคณะแพทย์อันดับสุดท้ายกับคณะเทคโนฯคะแนนห่างกันตั้งมาก ถ้าผมเลือกตามค่านิยมจริงๆผมก็ต้องเลือกทันตฯ เภสัชฯ เป็นอันดับรองลงมาสิครับ จะมาเลือกแพทย์ทั้งหมดแล้วกระโดดลงมาเลือกคณะเทคโนฯทำไม พ่อผมอยากให้ผมเลือกบัญชีผมก็ไม่เอาเพราะว่าผมไม่ชอบ พ่อยังบ่นอยู่เลยครับ”

อาจารย์ทั้งสองหันมาสบตากันเมื่อเห็นผมพรูคำพูดออกมา ไหนๆพูดแล้วก็ขอพูดต่อให้หมดใจก็แล้วกัน

“ผมเลือกแต่เฉพาะคณะผมคิดว่าผมอยากเรียน ถึงผมสอบเทียบได้ผมก็ไม่ได้คิดมาลองเรียนเล่นๆหรือซ้อมสอบครับ ผมทราบว่าผมมาแย่งที่นั่งของรุ่นพี่ ถ้าผมได้เรียนก็ต้องมีคนอื่นที่ไม่ได้เรียน แต่ทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดเหมาเอาว่านักเรียนสอบเทียบต้องไปเอนทรานซ์ใหม่ทุกคนละครับ บางคนมีฐานะทางบ้านไม่ดี การเรียนเร็วขึ้นอีกปีหนึ่งก็เท่ากับได้ทำงานเร็วขึ้นอีกปีหนึ่ง ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้ อีกอย่างหนึ่งผมคิดว่าคนที่เรียนปีหนึ่งไปแล้วจะสอบเอนทรานซ์ใหม่หรือเปล่านี่น่าจะอยู่ที่ว่าคณะที่เรียนอยู่นั้นมีอะไรให้เค้ารักที่จะอยู่ต่อไปด้วยหรือเปล่าครับ ผมเรียนที่โรงเรียนผมก็รักโรงเรียนของผม ยังไม่อยากไปสอบ ม.๔ ที่อื่นเลย ถ้านักศึกษาไปสอบใหม่ตั้งครึ่งคณะนี่ผมว่ามาโทษเด็กฝ่ายเดียวก็ไม่ยุติธรรมครับ” ผมพูดรวดเดียวจนจบ นึกถึงเหตุผลของไอ้ตี๋จึงเอามาใช้ประกอบเสียเลย

อาจารย์ทั้งสองมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม

“ฮื่อ เค้าว่าเราอยู่นะ” อาจารย์คนหนึ่งเปรยขึ้นมา “บอกให้เราพิจารณาตัวเอง”

- - -

“เฮ้ย น้อง เป็นไงบ้าง” รุ่นพี่ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องสอบสัมภาษณ์เดินเข้ามาทักผมเมื่อผมออกมาจากห้องสอบสัมภาษณ์

“แย่พี่” ผมตอบ “อาจารย์ถามเรื่องสอบเอนทรานซ์ใหม่ด้วย ตอนพวกพี่ๆติวไม่เห็นแนะนำเลยว่าคำถามนี้ควรตอบยังไง”

“อ๋อ คำถามนี้ไม่ติวให้น่ะ” รุ่นพี่หัวเราะ “พวกพี่ๆตกลงกันว่าสำหรับคำถามนี้จะไม่ติวให้และจะไม่บอกล่วงหน้าด้วย ข้อนี้ถือว่าน้องต้องวัดดวงกันเอาเอง เพราะว่าพวกพี่ๆก็ไม่อยากให้น้องปีหนึ่งเข้ามาแล้วก็ไปสอบเอนทรานซ์ใหม่เยอะๆเหมือนกัน”

มิน่าล่ะ ผมนึกในใจ

“แล้วน้องตอบว่าไง” รุ่นพี่ถาม

“ก็ไม่รู้จะตอบยังไงน่ะครับ” ผมตอบเนือยๆ ไม่อยากเล่าให้มากความ “ปีหน้าค่อยเจอกันอีกนะพี่”

“เฮ้ย ไอ้น้อง อะไรกัน แค่นี้ฝ่อแล้ว” รุ่นพี่หัวเราะ “ใจเย็นๆ ถ้าน้องไม่ผิดปกติจริงๆยังไงก็ผ่านอยู่แล้ว”

เมื่อสอบภาษณ์เสร็จผมก็เดินลงมาใต้ตึกเพราะยังมีขั้นตอนการตรวจร่างกายอีก ต้องเดินไปตรวจร่างกายที่สนามกีฬาในร่มซึ่งอยู่ไกลออกไป ตอนนั้นรู้สึกเซ็งๆอยู่บ้างเหมือนกัน ค่อนข้างมั่นใจเลยว่าสอบไม่ผ่าน แต่ผมมักไม่หมดหวังอะไรง่ายๆ ถึงแม้มีความหวังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยผมก็ไม่คิดทิ้งความหวังนั้น ดังนั้นจึงยังไม่ถอดใจจนถึงกับไม่ไปตรวจร่างกาย

เมื่อผมเดินลงมาที่ใต้ตึกก็พบไอ้กี้กำลังยืนคุยกับพวกพี่ๆอยู่ คงจะเพิ่งสอบเสร็จมาเหมือนกัน

“ไอ้เหี้ยอู มานี่ก่อน” ไอ้กี้เรียก “เป็นไงบ้างวะ ถามเยอะไหม”

“ถามว่ากูจะสอบเอนทรานซ์ใหม่หรือเปล่าด้วยว่ะ มึงถูกถามเรื่องนี้ไหม” ผมเล่าสั้นๆ

“ไม่ได้ถามนี่หว่า แต่อาจารย์ถามว่าทำไมกูอยากเรียนคณะนี้” ไอ้กี้ตอบ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้กี้เลือกคณะและอันดับยังไงบ้าง บางทีการเลือกของมันอาจไม่ทำให้อาจารย์ระแวงนักก็เป็นได้ จึงไม่ถูกถาม

“แล้วมึงตอบยังไง” ผมถาม

“กูก็ตอแหล ตอบแบบเว่อๆ” กี้หัวเราะอารมณ์ดีจนตาเหลือเพียงเส้นนิดเดียว “ไม่รู้เค้าจะเชื่อกูหรือเปล่านะ”

หลังจากนั้นผม กี้ และว่าที่นักศึกษาใหม่คนอื่นๆที่สอบสัมภาษณ์เสร็จแล้วก็พากันเดินไปยังสนามกีฬาในร่มเพื่อเข้ารับการตรวจร่างกาย

เมื่อไปถึงจึงเข้าใจว่าทำไมจึงเลือกสถานที่ตรวจร่างกายที่สนามกีฬา ก็เพราะว่าผู้ที่ต้องมาตรวจร่างกายมาจากทุกคณะรวมกัน คนเยอะมากราวกับมีมหกรรม ขั้นตอนการตรวจร่างกายก็ไม่มีอะไรมาก ถือเอกสารเอาไว้แล้วก็ยืนรออยู่ในแถว ที่หน้าแถวจะมีฉากกั้นทำเป็นห้องชั่วคราวเล็กๆ เมื่อถึงคิวก็เดินเข้าไปในห้องนั้น เท่าที่จำได้ก็มีการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ฟังหัวใจ ปอด และซักถามทั่วไป จากนั้นก็ไปทดสอบตาบอดสีด้วยการดูภาพชุดสำหรับตรวจตาบอดสี ใช้เวลาไม่นานก็เป็นอันเสร็จพิธีการ หลังจากที่ตรวจร่างกายเสร็จแล้วผมก็กลับหอพักไป

- - -

หลังจากที่สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายเสร็จก็ไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่รอวันประกาศผลอย่างเป็นทางการเท่านั้น ช่วงนี้ที่จริงจะกลับบ้านก็ได้แต่เนื่องจากผมรู้สึกเซ็งๆ ยังน้อยใจพ่อไม่หายจึงยังไม่กลับบ้าน อยู่เตร็ดเตร่ในกรุงเทพฯต่ออีกหลายวัน จะว่าไปอยู่ในกรุงเทพฯก็ไม่มีอะไรทำเท่าไรนัก ไม่ได้นัดเพื่อนไปเที่ยวที่ไหนเลย ไปไหนก็ไปเพียงคนเดียว

อันที่จริงช่วงต้นเดือนเป็นช่วงที่ต้องลงทะเบียนเรียนและชำระค่าเทอมกับซื้อหนังสือสำหรับการเรียนในชั้น ม.๖ แต่ผมกะเอาแบบทุบหม้อข้าวตีเมือง คือไม่ไปชำระค่าเล่าเรียนไม่ทำอะไรทั้งนั้น หากไม่ติดค่อยมาว่ากันอีกที

ช่วงที่รอผลอยู่นั้นเอง เมื่อว่างๆไม่มีอะไรทำ ในวันหยุดจึงไปเดินเล่นที่ตลาดนัดจตุจักร ที่เลือกไปในวันหยุดเพราะนอกจากจะได้ดูหนังสือแล้วยังได้เดินเล่นดูสินค้าอื่นๆแก้เหงาไปด้วย

แผงหนังสือทั้งสองฝั่งของถนนกำแพงเพชร ๒ ค่อนข้างคึกคัก ผมแวะไปทางฝั่งแผงหนังสือเก่าก่อน เตร็ดเตร่ดูแผงที่ขายสามเล่มยี่สิบ เห็นคนเดินไปมาขวักไขว่ รออยู่นานกว่าจะได้จังหวะที่คนซา เมื่อแผงเริ่มปลอดคนผมก็โฉบเข้าไปหยิบนิตยสารแบบไม่ต้องดูหน้าปก ไปถึงก็คว้าเลย จากนั้นยื่นให้คนขายใส่ถุง จ่ายเงินแล้วรีบเดินจากมาโดยเร็ว การซื้อหนังสือของผมใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ

หลังจากได้นิตยสารสามเล่มยี่สิบมาแล้วผมก็ข้ามฝั่งไปดูแผงหนังสือกวดวิชา ดูๆไปก็รู้สึกว่าไม่รู้จะดูไปทำไมเพราะว่าภาระเรื่องการสอบเอนทรานซ์ของผมได้หมดไปแล้ว อย่างน้อยก็ในปีนี้

ถัดจากซุ้มหนังสือ บริเวณที่ติดกันคือโซนขายต้นไม้ ในสมัยนั้นโซนขายต้นไม้ก็เป็นส่วนที่ขายต้นไม้จริงๆ มีต้นไม้นานาพันธุ์ให้ชมและซื้อมากมาย ต่างจากในปัจจุบันที่โซนขายต้นไม้กลายเป็นโซนที่มีของทุกอย่างขายปนเปกันไปหมด ทั้งเสื้อผ้า อาหาร ของใช้ ฯลฯ ส่วนร้านที่ขายต้นไม้มีอยู่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น ในยุคนี้หากต้องการซื้อต้นไม้ต้องไปวันพุธและวันพฤหัส สองวันนี้จะมีแต่ผู้ค้าต้นไม้นำต้นไม้มาขายจนเต็มไปหมดทั้งตลาดนัด

ผมเดินชมต้นไม้ไปเรื่อยๆ ทั้งไม้ดอกและไม้ใบของแต่ละร้านล้วนแต่แลดูสวยและสดชื่นด้วยกันทั้งนั้น พวกแคคตัสในกระถางเล็กๆดูจุ๋มจิ๋มน่ารัก กล้วยไม้ก็สวย ความรู้สึกของผมในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อปีที่ผ่านมาอย่างมาก ปีที่แล้วผมมุอ่านหนังสือและหายใจเข้าออกเป็นบอยจนแทบไม่มีเวลาสนใจกับอย่างอื่น แต่วันนี้ผมกลับได้มาเดินทอดน่องอย่างสบาย ไม่ต้องกังวลกับการดูหนังสือ แต่มีความรู้สึกหนึ่งที่หลายปีมานี้คงอยู่กับผมมาตลอดและไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นั่นก็คือความเหงา...

ขณะที่เดินชมต้นไม้อยู่นั้น เมื่อเดินผ่านร้านขายกุหลาบ ทันใดนั้นเองจมูกของผมก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยกลิ่นหนึ่ง มันเป็นกลิ่นกุหลาบที่หอมแรง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหวานละมุน ไม่ได้หอมแรงแบบฉุนจมูก จำได้ว่าตอนเด็กๆผมชอบกินตะโก้แห้ว บางครั้งเมื่อกลับบ้านตอนปิดเทอมแม่ก็จะซื้อตะโก้จากตลาดมาฝากผมในบางครั้ง ตะโก้แห้วที่ผมเคยกินในสมัยเด็กนั้นอร่อยมาก ตัวกระทงทำด้วยใบตอง หน้ากะทิของตะโก้วางไว้ด้วยกลีบกุหลาบสีแดง แม้จะมีเพียงกลีบเดียวแต่ก็ส่งกลิ่นหอมหวาน กลิ่นหอมของกลีบกุหลาบผสมกับกลิ่นกะทิกลายเป็นกลิ่นหอมที่หวานมัน เย้ายวนให้ลิ้มชิม และที่สำคัญ แม้ว่าผมจะชอบกินตะโก้นี้เพียงใด แต่เมื่อใดที่ไอ้นัยไปพักที่บ้านผมจะต้องแบ่งกินกับมันเสมอ… แม้จะเหลือตะโก้เพียงกระทงเดียวผมก็ต้องแบ่งกันกับมันคนละครึ่ง

กุหลาบในกระถางวางอยู่เรียงรายหลายสิบต้น กุหลาบแต่ละพันธุ์ไม่เหมือนกัน บางพันธุ์เน้นที่ดอกสวยแต่กลิ่นแทบไม่มี ส่วนพันธุ์ที่มีกลิ่นนั้นก็มีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันออกไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากลิ่นนี้มาจากกุหลาบต้นไหนกันแน่

“ลุงครับ กุหลาบอะไรน่ะ หอมจัง ได้กลิ่นตั้งแต่ยืนอยู่นอกร้านเลย” ผมเดินเข้าไปถามลุงขายกุหลาบซึ่งนอนเอกเขนกรอลูกค้าอยู่บนเตียงพับในแผงของแก

“อ๋อ กุหลาบมอญน่ะ” ลุงขายกุหลาบลุกขึ้นมาพร้อมกับตอบคำถาม พร้อมกับชี้ไปที่ต้นกุหลาบต้นหนึ่งที่มีดอกสีแดง มีกลีบซ้อนกันหนา “ต้นนั้นไง”

“กุหลาบมีตั้งหลายต้น ผมถามแค่นี้ลุงรู้เลยเหรอครับว่าผมหมายถึงต้นไหน” ผมยังไม่แน่ใจนัก

“ถ้าพ่อหนุ่มได้กลิ่นตั้งแต่ยืนอยู่ตรงนั้นละก็มีแต่กุหลาบมอญนั่นแหละ กุหลาบมอญเป็นกุหลาบที่ให้กลิ่นหอมแรง ได้กลิ่นแต่ไกล” ลุงอธิบาย

ผมเดินไปดูใกล้ๆ ดูจากสีของดอกก็น่าจะใช่อยู่เหมือนกัน และเมื่อได้กลิ่นก็แน่ใจได้ว่าใช่เลย

“กุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรักนะ ซื้อไปฝากสาวสิ รับรองชอบแน่” คุณลุงพยายามโน้มน้าว

“ไม่ละครับลุง” ผมส่ายหน้า “ผมไม่เคยเลี้ยงต้นไม้ อยู่หอพักด้วย ไม่รู้จะเลี้ยงยังไง แถมไม่มีสาวให้ฝากอีกต่างหาก”

“ไม่มีสาวจะให้ก็เลี้ยงเองเอาไว้ก่อนก็ได้พ่อหนุ่ม มีแล้วค่อยให้” ลุงขายกุหลาบโน้มน้าวอีก แต่ผมว่าความคิดของลุงก็แปลกๆอยู่ มีแต่เอาดอกกุหลาบไปให้สาว ไม่เคยได้ยินว่าให้กุหลาบกันทั้งต้นสักที

ผมปฏิเสธพลางเดินออกจากร้าน แต่เมื่อผมเดินผ่านกุหลาบมอญต้นนั้นผมก็ได้กลิ่นอันหอมหวานอีก มันทำให้ผมนึกถึงตะโก้แห้ว นึกถึงวัยเด็กอันแสนสุขที่บ้านในชนบท นึกถึงบทเพลง My love is like a red, red rose และนึกถึง... ไอ้นัย...

“เอ้อ ลุงครับ มันเลี้ยงยากไหม” ผมกันกลับไปถาม ลุงขายกุหลาบที่กำลังเดินผละจากผมไปก็หันกลับมาอีกเช่นกัน

“ปกติกุหลาบเลี้ยงยาก โรคและแมลงมันกวนเยอะ ถ้าเป็นกุหลาบพันธุ์อื่นลุงไม่แนะนำให้เลี้ยงหรอก แต่กุหลาบมอญนี่เป็นพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย ทนทานมาก ถ้าพ่อหนุ่มเลี้ยงไม่รอดก็ไม่ต้องเลี้ยงอะไรแล้ว... ยังงี้หาเลี้ยงแฟนก็ไม่รอดเหมือนกัน” ลุงพูดติดตลก

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อกุหลาบมอญต้นนั้นมาในราคา ๒๕ บาท ต้นขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่และหิ้วเอามาได้ พร้อมกันนั้นก็ซื้อปุ๋ยมาถุงหนึ่งเพื่อใช้บำรุงตามคำแนะนำของลุงผู้ขาย ที่จริงลุงแกแนะนำให้ผมซื้อกระถางและดินมาด้วยเพราะว่ากระถางที่ปลูกอยู่นี้เป็นกระถางขนาดเล็ก เมื่อซื้อไปแล้วควรย้ายลงปลูกในกระถางที่ใหญ่ขึ้นจึงจะงาม แต่ผมยังไม่ซื้อเพราะว่าแบกกระถางดินเผาและดินปลูกกลับหอพักไม่ไหว คิดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าซื้อมาได้อย่างไรเหมือนกัน จะว่าหลงคารมคนขายก็คงไม่ใช่เพราะว่าลุงแกหว่านล้อมไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

- - -

เมื่อกลับไปถึงหอพักก็เป็นเวลาเย็นแล้ว หลังจากเอาของไปเก็บที่ห้องแล้วผมก็เอากุหลาบขึ้นไปวางไว้บนชั้นดาดฟ้าซึ่งเป็นพื้นที่โล่งสำหรับพักผ่อนหย่อนใจรวมทั้งเป็นสถานที่ซักผ้าของบรรดาชาวหอ ลุงขายกุหลาบบอกว่ากุหลาบชอบแดด ผมจึงนำมาเลี้ยงที่ชั้นดาดฟ้าโดยวางไว้ที่ข้างกำแพงด้านหนึ่งพร้อมกับเขียนป้ายเล็กๆห้อยเอาไว้ว่าเป็นของอู ชั้น ๔ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ สมาชิกในแก๊งของพี่ธิตเมื่อเห็นกุหลาบห้อยป้ายของผมต่างก็พากันแซว

“เฮ้ย อู อยู่ดีๆก็เลี้ยงกุหลาบแดง กำลังมีความรักหรือไง” พี่ธิตทัก

“เลี้ยงกุหลาบต้องเป็นคนที่กำลังมีความรักด้วยหรือครับ” ผมกวน

“ก็ไม่ใช่หรอก แต่พฤติกรรมของเรามันชวนให้สงสัย” พี่ธิตกวนมั่ง น้องปั้นและคนอื่นๆช่วนกันแซวผมเป็นการใหญ่

“กลิ่นมันหอมน่ะครับ ชอบกลิ่นนี้ และเห็นว่ามันไม่แพงด้วยก็เลยลองซื้อมาเลี้ยงดู” ผมตอบ

หลังจากที่หาที่วางกระถางกุหลาบได้เรียบร้อยแล้วผมจึงโรยปุ๋ยลงในกระถางพร้อมกับรดน้ำจนชุ่ม จากนั้นก็อยู่สังสรรค์กับแก๊งของพี่ธิตต่อไปจนค่ำจึงกลับลงไปที่ห้อง

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น เรื่องแรกที่ผมทำหลังจากตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางนั่นก็คือเดินขึ้นไปดูกุหลาบที่ชั้นดาดฟ้า

ดอกกุหลาบมอญสีแดงที่ติดมากับต้นตั้งแต่ตอนซื้อมายังบานสวยอยู่ ส่งกลิ่นหอมกระจาย อากาศยามเช้าที่สดชื่นเจือด้วยกลิ่นกุหลาบมอญที่หอมหวานละมุนทำให้ผมอดคิดถึงวัยเด็กและไอ้นัยไม่ได้ ผมอดรู้สึกแปลกใจตนเองไม่ได้ที่หมู่นี้ภาพของไอ้นัยแว่บเข้ามาในความคิดของผมหลายครั้งแล้ว ทั้งๆที่เมื่อก่อนหน้านี้... โดยเฉพาะตอนที่ผมกำลังทุ่มเทใจให้แก่บอย... ช่วงนั้นผมไม่ค่อยนึกถึงไอ้นัยเท่าไรยกเว้นแต่ตอนที่ผมฝันร้าย แต่หลังจากที่ผมตัดใจจากบอยได้แล้ว... น่าแปลกที่ผมกลับไม่ค่อยหวนคิดถึงบอยเท่าไร ภาพของไอ้นัยกลับเข้ามาในความคิดของผมบ่อยกว่าเสียอีก

กลิ่นกุหลาบเหมือนมีมนต์ที่สามารถปลดปล่อยความคิดของผมให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล จนเมื่อแสงทองเริ่มรำไรที่ขอบฟ้าผมจึงตื่นจากภวังค์ ผมเริ่มรู้สึกผูกพันกับกุหลาบมอญต้นนี้ทั้งๆที่เมื่อวานตอนที่ซื้อมาผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าซื้อมาได้อย่างไร

บำรุงเสียหน่อย จะได้งามๆ ผมคิดพลางเดินกลับลงไปที่ห้อง ไปหยิบถุงปุ๋ยเม็ดขึ้นมาโรยเพิ่มลงไปในกระถางอีกจากที่โรยลงไปแล้วเมื่อวาน จากนั้นก็รดน้ำอยู่นานเนื่องจากกลัวว่าจะให้น้ำไม่เพียงพอทั้งๆที่กระถางก็ใบเล็กนิดเดียว


<กุหลาบมอญหรือมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่ายี่สุ่น เป็นไม้ดอกทรงพุ่ม ลำต้นสูงประมาณ ๑-๒ เมตร เลี้ยงง่าย ทนทานต่อโรค ส่งกลิ่นหอมแรง ที่พบเห็นบ่อยเป็นชนิดดอกสีแดงและดอกสีชมพู หากเป็นสีแดงมักเรียกกุหลาบมอญแดงประเสริฐ ส่วนกุหลาบมอญสีชมพูมักเรียกว่ากุหลาบมอญไกลกังวล กลีบดอกกุหลาบมอญแดงมักใช้ทำขนม ส่วนกุหลาบมอญชมพูนั้นมักใช้สกัดทำน้ำหอม น้ำมันหอมระเหยหรือว่าน้ำหอมที่สกัดได้จากกุหลาบกลีบมอญนั้นมีราคาแพงมาก ปัจจุบันกิโลกรัมละกว่าสองแสนบาท>


<ตะโก้ที่ประดับด้วยกลีบกุหลาบมอญแดง กลิ่นกะทิผสมกับกลิ่นกุหลาบให้กลิ่นเฉพาะที่หอมหวานและเป็นเอกลักษณ์อันเป็นความประทับใจในวัยเยาว์ ปัจจุบันหาตะโก้ที่ประดับด้วยกุหลาบมอญได้ไม่ง่ายนัก ยิ่งตะโก้ประดับกุหลาบมอญที่มีกลิ่นเฉพาะที่หอมหวานละมุนยิ่งหายากเข้าไปใหญ่เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ ได้แก่ คนทำขนมต้องมีฝีมือจึงจะได้กลิ่นกะทิที่หอม รวมทั้งกลีบกุหลาบมอญจะส่งกลิ่นเฉพาะในช่วงเช้าตอนที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ หากทิ้งไว้นานกลิ่นจะไม่ค่อยเหลือแล้ว>

22 comments:

Anonymous said...

คนแรก โอ้มายก้อด อิอิอิ
Federick

Bomber_Boy said...

หายไปนานเลยนะครับ คนอ่านเค้าคิดถึงนะ

Anonymous said...

คล้ายกับอาอู

พอไม่มีใคร กลับนึกถึงรักแรก

อิอิ

เหงาเหมือนกันด้วยช่วงนี้

งานก็ยุ้ง ยุ่ง

กว่าจะได้อ่านตอนนี้ เล่นเอาหืดจับ

โดดกอด อาอู อาชูครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

หอมมากกกกกกกกกกก..ครับ

Choo said...

ไม่รู้ว่าวัยรุ่นสมัยนี้จะพูดว่าอย่างไร

แต่วัยรุ่นสมัยโน้น ถ้ารู้ว่าอูตอบอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์แบบนี้ ต้องอุทานว่า

"เจ๋งว่ะ โครตเปรี้ยวเลย"

คงธงไม่หักนะ หากจะบอกว่าสอบผ่านแน่นอน ยินดีด้วยครับที่ได้เป็นนิสิตซะที ชีวิตมหาวิทยาลัยน่าจะทำให้อูสนุกสนาน ไม่อยู่กับความเหงาและอดีตมากนัก

เอาใจช่วยนะครับ นายอู


ชู

ปล. หลานหนิงกอดอาอูละก้นนะ รักอาอูมากๆ
อาขอยืนแค่ยืนดูความสำเร็จของหลานและอาอูอยู่ห่างๆ นะ ฮิ ฮิ

Anonymous said...

มาแล้ว ๆ


คิดถึงมากมายครับ


พี่อูเป็นคนที่มีความคิดเจง ๆ


นับถือ ๆ


...OaH...

Anonymous said...

กุหลาบรากเน่าตายแน่เลย ระดมรดน้ำเสียขนาดนั้น

boyaofza2 said...

ลงวันไหนเนีย อิอิ แอบลงอีและ ลุงอูอ่ะ แต่รู้สึกว่าตอนนี้จะนานเป็นพิเศษนะครับ งั้นบอยขอตัวไปอ่านก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะมาคอมเม้นอีกรอบนะครับ ยังไงก็คิดถึงทุกคนในบล๊อคนะครับ อิอิ

boyaofza2 said...

ผมก็ว่าต้องตายแน่นอนเลยล่ะครับ ทั้งปุ๋ยทังน้ำขนาดนั้น แดดก็คงต้องแรงแน่นอนเลยล่ะ ไม่รอดแน่นอน อิอิ

–• องค์ ๕ •– said...

มาแล้ว มาแล้ว มาแล้ว

เดะขออ่านก่อน โน๊ะ !!!

–• องค์ ๕ •– said...

"คณะที่เรียนอยู่นั้นมีอะไรให้เค้ารักที่จะอยู่ต่อไปด้วยหรือเปล่า" ประโยคนี้เด็ดจัง ชอบ ถูกใจ !!!


กุหลาบ ~ แดดชั้นดาดฟ้า ปุ๋ยใส่แล้วใส่อีก น้ำรดแล้วรดอีก !!! เฮ้อ.....สงสาร ~


หลังจากที่รออ่านมานาน ได้อ่านสะที โล่งงงงงงงง
และแล้วก็ต้องนั่งรอตอนใหม่
แหะ แหะ แหะ

^ ^

Anonymous said...

ขอบคุณครับผม

เอ ว่าแต่จะติดคณะแพทย์ไหมน้า


นานเลยน้ากว่าจะมาต่อให้อ่านเนี่ยะ

พี said...

ดีใจครับ ได้อ่านตอนใหม่แล้ว เข้ามาเช็คทุกวัน

เห็นด้วยกับ...พี่ชูเลย ถ้าอู...ตอบคำถามกับอาจารย์สอบสัมภาษณ์ได้เด็ด...ขนาดนั้น จะเรียกว่ามีความมั่นใจในตัวเองสูงได้หรือรึเปล่า ถ้าเป็นสมัยนั้น 20 ปีที่แล้วบางคนอาจรู้สึกว่า เด็กคนนี้มั่นใจมากไป จนก้าวร้าวไปก็ได้

มีต้นกุหลาบมาให้เป็นปมอีกแล้ว ใครหนอจะได้กุหลาบต้นนี้ไป หลังจากที่น้องบอย ได้แต่ดอกแค ไป...

อู ตอนนี้คงเหงา ผมก็เหงา...เช่นกัน

*** P ***

Anonymous said...

พึ่งออกจากโรงพยาบาลอีกแล้วครับ T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ปกติเป็นคนพูดน้อยครับ แม้แต่ในกลุ่มเพื่อนสนิทก็พูดน้อย ชอบฟังมากกว่าพูดครับ ยกเว้นแต่ตอนคุยติดลมหรือว่าตอนเมาเท่านั้นจึงจะพูดเยอะ ตอนโมโหหรือว่าเหลืออดก็อาจจะพูดเยอะหน่อย

พี่ชูๆ ภาษาสมัยโน้นต้องบอกว่า "นายแน่มาก" ที่จริงเด็กยุคนั้นก็เริ่มแรงแล้วนะครับ มีการแสดงออกพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะเด็กที่มาจากโรงเรียนสาธิต พวกนี้ค่อนข้างกล้าแสดงออก กล้ารักษาสิทธิ์ของตนเอง ซึ่งผมว่าก็ดี บางทีเก็บไว้ไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ ยอมเค้าไปหมดก็อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

เรื่องความมั่นใจในตัวเองนั้นสำหรับผมก็มีพอสมควร เห็นผมมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ น่าจะพอรู้นิสัย เพราะว่าตั้งแต่เด็กก็ตัดสินใจเองในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเรียนเพราะว่าที่บ้านไม่ค่อยยุ่ง อย่างตอน ม.๑ ก็คิดเองสอบเอง ตอน ม.๕ นี่ก็ตัดสินใจเอง เลือกคณะเองทั้งหมด

ตอนนี้สอบข้อเขียนติดคณะเทคโนฯไปแล้ว คงไม่ได้ติดแพทย์แล้วละครับ

กุหลาบรดน้ำใส่ปุ๋ยแบบนี้จะตายหรือครับ นึกว่าจะงามเสียอีก แหะๆ ไม่รู้นี่

โล่งใจที่รู้ว่าหลาน arus ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการคงดีขึ้นแล้วสิ อาเป็นกำลังใจให้ครับ

หนิงอย่ากอดอาแน่น อาหายใจไม่ออก แต่ถ้ากอดอาชูอาจกอดได้ไม่รอบ อีเมลของหลานหนิงนั้นดองจนได้ที่แล้ว เดี๋ยวจะตอบแล้วละ

อู

Anonymous said...

ใส่ปุ๋ยมากไปจะไม่ดีนะครับ ต้องไม่ดีแน่ๆ
แล้วลงน้ำเยอะไปก็ต้องไม่ดี อาจไม่ดีมากๆ เลยด้วย

แล้วถ้าเปลี่ยนกระถางจริงๆ เขาห้ามลงปุ๋ย ก่อน
และหลัง กลัวว่าจะตายเสียแน่แล้ว

ทานทั้งกลีบกุหลาบเลยเหรอครับ?
อยากชิมจัง ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

กลิ่นกุหลาบมอญจำไม่ค่อยได้แล้ว ต้องลงไปหา
ดมประกอบการอ่าน
จริงๆ อาอูน่าจะเอากลิ่นประกอบการอ่านมาลง
ไว้ด้วยนะครับ (ฮา)

หลาน Arus ของอาอู

Fryderyk C. said...

ทำไมแฟดตอบน้อยจังคับ

–• องค์ ๕ •– said...

ปุ๋ย มนุษย์สร้างมาเพื่อบำรุงต้นไม้ แต่ยังไงมันก็เป็นสารเคมี ถ้าใส่เยอะเกินไป สารเคมีมันก็คือสารเคมี ย่อมเป็นอันตรายกับทุกสิ่งอยู่แล้วละคับ

น้ำ ใส่เยอะๆ ดินก็จะอุ้มน้ำไว้มาก รากต้นไม้ก็จะเน่าละคับ แล้วมันก็จะตายในที่สุด !!!

แหะ แหะ แหะ

ง่ายๆคือ ของทุกสิ่งบนโลก ล้วนเป็นดาบ 2 คม นั้นเอง
มีทั้งดีและร้ายอยู่ในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับการใช้สอยและการกระทำ !!!



รออ่านตอนใหม่อยู่น๊าคับ...คุณอู




–• องค์ ๕ •–

Anonymous said...

ป้าขวัญเดานะน้องอู

รดน้ำ+ใส่ปุ๋ยเคมีมากขนาดนั้น กุหลาบไม่รอดแน่
นึกถึงเพลง red roses for s blue lady
น่าจะเหมาะกับตอนนี้นะ

andy_kwan

Anonymous said...

เมื่อคืนฝันว่าเจอพี่อู แต้ทำไมดูเถื่อนๆๆ ขัดกับในนิยายจัง หลาบ

Anonymous said...

หุ หุ มารายงานตัวช้ากว่าใครๆเพราะมัวแต่ออนทัวร์
กับเพื่อนรักสมัยเรียนค่ะอู เจอกันทีไรเป็นต้องเม้าท์เมามันถึงวีรกรรมครั้งกระโน้น ว่าแต่คราวนี้อูหายไปนานเหมือนกันนะคะ เล่นเอาแฟนคลับใจแป้วเลยทีเดียว

สมมติว่าพี่เป็นอาจารย์ที่สัมภาษณ์อู พี่คงนึกในใจแบบชูนี่แหล่ะ "เฮ้ย!ไอ้เด็กคนนี้มันเจ๋งว่ะ" เพราะฟังคำตอบมาก้อเยอะส่วนมากมักจะเสกสรรค์คำตอบตามมารยาท ตามที่ควรจะเป็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอียนเหมือนกันนะอู..

อู้ว์!มีรูปตะโก้ของโปรดพี่ซะด้วย จำได้ว่าตอนเด็กๆด้วยความตะกละมักจะขันอาสาเป็นคนตัดใบเตยหอมมาเย็บกระทง ขนมสมัยก่อนอร่อยกว่าสมัยนี้มากมายนัก ด้วยรสมือคนทำที่ถึงเครื่องเน้นคุณภาพและความสดใหม่ ส่วนสมัยนี้ดูเหมือนจะสำเร็จรูปเกินไปอยู่นะพี่ว่า

กุหลาบมอญของอูน่ะเหรอ..ไม่รอดแหงๆเล่นใส่ปุ๋ยเม็ดและประโคมน้ำซะขนาดนั้น แต่หากเปลี่ยนจากปุ๋ยเม็ดมาเป็นปุ๋ยคอกหรือดินผสม+รดน้ำพรวนดินพอเหมาะพอควรกลับจะงอกงามเติบโตไปได้สวย เปรียบเหมือนความรักนั่นแหล่ะค่ะ อะไรที่มันเยอะไปมากไปส่วนใหญ่ไปไม่รอด ถึงรอดก้อไม่ไกล..อันนี้เป็นมุมมองส่วนตัวนะคะ

รอตอนต่อไปด้วยใจระบม(แทนอู)

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เดี๋ยวพอกุหลาบตายแล้ว ท่านอูก็คงจะคิดถึงท่านนัยขึ้นมาแบบเศร้าๆอีกแหงๆเลยครับ

Y_Y"

DIONADUS