Thursday, August 5, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 1

“แม่ อูสอบติดนะ อูสอบได้คณะเทคโนโลยี” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ หลังจากที่กลับมาถึงหอพักผมก็โทรหาที่บ้านเป็นอย่างแรก แม่เป็นคนรับสาย

“เหรอ ดีแล้วอู” แม่พูด น้ำเสียงของแม่ไม่ได้แสดงความตื่นเต้นอะไรนัก ที่บ้านของผมก็เป็นอย่างนี้เอง เรื่องเรียนค่อนข้างจะปล่อยลูกๆ ผลการเรียนเป็นอย่างไรก็ไม่ว่า เกรดต่ำก็ไม่ตำหนิ เกรดสูงก็เฉยๆ แม่คงคิดว่าลูกๆถึงอย่างไรคงเอาตัวรอดในเรื่องเรียนได้

เมื่อวางสายจากแม่ผมคิดจะโทรไปหาบอยเป็นรายต่อไป อยากบอกข่าวนี้แก่บอยรวมทั้งอยากรู้ด้วยว่าบอยสอบติดโรงเรียนเตรียมฯหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากโทรไป ตอนนี้ผมทำใจได้แล้ว ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้วผมก็ควรปล่อยให้มันผ่านเลยไป ไม่ควรไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอีก ลังเลอยู่ชั่วขณะผมก็กลับขึ้นห้องไป

- - -

หลังจากที่ประกาศผลสอบเอนทรานซ์ในส่วนของข้อเขียนแล้วก็มีขั้นตอนตามมาอย่างต่อเนื่อง ผมยังต้องสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย และหลังจากนั้นก็จะมีประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่งจึงจะถือว่ากระบวนการเสร็จสิ้นสมบูรณ์และได้เรียนต่อแน่นอน ต่อจากนั้นจึงจะเป็นขั้นตอนการลงทะเบียนเรียนและการเข้าเป็นนักศึกษาใหม่

นอกจากขั้นตอนที่เป็นทางการแล้วยังมีขั้นตอนที่ไม่เป็นทางการอีก อันได้แก่กิจกรรมที่ว่าที่รุ่นพี่ของคณะเป็นผู้นัดหมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นการนัดพบเพื่อให้คำแนะนำและเพื่อทำความรู้จักคุ้นเคย

หลังจากวันประกาศผลการสอบ วันรุ่งขึ้นผมต้องไปที่คณะเทคโนโลยีตามที่รุ่นพี่ของคณะนัดเอาไว้ พวกพี่ๆเรียกกิจกรรมในวันนี้ว่าเป็นวันแรกพบน้อง โดยรุ่นพี่ในคณะจะมาทำความรู้จักกับน้องๆ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย รวมทั้งเป็นโอกาสที่ว่าที่นักศึกษาใหม่จะได้มาพบปะและทำความรู้จักกันเองอีกด้วย โดยในยุคนั้นการสร้างความคุ้นเคยของนักศึกษาใหม่ด้วยกันมักเป็นการนัดพบปะและทำกิจกรรมด้วยกันที่คณะ หลังจากนั้นเมื่อเปิดเรียนแล้วก็เป็นแบบเรียนไปก็คุ้นเคยกันไป ส่วนการจัดกิจกรรมในลักษณะไปเที่ยวด้วยกันหรือกิจกรรมค่ายก่อนเปิดเทอมนั้นยังไม่ค่อยมี มานิยมกันในยุคหลังเสียมากกว่า

ในวันแรกพบน้องรุ่นพี่นัดเอาไว้สิบโมง ผมจึงออกจากหอพักตั้งแต่ยังไม่เก้าโมงเช้า เวลาเดินทางชั่วโมงกว่าสบายๆ

ผมนั่งรถเมล์ปรับอากาศสาย ปอ.๒ ผ่านเส้นทางอันคุ้นเคย ผ่านปากทางลาดพร้าว สะพานควาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สยามสแควร์ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ผมใช้เดินทางมาเรียนดนตรีเป็นเวลาหลายปี เมื่อวานก็เพิ่งนั่ง ปอ.๒ มาตอนที่มาดูผลสอบเอนทรานซ์ แต่ทว่าความรู้สึกกลับไม่เหมือนกัน เมื่อวานผมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น ส่วนในวันนี้อารมณ์ของผมค่อนข้างสับสน ผมทั้งคิดถึงอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า ขณะเดียวกันก็หวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ย่านสยามสแควร์เป็นสถานที่ที่ให้ความทรงจำอันลึกซึ้งแก่ผม ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย เมื่อก่อนผมมาที่สยามสแควร์เฉพาะในวันหยุดแต่ต่อไปผมคงผ่านได้ทุกวัน

ผมลงรถที่ป้ายสามย่าน จากนั้นเดินข้ามถนนไปที่ฝั่งตลาดสามย่าน เดินเลาะไปทางถนนพระรามสี่และข้ามถนนอีกครั้งที่แถวหน้าโรงหนังรามา แถวนี้เป็นย่านสะพานเหลืองซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับสามย่าน ตลอดทางที่เดินนั้นผมไม่เงียบเหงาเพราะมีเด็กวัยรุ่นในวัยเดียวกับผมเดินด้วยกันเป็นกลุ่ม คงเป็นเพื่อนใหม่ที่สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผมนั่นเอง

ผมเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัยจากนั้นก็เดินไปทางคณะเทคโนโลยี คณะนี้ถือว่าเป็นคณะที่มีนักศึกษามากคณะหนึ่ง ปีนี้รับทั้งหมดกว่าสี่ร้อยคน ตึกในคณะจึงมีหลายตึก แม้ว่าเป็นคณะตั้งใหม่แต่เมื่อดูจากสภาพภายนอกของตึกแล้วกลับไม่ได้ใหม่สักเท่าใดนัก มีตึกใหม่เพียงบางตึกเท่านั้น ตึกส่วนใหญ่มีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ และบางตึกอยู่ในสภาพเก่าเลยทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ามีการแบ่งตึกเรียนจากคณะเดิมมาใช้ด้วยพร้อมกับสร้างใหม่เพียงบางส่วนนั่นเอง

สถานที่นัดหมายของรุ่นพี่นั้นไม่ต้องเสียเวลาไปหา เมื่อเข้ามาในบริเวณคณะผมก็เดินตามกลุ่มคนไปเรื่อยๆก็เจอได้เอง ระหว่างที่เดินไปผมสังเกตเห็นว่าบางคนก็คุ้นหน้า คงจะเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนนั่นเอง

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยอู มึงมาทำอะไรแถวนี้วะ” เสียงอันคุ้นเคยเรียกผม ใส่คำนำหน้าชื่อให้แบบนี้คงไม่ใช่ใครอื่น ผมอดนึกในใจไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้ เจอมันมาสองปีเบื่อปากมันจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังต้องมาเรียนคณะเดียวกันอีก

“กูก็มางานแรกพบน้องน่ะสิ” ผมหันไปตอบเจ้าของเสียง “มีอะไรมั้ย”

“ไอ้ห่านี่” ไอ้กี้หัวเราะจนตาเหลือเป็นเส้นเล็กๆ “มึงสอบติดคณะนี้จริงหรือวะ แหกตาหรือเปล่า กูไม่เห็นมึงสอบเทียบหรือสอบห่าอะไรเลย แล้วมึงเอนทรานซ์ได้ยังไง”

“ถ้ากูแหกตามึงได้ก็ดีสิ เวลามึงลืมตาคนอื่นจะได้รู้ว่ามึงลืมตาอยู่” ผมตอบ “กูก็เรียน กศน. แล้วก็สอบเอนทรานซ์นั่นแหละ กูจะทำอะไรต้องมาคอยรายงานให้มึงรู้ด้วยหรือไง”

“เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง หือใหญ่แล้วนะมึง” ไอ้กี้หัวเราะร่วน

“ซวยฉิบหาย ทำไมกูหนีมึงไม่พ้นเลยวะ ไปที่ไหนก็เจอ” ผมถอนหายใจ “ปีหน้ากูสอบใหม่ดีกว่า”

ผมและไอ้กี้เดินไปเรื่อยๆจนถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง ใต้ตึกเป็นพื้นที่กว้าง ที่นั่นมีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากกระจายกันนั่งอยู่ก่อนแล้ว มีรุ่นพี่หลายสิบคนเดินไปเดินมา คอยพูดคุยกับน้องๆและพาไปนั่ง ผมกวาดสายตาดูไปรอบๆ เห็นบรรดาน้องใหม่มีคนคุ้นหน้าอยู่หลายคน บางคนก็เป็นเพื่อนต่างห้อง บางคนก็เป็นรุ่นพี่ แต่คนที่มาจากห้องเดียวกับผมไม่มีคนอื่นอีกเลยนอกจากไอ้กี้

“น้องชื่ออะไรคะ” รุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาถามผมและไอ้กี้ ในมือถือกระดาษร้อยเชือกพลาสติกดูพะรุงพะรัง เมื่อเราบอกชื่อไป พี่คนนั้นก็เอาปากกาเขียนชื่อของเราลงบนกระดาษ จากนั้นก็ให้เราห้อยคอเอาไว้ “อะ ห้อยเอาไว้นะ แล้วหาที่นั่งได้ตามสบายเลย เพื่อนร่วมรุ่นของเราทั้งนั้น”

หลังจากนั้นไอ้กี้กับผมก็เดินไปเลือกที่นั่ง กี้เห็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาแต่ว่าฝ่าเข้าไปนั่งด้วยไม่ถึง จึงเลือกเอาที่พื้นที่ว่างใต้ตึกรอบนอก เห็นคนหน้าตาคุ้นๆที่คิดว่าน่าจะมาจากโรงเรียนเดียวกันแล้วก็ชวนผมนั่งลง ก็ดีเหมือนกัน นั่งกับคนที่รู้จักกันก็อุ่นใจหน่อย

เมื่อนั่งลงไปแล้วก็สังเกตดูเพื่อนๆที่นั่งอยู่โดยรอบโดยละเอียด คนเหล่านี้น่ะหรือที่จะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมต่อไป ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นทันที ผมเคยย้ายโรงเรียนมาก่อน อีกทั้งคละชั้นเรียนอยู่หลายปี การรู้จักกับเพื่อนใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่สร้างรู้สึกไม่คุ้นเคยให้แก่ผมนั่นก็คือ…

ผู้หญิง!

“ดีจ้า ชื่อไรจ๊ะ” ผมได้ยินเสียงพร้อมรู้สึกตึงวูบที่คอ เพื่อนใหม่ที่นั่งติดกับผมเอื้อมมาดึงป้ายชื่อกระดาษที่คล้องคอผมไปดู “อ้อ ชื่ออู เราชื่อเจตนะ แล้วที่นั่งข้างๆนั่นมาด้วยกันใช่ไหม ชื่ออะไรน่ะ”

เจตเป็นสาวน้อยท่าทางห้าวหาญ ใส่แว่นกรอบใหญ่ พูดจาฉาดฉานเสียงดังฟังชัดจนผมตกใจ

“อ้อ หวัดดีเจต ไอ้คนนี้ชื่อกี้” ผมทักทายและแนะนำกี้ ตอนนั้นกี้กำลังคุยกับคนที่นั่งติดกับมันอยู่เช่นกัน

“เฮ้ย ไอ้อู นี่พี่โรงเรียนจริงๆด้วยโว้ย ชื่อพี่เพชร” เสียงกี้เรียกผมพร้อมทั้งแนะนำคนที่นั่งข้างๆให้ผมรู้จัก เพชรเป็นพี่ ม.๖ ที่โรงเรียนนั่นเอง

“หวัดดีครับพี่” ผมหันทักทาย ด้วยความนับถือในอาวุโสตามที่ถูกปลูกฝังมาจากที่โรงเรียนจึงทำให้ผมและกี้เรียกเพชรว่าพี่ทั้งๆที่ความจริงขณะนี้เราเป็นรุ่นเดียวกันแล้ว

“อ้าว นี่เด็กสอบเทียบหรอกเหรอ” เสียงเจตอุทาน “เฮอะ ยังงั้นพวกเธอต้องเรียกชั้นพี่เจตนะยะ เพราะเธอเป็นรุ่นน้อง จะมาตีเสมอไม่ได้”

ผมอึ้ง นึกคำพูดที่จะตอบไม่ถูก เพื่อนหญิงคนแรกของผมนั้นห้าวหาญเกินกว่าที่ผมจะตั้งหลักและรับมือได้ทัน

“เรียกเจ๊ได้มั้ย” กี้พูดหลางหัวเราะตามแบบฉบับของมัน ผมอดทึ่งในไหวพริบของมันไม่ได้ ผมน่าจะประฝีปากกับเจตได้แบบนี้บ้าง ไม่ใช่นั่งอึ้งกิมกี่

“เรียกเจ๊ก็ได้” เจตไม่ขัดข้อง “หน้าเธอมันยี้ หยี เอ๊ย ตี๊ ตี๋ ยอมให้เรียกเจ๊ละกัน”

หลังจากต่อปากต่อคำกันพอสนุก พวกเราก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่รอบข้างทั้งหญิงและชายอีกหลายคน หลักจากที่คุยกันสักพัก พวกพี่ๆก็เริ่มงานวันแรกพบน้อง โดยแนะนำตัวพวกพี่ๆให้น้องรู้จัก พร้อมทั้งให้น้องๆแต่ละคนได้แนะนำตัวเอง จากนั้นก็เป็นการแนะนำเกี่ยวกับการสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกายซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ที่จริงเมื่อวานที่สนามประกาศผลก็มีการแนะนำไปบ้างแล้ว แต่ ในวันนี้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก อย่างเช่นคำถามที่มักถูกถามบ่อยในการสอบสัมภาษณ์ เป็นต้น

เพียงไม่ถึงบ่ายโมงกิจกรรมก็เสร็จสิ้นลง หลังจากนั้นก็เป็นเวลาตามสบาย ใครจะกลับก็ได้ หรือจะนั่งคุยกับเพื่อนใหม่หรือคุยกับรุ่นพี่ต่อก็ได้ ผมกับกี้นั่งเล่นอยู่ที่ใต้ตึกนั้นต่ออีกพักใหญ่ กิจกรรมในวันนั้นทำให้ผมเริ่มรู้จักกับเพื่อนใหม่ทั้งชายและหญิง รวมทั้งเพื่อนและรุ่นพี่จากโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน

- - -

ต้นนนทรีที่สองฝั่งถนนในชนบทยังพอมีดอกเหลืองให้เห็นอยู่ในเดือนพฤษภาคม ในที่สุดผมก็กลับมาบ้านอีกครั้งหนึ่ง การกลับบ้านในครั้งนี้ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกจากคราวก่อนๆอีก ครั้งก่อนๆผมกลับมาในฐานะนักเรียน แต่ครั้งนี้ผมกลับบ้านในฐานะว่าที่นักศึกษามหาวิทยาลัย แม้ผมเพิ่งจะพ้นจากรั้วโรงเรียนมาเพียงไม่กี่เดือนแต่ผมกลับรู้สึกว่าผมเติบโตขึ้นอีกมาก

แต่ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแช่มชื่นมากนัก ตรงกันข้าม เมื่อผ่านถนนกลับบ้านเส้นนี้ครั้งใดผมมักรู้สึกอ้างว้างเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

“ป๊า แม่ เอ๊ด อูกลับมาแล้ว” ผมร้องเอะอะเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในบ้านทั้งๆที่ยังไม่เห็นใคร “ไปไหนกันหมด”

“อ้าว อู จะมาก็ไม่บอก” แม่และเอ๊ดเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับส่งเสียง ช่วงนั้นเอ๊ดยังอยู่ที่บ้านเพราะยังปิดเทอมอยู่

“ป๊าไปไหนล่ะ” ผมถาม

“อยู่ในโรงงาน เดี๋ยวก็มา” แม่ตอบ

หลังจากนั้นแม่ เอ๊ด และผมก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องการสอบที่ผ่านมา รวมทั้งถามรายละเอียดเกี่ยวกับคณะที่ผมสอบติด คุยกันได้ไม่นานพ่อก็เดินเข้ามา

“ป๊า” ผมทัก

พ่อพยักพร้อมกับส่งเสียงฮื่อๆในลำคอเป็นการทักทายผม

“ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรอูเลยกลับมาเที่ยวบ้าน สัปดาห์หน้าอูถึงจะสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย” ผมคุยให้พ่อฟัง

“บอกแล้วให้เรียนบัญชีก็ไม่เชื่อ” พ่อเอ่ยปากขึ้น “เรียนคณะอะไรก็ไม่รู้ จบแล้วจะไปทำงานอะไร”

ช่วงนั้นเป็นยุคที่ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ลดค่าเงินบาทมาเพียงไม่กี่ปี ตอนที่ลดค่าเงินบาทนั้นเศรษฐกิจได้รับผลกระทบมากโดยเฉพาะวงการก่อสร้าง ทั้งล้ม ทั้งหนี กระทบกันเป็นลูกระนาด บัณฑิตตกงานก็มีไม่น้อย

ผมชะงัก ผมต้องกลืนรื่องสนุกๆที่อยากจะคุยกลับลงไปจนหมด รู้สึกเจ็บลึกเข้าไปในหัวใจ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในครั้งนี้ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้แสดงความดีใจอะไรมากนัก ส่วนเอ๊ดนั้นก็ไม่ใช่คนที่ช่างพูดหรือช่างแสดงรู้สึก แต่ทั้งสองคนก็ยังเออออไปกับผม ยังให้กำลังใจผม ส่วนพ่อ... ถ้าเป็นพ่อของคนอื่นคงชื่นชมที่ลูกสอบเอนทรานซ์ได้ และอาจพาไปเที่ยวหรือซื้อของที่อยากได้ให้เป็นรางวัลไปแล้ว แต่สำหรับพ่อของผม... ประโยคแรกที่พ่อทักหลังจากที่ผมสอบเอนทรานซ์ได้...

“ก็อูไม่อยากเรียนนี่นา” ผมตอบเบาๆ แล้วก็คุยสัพเพเหระอีกสักครู่จากนั้นก็ปลีกตัวขึ้นห้องนอนไป เมื่อผมน้อยเนื้อต่ำใจมากๆผมจะไม่เอะอะโวยวายเลย ตรงกันข้าม ผมจะเงียบและเฉย เก็บมันเอาไว้ในใจ จนแทบไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

- - -

การกลับบ้านในครั้งนั้นผมอยู่ที่บ้านเพียงสองสามวันเท่านั้น สาเหตุหนึ่งเพราะว่าต้องมาสอบ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะรู้สึกว่าอยู่แล้วก็ไม่มีอะไร คำพูดของพ่อทำให้ผมสูญเสียความกระตือรือร้นไปจนหมด

อย่างไรก็ตาม ก่อนกลับกรุงเทพฯผมมีโอกาสขี่รถจักรยานเล่นไปที่สวนผลไม้ซึ่งเป็นทางเข้าไปสู่บึงน้ำ ผมหยุดรถที่หน้าสวน มองเข้าไปตามทางเล็กๆซึ่งทอดเข้าไปในสวนแต่ไม่ได้ขี่จักรยานเข้าไป

ผมอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ หลังจากที่ผมต้องทุกข์ใจกับเรื่องของบอย กาลเวลาสามารถเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของผม ในที่สุดผมก็ค่อยๆตัดใจจากบอยได้ จนท้ายที่สุดบาดแผลในหัวใจของผมก็หายจนแทบสนิท จากที่เมื่อก่อนเจ็บจนเจียนตาย มาวันนี้ผมรู้สึกว่ามันก็เป็นเพียงความทรงจำจางๆเพียงรอยหนึ่ง แต่กับไอ้นัย ความรู้สึกของผมกลับแตกต่างออกไป...

ผมสูดลมหายใจแรงๆ ได้กลิ่นหอมอ่อนๆอันคุ้นเคยของดอกไม้แถวนั้น ผมหยุดที่หน้าสวนอยู่พักใหญ่ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป และในที่สุดก็จากมา...

- - -

วันสอบสัมภาษณ์

การสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกายมีขึ้นที่มหาวิทยาลัยในสัปดาห์ถัดมา ตอนเช้าเป็นการสอบสัมภาษณ์ซึ่งกรรมการสอบเป็นอาจารย์ของคณะเทคโนโลยีนั่นเอง ผมไปถึงที่คณะแต่เช้าและไปรออยู่ที่หน้าห้องสอบ ห้องสอบสัมภาษณ์ของผมและไอ้กี้อยู่คนละชั้นกัน ที่ตึกสอบมีรุ่นพี่ของคณะมาคอยให้กำลังใจน้องๆอยู่ด้วย

“ไม่ต้องห่วงนะน้อง โอกาสสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านมีแค่ร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง” รุ่นพี่ให้กำลังใจด้วยวิชาความน่าจะเป็นและสถิติ

ปกติการสอบสัมภาษณ์เป็นการกลั่นกรองด้านทัศนคติและความประพฤติของผู้เข้าสอบ หากไม่ถึงกับพูดจาไม่รู้เรื่องหรือมีการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมที่จะเข้าเรียนต่อจริงๆ ก็มักไม่มีปัญหาอะไรดังที่รุ่นพี่พูดเอาไว้นั่นเอง

เมื่อถึงคิวที่ผมต้องเข้าสอบสัมภาษณ์ กรรมการสอบมี ๒ คน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ท่าทางเป็นกันเองไม่ดุเลย เรื่องที่คุยกับผมก็ไม่ใช่เรื่องที่รุ่นพี่ซักซ้อมมาให้ซึ่งผมพยายามเตรียมคำตอบและซักซ้อมเอาไว้แล้ว แต่กลับกลายเป็นเรื่องสัพเพเหระ อย่างเช่น เรื่องหนังจีนกำลังภายในที่ฉายทางทีวีอยู่ในขณะนั้น ซึ่งผมตอบไม่ได้เลยเพราะไม่มีทีวีดู เมื่อกลับบ้านครั้งนี้ก็ไม่ได้ดู ถ้าถามเกี่ยวกับข่าวอาจจะยังพอตอบได้บ้างเพราะว่าอ่านหนังสือพิมพ์

“แหะๆ ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้ดูทีวี ผมอยู่หอพักครับ ที่ห้องไม่มีทีวี” ผมตอบอ้อมแอ้ม

แค่นั้นแหละ เป็นเรื่อง อาจารย์ทั้งสองจึงถามซักไซร้ไล่เรียงกิจกรรมในชีวิตประจำวันของผมอย่างละเอียด ซึ่งผมก็ตอบว่าดูหนังสือ ดูหนังสือ และดูหนังสือ ผมต้องดูหนังสืออย่างหนักเพราะไม่ได้เรียนกวดวิชา อีกทั้งยังต้องเตรียมสอบ กศน. อีกด้วย

“อ้อ สอบเทียบมา” อาจารย์หัวเราะหึหึ ผมใจหายวาบ ว่าจะไม่พาดพิงถึงเรื่องนี้แล้วเชียว ถึงแม้ว่าอาจารย์อาจจะมีข้อมูลของผมอยู่แล้วก็ตาม แต่หากเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ได้เป็นดีที่สุด แต่แล้วผมก็หลุดปากออกไปจนได้

“มาแย่งที่นั่งรุ่นพี่ เรียนปีหนึ่งแล้วก็ไปสอบใหม่ สูตรสำเร็จของนักเรียน ม.๕ ยุคนี้” อาจารย์อีกคนเสริม

“แล้วนี่ก็คงคิดที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกล่ะสิ ใช่หรือเปล่า ไหนเล่ามาให้ฟังหน่อยว่าตอนเลือกคณะเลือกอะไรไปบ้าง” คนหนึ่งชงอีกคนหนึ่งรับ เข้ากันได้ดี

“เอ้อ” ผมอึกอัก พลางแจกแจงอันดับการเลือกคณะให้อาจารย์ฟัง

“โอ้โฮ ม.๕ เลือกคณะแบบนี้ก็เห็นความตั้งใจแล้ว แล้วปีหน้ายังจะอยู่ให้ครูเห็นหน้าอีกหรือนี่” ในที่สุดผมก็ถูกต้อนให้จนมุม

ไม่น่าตอบโง่ๆเลยเรา ตอบอะไรก็พลาดไปหมด สงสัยที่รุ่นพี่บอกว่าว่าโอกาสสอบไม่ผ่านมีเพียงร้อยละ ๐.๐๑ เท่านั้นนี่คงเป็นผมแน่นอน คิดแล้วอดเจ็บใจตัวเองไม่ได้

“...”

“เอ้า ว่าไงล่ะ” อาจารย์เร่งรัดเอาคำตอบ



<รถเมล์ปรับอากาศสาย ปอ.๒ ในยุคนั้น ต้นสายด้านหนึ่งอยู่ที่สีลม ตรงข้ามโรงพยาบาลเลิดสิน เมื่อก่อนจอดพักรถกันอยู่ที่ริมถนนสีลมนั่นเอง แต่ต่อมาภายหลังรถจอดรอไม่ได้ เมื่อเข้าท่าแล้วต้องออกเลยเพราะหากจอดรอจะทำให้จราจรตัดขัด ส่วนต้นสายอีกด้านหนึ่งนั้นอยู่ที่แฮปปี้แลนด์ คลองจั่น รถวิ่งผ่านถนนลาดพร้าว พหลโยธิน พญาไท ผ่านสยามสแควร์ จากนั้นเลี้ยวเข้าถนนพระรามสี่ตรงสามย่าน ผ่านสวนงู และเข้าสีลม ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๔ มีการเปลี่ยนแปลงสายรถประจำทาง เส้นทางสาย ปอ.๒ ถูกเปลี่ยนเป็นสาย ๕๐๒ และต่อมามีการตัดระยะลงเหลือเพียงจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิถึงคลองจั่น จนถึงปัจจุบัน รถอีซูซุรุ่นที่เห็นในภาพนี้เป็นรุ่นที่วิ่งตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย>

32 comments:

Anonymous said...

โอ๊ยๆๆๆๆ..ที่1รับศักราช
ไปอ่านก่อนนะคะ..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

หุ หุ ธงหักจนได้..
กับกี้นี่คือพรหมลิขิตบันดาลชักพา..รึเปล่าคะอู?

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ยังจะมีให้ลุ้นอีกนะเนี่ย แค่สอบสัมภาษณ์

หลานหนิง

ปล. อาอูคร้าบ เรามีเรื่องติดค้างกันอยู่นะ

Anonymous said...

พี่อู เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับ หลาบหลาบรู้สึกหวั่นๆๆ

พี said...

สงสัยหน้าจะแตก ธงจะหักกันเป็นแถวๆ

*** P ***

PR_BLeaCH said...

อาอูคลอดตอนแรกมาแว้ว ดีใจมากมาย

อ้อ ตอนนี้ฝนตกเยอะมากทั้งประเทศ ไม่รู้ว่าแต่ละที่ ที่ชาวบล้อค เปงงัยกานมั่ง (คาดว่าอาอูคงยังไม่ลอยคอลงเจ้าพระยานะ - - เดี๋ยวเขียนต่อมะได้)...

หลานอาร์

Anonymous said...

สอบไม่ติดดีกว่า ตกสัมพาษณ์
ยิ่ง กี้เป็นประชาสัมพันธ์อีก
คงไม่โชคร้ายเป็น 0.01 หรอกน่ะ

เมื่อคืนได้ดูเรื่องที่ สิงโตเล่นหน่ะ
ฉากที่ นางเอกเล่นเปียนโน
เป็นเพลง คอนนอน ด้วย

ดีน่ะที่อ่านเรื่อ่งของอูมา

tl000

boyaofza2 said...

มาแล้ว..........ครับ มายินดีกับ ตอนที่1

Anonymous said...

1 ใน 10 จนได้

แบงค์ครับ

Anonymous said...

โอ๊ยยย

ธงหัก


พี่อู นะ พี่อู


ไม่น่าทำให้เขวเรย...


OaH ครับ

Anonymous said...

ก็เป็นอันว่าคงไม่มีใครทายถูกว่าผมได้เรียนที่ไหน เนื่องจากเป็นนิยายครับ นิยาย มหาวิทยาลัยก็เป็นมหาวิทยาลัยในนิยาย ทายไม่ถูกก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ ทายถูกสิแปลก

ในช่วงนั้นมีนักเรียน ม.๕ สอบเทียบแล้วสอบเข้าได้ปีหนึ่งไม่น้อยเลย หลายๆคณะในมหาวิทยาลัยจึงถูกนักเรียนเหล่านี้ใช้เป็นศาลาพักใจหรือว่าใช้เสมือนเป็นโรงเรียนกวดวิชา เรียนไปได้ปีหนึ่งแล้วก็ไปสอบใหม่ ได้ก็ไปต่อ บางคณะมีนักศึกษาขึ้นปีสองเพียงครึ่งค่อนเท่านั้น ก็เป็นแบบนี้ทุกปีนั่นแหละครับจนถูกยุคเอนทรานซ์ระบบใหม่ที่สอบปีละสองรอบ ประกอบกับการเรียน กศน. มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ จึงตัดวงจร ม.๕ สอบเทียบได้ มารู้เอาทีหลังว่าคณะที่ผมสอบเข้าได้นี้ขึ้นชื่อเลยว่านักศึกษาลาออกกันเยอะ เด็กที่สอบเทียบมาจึงโดนเพ่งเล็ง

ร้อยละ 0.01 นี่จะมีผมอยู่ด้วยหรือเปล่าก็น่าคิดนะครับ

กุหลาบเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ เขียนคอมเมนต์เอาไว้แปลกๆ

หลานหนิงคอยหน่อยครับ

เรื่องไอ้กี้ยังไม่รู้ครับพี่สาวลาดพร้าว ต้องคอยดูกันต่อไป แต่เบื่อปากมันจะแย่แล้ว

อู

Anonymous said...

ทำไมหลังๆมานี้ เรื่องของอาอู มีเรื่องให้คอยลุ้นอยู่เรื่อยเลย สงสัยอย่างเดียวอาอูติดค้างอะไรกับน้องหนิงเหรอครับ แอบอยากรู้
Federick
ป.ล.ขอแจ้งให้ทุกคนทราบว่า ตอนนี้ผมกับแฝดเริ่มมีการคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้วนะครับ แล้วจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบในเวลาต่อไป

Anonymous said...

หลาบจะย้ายแผนกน่ะค่ะ ดูดีกว่าเดิมแต่ไม่มั่นใจเท่าไหร่เลย
ขอบตคูรสำหรับภาคสี่นะคะ

Anonymous said...

)^_^( อรุณสวัสดิ์ครับลุงอู ได้มาอยู่ใกล้กับน้องบอยรึป่าว นี่ถ้าคณะอยู่ตรงเภสัชหรือสถาปัต คงจะดีนะครับ หุหุ

Anonymous said...

ที่แท้ก็ "สามย่านมหาวิทยาลัย" นั่นเอง หลอกแฟนๆ หลงทางนะครับ

ว่าแต่อูน่าจะมีวาสนากับนายกี้นะครับ ถึงหลบกันไม่พ้นซักที

แล้ว 400 คนคูณด้วยร้อยละ 0.01 เท่ากับเท่าไรครับ คงไม่ถึงคนที่ตกสัมภาษณ์ ยังจะมาหลอกให้เขวอีก

คณะนี้จะว่าไปก็เลื่องชื่อมากนะครับ ในการเป็นแหล่งที่พักของเหล่า ม.5 อกหัก แต่ก็คงไม่รวมอูมั่งครับ

รออ่านตอนต่อไปครับ

ชู

Bomber_Boy said...

โดนพี่อูสับขาหลอกกันหมดเลย..
แต่ผมว่าจริงๆ แล้วพี่อูไม่ได้สอบติดคณะเทคโนฯ นั่นหรอก ได้ที่อื่นมากกว่า เพราะว่าช่วงที่พี่อูหายไป 1 เดือน มันเป็นช่วงเดียวกับที่ ..... จริงมั้ยพี่อู????

ปล.หน้าแตกเปล่าเนี่ย...

Anonymous said...

มหาวิทยาลัยสะพานเหลืองครับ ไม่ใช่สา่มย่าน อยู่ในซอยข้างๆโรงหนังรามาน่ะพี่ชู เข้าไปสุดซอย ข้างหน้ามีศาลเจ้าอยู่

หลาบย้ายก็ย้ายเถอะครับ เงินดีกว่าก็คิดเสียว่าไปรับทรัพย์ แต่ย้ายไปแล้วต้องมีปากมีเสียงหน่อยนะ เนื่องจากแรงเสียดทานจะสูงกว่าเดิม จะยอมไปหมดไม่ได้ครับ เมื่อปรับตัวได้แล้วจะรู้สึกว่างานไม่ได้แย่กว่างานเดิมเลย

ตอบหลานเฟรดแฝดพี่ หนิงเขียนอีเมลมาแล้วอายังไม่ได้ตอบน่ะ ก็เลยติดหนี้กันอยู่

ตอบหลาน )^_^( มหาวิทยาลัยที่อาเรียนดูเหมือนจะไม่มีเภสัชกับสถาปัตย์นะ คิดว่างั้นนะ เอาไว้เมื่อเข้าไปเรียนแล้วจะลองสำรวจดูอีกทีว่ามีสองคณะนี้หรือไม่

อาอู

Anonymous said...

เพิ่งเห็นข้อความของเด็กวางระเบิด พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย ที่หายไปหนึ่งเดือนนี่เป็นช่วงเดียวกับอะไรครับ พูดแล้วอย่ากั๊กสิ พูดมาให้หมดเถอะ เดี๋ยวคงนอนไม่หลับเพราะอยากรู้

อู

Anonymous said...

หลายอาอูจัด = ="~ คนไหนตัวจริงอ่ะ?

ป่วยหนักมากๆ ครับ เข้าโรงพยาบาลมาสองรอบแล้ว
อยากให้่อาอูเอา เรื่องร.ด. มาเล่าให้ฟัง เพราะ
ตอนนั้นอาอูบอกไว้ว่าจะเล่าเรื่อง ร.ด. เพราะมี
อะไรอยู่บ้างน่ะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Fryderyk C. said...

มาต่อเร็วๆ นะครับอาอู
อิอิ


แฝดเป็นไงบ้างครับ คิดถึงนะครับ

ฺBomber Boy said...

ก็น่าจะสอบได้ที่คณะแพทย์มากกว่าเท่านั้นเองครับ

พี said...

รอตอนใหม่อยู่ครับ...

กำลังเหงาๆ วนกลับไปอ่านภาคเก่า 3 ภาคจบอีกรอบแล้ว...

ภาคหนึ่งมีสุข สดชื่นในวันเยาว์

ภาคสองสุข สยิว และเศร้าตอนท้าย

ภาคสาม เศร้า สดชื่น(กับน้องบอย) และอกหักในตอนท้าย
รอภาคสี่ นี่ล่ะว่าจะเป็นยังไง

*** P ***

Anonymous said...

ผมเป็นใคร คุณอูคงไม่รู้จักหรอก
เพราะผมตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าอ่านไม่ถึงตอนล่าสุดที่เขียน ก็จะไม่คอมเม้นท์อะไรเลย

ผมเจอเรื่องนี้ ในวันที่ผมอ้างว้าง ไม่มีอะไรทำ เบื่อหน่ายกับชีวิต เลยเปิดกูเกิ้ลหาอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนมาเจอเรื่องนี้ละคับ

ผมใช้เวลาอ่านตั้งแต่ตอนที่1 ของภาคแรก จนถึง ตอนที่ 1 ของภาค 4 นี่ ทั้งหมดก็ เกือบๆ 2 เดือน จะมาเว้นช่วงไปก็ตอน จบภาค 2 นี่ละคับ ไม่อยากอ่านอะไรอีกเลย มันเป็นเหมือนผมเป็นตัวละครอีก 1 ตัวในเรื่องของคุณอู และรู้สึกกับทุกอารมณ์อย่างลึกซึ้ง เพราะเรื่องบางเรื่องมันคล้ายคลึงกับชีวิตของผมมาก ยิ่งเป็นตอนที่นัยจากไปโดยอูไม่สามารถบอกความในใจอะไรได้เลยนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ผมอ่านจบตอนตอนนั้นแล้วสมองเบลอไปช่วงนึงเลยทีเดียว แล้วผมก็กลับมาอ่านใหม่อีก

ขอโทษนะครับ ขอติอะไรอย่างนึง จากการที่ผมอ่านโดยละเอียด ผมสังเกตุเห็นว่า ภาคแรกๆ จุดที่พิมพ์ผิดจะมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย แต่ช่วงหลัง เห็นบ่อยๆเกือบทุกตอนเลย ไม่รู้ว่าคุณอูรีบเขียนไปหรือป่าว ^ ^

ถ้าผมตั้งใจอ่านหนังสือเรียน เหมือนที่ตั้งใจอ่านเรื่องของคุณอู ป่านนี้ผมคงจนปริญญาไปแล้วละคับ แหะ แหะ

เขียนต่อไปเรื่อยๆนะคับ ผมคอยตามอ่านอยู่ และเป็นกำลังใจให้วาสนาสำหรับคูรอูและนัย ยังไม่หมดไป

ปล. ตอนนี้เพลง A Lover's Concerto มีผลกระทบทางจิตใจกับผมอย่างมากเลยคับ ต้องฟังก่อนนอนทุกวัน บางทีฟังแล้วอมยิ้ม บางทีฟังแล้วก็เศร้าไปเลย

–• องค์๕ •–

Anonymous said...

เข้ามาต้อนรับสมาชิกใหม่ครับ

พี่องค์*๕

มาเป็นครอบครัวอาอูด้วยกันครับ ^ ^

หลานหนิง

ปล. อาอู ให้รอนานอีกละนะ -*-

Anonymous said...

ถึงคุณ หลานหนิง ^ ^

ผมไม่ได้เป็นสมาชิกใหม่หรอกคับ
ที่จริงเป็นมานานแล้ว แต่ไม่เคยเปิดเผยตัวเอง

แหะ แหะ แหะ

^ ^

ปกติเข้ามาก็อ่านต่อจากที่ค้างไว้เลย
แต่ตอนนี้ ต้องรออัพเดทแล้วละสิ




–• องค์ ๕ •–

Anonymous said...

ครับ ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ แต่ช่วงนี้ใช้เวลาไปกับการเตรียมข้อมูลและภาพเก่าๆ ความจำบางช่วงมันก็หายไป จึงต้องไปค้น เลยช้าไปบ้าง ตอน ๒ จะมาเร็วๆนี่ครับ

ขอบคุณสำหรับความเห็นขององค์ ๕ ครับ ไม่ใช่องค์บากนะ แล้วทำไมมีไม่ครบ ๘ น่าสงสัย

หลาน arus เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือยัง เงียบหายไปเลย

อู

Choo said...

ไหนอูบอกว่านิยาย ครับนิยาย

นิยายมันต้องใช้จินตนาการนะครับ

ส่วนที่ต้องใช้ความจำและที่ลืมไป มันคือความหลังนะครับอู

อย่าหลุดดิ เสียฟอร์มหมดครับ ใครนะเขียนไว้

"บุคคลและสถานที่ที่ปรากฏในเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นการเขียนขึ้นจากจินตนาการทั้งสิ้น มิได้มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้น หากมีบุคคลหรือสถานที่ในเรื่องที่เหมือนหรือคล้ายกับบุคคลหรือสถานที่ที่มีอยู่จริง ขอให้ทราบว่านั่นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด"

555

ชู

Anonymous said...

เห็นไหมว่าแผนกจับผิดในบล็อกนี้ทำงานขยันขันแข็งจริงๆ

ที่ว่าหาข้อมูล เพราะว่าแม้จะเป็นนิยายแต่ก็ต้องมีความสมจริงอยู่ด้วย อย่างที่เขาเรียกกันว่า สมจริงในจินตนาการ ไงครับ อย่างเช่น ถ้าจะเขียนถึงสะพานเหลืองในยุคก่อนมันก็ต้องเห็นภาพหัวลำโพงยุคนั้น จะไปเอาภาพหัวลำโพงยุคมีสถานี MRT มาโพสต์ก็ขัดๆอยู่ ก็เลยต้องไปหาข้อมูลมาบ้าง แต่ว่ามันก็เป็นนิยายครับ นิยาย

อู

พี said...

ขำดี...

แผนกคอมเม้นต์...ติงมา

แผนกเล่า...แก้ตัวเป็นพัลวันเลย

แผนกอ่าน...เช่นเรา อมยิ้มนะซี

แต่ก็รออ่านเรื่องของ...อู อยู่นะ...คุณอู

*** P ***

Anonymous said...

หลานหนิง ขอเสนอตัว เป็นแผนกทวงครับ 0/

ลุงอู เอาตอนใหม่มาลงเดี๋ยวนี้นะ!!!!

ไม่งั้นผมจะแฉเรื่องของลุงชู ก๊ากกกกกก

Anonymous said...

แหะ แหะ แหะ

ไม่ใช่องค์บาก แน่นอนคับ
ที่เป็น องค์ ๕ นี่ มันไม่ได้มาจาก มรรคมีองค์ ๘ คับ
แต่มันเป็นชื่อที่เรียกกันในกลุ่มเท่านั้นเอง
มีทั้งหมด ๖ องค์ !!!


เฮ้อ....เข้าใจคำว่า "รอ" แล้ว
ต้องเข้ามาเช๊คทุกวันเลย ว่าอัพเดทหรือยัง
มะก่อน ไม่ต้อง เช๊ค ไม่ต้อง "รอ"
เข้ามาปุ๊บ อ่านได้ ปั๊บ


ปล.มีความคิดนึงแว๊บเข้ามาในหัวผมว่า ผมจะเป็นคนตามหา เด็กชายที่หายไปทั้ง 3 คน นั้นคือ อู ชัช และ นัย ด้วยตัวเอง 555+ เป็นแค่ความคิดนะคับ แต่ก็ไม่แน่ แหะ แหะ แหะ เพราะข้อมูลที่เก็บได้จากทั้งหมดในเรื่อง ก็พอได้เค้าข้อมูลอยู่บ้าง เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ที่คุณอู หลุดมาบ้างบางครั้ง ถ้าเก็บเอามารวบรวมแล้ว ก็พอได้ข้อมูลอะไรบางอย่าง !!!




–• องค์ ๕ •–

Bomber_Boy said...

ยังไงก็คิดว่า แพทย์ ชัวร์