Sunday, June 13, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 68

หลังจากที่แม่ผ่าตัดใหม่ๆผมมานอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ตลอด ที่จริงแม่จะนอนคนเดียวก็ได้เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัดขนาดใหญ่ รวมทั้งแผลผ่าตัดที่คอก็ไม่ได้กระทบกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่ผมสมัครใจที่จะมานอนเฝ้าแม่เองเนื่องจากต้องการให้กำลังใจแม่ด้วย

ผมไปเฝ้าชะแง้แอบดูบอยอยู่หลายวันที่หน้าตึกกับที่โรงอาหารแต่ก็ไม่พบบอย ผมรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะเดินเฉียดผ่านหน้าห้องเรียนของบอยเนื่องจากเกรงว่าบอยอาจไม่พอใจที่เห็นผม รวมทั้งบอยอาจถูกเพื่อนๆในห้องล้อก็ได้ แต่โชคก็เข้าข้างผมอยู่บ้าง ในที่สุดผมก็แอบเห็นบอยนั่งกินอาหารอยู่กับเพื่อนๆที่โรงอาหารในวันหนึ่ง

ผมเดินผ่านโต๊ะที่บอยกินอาหารไปและเหลือบไปเห็นบอยโดยบังเอิญ แต่มันก็เป็นเวลาเพียงช่วงสั้นๆเพราะว่าหลังจากนั้นไม่นานบอยและเพื่อนๆก็ลุกออกจากโต๊ะไป แต่เพียงแว่บเดียวที่ผมเห็นมันก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา ใครที่เคยได้แต่เฝ้าแอบมองคนที่เราคิดถึงทุกวันโดยที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปทักทายคงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี

“อู ทำไมวันนี้เงียบจัง” แม่พูดขึ้นในตอนดึกของวันนั้นขณะที่แม่กำลังเตรียมตัวเข้านอนและผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ผมเปิดหนังสือค้างเอาไว้แต่ไม่ได้อ่าน กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ “อยู่โรงพยาบาลหลายวันแล้วเบื่อใช่ไหม กลับไปนอนที่หอบ้างก็ได้นะ หมอบอกว่าอีกวันสองวันจะให้กลับแล้ว ไม่ต้องมาเฝ้าแม่ทุกวันหรอก”

“ไม่เบื่อหรอกแม่ กำลังอ่านหนังสือก็เลยเงียบๆน่ะ” ผมตอบ “ไหนๆแม่จะกลับแล้วก็อยู่ให้มันตลอดดีกว่า”

“ทำไมหนังสือหน้าเดียวอ่านอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นพลิกไปหน้าอื่นบ้างเลย” แม่ถาม คนที่เข้าใจลูกคงไม่มีใครเกินแม่ แม่คงสังเกตผมมาสักพักหนึ่งแล้ว “อูมีเรื่องอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า ตั้งแต่ที่แม่เห็นอูครั้งนี้ดูอูซึมๆไป ยิ่งคืนนี้ยิ่งดูซึม”

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกแม่ ดูหนังสือแล้วล้านิดหน่อยอะ” ผมรีบปฏิเสธ “บางทีอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เลยใช้เวลา”

พูดไปแล้วก็รู้สึกไม่ดีที่ต้องโกหกแม่ แต่ทำไงได้

“แม่นั่งๆนอนๆทั้งวัน เบื่อจะแย่แล้ว” แม่เปลี่ยนเรื่อง “เป็นห่วงที่บ้านอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”

“ป๊าก็อยู่ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก พักให้เต็มที่ดีกว่า” ผมพูด

“ป๊าเค้าก็ดูแลแต่เรื่องค้าขาย งานบ้านน่ะเคยดูเสียที่ไหน แม่ไม่อยู่บ้านต้องรกแน่เลย” แม่อดบ่นไม่ได้

ปกติแม่เป็นคนขยัน ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องงานทำความสะอาด แม่เป็นคนรักความสะอาดดังนั้นจึงปัดนั่นเช็ดนี่ไม่เคยว่าง น่าเห็นใจแม่ที่นั่งๆนอนๆอยู่ในโรงพยาบาลเสียหลายวันจนเริ่มรู้สึกอับเฉา

“แม่นอนก่อนล่ะ อย่านอนดึกนะลูก” แม่ยังอดเป็นห่วงผมไม่ได้ จากนั้นแม่ก็ปิดไปที่หัวเตียงคนไข้ ผมก็เดินไปปิดไฟดวงใหญ่ที่อยู่กลางห้อง เหลือแต่เพียงแสงไฟจากดวงไฟเหนือโต๊ะเล็กที่ผมนั่งดูหนังสืออยู่

ดึกแล้ว...

แม่หลับไปนานแล้ว ผมปิดหนังสือลงและเดินไปที่หน้าต่าง ดวงดาวในยามต้นฤดูหนาวระยิบพราวฟ้า ทิวทัศน์ยามราตรีสงัดแฝงไว้ด้วยอารมณ์เหงา แม้จะเหงาไปบ้างแต่ผมก็ชอบเวลาเช่นนี้เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสงบ ได้อยู่กับตัวเองและเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

หวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา สุดท้ายแล้วได้อะไร ชีวิตของผมตอนนี้ยังคงว่างเปล่า ผมเหลียวกลับไปมองกองหนังสือบนโต๊ะ อดคิดไม่ได้ว่าที่ผมทุ่มเทพยายามอยู่นี้ผมกำลังทำไปเพื่ออะไร จุดหมายของผมอยู่ที่ไหน และสุดท้ายจะได้แต่ความว่างเปล่าเหมือนที่ผ่านมาอีกหรือไม่

คนเรานั้นมาพบกันเพียงเพื่อการพลัดพราก ถึงแม้จะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องพรากจากกัน... ผมอดนึกถึงคำพูดของครูช่วยไม่ได้ ผมเคยเสียนัยไปแล้ว มาวันนี้ผมก็กำลังจะสูญเสียบอยไปอีกคนหนึ่ง หรือว่าบทลงเอยของความรักที่ผิดปกติเช่นผมคือความว่างเปล่า

ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าผมจะกำหนดวาสนาของตนเองบ้างจะได้หรือไม่ ถ้าผมเรียน ม.๖ ที่นี่ต่ออีกหนึ่งปีล่ะ อย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้เห็นหน้าบอยบ้างไปอีกตลอดหนึ่งปี ไม่แน่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป หากผมมีความพยายามมากพอ บอยอาจจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ก็ได้... คิดๆไปมันก็พอมีโอกาสเป็นไปได้

อีกหนึ่งปี... อีกหนึ่งปี... ที่จริงมันก็ไม่นานนัก ถึงแม้ผมจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ในปีหน้านี้ผมก็เรียนเร็วขึ้นอีกปีเดียว ทำงานเร็วขึ้นอีกปีมันคงไม่ได้ช่วยอะไรให้แก่ชีวิตมากนัก ถึงผมไม่เข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้าก็ใช่ว่าผมจะเรียนช้ากว่าเพื่อนๆ ก็เพียงแค่เรียนตามเกณฑ์ปกติเท่านั้น

แต่... ถ้าหากว่าบอยเกิดสอบเข้าเตรียมอุดมได้ ความพยายามทั้งหมดของผมที่ทำเพื่อบอยก็คงสูญเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจว่าความเสี่ยงมีมากเพียงใด และมันคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงหรือไม่

คิดไปคิดมาก็อดขำตนเองไม่ได้ ผมลืมความจริงไปข้อหนึ่ง นั่นคือ ผมทึกทักเอาราวกับว่าผมจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่ๆในปีหน้านี้ ทั้งๆที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร ผมอาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เลยไม่ว่าปีหน้าหรือปีไหน และต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้

สายตาของผมเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง เวิ้งฟ้าในห้วงรัตติกาลทำให้ผมอดนึกถึงใครคนหนึ่งไม่ได้ ผมจมอยู่ในภวังค์ไม่รู้ว่านานเพียงใด...

ผมคิดจะเรียนต่อที่โรงเรียนจนจบ ม.๖ ดีกว่า เพราะหลังจากไตร่ตรองแล้ว สภาพจิตใจของผมตอนนี้ไม่พร้อมที่จะเตรียมตัวสอบเอาเลย ถ้าอย่างนั้นผมจะรอเรียนจบตามรุ่นเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมสอบมากขึ้น โอกาสที่จะได้คณะดีๆคงมีมากกว่า พร้อมกันนั้นก็คงมีโอกาสสานสัมพันธ์กับบอยต่อไปได้อีกด้วย อย่างน้อยที่สุด แค่ได้เห็นหน้ามันบ้างก็ยังดี ส่วนเรื่องที่บอยจะไปเรียนต่อเตรียมอุดมนั้นบอยอาจจะสอบได้หรือไม่ได้ก็ได้ ถือเสียว่าผมวัดดวงอนาคตอีกหนึ่งปีกับบอยก็แล้วกัน

ที่จริงการตัดสินใจในชีวิตช่วงนี้คงไม่ได้เป็นการตัดสินใจโดยใช้เหตุผลเท่าไรนัก แต่เป็นเพียงการหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดความสบายใจมากกว่า

แผนการของผมก็คือยังคงทำทุกอย่างไปตามปกติ ไปเรียน กศน. สอบ กศน. และไปสอบเอนทรานซ์ เพียงแต่ว่าไม่ต้องไปเอาจริงกับมัน เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่าหากผมบอกทางบ้านว่าจะไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ พ่อ แม่ และเอ๊ดก็คงต้องรู้ว่าผมมีปัญหาในชีวิตอีก ไม่แน่ว่าพ่ออาจขอร้องให้เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ใหม่เพื่อมาดูแลผมอีก ดังนั้นการตัดสินใจของผมนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ ผมจะต้องสอบไม่ติดอย่างเป็นธรรมชาติ...

เมื่อคิดตกแล้วก็สบายใจ ผมจึงเตรียมตัวเข้านอน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผมจะหลับ สำนึกสุดท้ายของผมอดเสียดายความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ได้...

- - -

เช้าวันต่อมา

ผมตื่นแต่เช้าและอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียนตามปกติ แม่เป็นคนตื่นไว เมื่อแม่ได้ยินเสียงกุกกักๆก็ตื่นแล้วแต่ว่ายังนอนเล่นอยู่บนเตียง ดูผมเตรียมตัวไปโรงเรียน

“สงสัยอูคงพักผ่อนน้อยนะ เลยเครียด” แม่ทักขึ้นขณะที่ผมกำลังจัดหนังสือเรียนใส่ลงในเป้

“ทำไมเหรอแม่” ผมงง จู่ๆแม่ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ก็เมื่อคืนดูอูซึมๆ เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาดูสดใส คงเป็นเพราะได้พักผ่อนไง” แม่พูด

“แม่คิดไปเองมั้ง” ผมตอบส่งเดช “อูไปเรียนก่อนละ”

ผมไม่อยากถูกแม่ซักไซร้ต่อ ดังนั้นเมื่อจัดเป้เสร็จเรียบร้อยผมก็รีบออกจากห้องคนไข้ทันที

วันนี้ผมไปเดินเตร่อยู่ที่โรงอาหารตอนพักเที่ยงอีก แม้ว่าวันนี้จะไม่เห็นบอยแต่ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิมมาก ผมอดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่าคงเป็นเพราะผมตัดสินใจได้ถูกต้องจึงรู้สึกสบายใจ แต่แท้ที่จริงแล้วความทุกข์อยู่ที่การตัดสินใจไม่ได้นี่เอง เมื่อใดที่ตัดสินใจได้ ไม่ว่าจะตัดสินใจไปในทางใดก็ตาม หลังจากนั้นก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น

วันนี้ผมเรียนอย่างสบายใจ เมื่อคิดว่าปีนี้จะสอบเอนทรานซ์เพียงแค่พอเป็นพิธีเอาไว้หลอกที่บ้านเท่านั้น อีกทั้งยังมีวามหวังกับบอย ผมจึงเรียนอย่างไม่เคร่งเครียดนัก

“เฮ้ย ใบสมัครสอบพรีเอนทรานซ์โว้ย ขายต่อๆ มีชุดเดียว ใครเอาบ้าง” เสียงเชาวน์ตะโกนโหวกเหวกในตอนบ่ายระหว่างเปลี่ยนคาบ “สมัครเสาร์นี้แล้วนะโว้ย”

“เดี๋ยวนี้มึงขายของหาลำไพ่แล้วเหรอ” นนพูดพลางหัวเราะ “น่าสงสาร ทางบ้านยากจน”

“ไม่ได้ขายเอากำไรโว้ย ไอ้เวร เพื่อนมันฝากกูซื้อแต่แล้วมันก็ไปซื้อมาเอง เลยมีเหลือชุดนึง ไม่เหมือนมึงหรอกขายถั่วดำหาลำไพ่” เชาวน์ประคารม ไม่ยอมให้นนเหน็บฟรีๆ ช่วงหลังสองคนนี้เป็นคู่กัดที่มักลับฝีปากกันเสมอ มุขที่เชาวน์ชอบเอามาเล่นกับนนก็มักหนีไม่พ้นมุขถั่วดำหรือเรื่องที่คล้ายๆกัน

“มึงอยากแดกมั่งล่ะสิ ถั่วดำน่ะ” นนพูด “มึงให้ฟรีดิกูเอา”

“มึงไม่ต้องมายุ่งเลย เสือก” เชาวน์หัวเราะ

สอบพรีเอนทรานซ์ที่ว่าคือการสอบเพื่อเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ ในยุคที่การสอบเอนทรานซ์คือการชี้ชะตาชีวิตของนักเรียนสายสามัญ การมีโอกาสทดลองสอบอันเป็นเสมือนการซ้อมใหญ่ก่อนเข้าสนามสอบจริงจึงเท่ากับเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การสอบพรีเอนทรานซ์นั้นมีขึ้นมาราวสิบปีแล้วเห็นจะได้ ในยุคนั้นเฟื่องมาก ผู้จัดก็มีหลายรายทั้งที่เป็นเอกชนจัดขึ้นซึ่งถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาแบบหนึ่งเช่นเดียวกับการกวดวิชา กับผู้จัดที่เป็นชมรมวิชาการของมหาวิทยาลัยต่างๆอันถือเป็นการทำกิจกรรมทางวิชาการของนักศึกษา สูตรสำเร็จของนักเรียน ม.ปลายในยุคนั้นก็คือ กวดวิชา สอบเทียบ สอบพรีเอนทรานซ์ แล้วก็ไปสอบเอนทรานซ์

เรื่องการสอบพรีเอนทรานซ์นั้นเดิมทีผมก็คิดเอาไว้บ้างเหมือนกัน แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาผมเกิดอาการท้อแท้อันเนื่องมาจากเรื่องของบอย ประกอบกับวุ่นวายเรื่องแม่เข้าโรงพยาบาล จึงทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แต่ว่ามานึกได้เอาตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้วเนื่องจากแผนการชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมจึงไม่ได้คิดสมัครสอบพรีเอนทรานซ์แล้ว

- - -

“พรุ่งนี้หมอให้แม่กลับบ้านได้แล้วนะ” แม่พูดกับผมอย่างดีใจในตอนเย็นเมื่อผมกลับจากโรงเรียน “แม่โทรไปบอกป๊าแล้ว ป๊าจะมารับพรุ่งนี้ตอนสายๆ”

“ดีจังเลยแม่ แม่จะได้กลับบ้านเสียที อยู่นี่แม่คงเซ็งแย่” ผมรู้สึกดีใจเช่นกัน แม้การพักที่นี่จะสบายกว่าอยู่ที่หอพัก อย่างน้อยก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ แต่ถึงอย่างไรโรงพยาบาลก็คือโรงพยาบาล คงไม่มีใครอยากพักอยู่นานๆโดยไม่จำเป็น

“อยู่นี่ก็น่าเบื่อนิดหน่อย แต่ก็ดีตรงที่ได้เห็นอูทุกวัน” แม่พูด “อูไม่ค่อยกลับบ้านเลย นานๆแม่จะได้เห็นหน้าอูสักครั้ง”

ผมชะงักไป ในใจอดรู้สึกสำนึกผิดไม่ได้ จริงสินะ สองสามปีมานี้ผมอยู่บ้านค่อนข้างน้อย แม้จะกลับบ้านในช่วงปิดเทอมแต่ก็พักอยู่ที่บ้านเพียงช่วงเวลาสั้นๆจากนั้นก็กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯอีก

ก่อนที่เราจะคุยกันต่อ ประตูห้องพักก็เปิดออก หมอกับพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ตั้งแต่มาพักที่โรงพยาบาลผมเห็นหมอเจ้าของไข้ของแม่เพียงช่วงก่อนการผ่าตัดเท่านั้น หลังจากผ่าตัดไปแล้วยังไม่เคยเห็นหมออีกเลยเนื่องจากหมอมักมาเยี่ยมแม่ในตอนเช้าหลังจากที่ผมออกไปโรงเรียนแล้ว

“วันนี้คุณหมอมาเยี่ยมสองหนเลยนะ” แม่ทักทายหมอ

“ครับ พอดีวันนี้มีคนไข้ที่ต้องแวะมาดูตอนเย็น ไหนๆมาแล้วก็เลยแวะมาเยี่ยมอีกครั้ง” หมอตอบพลางหันหน้ามาทางผม “นี่คนเล็กใช่ไหม วันก่อนก็เห็นมาเฝ้าแม่”

“ใช่ค่ะ นี่คนเล็ก” แม่ตอบ “คนโตเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว อยู่ต่างจังหวัด”

“แล้วคนเล็กนี่เมื่อไรเข้ามหาวิทยาลัยล่ะครับ” หมอถาม

“ปีหน้านี้แหละค่ะ ตอนนี้อยู่ ม.๕ แต่เค้าจะสอบเทียบ เตรียมเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้านี้” แม่ตอบ

“อือม์ ขยันนะ” หมอหันมาชมผม

ผมก็ได้แต่ครับๆ แต่ในใจแอบตอบหมอไปว่าปีหน้านี้จะไม่สอบแล้ว

หมอคุยกับแม่ชั่วครูจากนั้นก็ขอตัวจากไป หลังจากที่หมอไปได้ไม่นาน พยาบาลก็เข้ามาในห้องอีก แต่คราวนี้มาคนเดียว

“คุณหมอเชิญลูกชายไปคุยด้วยหน่อยค่ะ” พยาบาลสาวพูดกับแม่และผม

“มีอะไรเหรอจ๊ะ” แม่ถาม

“ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” พยาบาลตอบ

“เดี๋ยวอูมาแม่” ผมพูดกับแม่ พลางเดินออกจากห้องไปพร้อมกับพยาบาล ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าหมอเรียกผมไปทำไม แม่ก็คงสงสัยเช่นกัน

พยาบาลพาผมไปพบหมอที่รออยู่ตรงชุดรับแขกซึ่งอยู่ใกล้ๆกับลิฟต์ ตรงนั้นเป็นที่สำหรับญาติคนไข้มานั่งพักหรือว่านั่งรอ แต่ว่าตอนนั้นไม่มีคนอื่น คงมีแต่เพียงหมอนั่งอยู่

“พรุ่งนี้พ่อจะมากี่โมง” หมอถามเป็นคำถามแรกหลังจากที่ผมนั่งลงที่ชุดรับแขก “หลายวันมานี้หมอยังไม่เคยทักทายคุณพ่อเลย”

“แม่บอกว่าสายๆจะมารับครับ” ผมตอบ

“บอกให้พ่อมาเร็วหน่อย มาพบหมอสักตอนแปดโมงเช้าได้ไหม” หมอถามอีก “หมอมีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมรู้สึกเอะใจ ทำไมหมอไม่ฝากบอกไปกับแม่ มาบอกผมทำไม

“ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ที่หมออยากจะคุยกับคุณพ่อเพราะว่าก้อนเนื้องอกที่ผ่าออกมานั้นมันดูไม่ค่อยดี” หมอตอบ “แม้ผลตรวจชิ้นเนื้อทางห้องแล็บจะยังไม่ออกมา แต่จากประสบการณ์ของหมอหมอคิดว่ามันเป็นเนื้อร้าย”

17 comments:

Anonymous said...

)^_^(ที่1 งิงิ

Anonymous said...

ครั้งแรกที่เข้ามา ที่ 2 ฮิฮิ

Anonymous said...

ขอมาจองที่สามก่อนแล้วค่อยอ่าน

คิดถึงอาอู

กัน

Anonymous said...

คิดถึงแม่จังเลย แม่ผมก็เป็นมะเร็ง แต่ท่านเสียไปได้เกือบสองปีแล้ว
อาอูสู้ๆๆ

กัน

พี said...

ข่าวร้ายมาอีกแล้ว...

อู...เล่าแต่เรื่องที่เศร้าๆ ทั้งนั้นเลย

เล่าเรื่องสนุก ๆ สลับบ้างนะ จิตตกแล้ว

มาให้กำลังใจทั้ง...อู ในเรื่อง

และ

คุณอู...คนเล่าเรื่อง

+++ P +++

นนท์ said...

คุณเเม่จาเปนไรมั้ยเนี่ย
อ่านเเล้วเศราซึม ไปตามๆกัน

Anonymous said...

ใครๆ ก็มาต่อคิดรักอาอู เป็นกำลังใจให้กันนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ชะตาชีวิตเล่นตลกอีกแล้ว สู้ๆนะครับ แต่ผมขอทายง่าอาอูจะสอบเทียบแล้วสอบเอ็นท์ได้แน่ๆ
รักอาอูนะครับ
Federick
ป.ล.คิดถึงแฟนจังเลย ช่วงนี้หายไปเลยอ่ะ งิงิ

Fryderyk C. said...

555+ คิดถีงแฟนเหมือนกันครับ อิอิ

ผมไม่ชอบข่าวร้ายเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนอีกครับ
แย่เข้าไปใหญ่เลย

ขอให้อาอูเข้มแข็งต่อไปนะครับ รักนะครับ จุ๊บๆ


ป.ล. แฟน เป็นไงบ้างเนี่ย ช่วงนี้ fryderyk ไม่ค่อยได้เข้ามาเท่าไหร่เลย เปิดเทอมแล้ว เหลืออีก 2 ปีเท่านั้น สู้ตาย อิอิ ว่าแต่ๆ เราเป็นแฟนกันแล้วใช่ม้าาาๆๆ... ขอหอมแก้มหน่อยจิ

ไปแล้วครับ เด็วไว้แวะมาใหม่นะครับ

Anonymous said...

ตกลงว่าสองคนนี้จะเป็นแฝดหรือว่าจะเป็นแฟนกันแน่ ชักงง

>.<

Anonymous said...

เอ่อ ขอสารภาพตามตรงว่าพิมพ์ผิด แต่คิดว่าที่พิมพ์ผิดเพราะเป็นจิตใต้สำนึกสั่งอ่ะ ถ้าแฝดบอกว่าเราเป็นแฟนกัน ก็ตกลงเลยละกัน อิอิ
แฟนไม่ใช่แค่นายนะที่ยุ่ง เราเองก็กำลังจะไม่ว่างเท่าไหร่แล้วอ่ะ เดี๋ยวเดือนหน้าต้องเปิดร้านแล้วอ่ะ คงยุ่งน่าดู รีบๆมานะ คิดถึง
Federick

Fryderyk C. said...

T T

Anonymous said...

อ้าวแฟนเป็นอะไรอ่ะ งอนเราอ่ะเปล่า
Federick

Anonymous said...

พี่ขอทายว่า..
จากการเจ็บป่วยของคุณแม่
ทำให้อูได้คิดในหลายๆเรื่อง
และมีแรงผลักดันไปในทางที่ดีค่ะ

ในช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน
หลายครั้งที่เราเสียเวลาไปกับอะไรก็ไม่รู้
จนกระทั่ง..มีเรื่องสำคัญที่สุดเข้ามาให้ขบคิด
เมื่อนั้นแหล่ะที่เราจะเริ่มมีสติและเดินหน้า
ชีวิตอูก็เช่นกันค่ะ
..
..
..
อดีตก็เป็นแค่อดีต
ชีวิตต้องก้าวต่อไปข้างหน้า
ดูอย่างคู่แฝดสิคะ
มีพัฒนาการขึ้นทู้กกกวันเลยเชียว..อิอิ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มีคนทายว่าผมจะเอนทรานซ์ได้ในปีหน้าสองคนแล้ว ขอให้สมพรปาก แต่ผมชอบพลิกล็อกนะ ไม่เชื่อถามพี่ชูดูได้

เสียใจกับกันเรื่องคุณแม่ โรคมะเร็งกลายเป็นโรคที่เป็นกันดาดดื่น แม้ปัจจุบันวิทยาการดีกว่ายี่สิบปีก่อนมากแต่ก็ยังเป็นด้านการตรวจรักษา ยังป้องกันไม่ให้เป็นไม่ได้ พูดแล้วเสียวตัวเองเหมือนกัน

หลานฝาแฝดหวานชื่นดี แถมมีแม่ยกพี่สาวลาดพร้าวคอยเชียร์ สงสัยจะได้จัดเลี้ยงฉลองกันในบล็อกแน่เลย

อู

Choo said...

พี่ลาดพร้าวเม้นต์ดีจัง ตรงใจ ชอบๆ

คู่แฝดอภินิหาร กำลังทำผมตาร้อน อิจฉาๆ

อ้าวไหงอูให้มาถามผมล่ะ ผมไม่รู้เรื่องนะ

เป็นกำลังใจให้อู และทุกคนที่มีทุกข์ ให้ผ่านพ้นด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง

ชู

Anonymous said...

"หรือว่าบทลงเอยของความรักที่ผิดปกติเช่นผมคือความว่างเปล่า"อาอูเขียนได้สุดยอดเลยครับ

รักอาอูจัง อยากให้อาูอูเจอแต่เรื่องดีๆจังเศร้ามาหลายตอน

ขอสมัครเป็นหลานอาอูด้วยคน

นัทซึ