Monday, June 7, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 67

“...” ผมอึ้งไป ขณะนั้นอายุยังน้อย ไม่เคยวางแผนชีวิตแบบจริงจังไปไกลถึงขนาดนั้น จึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจกับคำพูดของแม่เรื่องแต่งงานมีครอบครัว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังอดสะกิดใจอยู่เล็กน้อยไม่ได้

“แล้วอูอยากเรียนคณะอะไรล่ะ” แม่ถามอีก

“หมอมั้งแม่” ผมตอบ ในตอนนั้นคำถามเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวยังไม่น่าอึดอัดใจเท่ากับคำถามเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเนื่องจากช่วงนั้นกำลังเคว้งหนัก ความมุ่งมั่นที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ในปีหน้านี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

“แม่ไม่อยากให้อูเรียนหมอเลย” แม่พูดขึ้นมา

“อูไม่ค่อยอยากเรียนวิศวฯน่ะแม่ ก็เลยคิดว่าจะสอบเข้าแพทย์ดีกว่า” ผมตอบ

“ไม่ชอบวิศวฯก็ไปเข้าอย่างอื่นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเรียนหมอเลย” แม่ตอบ

“ทำไมยังงั้นล่ะแม่ พ่อแม่ใครๆเค้าก็อยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นวิศวกรกันทั้งนั้น” ผมงงกับความต้องการของแม่ เราไม่เคยคุยกันเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยมาก่อน สำหรับเอ๊ดนั้นเอ๊ดไม่ชอบสายแพทย์ อยากเรียนวิศวฯ ซึ่งที่บ้านก็เห็นดีด้วย แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อกับแม่ไม่อยากให้ลูกเรียนหมอ

“เป็นหมอน่ะทำงานหนัก อยู่กับคนเจ็บคนป่วยทั้งวัน มันน่าหดหู่ อีกอย่าง ถ้ามีเหตุฉุกเฉินกี่โมงกี่ยามก็ถูกตามตัว ถ้าอยากเรียนหมอไปเป็นหมอฟันดีกว่า ทำงานเป็นเวลา ดึกดื่นก็ไม่มีใครมาตามตัว” แม่พูด เหตุผลของแม่ฟังดูก็มีน้ำหนักเหมือนกัน แต่ผมก็ว่าเป็นเหตุผลที่แปลกๆอยู่ ถ้าเป็นสมัยนี้ เหตุผลของแม่อาจกลายเป็นว่าเป็นหมอแล้วมีโอกาสถูกคนไข้ฟ้องร้องสูงก็เป็นได้

“ป๊าเค้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันนะ” แม่สำทับ เหมือนกับอ่านใจผมออกว่าผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไรนัก “ตอนที่เอ๊ดจะสอบเอนทรานซ์ ป๊าก็พูดกับเอ๊ดอย่างที่แม่พูดนี่แหละ เป็นหมอนี่ต้องอาศัยฝีมือและแรงงานของตัวเอง”

“เป็นหมอเนี่ยนะใช้แรงงาน” ผมอดขัดขึ้นมาไม่ได้

“ไม่ได้หมายถึงแบกหาม” แม่พูด “แต่ว่า คนเป็นหมอต้องตรวจรักษาคนไข้ด้วยตนเอง เต็มที่ได้กี่คน เท่าไรก็เท่านั้น หมอฟันก็เหมือนกัน วันไหนป่วย วันไหนติดธุระ ก็ตรวจรักษาไม่ได้ รายได้ก็จะจำกัดเท่ากับกำลังที่คนคนเดียวจะทำได้ แต่ถ้าคนทำธุรกิจ คนเดียวเปิดร้านเดียวก็ได้ จะขยายสาขาสักสิบร้านร้อยร้านก็ได้ ก็ใช้การบริหารเอา ถึงป่วยงานก็เดินได้”

ตอนนั้นผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่แม่พูดนัก จึงไม่ค่อยได้สนใจฟัง แต่มาจับประเด็นได้ตรงที่เปิดสิบร้านร้อยร้าน

“แล้วทำไมป๊าถึงได้มีอยู่ร้านเดียวล่ะ” ผมย้อน “อย่าว่าแต่สิบสาขาเลย สาขาสองยังไม่เคยเห็น”

“ไอ้ลูกคนนี้มันชอบจับผิด” แม่หัวเราะอีก “ก็ป๊าเค้าไม่ใช่คนทะเยอทะยาน เพื่อนๆป๊าหลายคนทำธุรกิจไปถึงไหนแล้ว แต่มันก็มีข้อดีนะ ชีวิตก็มีเวลาทำอย่างอื่นๆบ้าง”

ไม่ทะเยอทะยานแล้วทำไมไปเสียท่าสูญเงินไปกับราชาเงินทุนได้ ผมอดแย้งในใจไม่ได้แต่กลัวโดนด่าจึงไม่ได้พูดออกไป

“อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาเลือกคณะ เอาไว้ค่อยคิดทีหลังก็ได้แม่” ผมเฉไฉซื้อเวลาไปก่อน ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้ต่อไปอีก

แม่เงียบไป ห้องคนไข้ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งหนึ่ง ผมพยายามรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือภายใต้แสงไฟสลัวอีกครั้ง

“อู” แม่ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก “เขียนจดหมายคุยกับนัยบ่อยไหม นัยเป็นไงบ้าง”

เรื่องไอ้นัยนี่ยิ่งไม่น่าคุยเสียยิ่งกว่าเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นไหนๆ วันนี้แม่เป็นอะไรไปนะ คุยแต่เรื่องที่ผมไม่อยากคิดทั้งนั้นเลย

“ไม่ค่อยอะแม่” ผมตอบอ้อมแอ้ม เอานิ้วลูบปลายจมูกตนเองราวกับกลัวว่ามันจะงอกยาวออกมา

“แล้วนัยสบายดีหรือเปล่า เรียนเป็นยังไงบ้าง” แม่ถามอีก

“ทำไมจู่ๆแม่ถึงได้ถามถึงไอ้นัยขึ้นมาล่ะ มันไปเมืองนอกตั้งหลายปีแล้ว นึกว่าแม่ลืมมันไปแล้วเสียอีก” ผมถามกลับ พยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเรื่องไอ้นัย รู้สึกหวิวๆขึ้นมาในหัวใจยังไงก็ไม่รู้ จริงสินะ ไอ้นัยเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้ข่าวจากมันอีกเลยหลังจากได้รับจดหมายทั้งสามฉบับนั้น

“แม่จะลืมนัยได้ยังไง ตอนเด็กๆนัยเป็นเพื่อนที่อูรักมากที่สุด ตอนที่นัยมาพักที่บ้าน เวลามีขนมอะไรอูต้องแบ่งเก็บไว้ให้นัยเสมอ อูไม่เคยเก็บไว้กินเองจนหมดเลย นัยเค้าเป็นเด็กดี จำได้ว่าแม่เคยฝากให้นัยคอยดูแลอูเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ เพราะนัยใจเย็น เป็นผู้ใหญ่ พูดแล้วแม่ก็ยังคิดถึงนัยอยู่เลย” แม่พูดถึงนัยด้วยน้ำเสียงเนิบๆราวกับกำลังทบทวนความหลัง “อูเสียอีก ตั้งแต่นัยไปแม่ไม่ได้ยินอูพูดถึงนัยอีกเลย นี่อูลืมนัยไปแล้วหรือไง”

คำพูดของแม่ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนกลางใจ จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา จริงสินะ ช่วงที่ผ่านมาผมไม่ค่อยคิดถึงไอ้นัยเท่าไรแล้ว

“ทำไมวันนี้แม่คุยแต่เรื่องเก่าๆ” ผมไม่ยอมตอบคำถาม รู้สึกไม่ค่อยดีอย่างไรก็ไม่รู้

“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆก็คิดถึงเรื่องเก่าๆตอนที่อูเป็นเด็กน่ะ” แม่ตอบ

“แม่พยายามนอนหน่อยนะ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวจะพักผ่อนไม่พอ” ผมพยายามตัดบทการสนทนา “ยิ่งคิดมากแม่จะยิ่งนอนไม่หลับ”

ได้ยินเสียงแม่ถอนใจ หลังจากนั้นแม่ก็เงียบไป คงพยายามจะนอน ผมเองก็พยายามอ่านหนังสือ แต่พยายามอยู่พักใหญ่ก็ไม่สำเร็จ คำพูดของแม่ทำให้ผมคิดมากเรื่องไอ้นัย

ผมปิดหนังสือ ปิดไฟที่โต๊ะเล็ก ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ผมลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและเงียบกริบ เดินไปที่หน้าต่าง ชั้นที่แม่พักอยู่นี้สูงพอสมควร สามารถมองเห็นดวงไฟเป็นจุดๆทอดไกลไปจนสุดสายตา โลกยามค่ำคืนเมื่อดูจากที่นี่ไพศาลและอ้างว้างยิ่งกว่าโลกที่ผมเห็นที่ดาดฟ้าของหอพักมากมายนัก หรือว่าคนเราเมื่อเติบใหญ่ขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ชีวิตก็ต้องอ้างว้างมากยิ่งขึ้น

บรรยากาศยามดึกสงัดสงบเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน ผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดของผมราวกับหมอกควันอันเบาบางที่เมื่อลอยออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ฟุ้งกระจายออกไปโดยไร้ทิศทาง ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล...

นี่อูลืมนัยแล้วหรือไง ในความรู้สึกของผมเสมือนยังได้ยินคำพูดของแม่ก้องอยู่ แม่คงไม่ได้ตั้งใจ แต่คำพูดของแม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด เมื่อก่อนผมเคยพยายามลืมมันไปจริงๆ... ผมพยายามลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับไอ้นัยออกไปเพราะมันมีแต่ความเจ็บปวดและความรู้สึกผิด แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ผมไม่ได้อยากลืมไอ้นัยไปจริงๆ เพียงแต่ผมอยากลืมอดีต... อดีตที่เจ็บปวดและเต็มไปด้วยความผิดพลาด... จนในที่สุด ผมก็สามารถก้าวข้ามผ่านชีวิตอันเลวร้ายช่วงนั้นมาได้ ผมเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการติเตียนจากมโนธรรมของตนเองโดยการก้าวไปข้างหน้าและพยายามไม่มองย้อนกลับไปข้างหลัง

หลายครั้งที่ผมพยายามมองย้อนกลับไปข้างหลังอย่างอดไม่ได้ ผมเกือบย้อนกลับไปหาอดีตอีก แต่ในที่สุดชีวิตของผมก็มีเป้าหมายใหม่ขึ้นมา... แสงไฟที่ทำให้ผมมองเห็นทางข้างหน้าและก้าวเดินไปได้อย่างมั่นคงขึ้น... นั่นคือบอย

การไม่หวนกลับไปมองข้างหลังก็เหมือนกับว่าผมลืมนัยไปโดยปริยาย ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมทำนี้ถูกหรือผิด แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมไม่จมอยู่กับอดีตอันปวดร้าวและมีชีวิตเติบโตต่อไปได้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าผมควรเรียกพัฒนาการของผมนี้ว่าอย่างไรดี... เรียกว่าไม่จมอยู่กับอดีต หรือเรียกว่าความอำมหิต... แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม ชีวิตของผมในตอนนี้เหมือนกลับมาติดบ่วงอีกครั้งหนึ่ง... บอยผู้ซึ่งเคยเป็นเสมือนแสงไฟที่ส่องนำให้ผมก้าวเดินไปข้างหน้า ตอนนี้กลับกลายสภาพมาเป็นบ่วงที่คล้องผมเอาไว้ มันเป็นบ่วงเดียวกับที่เคยคล้องผมเอาไว้จนแทบเอาตัวไม่รอดมาแล้ว... นั่นคือบ่วงของความรัก

เมื่อคิดถึงนัย ผมเคยทำผิดกับไอ้นัยเอาไว้มาก... เมื่อคิดถึงบอย ก็อดรู้สึกผิดต่อบอยไม่ได้ ไม่รู้ว่าการที่เราสนิทกันทำให้บอยถูกล้อเลียนมามากเท่าไรแล้ว ความคิดของผมกระเจิดกระเจิงมาจนถึงพฤติการณ์งี่เง่าครั้งล่าสุดของผม เรื่องดอกแคของผมอาจทำให้บอยถูกล้อเลียนอย่างหนักก็ได้ ผมไม่น่าทำเลย...

เมื่อคิดถึงตนเอง... มีความวิปริตปกติทางเพศ มีความรักที่ต้องซ่อนอยู่ในเงามืด เมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้า ผมจะต้องมีชีวิตกับรักที่ต้องซ่อนเร้นและไม่สมหวังไปเช่นนี้ไปจนตลอดชีวิตเลยหรือ...

- - -

วันนี้เป็นวันที่แม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดก้อนเนื้องอกแล้ว แม่ตื่นตั้งแต่เช้าแต่ไม่ได้กินอะไรเพราะว่าถูกสั่งงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัด อาหารคนไข้ที่ทางโรงพยาบาลจัดมาจึงตกเป็นของผมไปโดยปริยาย

“เป็นไง อร่อยไหม” แม่ถามขณะที่ผมกำลังง่วนกับอาหารของแม่อยู่ แม่ดูซึมๆไป เห็นได้ชัดว่ากำลังกังวล

อาหารมื้อนั้นไม่ค่อยคล้ายมื้ออาหารปกติเท่าใดนัก อาหารทุกอย่างถูกบรรจุมาในภาชนะสแตนเลส มีข้าวต้มชามเล็กๆ กับข้าวอีกสองอย่าง แล้วก็ขนมนิด ผลไม้หน่อย ทั้งรสชาติและบรรยากาศในการกินไม่ได้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

“ดีกว่าเอาปากกระแทกพื้นหน่อย” ผมทำหน้าเบ้

แม่หัวเราะกิ๊ก “เอาภาษาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ ไม่น่าฟังเลย”

“ภาษาวัยรุ่นน่ะแม่” ผมตอบ รู้สึกดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่ “ไม่ไหว ทั้งน้อย ทั้งจืดชืด ไม่น่ากินเลย”

“ก็เค้าทำไว้ให้คนไข้กิน ก็ต้องจืดๆเอาไว้ก่อนน่ะสิ” แม่พยายามเข้าข้างโรงพยาบาล

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อก็มาถึง ดูพ่อท่าทางอิดโรย ช่วงนี้คงพักผ่อนน้อย และหลังจากที่พ่อมา เอ๊ดก็ตามมาติดๆ เอ๊ดมารถทัวร์ ลงรถที่สถานีขนส่งหมอชิตแล้วก็นั่งรถเมล์มาที่โรงพยาบาล

เมื่อครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แม่ดูมีกำลังใจขึ้นมาก สังเกตได้จากจากสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้น พ่อและเอ๊ดพยายามคุยเรื่องสนุกๆให้แม่ยิ้มแต่ผมว่าเรื่องของพ่อไม่สนุกเท่าไร ฟังอย่างไรก็ยังอดเครียดไปกับน้ำเสียงของพ่อไม่ได้ คงเป็นเพราะว่าพ่อเหนื่อยและเครียดนั่นเอง แต่ก็ถือได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ครอบครัวของเรารวมตัวและคุยกันอย่างอบอุ่นที่สุดวันหนึ่งเท่าที่ผมเคยประสบมา แม้แต่บรรยากาศตอนกินข้าวพร้อมหน้ากันที่บ้านก็ยังไม่รู้สึกอบอุ่นและเป็นกำลังใจให้กันมากเท่านี้

จู่ๆผมก็คิดถึงไอ้นัยขึ้นมา อดคิดถึงคำพูดของไอ้นัยที่เขียนเอาไว้ในจดหมายไม่ได้ มันอิจฉาผมที่ผมมีครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งมันไม่มี... ไม่เอานะ ไม่คิด ไม่คิด ผมพยายามเตือนสติตนเอง

ตกบ่าย พยาบาลก็เข้ามาหาพร้อมบุรุษพยาบาลและรถเข็น ใกล้ถึงเวลาผ่าตัดแล้ว แม่กำลังจะถูกพาไปเข้าห้องผ่าตัด

“เดี๋ยวคุณแม่นั่งรถเข็นนะคะ” พยาบาลสาวพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน

“เดินเองก็ได้จ้ะ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” แม่ไม่อยากนั่งรถเข็น

“นั่งเสียหน่อยดีกว่าค่ะ คุณแม่ไม่ได้รับประทานอะไรมาตั้งแต่เช้า อาจจะเพลียบ้าง” พยาบาลสาวพยายามอธิบาย แม่จึงยอมนั่งรถเข็นแต่โดยดี

“แม่ไปละนะ เอ๊ด อู” แม่พูด ผมฟังน้ำเสียงของแม่แล้วอดใจหายไม่ได้ ผมไม่อยากได้ยินแม่พูดประโยคนี้เลย

“ญาติจะไปทำธุระที่อื่นก่อนก็ได้นะคะ กว่าจะผ่าตัดเสร็จ กว่าคนไข้จะฟื้นจากยาสลบ รวมแล้วก็อีกหลายชั่วโมง กลับมาค่ำๆก็ได้ค่ะ” พยาบาลสาวพูดกับพวกเรา

หลังจากที่แม่ออกจาห้องไปแล้ว พ่อก็กลับ พ่อบอกว่าช่วงนี้เหนื่อยจึงไม่ค่อยอยากขับรถในเวลากลางคืนเพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งกำชับเอาไว้ว่าให้โทรไปบอกทันทีเมื่อแม่ออกมาจากห้องผ่าตัด ส่วนผมก็กลับไปเพื่อซักผ้าและเตรียมเสื้อผ้ามาเพิ่มเติมเนื่องจากคืนนี้ต้องนอนที่โรงพยาบาลอีก

กว่าที่ผมจะกลับมาที่โรงพยาบาลอีกทีก็เป็นเวลาสองทุ่ม แม่ออกจากห้องผ่าตัดและกลับมาที่ห้องแล้วแต่ยังหลับอยู่ ที่คอของแม่มีผ้าปิดแผลแผ่นโตปิดอยู่ เอ๊ดเองก็นอนหลับอยู่บนโซฟาเนื่องจากอ่อนเพลียมาจากการเดินทาง พยาบาลบอกว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี คืนนั้นทั้งผมและเอ๊ดพักที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ทั้งสองคน แต่ก็ไม่ได้ช่วยดูแลอะไรเลยเนื่องจากแม่หลับเกือบตลอดทั้งคืนอีกทั้งมีพยาบาลมาคอยดูแลตลอดจนผมและเอ๊ดไม่ต้องทำอะไร

- - -

วันถัดมาหลังจากที่แม่ผ่าตัดเป็นวันอาทิตย์ ผมตื่นขึ้นมาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเรียน กศน. แต่เช้า วันนี้เป็นวันที่ผมจะไปดูผลสอบด้วยจึงอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ พร้อมทั้งอดคิดแปลกๆไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากให้สอบผ่านเพราะพยายามมาตั้งมากแล้ว อีกใจหนึ่งก็คิดเผื่อเอาไว้ว่าอาจไม่ผ่านบางวิชาเนื่องจากตอนก่อนสอบมีเรื่องบอยเข้ามารบกวนจิตใจทำให้ผมหมดกำลังใจดูหนังสือไปมาก พร้อมทั้งคิดปลอบใจตนเองว่าไม่ผ่านก็ดี จะได้เรียน ม.๖ ที่เดิมต่อไป

ผลสอบปรากฏว่าผมสอบผ่านหมดทั้ง ๔ วิชา นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะสอบผ่านทั้งหมดเพราะตอนทำข้อสอบก็ไม่มั่นใจเท่าไรนัก ที่จริงถึงสอบไม่ผ่านบ้างก็ไม่ถึงกับสอบเอนทรานซ์ไม่ได้เพราะว่ายังสามารถลงทะเบียนเรียนได้อีกในภาคปลายนี้ หากสอบผ่านก็ยังจบได้อยู่ดี แต่ในเมื่อสอบผ่านแล้วในเทอมนี้ผมก็เรียนอีกเพียงสี่วิชาที่เหลือเท่านั้น

น่าแปลกที่ผมไม่ค่อยดีใจกับการสอบผ่านในครั้งนี้เท่าใดนัก ผมไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่าไรแล้ว

“ผลสอบเป็นไงบ้างอู” แม่ถามขึ้นมาเป็นประโยคแรกเมื่อผมเดินเข้าไปให้ห้องพักของแม่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นแม่อยู่คนเดียว กำลังนอนดูทีวีอยู่บนเตียง ผ้าปิดแผลสีขาวชิ้นใหญ่ที่ลำคอของแม่ดูแต่ไกลเหมือนแม่ติดโบว์หูกระต่ายอยู่

“ผ่านทั้งสี่วิชาเลยแม่” ผมตอบเรื่อยๆ

“เก่งจัง” แม่ชม ปกติพ่อกับแม่ไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียนของผมนัก จะเรียนอะไรก็เรียนไป ผลการเรียนจะเป็นเท่าไรก็ไม่ว่า เพียงแค่อย่าสอบตกก็พอแล้ว แต่วันนี้แม่กลับสนใจผลการสอบ กศน. ของผม

“ทำไมแม่อยู่คนเดียวล่ะ แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“ป๊ากับเอ๊ดก็อยู่แถวนี้แหละ เห็นเดินไปเดินมาเข้าๆออกๆ” แม่ตอบ “แม่ก็ปวดแผลน่ะสิ แต่หมอบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยดี”

“ดูแม่สดชื่นขึ้นนะ” ผมทัก แม้ว่าแม่เพิ่งจะฟื้นจากการผ่าตัด สีหน้ายังดูอ่อนเพลีย แต่อะไรบางอย่างในตัวแม่ที่บอกผมว่าแม่อารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อวานตอนก่อนผ่าตัดเสียอีก

“พอผ่าตัดไปแล้วก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด” แม่พูด “ไอ้เจ็บแผลนี่ก็เจ็บอยู่หรอก แต่ตอนที่แม่คลอดอูออกมายังเจ็บกว่านี้อีก”

“อีกไม่นานแผลก็หายแล้วแม่ เจ็บไม่นานหรอก” ผมให้กำลังใจ

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อกับเอ๊ดก็เข้ามาในห้อง ดูท่าทางพ่ออ่อนล้ามาก แม่จึงบอกให้พ่อรีบกลับ พ่อนั่งอยู่กับเราอีกสักครู่ก็กลับไป เมื่อพ่อกลับไปแล้วผมจึงบอกเรื่องผลสอบ กศน. ให้เอ๊ดรู้

“อู นายแน่มาก” เอ๊ดชมผม นานๆทีพี่ชายคนนี้จะออกปากชมน้องชาย แม้เอ๊ดจะรักและคอยช่วยเหลือผมในยามคับขันเสมอ แต่นั่นมักเป็นการแสดงออกในยามเดือดร้อน ส่วนยามปกตินั้นเอ๊ดแทบไม่เคยชมหรือให้กำลังใจผมเลย

เอ๊ดกลับไปในตอนเย็นเพื่อให้ทันรถทัวร์รอบค่ำที่ขนส่งหมอชิต ดังนั้นเมื่อตกค่ำภายในห้องจึงเหลือเพียงผมกับแม่ พ่อกับแม่เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรให้เอิกเกริก ดังนั้นการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้จึงไม่ได้บอกใครเลย ไม่ว่าญาติหรือเพื่อนๆ ทั้งนี้ เพราะว่าพ่อกับแม่เกรงใจไม่อยากให้ใครลำบากต้องมาเยี่ยมนั่นเอง

คืนนั้นแม่หลับเร็วเนื่องจากยังอ่อนเพลียจากการผ่าตัดประกอบกับได้รับยานอนหลับด้วย ดังนั้นในยามดึกจึงเหลือแต่ผมที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างในความมืด สายตาทอดออกไปยังขอบฟ้า ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอยู่แต่เพียงผู้เดียว

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ผิดแปลกจากวันเรียนวันอื่นๆ ผมตื่นนอนและออกไปโรงเรียนจากโรงพยาบาล ส่วนแม่นั้นช่วงเช้าให้อยู่คนเดียวไปก่อน กลางวันแม่สามารถอยู่คนเดียวในห้องได้เนื่องจากแม่เดินเหินได้ตามปกติ อีกทั้งมีพยาบาลเดินเข้าออกห้องเป็นระยะ มีอะไรก็ยังสามารถกดปุ่มเรียกได้ สายๆพ่อก็มาแล้ว

อากาศในเดือนพฤศจิกายนเริ่มเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส ผมลงรถที่ใต้สะพานพุทธ จากนั้นเดินทอดน่องตามสบาย สองสามวันมานี้นอนอยู่ในโรงพยาบาลแม้ว่าอากาศจะเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ แต่ผมก็ยังอดรู้สึกอุดอู้ไม่ได้ การได้กลับมาที่โรงเรียนอีกทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

ผมอดคิดไม่ได้ว่าบอยจะเป็นยังไงบ้าง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดเรื่องดอกแค พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่าไม่กล้าสู้หน้าบอย แต่ขณะเดียวกันก็คิดดึงมัน อยากเห็นหน้ามัน ขอแค่ได้เห็นหน้ามันบ้างผมก็พอใจแล้ว

ทั้งอยากเห็นหน้า ทั้งไม่กล้าสู้หน้า ถ้าอย่างนั้นก็แอบดูเอาก็แล้วกัน...

ผมไม่ได้ขึ้นไปเก็บเป้ที่ห้องเรียน แต่ไปนั่งเล่นที่อัฒจรรย์เชียร์กีฬาที่ตั้งอยู่หน้าตึก ม.๔ ที่บอยเรียนอยู่ เลือกเอามุมสงบที่ไม่เป็นจุดสังเกตนักแต่ยังสามารถมองเห็นบันไดตึกได้ และนั่งแอบดูบอยอยู่ตรงนั้น

รออยู่นานก็ยังไม่เห็นบอย ที่จริงจุดแอบมองนี้อยู่ค่อนข้างไกล ดังนั้นหากไม่ตั้งใจเฝ้าจริงๆก็อาจหลุดรอดสายตาไปได้ และถึงแม้จะตั้งใจเฝ้าก็เห็นอะไรได้ไม่ถนัด แค่จำแนกได้ว่าใครเป็นใครเท่านั้นเอง แม้มันจะดูไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังอดรู้สึกดีที่ได้มาเฝ้ามองบอยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งช่วงเช้าผมไม่เห็นบอยเลย ผมจึงคิดว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผล เมื่อใกล้เวลาเคารพธงชาติแล้วผมจึงกลับขึ้นห้องเรียนไป

- - -

“ผ่านแล้วๆๆ ผ่านแล้วๆๆ สี่วิชาแล้วโว้ย ฮ่าๆๆ” เสียงไอ้เฉาตะโกนเอะอะดังลอดออกมานอกห้อง เมื่อเข้าไปในห้องก็พบเพื่อนๆกำลังคุยกันถึงผลสอบ กศน. อย่างครึกครื้น บางคนก็ผ่านทั้งสี่วิชา บางคนก็ผ่านสามวิชา เสียงเชาวน์ดูจะดังกว่าเพื่อน

“เฮ้ย เดี๋ยวเสาร์หน้าไปสมัครสอบพรีเอนทรานซ์กันโว้ย ใครจะไปมั่งวะ” เชาวน์ถามเพื่อนๆในกลุ่มติวอย่างคึกคะนอง เพื่อนๆขานรับกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

หลังจากการเรียนในภาคเช้า พอถึงพักเที่ยง เมื่อออดพักเที่ยงของ ม.ปลายดังขึ้นผมก็รีบออกจากห้องเรียนมุ่งไปยังโรงอาหารทันที ชั้น ม.ต้นกับชั้น ม.ปลาย เหลื่อมเวลาพักเที่ยงกันครึ่งชั่วโมง ม.ต้นพักก่อน ม.ปลายพักทีหลัง ทั้งนี้เพราะว่าโรงอาหารรองรับนักเรียนได้จำกัด

เมื่อไปถึงโรงอาหาร ผมพยายามสอดส่ายสายตามองหาบอย บางทีบอยอาจจะมากินแล้วนั่งแช่คุยกับเพื่อนก็ได้ อยากเห็นบอยให้ชื่นใจสักหน่อย... แม้แต่เพียงแอบมองก็ยังดี แต่มองหาจนทั่วก็ไม่พบบอย ที่จริงแม้บอยยังนั่งอยู่ผมก็อาจมองหาไม่พบก็ได้เนื่องจากโรงอาหารพลุกพล่านมาก แม้โอกาสจะน้อยแต่ผมก็ยังอดมีความหวังไม่ได้...


<ผมลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและเงียบกริบ เดินไปที่หน้าต่าง ชั้นที่แม่พักอยู่นี้สูงพอสมควร สามารถมองเห็นดวงไฟเป็นจุดๆทอดไกลไปจนสุดสายตา โลกยามค่ำคืนเมื่อดูจากที่นี่ไพศาลและอ้างว้างยิ่งกว่าโลกที่ผมเห็นที่ดาดฟ้าของหอพักมากมายนัก หรือว่าคนเราเมื่อเติบใหญ่ขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ชีวิตก็ต้องอ้างว้างมากยิ่งขึ้น>

14 comments:

Anonymous said...

ที่1มาแล้ววววว....เย้!

คนลาดพร้าว

Fryderyk C. said...

ที่สองคร๊่าบ


ไว้มา Comment ใหม่ครับ ขอตัวไปนอนก่อน พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วครับ



เฮ้อๆๆๆ

Anonymous said...

เล่าถึงนัยที่รัยก็อดใจหายไม่ได้

ผมเองก็ใจหายเหมือนกันครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

ช่วงนี้ ดู ดช อู เศร้ามาก ถึงมากที่สุด

Anonymous said...

อ่านแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยหน่ายต่อการใช้ชีวิตทางโลกมาก จนแทบอยากจะไปบวชเลยครับ มองไปทางไหนก็มีแต่ความทุกข์ สู้ๆนะครับ
Federick
ป.ล.แฝดเปิดเทอมแล้วก็ขอให้ตั้งใจเรียน โชคดีในทุกเรื่องนะครับ คิดถึงนะครับ

Anonymous said...

ขอเป็นหนึ่งในสิบ

กัน

Anonymous said...

..7

แบงค์ครับ

พี said...

อู... กลับมาเศร้า หงอยเหงาอีกแล้ว.......

แต่ครั้งนี้ คงดีกว่าครั้งก่อนหน่อย

เพราะยังมีโอกาสแก้ตัว...

ครั้งก่อน ไม่มีโอกาสแล้ว


เฮ้อ...


++ P ++

tangkwa said...

ที่ 9 ค่ะ

ให้กำลังใจพี่อูค่ะ

Anonymous said...

ติด 1 ใน 10 เหอะๆ

มาให้กำลังใจพี่อูค๊าบ ตอนนี้รู้สึกว่าอ่านแล้วเรื่อยๆ
เหมือนจะสิ้นหวังอีกแล้วอ่ะ แต่อย่างว่า เรื่องของพี่มันคือความไม่แน่นอนสักที ว่าแต่ อยู่ๆ คิดถึงเรื่องพี่นัยขึ้นมานี่ ก็ดีเหมือนกันน่ะ บางทีอดีต ก็ทำให้เรารู้สึกดีๆได้ ลองมองในมุมกลับกันสิค๊าบ อย่ามองแต่ในมุมที่เจ็บปวด

^^sky^^

Anonymous said...

ว้า..ไม่ติด 1 ใน 10 (เหมือนเป็นลางเลย)

กำลังรอผลสอบอยู่ครับ เลยตื่นเต้นกับการสอบของทุกคนในห้องไปด้วย

เป็นกำลังใจให้พี่อูดูแลคุณแม่ดีๆ นะครับ แล้วก็อยากให้วิกฤติช่วงนี้ผ่านไปเร็วๆ จัง (อ่านแล้วหดหู่)

เอก

Anonymous said...

)^_^(1โหล เมื่อเย็นเข้ามาอ่านไปแล้ว หลังจากกินข้าว กับแกงจืดเต้าหู้สาหร่าย ห่อหมก ไข่ต้ม อาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็แว่บมาหาลุงอูเลยงิ ตอนนี้สงสารเพื่อนคนนั้นคนที่เผาห้องสมุดนัน ผมไม่รู้จักร้อกครับมันคงเก็บกดมากเลยนะครับ แต่ตอนเรียนที่สวนกับที่นี่ก็รู้สึกว่ามันเครียดๆยุเหมือนกันน่า

Choo said...

อูคงไม่ลืมนัยหรอกแม่ หากลืมคงไม่มานั่งเขียนนิยายเรื่องนี้ถึงภาค 3 เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้หรอกครับ แล้วอาจมีถึงภาค 9 โน้น แข่งกับหนังเรื่องบุญชูได้เลย 555

อ่านตอนนี้แล้ว ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ นะ แต่ไม่กล้าทักครับ ส่วนแม่น่าจะหายดีจะการผ่าตัดครั้งนี้

เอาใจช่วยครับอู

ชู

Anonymous said...

กลับมารักอาอูแล้วครับ
ชอบรูปมากๆ

หลาน Arus ของอาอู