Wednesday, June 2, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 66

อูต้องรับผิดชอบดูแลแม่เป็นหลักนะ เสียงของพ่อยังก้องอยู่ในโสตประสาทหลังจากที่ผมวางสายไปแล้ว การเป็นลูกคนเล็กทำให้ผมไม่เคยต้องรับผิดชอบเรื่องที่มีความสำคัญในครอบครัวมาก่อนเลย แต่ในครั้งนี้จู่ๆพ่อก็มอบหมายหน้าที่อันสำคัญให้ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับอาการของแม่ ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและตึงเครียดไม่น้อย

เมื่อกลับถึงห้อง ผมพยายามรวบรวมสมาธิเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ ช่วงหลังนี้ธรรมดาแม้จะพยายามอ่านก็อ่านไม่ค่อยเข้าหัวอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องของแม่เข้ามาอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่ ท่ามกลางแสงไฟจากโคมไฟอ่านหนังสือ สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือแต่ความคิดของผมกลับเตลิดเปิดเปิง คิดถึงแม่บ้าง คิดถึงบอยบ้าง วุ่นวายไปหมด

- - -

เช้าวันจันทร์

“เฮ้ย ไอ้อู ไปไหนวะ” ผมสะดุ้งได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมขณะที่ผมกำลังเดินลงจากตึกที่เคยเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.๓ และ ม.๔ เมื่อหันไปมองก็เห็นไอ้กี้ เพื่อนรักเพื่อนแค้น ไอ้กี้เพิ่งเดินเข้าโรงเรียนมาและผ่านมาพบผมเข้าพอดี

“เอ้อ เปล่า” ผมตอบ ซวยจริงๆดันมาเจอไอ้กี้แถวนี้เสียได้ อุตส่าห์รีบมาแต่เช้าแล้วเชียว

“เปล่า?” กี้ทวนคำแล้วหัวเราะจนตาเหลือเส้นเดียว “แล้วมึงขึ้นตึก ม.๔ แต่เช้าไปทำห่าอะไร เรียนก็ไม่ได้เรียนที่ตึกนี้ ขึ้นไปขโมยของเหรอ”

“โห ไอ้เวร” ผมอดเคืองไม่ได้ “มึงจะมองกูในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือไงวะ ตึกนี้กูเคยเรียนมาก่อน ทำไมกูจะมาไม่ได้”

“มาน่ะมาได้ แต่กูสงสัย” ไอ้กี้หัวเราะแล้วพูดเสียงดังตามแบบฉบับของมัน “เห็นมึงเดินลับๆล่อๆแถวนี้ ตึกนี้มันมีแต่รุ่นน้อง มึงมาหาใครเหรอ”

“กูเนี่ยนะ ลับๆล่อๆ” ผมยังปากแข็ง “กูมาหา... มาหา... เอ้อ แล้วทำไมกูต้องบอกมึงด้วยวะ”

ในยามกะทันหันนึกหาข้อแก้ตัวดีๆไม่ออก ต้องใช้วิธีเฉไฉไปก่อน หลังจากนั้นผมก็รีบเดินปลีกตัวจากไอ้กี้ไป

- - -

วันพฤหัสบดี

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมไปถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ ช่วงนี้ผมมักรู้สึกเหงาบ่อยๆ บางทีดึกๆยามที่โลกอยู่ในความเงียบสงบ ผู้คนพากันหลับใหลอย่างเป็นสุข แต่ผมกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาจับหัวใจ

วันเสาร์นี้แม่จะต้องผ่าตัดแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาที่บ้านค่อนข้างวุ่นวาย แม่ต้องเข้ากรุงเทพฯมาตรวจเลือดและตรวจร่างกายอื่นๆก่อนการผ่าตัด เมื่อผลการตรวจร่างกายผ่านไปเรียบร้อยแม่ก็จะต้องเข้ากรุงเทพฯมานอนที่โรงพยาบาลก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน คือมารอตั้งแต่วันศุกร์ แม่ค่อนข้างกลัวกับการผ่าตัดในครั้งนี้เพราะปกติแม่เป็นคนกลัวหมอ กลัวโรงพยาบาลอยู่แล้ว ความไม่สบายใจของแม่พลอยทำให้คนในบ้านรวมทั้งผมพลอยกังวลและไม่สบายใจไปด้วย

ความเหงาและความไม่สบายใจทำให้ผมไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง ดังนั้นบางวันที่ผมเหงาผมจะคิดถึงบอย คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาขณะที่ยังมีบอยอยู่เคียงข้าง ยิ่งคิดถึงบอยก็ยิ่งเหงา

วันนี้ผมไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ หลังจากที่ไปถึงโรงเรียนและทำธุระเสร็จผมก็มานั่งทำรายงานที่ยังค้างอยู่ที่ห้องเรียน เมื่อเพื่อนๆทยอยกันมาก็คุยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไปจับกลุ่มนั่งคุยกับพวกหมู สิทธิ์ และกรณ์เรื่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง จากนั้นเปลี่ยนไปคุยกับพวกนน กี้ เชาวน์ ฯลฯ ซึ่งอยู่โต๊ะใกล้ๆกัน หัวข้อที่คุยก็เป็นเรื่องกวดวิชา สอบเอนทรานซ์ รวมทั้งเรื่องบ้าบอหลุดโลก การที่ผมมาโรงเรียนแต่เช้าทำให้ผมมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนๆมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้คลายเหงาไปได้บ้างเหมือนกัน

“เฮ้ย ไอ้นน ทำไมผัวมึงยังไม่มาเสียทีวะ กูรอรายงานส่วนของแม่งอยู่” ไอ้เฉาตะโกนข้ามโต๊ะพูดกับนนด้วยเสียงอันดัง

“ผัวมันคนไหนวะ” ไอ้กี้หัวเราะ

ไอ้เฉาทำท่าบุ้ยใบ้ไปยังที่นั่งของไอ้แมนซึ่งตอนนี้ยังเป็นเก้าอี้ว่างเปล่าอยู่เนื่องจากแมนยังไม่มา

“อ้าว” ไอ้กี้อุทาน “ไอ้เหี้ยนี่เป็นผัวเหรอ กูนึกว่ามันเป็นเมียเสียอีก”

“ตกลงใครเป็นผัวใครเป็นเมียกันแน่วะไอ้นน” ไอ้เฉาหันมาตะโกนถามนนอีก

“แหม เรื่องในมุ้งใครเค้าเอามาเปิดเผยกันนอกมุ้งล่ะ” นนทำเสียงจีบปากจีบคอ

“สงสัยไอ้สองตัวนี่มันจะเป็นไส้เดือน เป็นได้ทั้งผัวและเมียในตัวเดียวกัน” ไอ้ทิด คู่หูไอ้เฉา ช่วยต่อปากต่อคำ เพื่อนๆฮากันสนุก ส่วนนนก็พลอยหัวเราะสนุกไปด้วย ส่วนผมหัวเราะไม่ออก ผมเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเชาวน์และพวกประกอบกับเสียงหัวเราะของเพื่อนๆผมอดรู้สึกเจ็บปวดแทนนนไม่ได้ ใครจะรู้ว่าข้างหลังใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของนนนั้นมันจะรู้สึกอย่างไร

“เฮ้ย พวกมึงระวังตูดเอาไว้นะโว้ย ในห้องนี้อาจมีไส้เดือนอีกตัวนึง” ไอ้กี้เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา เชาวน์และเพื่อนๆหูผึ่ง

“หา ใครวะ” เพื่อนๆรุมถาม

ไอ้กี้บุ้ยปากมาทางผม ผมใจหายวาบ ไม่นึกเลยว่ามันจะเล่นงานผมเข้าให้

“หา ไอ้อูเนี่ยนะ” เพื่อนๆอุทานกันเซ็งแซ่

“เออ มันเลี้ยงต้อยเด็กรุ่นน้องอยู่ วันก่อนกูเห็นมันไปที่ตึก ม.๔ ท่าทางลับๆล่อๆ” ไอ้กี้พูดพลางหัวเราะขำ แล้วหันมาพูดกับผม “ทำไมมึงไม่สนใจไอ้นนมันบ้างวะ นั่งติดกับมึงแท้ๆ ไปหาต้อยไกลๆทำไม”

เพื่อนๆหัวเราะกันสนุก ต่างพลอยผสมโรงแซวผมคนละนิดคนละหน่อย ผมรู้สึกว่าใบหน้าชาไปหมด พยายามฝืนยิ้มทำเนียนให้เป็นเรื่องตลกแต่ในใจรู้สึกขมขื่น ความขมขื่นที่เกิดขึ้นคงไม่ต่างจากที่นนประสบเท่าใดนัก

“เฮ้ย ไอ้อูเงียบไปเลยโว้ย” เชาวน์ทัก

“พอแล้วๆ ไอ้อูมันยัวะแล้วโว้ย” ไอ้นนปรามเพื่อนๆ “ไอ้ห่ากี้เสือกไปแกล้งมัน”

ผมนั่งนิ่งเฉย มือจับปากกาจนแน่นและสั่นระริกเล็กน้อย ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตอนนั้นโกรธมากมายขนาดไหน เพียงแค่รู้สึกหน้าชา มือเย็น เท้าเย็นเท่านั้น ผมพยายามควบคุมมือไม่ให้สั่น แต่คงมีอะไรที่ทำให้นนจับสังเกตออก

“ไอ้อู กูแซวมึงเล่น” ไอ้กี้พูดเสียงอ่อย มันคงไม่ได้ตั้งใจจะแฉผม เพียงพูดคะนองปากเกินไปเท่านั้น เมื่อรู้ว่าผมโกรธก็รีบขอโทษ “ขอโทษโว้ยเพื่อน ล้อเล่นนิดๆหน่อยๆมึงไม่น่าโกรธเลย”

“นิดหน่อย” นนทวนคำ “เนี่ยนะ นิดหน่อยของมึง”

เสียงออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังกังวาน หลังจากนั้นวงสนทนาก็สลายตัวไป ผมรู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนๆ อยากจะหนีไปให้ไกลๆ แต่ผมรู้ดีว่าผมทำเช่นนั้นไม่ได้... ผมต้องฝืนใจทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น อยากส่องกระจกดูใบหน้าของตนเองเหมือนกันว่าตอนที่ฝืนยิ้มนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร

นนเดินมาตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบใจขณะที่พวกเราเดินอยู่ที่หน้าห้องเรียน จากนั้นนนก็เดินนำหน้าไปเพื่อลงไปเข้าแถวที่สนามหน้าตึกโดยไม่ได้พูดอะไร

- - -

ตอนหัวค่ำ

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังออกมาจากอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่

“คร้าบ” ผมตอบพลางรีบวิ่งลงบันไดไปรับสาย วันผ่าตัดของแม่เกือบจะถึงอยู่แล้ว พ่อหรือแม่คงโทรมาเพื่อสั่งงานผม

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่อู บอยเอง” ผู้ที่โทรมากลับกลายเป็นคนที่ผมคิดถึงและรอโทรศัพท์อยู่ทุกวัน ตอนที่ผมหวังให้บอยโทรมาและรอโทรศัพท์อยู่ทุกคืน บอยก็ไม่โทรมา พอผมเลิกหวังบอยกลับโทรมา ชีวิตมักเล่นตลกกับผมเช่นนี้เสมอ

“ดีใจจังที่นายโทรมา” ผมพยายามพูดให้เบาที่สุดเพราะที่ชั้นล่างของหอพักไม่ค่อยเป็นส่วนตัวนัก เกรงว่าจะมีคนได้ยิน “เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”

“พี่อู ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกเลยฮะ” บอยเริ่มการสนทนา

ผมรู้สึกจ๋อย พูดอะไรไม่ออก อึ้งไปชั่วขณะ

“ก็... พี่อยากให้นายรู้ว่าพี่ยังเป็นห่วงนายอยู่น่ะ” ผมพูดอ้อมแอ้ม

“แต่ที่พี่อูทำน่ะมีคนเห็นนะฮะ” บอยพูดต่อ “เพื่อนบอยมันเห็นว่าพี่อูเข้าไปในห้องเรียนแล้วเอาของไปใส่ไว้ในโต๊ะบอย”

“พี่ก็พยายามระวังไม่ให้ใครเห็น เพิ่งไปที่ห้องนายสองครั้งเอง ไม่ได้ไปทุกวันสักหน่อย” ผมอธิบายอย่างตะกุกตะกักแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก อยากจะหาเหตุผลแก้ตัวที่มันดีกว่านี้แต่ก็นึกไม่ออก “อีกอย่าง ถึงใครเห็นก็คงไม่มีใครรู้ความหมายหรอก... ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร”

“พี่อูอย่าทำแบบนี้อีกเลย” บอยพูด ผมฟังน้ำเสียงของบอยไม่ออกว่าเจือความรู้สึกอะไรอยู่บ้าง แต่สำหรับผมนั้น... ผมฟังแล้วรู้สึกหนาวที่หัวใจ “บอยรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

“พี่อยากเจอหน้านายบ้าง... เรา เอ้อ ถ้านานๆจะเจอหรือไปเที่ยวกันบ้างจะได้ไหม ไม่ต้องบ่อยหรอก ขอแค่นานๆครั้งก็พอ” ผมเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับระบายความรู้สึกในใจออกไป “นายให้พี่เป็นพี่ชายของนาย แล้วพี่ชายเจอน้องชายบ้างจะได้ไหม”

“พี่อูอย่าทำอย่างนี้อีกเลยนะ บอยต้องวางสายแล้วละ หวัดดีนะฮะพี่อู...” บอยรีบพูด จากนั้นสักครู่ก็เป็นเสียงสัญญาณสายว่าง

ผมวางหูโทรศัพท์ด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย ความรู้สึกเหงาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทำให้ผมอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงความรู้สึกของผมให้บอยได้รับรู้บ้าง ผมจึงตัดสินใจทำเรื่องที่งี่เง่ามากเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ผมแอบเอาดอกแคไปใส่ไว้ที่โต๊ะของบอยในตอนเช้าตรู่ วันแรกที่ผมไปที่ห้องเรียนของบอยคือวันที่ผมผมโชคร้ายไปพบไอ้กี้เข้านั่นเอง ส่วนวันนี้ผมก็ไปมาอีก และเมื่อกลับมาที่ห้องก็มีเรื่องกับไอ้กี้เสียอีก

ผมยืนลังเล ใจหนึ่งอยากโทรศัพท์ไปหาบอยอีกเพื่อคุยปรับความเข้าใจกันต่อ เมื่อถูกบอยตำหนิทำให้ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไป ไม่รู้ว่ามันจะถูกเพื่อนๆล้อเลียนอีกหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าโทรเนื่องจากไม่อยากทำให้บอยรู้สึกรำคาญใจ

“น้องๆ จะใช้โทรศัพท์ต่อหรือเปล่าครับ” ได้ยินเสียงคนเรียกทำให้ผมตื่นจากภวังค์ “พี่รอใช้ต่ออยู่”

ผมเดินออกมาจากเครื่องโทรศัพท์เพื่อเปิดทางให้พี่คนหนึ่งที่มายืนรอต่อคิวใช้โทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จากนั้นก็เดินขึ้นห้องไปโดยไม่ได้โทรไปหาบอยอีก...

- - -

วันศุกร์

วันนี้เป็นวันที่แม่จะเข้ามากรุงเทพฯและพักที่โรงพยาบาล พ่อพาแม่มาส่งที่โรงพยาบาลในตอนบ่าย หลังจากที่ผมเลิกเรียน ผมก็รีบกลับไปที่หอพัก จัดเสื้อผ้าและของใช้ใส่กระเป๋า จากนั้นก็ไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปนอนเป็นเพื่อนแม่

ผมไปถึงโรงพยาบาลในช่วงค่ำ หลังจากสอบถามตึกและห้องที่แม่พักจากประชาสัมพันธ์ด้านล่างแล้วผมก็ขึ้นไปหาแม่ที่หอผู้ป่วยในซึ่งอยู่ชั้นบนของตึก ใช้เวลาไม่นานก็หาห้องของแม่พบ ที่หน้าห้องมีป้ายบอกชื่อแม่พร้อมกับชื่อหมอเจ้าของไข้ติดเอาไว้ ผมเคาะประตูและเปิดเข้าไป ภาพแรกที่ผมเห็นคือแม่ซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งตัวชุดคนไข้กำลังนอนดูทีวีอยู่บนเตียง

“แม่” ผมเรียก “ป๊าไปไหนแล้วล่ะ”

“อู” แม่ทัก “ป๊ากลับไปแล้ว บอกว่าไม่อยากขับรถกลางคืนเลยรีบกลับไป”

“เหงาไหมแม่” ผมถาม พลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องเข้ามาพักในโรงพยาบาล ทุกอย่างจึงดูแปลกใหม่และไม่คุ้นเคย ก่อนหน้านี้อย่างมากก็เพียงเห็นแต่แผนกคนไข้นอกของโรงพยาบาลเท่านั้น

ห้องที่แม่พักเป็นห้องเดี่ยว ติดเครื่องปรับอากาศ มีการตกแต่งที่เรียบง่าย ผนังห้องทาสีอ่อนดูสะอาดและสบายตา ภายในห้องแวววาวไปด้วยประกายของสแตนเลส ไม่ว่าจะเป็นราวที่ขอบเตียง ชุดอาหาร และภาชนะอื่นๆ เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีเพียงเตียงคนไข้ เก้าอี้ กับโซฟาอเนกประสงค์ที่ใช้เป็นที่นั่งรับแขกในยามกลางวันและใช้เป็นที่นอนของคนเฝ้าไข้ในยามกลางคืน นอกจากนั้นก็มีตู้เย็น ทีวี ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะวางของ

ผมวางเป้ลงและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ท่าทางของแม่ดูเงื่องหงอยราวกับคนที่เพิ่งฟื้นไข้ทั้งๆที่แม่ยังไม่ได้ทำการผ่าตัดเลย

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมแม่” ผมถาม

“ก็เรียบร้อยดี” แม่พยักหน้า “พรุ่งนี้ผ่าบ่ายสาม”

ผมนั่งคุยกับแม่ได้ไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออก มีคนสามสี่คนยกโขยงกันเข้ามาในห้อง คนที่เดินนำหน้าเป็นชายในวัยกลางคนท่าทางน่าจะเป็นหมอ ส่วนผู้ที่เดินตามหลังอยู่ในชุดพยาบาล

หมอคุยทักทายกับแม่ชั่วครู่ จากการคุยกันทำให้ผมรู้ว่าหมอคือเจ้าของไข้ของแม่และเป็นจะผู้ที่ลงมือผ่าตัดแม่ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

“ไม่ต้องกังวลนะ” หมอพูดปลอบแม่ราวกับจะรู้ว่าแม่กังวลอยู่ “การผ่าตัดเดี๋ยวนี้ทันสมัย ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ปลอดภัยยิ่งกว่าเดินข้ามถนนในทางม้าลายเสียอีก”

หมอคุยกับแม่อีกชั่วครู่ก็จากไปพร้อมกับเหล่าพยาบาล เมื่อผมอยู่กับแม่สองคน ผมพยายามชวนแม่คุยนั่นคุยนี่เพื่อให้แม่รู้สึกสบายใจ แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่าลูกชายของแม่คนนี้ก็มีเรื่องวุ่นวายและกังวลอยู่ในใจมากมายไม่แพ้กัน...

คุยกันจนดึก ผมก็ไปอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนอน ปล่อยให้แม่เข้านอนไป หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมยังไม่ง่วงจึงหยิบหนังสือเตรียมสอบออกมาอ่านใต้แสงโคมไฟที่โต๊ะเล็ก แสงสลัวไปสักนิดแต่ก็พออ่านได้ ผมไม่เปิดไฟดวงใหญ่ที่เพดานเพราะไม่อยากให้แสงไฟรบกวนการนอนของแม่ ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นก็ได้ยินเสียงแม่พลิกตัวไปมาเป็นระยะๆ

“อูยังไม่นอนหรือลูก” ได้ยินเสียงแม่พูดขึ้นทำลายความเงียบสงัดของยามดึก

“อูยังไม่ง่วงเลยแม่ ว่าจะอ่านหนังสือสักพัก ง่วงแล้วค่อยนอน” ผมตอบ “ว่าแต่ทำไมตั้งนานแล้วแม่ยังไม่หลับล่ะ”

“ก็แม่นอนไม่หลับน่ะ” แม่ตอบแบบกำปั้นทุบดิน

ห้องพักคนไข้ตกอยู่ในความเงียบได้สักพัก แม่ก็พูดขึ้นมาอีก

“อู” แม่เรียก “คิดว่าปีนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม”

“ไม่รู้สิแม่” ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอย “อูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อูไม่มั่นใจเหรอ” แม่ถามอีก

“ใครจะมั่นใจได้ละแม่ มันขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกคณะอะไรด้วย คณะดีๆคนสอบแข่งกันเยอะจะตาย ทั้งยังต้องแข่งกับพวกที่จบ ม.๖ อีก” ผมตอบ “แล้วยังต้องสอบ กศน. ให้ผ่านก่อนด้วยนะแม่ ถ้าผ่านไม่หมดก็จบเห่ สอบเอนทรานซ์ไม่ได้ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้อูก็จะรู้ผลสอบ กศน. ของเทอมแรกแล้ว”

“อยากถ่ายรูปกับอูตอนที่รับปริญญาจัง อยากเห็นอูได้งานดีๆ มีครอบครัว อยากอุ้มหลานด้วย” แม่พูดราวกับกำลังรำพึงกับตนเอง

“แม่ ทำไมแม่พูดแบบนั้น” ผมตกใจกับคำพูดของแม่ รู้สึกหนาววูบขึ้นมา ขนลุกเกรียว “ก็หมอบอกแล้วว่าผ่าตัดปลอดภัยกว่าข้ามถนนอีก อีกไม่นานแม่ก็หายดีแล้ว”

“แม่ก็แค่อยากบอกให้อูรู้เท่านั้นเอง” แม่พูด “แม่คิดเรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยบอกอูเท่านั้นเอง คนเป็นแม่ก็หวังจะเห็นความสำเร็จของลูกแบบนี้แหละ... เรียนจบสูงๆ มีงานดีๆ มีครอบครัวดีๆ มีหลานให้อุ้ม...”

25 comments:

Anonymous said...

โอ้มายก้อด คนแรก สำเร็จแล้ว ฮ่าๆๆ อ่านก่อนเดี๋ยวมาต่อ
Federick

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกสงสารอาอูจังเลยครับ เฮ่อ ยังไงผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ดูแลแม่ให้ดีนะครับ สู้ๆนะครับ
Federick

Anonymous said...

โอย!รู้สึกว่าช่วงนี้ของชีวิตอูหนักพอดู
เดี๋ยวผลสอบออกมาจะดีขึ้นรึเปล่านะ?
เรื่องบุพการีป่วยก็เช่นกัน..
ทุกคนต้องมีช่วงนี้ของชีวิตทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับจะมาในช่วงไหน..
บางครั้งแย่หน่อยเพราะป่วยพร้อมๆกันทั้ง2ท่าน
เอาน่ะ..ถึงยังไงชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป
สู้ๆนะคะอู..ทุกคนณ.ที่แห่งนี้เอาใจช่วยอยู่..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อยากรู้ว่าคุณแม่จะเป็นไงบ้าง
ต่อไวๆก็ีดีนะอู

Anonymous said...

พี่อู............
Rose

Anonymous said...

ภาระหนัก ทั้งเรื่องหัวใจและบุพการี เอาใจช่วย สู้ ๆ
ments42

Choo said...

อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงเพลงนี้ครับ "รอยยิ้มนักสู้" ของ เสก โลโซ เลยเอามาฝากครับ

http://www.youtube.com/watch?v=--_AumJUj5g

เก็บบอยไว้เป็นความทรงจำที่ดี ที่งดงามดีกว่าครับ ก่อนที่จะกลายเป็นความทรงจำที่ไม่อยากจำ

เป็นกำลังใจให้แม่หายป่วย การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงครับ

ชู

Anonymous said...

อ่านตอนที่แม่บอกคุณอูแล้วน้ำตาซึมเลยหล่ะ เพราะตอนนี้ก็เป็นแม่คนเหมือนกันเลยเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ดีว่าในความกังวลกับโรคที่ตัวเองเป็นอยู่นั้น สิ่งที่แม่ห่วงมากกว่าคือลูกจะเป็นอย่างไรนั่นเอง

เด็กแว่น

Anonymous said...

เรื่องรัก เรื่องแม่ เรื่องเรียน เรื่องเตรียมสอบ ไม่รู้อู จะเลือกเรื่องอะไรก่อนกัน เรื่องวุ่นๆ ของวัยรุ่น กับการตัดสินใจ มาติดตามตอนต่อไปครับผม

กัน

Anonymous said...

มาเข้าแถวรักอาอูต่อครับ

หลาน Arus ของอาอู

Fryderyk C. said...

"โอ้มายก้อด คนแรก สำเร็จแล้ว ฮ่าๆๆ อ่านก่อนเดี๋ยวมาต่อ
Federick"


55+ แฝดพึ่งได้ที่ 1 หรอ อิอิ

ตอนนี้ มีประเดินเรื่องเศร้าให้อาอูอีกแล้ว
....แม่อยากอุ้มหลานจังเลย...

ต่อไปอาอูจะทำอย่างไรดีเนี่ย หืม??

สู้ๆนะครับ อาอู

ป.ล. แฝด อาทิตย์หน้า เปิดเทอมแล้ว แย่จังเลย -*-

Anonymous said...

เครียดสุดคงเป็นเรื่องอุ้มหลานล่ะมั้ง = ="

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

โฮแฝดอ่ะมีการทับถมกันด้วย งอนแล้ว อิอิ ล้อเล่นนะครับ สัปดาห์หน้าเปิดเทอมแล้วก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือว่าเราจะได้ความรู้ใหม่ๆไงครับ เป็นกำลังใจให้แฝดนะ
Federick
ป.ล.ว่าแต่แฝดอยู่ปีไหนแล้วอ่ะ

Anonymous said...

ช่วงนี้ยังวุ่นๆอยู่ครับ เลยลืมเข้ามาคอมเมนต์

พี่ชูบอกให้ลืมบอย แต่มันไม่ง่ายเหมือนปิดเปิดสวิทช์เครื่องไฟฟ้าเลยครับ ก็คนมันอ่อนไหวน่ะ

ปีนี้เรื่องเยอะมากครับ วิบากกรรมขวากหนามเต็มไปหมด แต่เป็นอุปสรรคทางอารมณ์มากกว่า ด้านการครองชีพก็ยังดีครับ มีข้าวกินครบทุกมื้อ มีเงินติดกระเป๋าไปโรงเรียนทุกวัน รวมแล้วก็ไม่ถือว่าแย่นัก

ตอบพี่สาวลาดพร้าว ผลสอบเทอมหนึ่งใช้ได้ครับ ไม่ตกสักวิชา ม.๕ รอสอบเทียบก็หวังกันแค่นี้ละครับ แต่พวกที่จะรอบสอบชิงทุนนี่ไม่ได้เลย งกคะแนนมาก

กุหลาบเป็นอะไรครับ ติดอ่างเรียกพี่อูแล้วก็หายไป หรือว่าไฟดับพอดี?

เพิ่งอ่านข่าวบันเทิงเจอว่าช่อง ๓ จะนำเอาหนังโอชินกลับมาฉายอีกครั้ง ฉบับดั้งเดิมของ NHK เลย ใครที่สนใจรอชมได้ครับ

หลานหนิงๆ หายตัวไปไหน อาชูคนปากแข็งฝากบอกว่าให้อภัยแล้ว รีบกลับมาเขียนคอมเมนต์ด้วย

เปิดเทอมกันแล้ว หวังว่าหลานๆคงมีความสุขกับปีการศึกษาใหม่กันทุกคน ส่วนแฝดสองคนนี่หวานอบอุ่นดีจัง อ่านคอมเมนต์ของหลานแล้วน่ารักดีครับ

อู

Anonymous said...

โหอาอูเล่นชมกันแบบนี้ ผมก็เขินแย่สิครับ แล้วแฝดล่ะเขินเหมือนเราด้วยอ่ะเปล่า อิอิ
Federick

Fryderyk C. said...

55+ fryderyk ขึ้นปี 3 ครับผม แล้ว แฝดหละครับ

เพิ่มเติม อาอู เข้ามาคอมเม้นต์ได้ อย่าลืมเข้ามาเขียนเพิ่มนะครับ
!!!!!!!!!!!!

จุ๊บๆๆ

Anonymous said...

เด็กๆ มาขายขนมจีบกันแบบนี้

พวกสูงอายุจะอิจฉาเอาได้นะ

Anonymous said...

ไม่อิจฉาหรอกค่ะ น่ารักดี!!
.
.
.
ส่วนผู้สูงอายุแบ่งทำหน้าที่เถ้าแก่กันไป
แค่ในบล็อกนี้ก้อตั้งขบวนขันหมากได้เยอะอยู่555

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

>ขึ้นปี 3 ครับผม แล้ว แฝดหละครับ

>เพิ่มเติม อาอู เข้ามาคอมเม้นต์ได้ อย่าลืมเข้ามาเขียนเพิ่มนะครับ
!!!!!!!!!!!!

>จุ๊บๆๆ

สรุปแล้วหลานจุ๊บๆใครกันแน่ ช่วยระบุให้ชัดด้วยครับ เดี๋ยวอาจะเผลอดีแล้วหน้าแตก

ว่าใครสูงอายุ ในนี้ไม่มีสักหน่อย ค่าเฉลี่ยไม่น่าเกินก็ห้าคนสองร้อยไปได้

พี่สาวลาดพร้าว ใครเขาพูดอะไรพี่อย่าเผลอรับหมดสิครับ ต้องปฏิเสธให้เป็นบ้าง โธ่

อู

Anonymous said...

)^_^(20 ร้อนครับร้อนมาก ขอบคุณมากมาย ลุงบอลโลกเชียร์ทีมไหนครับผมชอบเยอรมัน เพราะว่าผมชอบมันๆ555+ รองลงมาก็เป็นหลี เพราะผมชอบหลีครับ

Anonymous said...

โฮ่ๆๆๆ..ข้าน้อยผิดไปแล้ว
ข้าน้อยสมควรตาย..555!!

เค้าขุดหลุมดักเอาไว้..
..ดั๊นกระโดดลงไปอีก ฮี่ ฮี่
ว่าแต่เป็นหลุมของใครล่ะเนี่ย?

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ของผมเองครับคุณป้าลาดพร้าว ฮิ ฮิ

Anonymous said...

ถึงแฝด เราจบมาได้หนึ่งปีแล้วครับ ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ แต่ยังไม่รวยเลยอ่ะ รวยแล้วจะพาแฝดไปเลี้ยงให้พุงกางเลยก็แล้วกัน นัดแล้วห้ามปฏิเสธนะ อิอิอิ
ส่วนที่แฝดจุ๊บๆๆ อ่ะนะ ก็ถือว่าจุ๊บอาอูแล้วก็ถือว่าจุ๊บเราด้วยละกัน ฮ่าๆๆ
เปิดเทอมแล้วก็สู้ๆนะครับ น่ารักๆอย่างแฝด ผ่านไปได้สบายอยู่แล้ว
Federick
ป.ล.พี่ๆอาๆทั้งหลายครับ เราสองคนไม่ได้จีบกันนะ แต่กำลังกิ๊กกันต่างหาก ฮ่าๆๆ

Anonymous said...

ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าไม่ได้จีบกัน 555

Anonymous said...

หลานหนิงวุ่นๆกับการทำงานนิกหน่อยครับ

ส่วนหลานอาร์คาดว่าน่าจะติด แคมฟร้อก

หุหุ

หลานหนิง