Friday, February 19, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 49

วันถัดมาผมตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านหนังสือ การกลับบ้านต่างจังหวัดทำให้ผมรู้สึกเกียจคร้าน ผลก็คือผมดูหนังสือไม่ทันตามตารางที่กำหนดเอาไว้ ดังนั้นผมจึงต้องเร่งดูหนังสือให้มากขึ้นเพื่อเป็นการชดเชย และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกนัดกับไอ้น้องบอยในตอนเย็น เพราะว่าผมจะได้มีเวลาอ่านหนังสือก่อน อ่านจนเหนื่อยแล้วจึงค่อยไปเที่ยว

ผมอ่านหนังสือตั้งแต่เช้ามืดจนถึงประมาณสิบโมงก็เริ่มเข้าใจว่าที่พี่ธิตพูดทิ้งท้ายเป็นปริศนาเอาไว้เมื่อวานนั้นหมายถึงอะไร

เดือนมีนาคมเป็นฤดูร้อนแล้ว อากาศแตกต่างจากช่วงเดือนธันวาคม มกราคม อย่างสิ้นเชิง เมื่อตอนเรียนเทอมสองผมสามารถดูหนังสือที่ห้องในเวลากลางวันได้อย่างสบาย ตกบ่ายแม้จะอากาศร้อนแต่ก็พอทนได้ แต่ตอนนี้แค่สิบโมงเช้าอากาศก็ร้อนอบอ้าวจนแทบทนไม่ไหว พัดลมที่เปิดจ่อลำตัวของผมอยู่พัดมาแต่ลมร้อน ยิ่งใช้พัดลมกลับยิ่งรู้สึกไม่สบายตัว

เนื่องจากผมอยู่ชั้นสี่ซึ่งด้านบนเป็นชั้นดาดฟ้าที่รับแดดเต็มๆ ความร้อนจากแดดที่แผดเผาพื้นชั้นดาดฟ้าทำให้คนที่พักอยู่ชั้นสี่รู้สึกร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาอบ ส่วนพี่ธิตที่พักอยู่บนชั้นดาดฟ้านั้นคงไม่ต้องพูดถึง มิน่าเล่าผมจึงไม่ค่อยเห็นพี่ธิตอยู่ที่หอในตอนกลางวันในช่วงวันหยุด ที่แท้ก็อยู่ไม่ไหวนั่นเอง

อากาศร้อนมากเสียจนผมดูหนังสือไม่รู้เรื่อง และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือตึกแถวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องพักของผมมีการปรับปรุงสภาพ กั้นห้อง และตกแต่งภายในเสียใหม่ เสียงก่อสร้างดังสนั่นหวั่นไหว ในที่สุดผมก็คิดว่าต้องไปหาที่ดูหนังสือที่อื่นน่าจะดีกว่า

สมัยนั้นยังไม่มีร้านแมคโดนัลให้นั่งแช่ได้ทั้งวัน การหาที่อ่านหนังสือนอกบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ไปอ่านตามห้างแม้แอร์เย็นสบายแต่เสียงก็อึกทึก แถมที่นั่งก็ไม่ค่อยจะมี

ในที่สุดผมก็เลือกสถานที่อ่านหนังสือที่เหมาะสมได้ นั่นคือ ห้องสมุด หอสมุดแห่งชาตินั่งอ่านได้สบายๆ เพื่อนๆในห้องหลายคนเคยไปนั่งอ่านหนังสือในวันหยุด แต่สำหรับผมตอนนั้นไปไม่ถูก อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มัวไปหาก็เสียเวลา ครั้นจะไปที่ห้องสมุดเอยูเอก็ไม่ใจว่าเอาหนังสือเรียนเข้าไปอ่านได้ไหม สรุปแล้วก็ตัดสินใจไปที่ห้องสมุดประชาชนปทุมวัน ห้องสมุดที่ผมคุ้นเคย ตรงที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์นั่นเอง

ห้องสมุดแห่งนี้สภาพค่อนข้างเก่า บรรยากาศทึมๆ ไม่ติดแอร์ แต่อากาศภายในไม่ร้อนนัก ในวันหยุดจะมีผู้มานั่งอ่านหนังสือกันแน่นขนัด แต่ก็สงบพอประมาณ แถมยังอยู่ใกล้สยามสแควร์ เหมาะที่จะใช้เป็นที่อ่านหนังสือเป็นอย่างดี

ผมอ่านหนังสือจนถึงเกือบๆห้าโมงเย็นจึงเลิก จากนั้นก็เดินข้ามถนนไปที่โรงหนังสกาล่าเพื่อพบกับบอยตามที่นัดกันเอาไว้ ที่เก่า เวลาเดิม...

เมื่อผมไปถึง เห็นบอยมารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อบอยเห็นผมก็ยิ้มแฉ่ง ผมเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอมันเหมือนกัน เราสองคนไม่ได้เจอกันเป็นสัปดาห์แล้ว

“หูย คิดถึงพี่อูจัง” บอยทักทาย พลางจับมือผมไปแกว่งเล่นด้วยท่าทางดีใจ จนผมต้องชักมือกลับเพราะมีคนยืนอยู่หน้าโรงหนักเยอะแยะ คำพูดที่ตรงไปตรงมาและท่าทีอันจริงใจของบอยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่ารักมากยิ่งขึ้น

“คิดถึงเจ้ามือเลี้ยงขนมมากกว่ามั้ง” ผมดักคอมัน

“รู้ทันอีก” บอยหัวเราะ

“วันนี้นายอยากกินอะไรล่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากที่ทักทายกันสักครู่

“ตามใจพี่อู แต่เปลี่ยนที่กินมั่งก็ดีฮะ” บอยตามใจผมแต่ก็ยังไม่วายตั้งข้อแม้

“ถ้างั้นไปกินสุกี้ละกัน ดีมั้ย” ผมเสนอ นึกถึงร้านสุกี้ขึ้นมาได้

ร้านสุกี้ที่สยามสแควร์ในยุคนั้นก็มีอยู่สองร้าน คือแคนตั้นกับโคคา ทั้งสองร้านนี้อยู่ใกล้ๆกัน ตั้งอยู่ในสยามสแควร์ด้านถนนอังรีดูนังต์ ผมเดินไปเดินมาอยู่ในสยามสแควร์มาหลายปี เห็นสองร้านนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ไม่เคยเข้าไปกินสักทีเนื่องจากสุกี้ไม่ใช่อาหารโปรดของทั้งไอ้นัยและผม ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก

เราเข้าไปกินที่ร้านแคนตั้น เมื่อเข้าไปก็เห็นคนนั่งกินอาหารเต็มไปหมด ส่วนใหญ่มากันหลายคน บางโต๊ะก็เป็นลักษณะครอบครัว บางโต๊ะก็เป็นหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาแถวนั้น มีแต่โต๊ะของเราที่เป็นเด็กวัยรุ่นสองคน

พนักงานสาวส่งรายการอาหารมาให้เรา เปิดฝาหม้อสุกี้ เติมน้ำลงไป จากนั้นเปิดแก๊ส จุดไฟ สมัยนั้นยังไม่ใช้เตาไฟฟ้า ใช้เป็นเตาแก๊ส

“สั่งยังไง แล้วกินยังไงอะพี่อู” ไอ้บอยยื่นหน้ามากระซิบถามผมเบาๆ คงกลัวพนักงานจะได้ยินแล้วจะเสียหน้า

“ไม่รู้โว้ย เคยกินซะที่ไหนล่ะ” ผมตอบมันเบาๆเช่นกัน สายตาเหลือบดูโต๊ะข้างๆ เห็นมีถาดผักและของสดวางอยู่ แต่ละคนมีกระชอนเล็กๆใช้ใส่อาหารสดลวกในหม้อ คงสั่งมาลวกกินเองกระมัง

แม้ว่าผมจะอยู่กรุงเทพฯมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เคยกินอาหารด้วยวิธีการแปลกใหม่แบบนี้มาก่อน สุกี้ในความเข้าใจของผมคือเหมือนกับที่ขายในโรงเรียน คือขายเป็นชามเหมือนกับก๋วยเตี๋ยว มีสุกี้น้ำกับสุกี้แห้ง เมื่อมาเจอกับสภาพเช่นนี้ก็อดงงไม่ได้

ทำไงดีล่ะ สั่งก็ไม่เป็น กินก็ไม่เป็น แบบนี้ขายหน้าไอ้บอยตายเลย ในที่สุดก็ตัดสินใจหน้าด้านถามพนักงานที่ยืนรอรับคำสั่งอาหารอยู่

“พี่ครับ สั่งไม่ถูก สั่งยังไงกินยังไงครับนี่” ผมถามตรงๆ พนักงานได้ยินแล้วก็อมยิ้ม ผมเห็นพี่แกอมยิ้มตั้งแต่เห็นเราสองคนแล้ว ไม่รู้ว่าเราแปลกตรงไหน

พนักงานสาวแนะนำวิธีการสั่งอาหารและวิธีการกินสุกี้ให้แก่เรา จนผมและไอ้บอยถึงบางอ้อ จึงสั่งอาหารได้ถูก

พอรู้วิธีการกินแล้วคราวนี้สุกี้มื้อนั้นก็กลายเป็นความสนุกสนาน ความสนุกอยู่ตรงตอนลวกอาหารนั่นเอง คนที่กินบ่อยๆอาจไม่รู้สึกอะไร แต่ในความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นสองคน มันเป็นวิธีการที่แปลกใหม่และน่าสนุกมาก ไอ้บอยลวกไป กินไป หัวเราะไป คุยจ้อตลอดเวลา บอยนี่จะสังเกตอารมณ์ได้ง่าย ปกติก็คุยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งเวลามันอารมณ์ดีจะยิ่งคุยเก่งเป็นพิเศษ

เมื่อกินเสร็จ ถึงเวลาจ่ายเงิน บอยมองดูผมควักเงินด้วยแววตาที่แจ่มใส

“เฮ้ย ไม่คิดช่วยจ่ายมั่งหรือวะ แกล้งทำท่าล้วงตังค์สักหน่อยก็ยังดี” ผมดุมัน

“ไม่อะ หน้าที่พี่อูนี่” บอยสั่นหัวแล้วหัวเราะอารมณ์ดี

หลังจากนั้นเราก็ไปดูหนังรอบค่ำกัน เรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเพิ่งปิดเทอมไม่นาน มีหนังใหม่ๆต้อนรับปิดเทอมหลายเรื่องให้เลือกดู

หนังในรอบนั้นมีคนดูเยอะพอสมควร โฆษณาก่อนหนังฉายยาวมาก บอยดูจนเบื่อ

“โอ๊ย ง่วง หนังมาแล้วปลุกด้วยนะพี่อู” บอยพูด จากนั้นก็ไถลตัวลงไปเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วเอนหัวมาพิงกับไหล่ของผม พร้อมกับแกล้งกรน “คร่อก ฟี้”

“เฮ้ย อายเค้า” ผมบอกมัน รอบตัวของเราเต็มไปด้วยผู้ชม

“จะไปอายทำไมเล่า ง่วงก็นอน ซบพี่ชายมีอะไรต้องอาย” บอยพูด ไม่ยอมเอาหัวขึ้นจากไหล่ของผม

ผมฟังคำตอบของบอยแล้วถึงกับอึ้ง นี่มันกำลังคิดอะไรของมันอยู่นะ

ผมปล่อยให้บอยนอนพิงอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ว่าอะไรมันอีก จมูกของผมสูดดมกลิ่นที่ระเหยจากเรือนผมของมันได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ มันคงเพิ่งสระผมก่อนออกมาจากบ้าน กลิ่นหอมอ่อนๆผสานกับไออุ่นจากแก้มของมันที่แนบกับหัวไหล่และต้นแขนของผมทำให้ผมหวั่นไหว อารมณ์ของผมเริ่มพลุ่งพล่านและกระเจิดกระเจิง...

พรึ่บ

เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นพร้อมกับเสียงพนักเก้าอี้ ทุกคนรวมทั้งบอยและผมลุกขึ้นยืน อารมณ์อันปั่นป่วนของผมจึงต้องชะงักไปโดยปริยาย

หลังจากที่หนังฉาย บอยก็นั่งดูตามปกติ ไม่ได้ซบผมอีกเลย ตลอดเวลาที่หนังฉาย ผมดูหนังแทบไม่รู้เรื่อง อารมณ์ของผมพลุ่งพล่าน คิดฟุ้งซ่านถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่วาย วันนี้ไอ้บอยมันเป็นอะไรของมัน นี่มันกำลังส่งสัญญาณเพื่อบอกอะไรแก่ผมหรือเปล่า มันชอบผมหรือเปล่า และ... เรื่องที่ผมเริ่มสงสัยก็คือ... มันเป็นแบบเดียวกับที่ผมเป็นหรือเปล่า... คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของผมแต่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้

คืนนั้น หลังจากที่ผมกลับหอไปแล้ว ผมรู้สึกนอนไม่หลับ ดูหนังสือก็ไม่มีสมาธิ ผมครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำอยู่ตลอดเวลา แม้ผมจะอาบน้ำแล้ว แต่หัวไหล่ของผมยังเหมือนกันแฝงความอบอุ่นและกลิ่นกายของบอยเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

- - -

หลังจากที่ผมมากรุงเทพฯอีกครั้ง ผมก็ดูหนังสืออย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน กลางวันก็หอบหนังสือเรียนไปอ่านที่ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดนี้เสียอยู่อย่างตรงที่ปิดเร็วไปนิด ประมาณห้าโมงเย็นก็ปิดแล้ว เมื่อห้องสมุดปิดผมก็กลับมาอ่านหนังสือต่อที่หอจนดึก ผมนอนหลังเที่ยงคืนและตื่นนอนก่อนหกโมงเช้าเป็นประจำทุกวัน ใหม่ๆจะรู้สึกฝืนอยู่บ้าง แต่พอนานวันเข้าก็รู้สึกชิน

กำลังใจอันสำคัญของผมอยู่ที่ไอ้น้องบอย ผมเริ่มรู้สึกว่าเงาร่างของมันประทับอยู่ในความคิดคำนึงของผมลึกซึ้งยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นทุกวัน ผมโทรคุยกับมันบ่อยๆ เมื่อใดที่รู้สึกเหงาก็จะโทรหามัน มันเป็นบุคคลที่ผมติดต่อด้วยเพียงคนเดียวในช่วงปิดเทอมนอกเหนือไปจากคนในครอบครัวของผม

ไม่นานนักผลสอบปลายภาคสองก็ออก ผมสอบได้เกรด ๒.๙ กว่าๆ น่าเสียดายที่จะถึง ๓ ก็ไม่ถึง ขาดไปนิดเดียว เมื่อรวมกับเกรดเทอมต้นอันต่ำเตี้ยก็เลยทำให้เกรดเฉลี่ยพอดูได้ ผลสอบในครั้งนี้ทำให้ผมดีใจและมีกำลังใจขึ้นอีกมาก

เมื่อผมรู้ผลสอบ ผมรีบโทรศัพท์กลับไปที่บ้านทันที

“ฮัลโหล” ได้ยินเสียงเอ๊ดรับสาย

“เอ๊ด เอ๊ด” ผมเอะอะลงไปในโทรศัพท์ “รู้มั้ยว่าเทอมนี้อูได้เกรดเท่าไร”

“จะไปรู้ได้ไง” เอ๊ดตอบด้วยเสียงเรียบๆ เอ๊ดคงไม่คิดว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น

“สองจุดเก้า” ผมพูดอย่างภูมิใจ “อูทำได้ เห็นมั้ย เอ๊ดไม่ต้องเอนทรานซ์ใหม่แล้วนะ”

ปลายสายด้านโน้นเงียบไปชั่วครู่

“จริงอะ” เอ๊ดถามย้ำ

“จริงสิ จะหลอกไปทำไม” ผมตอบ แล้วรีบพูดต่อ “เนี่ย ตอนนี้อูกำลังอ่านหนังสือ ม.๕ อยู่ อูจะสอบเทียบแล้วก็สอบเอนทรานซ์อย่างที่วางแผนเอาไว้ ไว้ใจอูได้นะ คราวนี้ไม่เหลวไหลแล้ว”

เอ๊ดเงียบไปอีก

“อูบอกป๊าเองละกัน ป๊าจะได้ดีใจ” เอ๊ดพูด “อูรู้ไหมว่าถ้าปีนี้เอ๊ดต้องสอบเอนทรานซ์ใหม่ ถ้าเกิดติดขึ้นมาจริงๆจะต้องมีคนที่เสียใจมากถึงสามคน”

“ใครเหรอ” ผมงง เดาได้ว่าคนหนึ่งคือตัวเอ๊ดเอง แต่อีกสองคนนี่ไม่รู้ว่าเป็นใคร

“คนหนึ่งก็คือตัวเอ๊ดเอง อีกคนหนึ่งก็คือรุ่นน้องคนที่เอ๊ดไปแย่งที่นั่งในมหาวิทยาลัยของเค้ามา แล้วอีกคนก็... ไม่มีอะไรหรอก” เอ๊ดตอบแล้วก็หยุดพูดไป

ในยุคนั้นมหาวิทยาลัยปิดมีเพียงสิบกว่าแห่ง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จึงมีความหมายมาก แตกต่างจากในวันนี้ที่มีมหาวิทยาลัยนับร้อยแห่งให้เลือกเรียนได้ตามความพอใจ

แม้เอ๊ดจะพูดจากระท่อนกระแท่น แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร คงเป็นเพราะความดีใจนั่นเอง หลังจากที่คุยกับเอ๊ดแล้วผมก็คุยกับพ่อ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมคุยกับพ่อตั้งแต่ผมมาอยู่ที่หอนี้

พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ น้ำเสียงฟังไม่ออกเลยว่ายินดีกับผลสอบของผม จนผมอดนึกเคืองในใจไม่ได้ จะดีใจกับลูกบ้างไม่ได้หรือไง จะชมสักคำสองคำไม่ได้หรือไง ความภูมิใจของผมมลายหายไปจนเกือบหมด แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยผมก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องของเอ๊ดได้ด้วยตัวของผมเอง... มันทำให้ผมมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าพ่อจะยินดีหรือไม่ ผมก็ต้องสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ให้ได้...

- - -

เดือนเมษายน

หลังจากวันที่ผมและบอยไปดูหนังด้วยกันครั้งล่าสุดเป็นต้นมา ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนเพิ่มพูนลึกซึ้งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง บอยติดผมมาก รวมทั้งผมก็ติดบอยเช่นกัน ผมเริ่มใช้โทรศัพท์มากขึ้น จากปกติร้อยวันพันปีแทบไม่ได้โทรหาใคร กลายเป็นว่าโทรหาบอยเกือบทุกวันโดยออกไปโทรที่ตู้ในซอย โทรครั้งหนึ่งๆก็ต้องหยอดเหรียญต่อเวลาไปหลายเหรียญ ส่วนการนัดเจอกันนั้น ตอนปิดเทอมใหม่ๆก็นัดกันราวสัปดาห์ละครั้ง เรื่องที่ทำก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเดินสยาม กินอาหาร แล้วก็ดูหนัง ชีวิตในเมืองถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน

แต่เมื่อล่วงเข้าเดือนเมษายน การดูหนังสือของผมเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พูดง่ายๆก็คือติดลมนั่นเอง แต่แม้ว่าจะติดลมแล้ว ปัญหาของผมก็คือผมมักดูหนังสือไม่ทันตามตารางที่วางเอาไว้ วิชา ม.๕ เป็นเนื้อหาที่ผมยังไม่เคยเรียน ดังนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจึงค่อนข้างลำบาก ประกอบกับสติปัญญาของผมก็งั้นๆ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความอึดเข้าชดเชย กล่าวคือ ต้องใช้เวลากับมันมากกว่าคนอื่นเพื่อที่จะได้เรียนรู้เท่ากัน ซึ่งพอดูหนังสือไม่ทันผมก็จะกังวล พอกังวลก็พยายามดูหนังสือให้มากขึ้นและรู้สึกไม่อยากทำอะไรอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือ นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่ต่อมาทำให้ผมโทรคุยและเจอกับบอยน้อยลงไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมยังรู้สึกว่าบอยเป็นคนที่มีความหมายต่อผมมาก

วันหนึ่ง หลังจากที่ห้องสมุดปิดทำการในตอนเย็น ผมก็ออกมาเดินเล่นหย่อนใจที่ห้างมาบุญครอง บางครั้งผมก็มากินอาหารเย็นที่ศูนย์อาหาร ชั้น ๖ ก่อนกลับบ้าน ทั้งนี้ เพราะผมเริ่มเบื่อกับเมนูสิ้นคิดที่ร้านเจ้าประจำข้างหอพักนั่นเอง แม้ว่าอาหารที่ศูนย์อาหารจะแพงกว่าแต่มันทำให้ผมรู้สึกเปลี่ยนบรรยากาศได้ดี มากินที่นี่มีสีสันและมีความครึกครื้นของผู้คน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความเคร่งเครียดได้

มาที่นี่ทีไรก็อดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ แม้ผมจะเคยมีอดีตที่ฝังใจ แต่กาลเวลาได้ช่วยชะล้างความเศร้าหมองและรอยอดีตที่ฝังอยู่ให้จางเบาบางลงไปได้บ้างแล้ว

ที่ศูนย์อาหารในตอนเย็นวันนั้นเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ร้านอาหารบางร้านขายดีจนต้องยืนต่อคิวกันเพื่อสั่งอาหาร ขณะที่ผมเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแห่งหนึ่ง ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนต่อคิวรอซื้อราดหน้าอยู่ ชายคนนั้นอยู่ในวัยหกสิบกว่า ผิวคล้ำ รูปร่างสันทัด ผมสีขาวดอกเลา ใส่เสื้อแจ็กเก็ตเก่าๆสีมอๆทับเสื้อยืดข้างใน สะท้อนให้เห็นถึงฐานะความเป็นอยู่ของผู้สวมใส่เป็นอย่างดี ใบหน้าของชายผู้นั้นช่างเป็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยเสียนี่กระไร

“ครูครับ หวัดดีครับ” ผมเดินเข้าไปหาชายคนนั้นพร้อมทั้งยกมือไหว้ รู้สึกดีใจมาก ไม่ใช่ใครอื่น ครูช่วยที่ผมไม่ได้พบมานานหลายปีแล้วนั่นเอง

“อ้าว อูนี่เอง” ครูช่วยรับไหว้พร้อมกับทักทาย สายตาขอครูกวาดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “บ๊ะ ไม่ได้เจอกันหลายปี โตเป็นหนุ่มแล้วนะ”

“ครูจำผมได้เหรอครับ” ผมพูดด้วยความดีใจ

“จำได้สิ ถึงเธอจะตัวสูงใหญ่ขึ้น แต่เค้าหน้าไม่ค่อยเปลี่ยน ครูเห็นก็จำได้” ครูช่วยตอบ “กินราดหน้าไหม มา มากินด้วยกัน”

ครูช่วยสั่งราดหน้ามาสองจาน เมื่อได้แล้วก็ชวนผมไปนั่งกินด้วยกัน เมื่อได้โต๊ะว่างและนั่งลงเรียบร้อย ครูช่วยก็เล่าให้ฟังว่าลูกชายของครูมาทำธุระแถวนี้ ครูจึงติดตามมาด้วย ระหว่างที่ลูกชายของครูทำธุระอยู่ครูจึงเดินเล่นอยู่ในห้าง เมื่อเห็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าจึงนึกอยากกินขึ้นมา

“ดีใจจังครับที่ได้เจอครู” ผมพูดจากใจ ความรู้สึกตอนที่ได้พบครูช่วยเหมือนกันได้พบญาติอันสนิท “ตอนที่ครูย้ายบ้านไปผมไม่ทราบเรื่องเลยครับ ยังนึกถึงครูเสมอ”

ครูช่วยเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ผมย้ายโรงเรียนแล้ว สภาพของชุมชนแถบต้นซอยของลาดพร้าวซอย ๑ ก็เปลี่ยนแปลงไป บ้านเรือนเก่าแก่ของชาวชุมชนแถวนั้นถูกเรียกที่ดินคืน ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนั้นจึงต้องย้ายออกไปรวมทั้งครูช่วยด้วย แม้ผมจะนั่งรถผ่านปากซอยลาดพร้าว ๑ ทุกวันแต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในซอย จนเมื่อผมแวะไปหาครูช่วยอีกครั้งจึงพบว่าครูย้ายไปแล้ว ครูช่วยกับผมจึงขาดการติดต่อกันตั้งแต่นั้นมา

เมื่อบ้านของครูถูกรื้อ ที่ดินก็ไม่มี ครูจึงไปอาศัยกับลูกชายซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้วและพักอาศัยอยู่ในย่านฝั่งธนฯ

ผมฟังครูช่วยเล่า สายตาก็สำรวจมองครูช่วยโดยละเอียด ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ หลายปีมานี้ดูครูร่วงโรยไปมาก รอยย่นบนใบหน้าเพิ่มขึ้นมาก แว่นสายตาที่ครูใส่อยู่นั้นเก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไง เสื้อผ้าก็เก่าและดูล้าสมัย สะท้อนถึงกาลเวลาที่ค่อนข้างยากลำบากของครูประถมที่ผมรักและเคารพคนนี้

“อูเป็นยังไงบ้าง แล้วเพื่อนคนนั้นล่ะเป็นยังไง” ครูช่วยถามถึงเพื่อนคนที่ผมเอาเรื่องไปปรึกษาตอนที่จะสอบเรียนต่อ ม.๑ ซึ่งก็คือไอ้ชัชนั่นเอง

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอกันแล้วครับครู” ผมตอบอ้อมแอ้ม รู้สึกว่ากึ่งมุสาครูช่วยไปนิดหน่อย ที่จริงหลังจาก ม.๑ ไปแล้วผมไม่เคยไปหาไอ้ชัชเลยต่างหาก แต่ผมก็มีสาเหตุของผม ทั้งนี้ เพราะผมไม่อยากให้มันรู้เรื่องของไอ้นัย ซึ่งถ้าไปหามันก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเล่าให้มันฟัง จึงตัดปัญหาด้วยการไม่ไปหาเสียเลย

“เห็นไหม ในที่สุดเธอก็ผ่านมันไปได้ แล้วพวกเธอก็จากกันด้วยดี” ครูช่วยพูด

เมื่อพูดถึงการจากกัน ผมอดนึกถึงบอยไม่ได้ นี่ถ้าผมสอบเอนทรานซ์ติดในปีหน้า นั่นก็หมายความว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องจากไอ้บอยไป คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้

“เดี๋ยวพอผมเรียนจบมัธยมก็ต้องจากเพื่อนๆอีกแล้วครับ” ผมพูด รู้สึกหม่นหมองวูบขึ้นมาในใจ

ชะรอยครูช่วยคงสังเกตอารมณ์ของผมออก ครูมองหน้าผม

“นี่แน่ะอู เมื่อก่อนตอนที่เธอมาปรึกษาครู ครูบอกเธอเรื่องวาสนา จำได้ไหม” ครูช่วยพูด

“ครับ ครูบอกว่าคนเราได้พบกันเพราะมีวาสนาต่อกัน ถ้าวาสนายังไม่สิ้น สักวันหนึ่งก็จะได้พบกันอีก” ผมตอบ ผมยังจำคำพูดของครูช่วยได้อย่างแม่นยำเพราะว่าหลายปีมานี้ผมใช้คำพูดนี้เป็นความหวังที่หล่อเลี้ยงจิตใจมาโดยตลอด

“อือม์ จำแม่นนี่” ครูชม แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ครูยังบอกเธอไม่หมดนะ ตอนนั้นครูเห็นว่าเธอยังเด็กอยู่ จึงบอกเพียงแค่ครึ่งเดียว”

“แล้วที่เหลือคืออะไรหรือครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้

31 comments:

nai said...

ขอที่หนึ่งนะ

นัย

Anonymous said...

ไม่ยอมๆๆ เมื่อกีพึงจะเปิดยังไม่เห็นมีใครเลย เป็นทีสองได้อย่างงัย ที่สองก็ยังดี

กัน (ยังอ่านไม่จบเลย๗

Anonymous said...

..ขอที่สามแล้วกัน...
เทศกาลวิ่งเหมือนคอลัมน์ซ้อ7เลยค่ะ

Anonymous said...

แฮ่ะ!แฮ่ะ!ลืมลงชื่ออีกแล้ว เม้นท์ที่3เป็นพี่เอง
คุณอูคะ..ตอนเด็กๆทอปเรียงความบ้างรึเปล่า?
เรียบเรียงตัวอักษรได้ต่อเนื่องมากๆเลยค่ะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อีกครึ่งคืออะไรน่า น่าคิด

แล้วที่อูเคยบอกว่าตอนหลังได้เจอชัช แต่ชัชเฉยๆ
กับอู ใช่ม่ะอูเคยเล่า
ผมจะถามว่า ตอนนั้น ได้เล่าเรื่องนัยให้ชัช
ฟังป่าวหละ

tl000

Anonymous said...

แหน่ะๆๆนิสัยไม่ดี
หลอกให้อยากแล้วก็จากไป
รจ

Anonymous said...

)^_^(ที่6 ขอบคุณนะครับลุง ยุ่งก็ยังมาเล่าให้ฟัง รู้สึกยังไงกับน้องบอยละครับม่ายเข้าใจงงมาเฉลยหน่อย แอบหวานซะด้วยคราวหน้าไปดูที่โรงแถวโรงเรียนดีมั้ยหุหุ

Anonymous said...

เหวอ วันนี้มารักไม่ทัน เพราัพึ่งกลับถึงบ้าน
รักอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ตัดจบได้โหดร้ายมากๆ
สรุปคือ Pheromone ของอาบอยเริ่มป่วนจริงอาอู

ผมต่อให้อาอูแล้วกัน
ถ้าวาสนายังไม่สิ้น สักวันหนึ่งก็จะได้พบกันอีก
แต่หากสิ้นวาสนาแล้ว รั้งอบ่างไรก็คงไม่อยู่

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

รู้สึกแย่ เพราะปวดหัวหน่อยๆ
พิมพ์ผิดตลอดทั้งๆที่ปรกติไม่ผิด

เพราะ
จิต

หลาน Arus ของอาอู

naja said...

"คนเราได้พบกันเพราะมีวาสนาต่อกัน ถ้าวาสนายังไม่สิ้น สักวันหนึ่งก็จะได้พบกันอีก"

โดนอย่างแรงครับ

Anonymous said...

คนที่สามที่จะเสียใจ ของพี่เอ๊ดนี่ใคร ได้ลุ้นอีกละ

พอๆกับบอยรอนานแล้วเมื่อไหร่จะโดนเสียที อุอุอุ

thom

Anonymous said...

ตอนนี้ "ไม่กลับจากรถ" มากๆ

(ค้างcar)

งอน

หลานหนิง

Anonymous said...

ค้างคาอ่ะ แต่ัยังก็รักอาอูนะครับ
Federick

yo408 said...

สงสัยครับ
สมัยก่อนโรงหนังมีเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้วหรือครับ ผมเคยไปดูพพวกโรงหนังกลุ่มสยาม สกาล่า ช่วง2540 ไม่มีเพลงน่ะครับ จำได้ มีแค่ตัวอย่างหนังนิดหน่อย เสร็จแล้วก็ฉายตามเวลาเลย ที่มีการนำเพลงสรรเสริญพระบารมีก็เป็นยุค EGV Major โรงหนังทันสมัยในห้าง จากนั้นก็จะเป็นแบบแผนว่า ทุกโรนงต้องมีเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนฉาย โรงหนังกลุ่มสยาม สกาล่า ผมเคยไปดูแค่ครั้งเดียวช่วงเวลานั้น เพราะเป็นช่วงที่ EGV Major กำลังบูม ทำให้โรงนี้คนน้อยกว่า ราคาถูกกว่า พี่ที่พาผมไปอยากสวีต รวมทั้งทำอะไรๆในโรงหนัง แต่ปรากฏว่ารอบนั้นคนเยอะพอควร ก็เลยได้แค่จับๆล้วงๆนิดหน่อย ส่วนโรงหนังอื่นๆ ผมเคยไปดูที่พาต้าปิ่นเกล้า เมอร์รี่คิงส์ปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นโรงหนังในห้างก่อนการมาของ EGV Major ก็ไม่มีเพลงสรรเสริญพระบารมีเช่นเดียวกัน รวมทั้งหนังตัวอย่างก็มีฉายน้อย ช่วงเปิดโรงให้เดินเข้าไปนั่งเปิดไฟสว่างอาศัยเปิดเพลงให้ฟัง มีหนังตัวอย่างนิดเดียวก็ฉายเลย

Anonymous said...

เรื่องเพลงสรรเสริญในโรงหนังต้องถามคุณอาสาวลาดพร้าวดีกว่า เคยบอกว่าคุ้นเคยกับสยามสแควร์มาก เมื่อก่อนเป็นยังไง อยากรู้เหมือนกันครับ เล่าให้หลานๆฟังบ้าง

Choo said...

"คนหนึ่งก็คือตัวเอ๊ดเอง..อีกคนก็รุ่นน้องที่ไปแย่งที่เขา ..แล้วอีกคนก็..แฟนเอ๊กนะซิ"

อ้าว ดูเหมือนพี่เอ๊ดก็ไม่ค่อยอยากคุยกับป๋านะนี้ ว่าไปพ่อทุกคนรักลูก แต่มักไม่ค่อยแสดงออก แล้วก็อยากให้ลูกชายเข้มแข็ง อีกทั้งกลัวว่าถ้าชมลูกแล้ว "เดี๋ยวจะเหลิง" พ่อส่วนใหญ่สมัยนั้นเลยแข็งๆ เก๊กๆ ไม่ค่อยใกล้ชิดลูก ลูกส่วนใหญ่ก็เลยคิดเองเออเอง น้อยใจกันไป เลยต้องเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ ถูกทางบ้าง ผิดทางบ้าง

อย่าว่าที่ยุคโน้นเลย ผมว่ายุคนี้ก็ยังเป็นอยู่ พ่อลูกคิดกันไปคนละทาง ตึงๆ กัน ทั้งๆ ที่ต่างรักกันแคร์กัน

"คนเราได้พบกันเพราะมีวาสนาต่อกัน ถ้าวาสนายังไม่สิ้น สักวันหนึ่งก็จะได้พบกันอีก แต่หากไร้วาสนาต่อกัน เหนี่ยวรั้งอย่างไรก็ต้องพรากจากกัน ค้นหาอย่างไรก็ต้องคลาดกัน" เห็นไปในแนวเดียวกับหลาน arus ครับ

เป็นกำลังใจให้นายอู ฟันฝ่าอุปสรรคครับ ลุ้นน้องบอยเป็นอย่างที่นายอูอยากให้เป็น เหลียวมองแป๋งบ้างนะ ผมยังลุ้นอยู่

พี่พราวนี้เด็ดจริง รู้ได้ไงว่าผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ จริงๆ แล้วยิ้มไม่หุบเลย ต้องเรียกพี่อูซะแล้วผม 555

พี่พราวเล่า "รักแห่งสยาม เวอร์ชั่น 1980" ให้น้องๆ หลานๆ เป็นวิทยาทานก็นี้นะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเหมือนสมัยพี่อูหรือเปล่า

พี่อู พี่อูบอกว่าไม่รู้ข่าวนัยอีกเลย แล้วคนชื่อนัยที่ป่วนเปี้ยนอยู่แถวๆ นี้ ใครอ่ะครับ ลับๆ ล่อๆ

ชู

Anonymous said...

อิอิ

วาสนาคนรักของเราจามาเมื่อไหรหนอ

รักอาอูก่อนแระกัน

รักนะครับ

น้อย ส.ฎ

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับความรักที่ทุกคนมอบให้ผมครับ ถึงใครไม่รักก็ขอบคุณอยู่ดี

พี่สาวลาดพร้าว ช่วยเรื่องเพลงสรรเสริญฯในโรงหนังหน่อยสิครับ โดนจับผิดอีกแล้ว พี่มีข้อมูลไหม อ้อ แล้วไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับ เรียกชื่อก็พอ กันเอง กันเอง

คืนนี้จะเข้ามาคุยต่อครับ ขอออกไปข้างนอกก่อน

หลานที่เท่าไรก็ไม่รู้ เช้านี้กินอะไร โจ๊กอีกละสิ

อู

Anonymous said...

)^_^(ที่๒๐ อรุณสวัสดิ์ครับ ชีวิตอยู่หอนี่ก็ดีเหมือนกันนะครับเป็นอิสระดี เนี่ยยังอดไปเที่ยวทะเลเลยครับ ไอ้เพื่อนที่สวนมันก็ยังไม่สอบกันเลย วันนี้ไปดูหนังกะหญิงดีมั้ยน้ออิอิ ลุงออกไปเที่ยวระวังโดนฝนนะครับเนี่ยตอนนี้8.10นแดดยังไม่ออกเลย วันนี้กินกู้ช่ายนึ่ง2ชิ้นกับน่องไก่ครับ ผมมีเรื่องแฮกมาให้อ่านด้วยลุงระวังไว้นะครับใช้เมลบ่อยย http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F8884837/F8884837.html
เอ้หนังเรื่องราชันยหมาป่านี่น่าจะมีฉากหยองมากมายเนอะอิอิ

Anonymous said...

เอาใหม่http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F8884837/F8884837.html

Anonymous said...

เอ้ ยังไงเอานี่แล้วกัน http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=120868

Anonymous said...

ถูกเรียกว่า"สาวลาดพร้าว" ทำให้นึกถึง"สาวบางโพ"
ของนักร้อง"ตู้ดิเรก"เป็นยิ่งนัก ของเค้าร้อง..
..สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ..
แล้วสาวลาดพร้าวเล่าจะร้องว่าไงดีคะ..

ท้าวความถึงการเปิดเพลงสรรเสริญฯในโรงหนังก่อนแล้วกัน มีมานานแล้วค่ะตั้งแต่จำความได้ แต่เดิมจะเปิดหลังจากหนังจบ มาเปลี่ยนเป็นก่อนหนังฉายเมื่อ20กว่าปีมานี่เอง..อันนี้จากเมมโมรี่อันน้อยนิดนะคะ..

"รักแห่งสยาม เวอร์ชั่น 1980"หมายถึงอะไรเหรอคะคุณชู?..เข้าข่ายที่อูเคยเตือนไว้รึเปล่านะว่าขานั้นชอบหลอกถาม..ถึงตอนนี้ยังครึ้มในใจไม่หายเลยมั้งคะที่ ถูกทอนอายุลง3.5ปี..ล้อเล่นน่ะค่ะ..

เรื่องเปิดเพลงนี่ถ้าให้แน่นอนคงต้องถามคุณments42
แล้วล่ะค่ะ..ดูเหมือนความทรงจำน่าจะดีกว่าคนลาดพร้าวอยู่มาก แล้วที่เรียกหาบ่อยๆนี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะคะ กลัวจะได้รับตำแหน่งส.ว.ส.ส.โดยไม่ทันตั้งตัวน่ะค่ะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ขอบคุณพี่สาวลาดพร้าวมากที่ช่วยตอบเรื่องเพลงสรรเสริญฯ ชอบเรียกแบบนี้ กระชุ่มกระชวยดี พี่คงไม่ว่าอะไร

ที่จริงเพลงสรรเสริญฯประกอบการฉายหนังมีมานานแล้วครับ ตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ก็ปี ๒๔๗x โน่น แต่เดิมเพลงสรรเสริญจะบรรเลงหลังฉายหนัง แต่เข้าใจว่ามีปัญหาเรื่องความพร้อมเพรียงในการยืนถวายความเคารพ เพราะบางคนหนังจบก็จะกลับแล้ว ต่อมาจึงบรรเลงก่อนฉายหนังแทน ที่เล่าในตอนนี้เป็นยุคที่บรรเลงก่อนฉายหนังแน่นอน เพราะจำไม่ได้เลยว่าเคยยืนหลังหนังจบไปแล้ว

เพื่อเป็นหลักฐาน ผมเอาภาพหนังสั้นประกอบเพลงสรรเสริญฯในยุคที่ผมอยู่มัธยมมาให้ดูด้วย โพสต์รวมอยู่ในตอนที่ ๔๙ นี้ แต่คงโพสต์ในระยะสั้นๆเท่านั้นเมื่อดูกันแล้วก็แล้วจะเอาออกไป เพราะเกรงความไม่เหมาะสม

เล่าเรื่องโรงหนังแถมให้ฟังอีกหน่อย ตอนปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โรงหนังได้รับผลกระทบมากเพราะผู้คนประหยัด ไม่ดูหนังโรง จึงมีโรงหนังที่เลิกกิจการไป รวมทั้งที่ดิ้นรนหาวิธีเอาตัวรอด ตัดค่าใช้จ่าย นั่นคือการลดขนาดโรงหนัง โดยเอาโรงหนังเดิมมาปรับปรุงใหม่ ผ่าเป็นสองโรงเล็กแทน เวียนกันฉาย ประหยัดไฟ ประหยัดแอร์ เรียกว่าเป็นยุคเริ่มของมินิเธียร์เตอร์ โรงแรกที่ผ่าแบ่งเป็นโรงเล็กก็คือเซ็นจูรี่ที่ปากซอยรางน้ำ และโรงอื่นๆก็ตามมา

โรงหนังในสยามอันได้แก่ สยาม ลิโด้ สกาล่า นั้น ลิโด้ก็ถูกแบ่งเป็นโรงเล็ก แต่ผมจำปีไม่ได้ว่าแบ่งปีไหนแน่ แต่ก่อนเป็นโรงใหญ่ๆเหมือนสยาม

พร้อมกับการผ่าโรงหนังที่มีอยู่เดิมให้เล็กลง โรงหนังที่ผุดขึ้นใหม่ก็กลายเป็นโรงหนังขนาดเล็กและไปขึ้นในห้าง โรงหนังขึ้นห้างก็เกิดเป็นครั้งแรกในยุควิกฤตเศรษฐกิจนี้เช่นกัน โรงแรกคือโรงหนังเวลโก้ อยู่ในห้างเวลโก้ ย่านรามคำแหง ตอนผมไปหาหอพักยังเห็นห้างนี้เลย และอีกหลายปีต่อมา มินิเธียร์เตอร์ในห้างก็ทยอยตามมาอีก

อู

Choo said...

เข้ามาช่วยชี้แจง สนับสนุนหลักฐานของอูครับ ความเป็นมาโดยสังเขปของการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีเป้นดังนี้ครับ

การเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ตั้งแต่มีโรงหนังญี่ปุ่นหลวง ซึ่งเป็นโรงหนังถาวรแห่งแรกในประเทศ ช่วงแรกเป็นการฉายหนังเงียบ จึงต้องมีแตรวงหรือวงเครื่องสายผสม ทำการบรรเลงดนตรีประกอบการฉายสไลด์ โดยบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อถวายความเคารพเมื่อภาพยนตร์ฉายจบ และการยืนตรงต่อบทเพลง ฯ พอเข้าสู่ยุคภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม โรงภาพยนตร์ทุกโรงเปลี่ยนเป็นเปิดแผ่นเสียงแทน โดยยังคงรูปแบบฉายสไลด์ และมีการออกกฎหมายมาเป็นระเบียบปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2478 ในยุค พอ. พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี บังคับไม่เฉพาะโรงหนังเท่านั้น หากรวมถึงการแสดงมหรสพต่างๆ ทุกชนิดด้วย

หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2524 และต่อเนื่องหลายปี โรงหนังมีการเปลี่ยนแปลงจากโรงขนาดใหญ่ตั้งอยู่อิสระ เป็นรูปแบบโรงขนาดเล็กบนห้างสรรพสินค้า เกิดปัญหาความพร้อมเพรียงในการยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ เนื่องจากคนดูมีความสะดวกในการเดินเข้าออกได้ง่ายกว่าโรงหนังขนาดใหญ่ โรงหนังขนาดเล็กจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากการเปิดเพลงฯ หลังฉายหนังจบเป็นก่อนเริ่มฉายหนัง ในราวปี 2528 และมีการเปลี่ยนแปลงครบทุกโรงหนังในปี 2531 ช่วงฉลองครบรอบ 60 พรรษาของในหลวงครับ

ดังนั้นในตอนที่อูเล่าอยู่นี้เป็นช่วง เมษายน 2531 ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากการเปิดก่อนฉายหลังเป็นหลังเรียบร้อยแล้วครับ

นอกจากนี้ผมเป็นคนร่วมสมัยกับอู จำช่วงเวลานั้นได้พอสมควร จึงขอยืนยันมาด้วยประการฉะนี้ครับ

พี่พร้าวนี้ ไม่รู้จักหนังเรื่อง "รักแห่งสยาม" หรือครับ ดังมากในช่วงปี 2007 แต่หากย้อนไปยุคที่พี่กำลังเป็นสาวน้อยน่ารัก ก็น่าจะเป็นช่วงปี 1980 จึงอยากให้พี่เล่าบรรยากาศของสยามสแควร์ว่าแตกต่างจากยุคของอู ซึ่งเป็นยุคเดียวกับผมอย่างไร

แล้วอายุที่พี่บอกมา มากไปครับ ยิ้มๆ อยู่หุบเลยครับงานนี้ ล้อเล่นครับ เรียกชูเฉยๆ ก็ได้ครับ กันเองดีครับ

ผมพอทำตัวเป็นประโยชน์ให้อูบ้างแล้วนะ ไม่ได้จับผิดอย่างเดียวนะครับ ขอแก้ข่าว

ชู

nai said...

พี่ชูคำว่าลับๆล่อๆ แปลว่าอะไรครับ ผมว่า น่าจะใช้แยกกันครับ ลับ หรือ ล่อ

ในเรื่องของอู นัยกับอู ล่_ กันในที่ลับซะส่วนใหญ่ แต่นานมากแล้วผ่านมา 2-3 ปีแล้ว ชักจะหลงลืมบรรยากาศซะแล้วซิอู

จำได้ว่าสมัยดูคนเหล็กก็มี เพลงสรรเสริญแล้วนะครับ จะเปิดก่อนหนังมาหรือหลังหนังจบจำไม่ได้จริงๆ

อ้อ สวัสดีครับ พี่สาวลาดพร้าว ยังไม่เคยทักทายกันเลยครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ

ปล.อู หนังสั้นกับรูปภาพล่าสุดเอาออกได้แล้ว
นัย

Anonymous said...

หนังเรื่อง"รักแห่งสยาม"พี่รู้จักและชอบมากๆเลยค่ะ
ไปดูที่โรงแล้วยังซื้อแผ่นเก็บไว้อีกตะหาก..ที่พี่ถามว่าหมายถึงอะไรเพราะกลัวมีวาระซ่อนเร้น..โดนชูหลอกถามมากๆเดี๋ยวจนมุมถูกจับได้ว่าที่แท้เป็นคุณยายข้างบ้านของชูที่ชอบกินหมากตอนบ่ายปลอมตัวมา
..ล้อเล่นอีกแล้ว อิ อิ..

เข้าเรื่องจริงดีกว่า..ปี1980นั้นพี่อยู่ม.ศ.5(ไม่อยากย้ำเลย)ห่างเหินสยามค่ะ..เพราะชอบเดินดูหนังสือและต้นไม้แถวสนามหลวง รวมถึงแวะพิพิธภัณฑ์ฯและกินก๋วยเตี๋ยวเรือแถวอนุสาวรีย์ฯซะมากกว่า สมัยนั้นชามละ2.-บาทเองค่ะ

เข้าสยามครั้งแรกน่าจะเป็นตอนอายุ13ขวบ ไปดูหนัง+
กินสุกี้แล้วตามด้วยเกาลัดคั่ว(ของเค้าเป็นสูตรกันอยู่)มีครั้งนึงไปกินก๋วยเตี๋ยวรสดีเด็ดที่สยามกับผองเพื่อน ม.ศ.ต้น(อีกแล้ว)ประมาณ7-8คน ออกจากร้านขำกลิ้งไม่มีหยุด ทุกคนลงความเห็นว่าพวกเราน่าจะกินกัญชาเข้าไป

กลับมาใกล้ชิดสยามอีกครั้งตอนเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ
เนื่องจากระเห็จไปเรียนไกลถึงภาคเหนือ(น่าจะเป็นที่เดียวกับเอ๊ด)ทุกครั้งที่กลับมากรุงเทพจะต้องนัดเจอเพื่อนๆเพื่อชอปปิ้ง จำได้ว่าทุกคนจะต้องมีกางเกงยี่ห้อ
"แทมโปโป้"อย่างน้อยคนละ2ตัว+รองเท้าแตะยี่ห้อ
"สกอล์"อย่างน้อย1คู่เพราะมันฮิตมากๆในยุคนั้น
ปัจจุบันไม่ทราบว่าร้าน"แทมโปโป้"ยังมีอยู่รึไม่เพราะไม่ได้เยื้องกรายไปแถวนั้นนานแล้ว อ้อ!มีของฮิตอีกอย่างคือโดนัทที่อูกินกับนัยนั่นแหล่ะค่ะ จะต้องมานั่งละเลียดกินทั้งที่ไม่ชอบเท่าไหร่คือตามใจเพื่อนไงคะ
แถมต้องสั่งใส่กล่องกลับไปฝากเพื่อนๆทางโน้นอีกตะหาก แม้กระทั่งตอนเรียนจบแล้วแต่มีเพื่อนบางคนรักสถาบันไม่ยอมจบด้วย ยังต้องโหลดโดนัทเข้าใต้ท้องรถทัวร์ไปให้เลยค่ะ จนกระทั่งโดนัทเจ้าดังไปเปิดที่ภาคเหนือจึงระงับไป

เป็นไงคะ..ความหลังครั้งเก่าก่อนจากตัวนำเรื่อง"ความจำสั้นแต่สันหลังยาว" ความหลังก็ค่อนข้างเลือนลาง ส่วนความรักก็ไม่มีซะอีกเพราะต่อมไม่ยอมทำงาน..555

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ไม่ว่างมาอ่านเลย หุหุ
กว่าจะตามอ่านทัน มีอะไรให้ติดตามตลอดสิน่าพี่อู

ว่าแต่เมื่อไรจะสมรัก กับรักใหม่สักทีน๊า
รออ่านตอนต่อไปค๊าบๆๆๆ
^^sky^^

Anonymous said...

เรื่องเปิดเพลงนั้น ช่วงที่ผมเรียนอยู่ก็มีการเปิดตอนก่อนฉายหนังทุกโรงเหมือนกันหมดตามที่อูบอก ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีการเปิดเพลงหลังหนังฉายจบแล้ว ขอยืนยันตามที่ถูกอ้างอิงจากสาวลาดพร้าว
ส่วนก๋วยเตี๋ยวรสดีเด็ดก็ยังจำรสได้ ตอนนั้นดังมากและมีหลายสาขา มาเรียนอยู่กรุงเทพพอกลับไปบ้านต่างจังหวัดนึกอยากกินแต่ก็ไม่มีให้กินเพราะต่างจังหวัดไม่มี สงสัยใส่กัญชาตามที่บอกหรือเปล่าไม่รู้นะ
สยามเซ็นเตอร์ตอนก่อนนี้ยังไม่มีพารากอน เดิมพารากอนเป็นโรงแรมสยามฯอย่างที่อูเคยเอารูปมาให้ดู ช่วงก่อนที่เป็นพารากอนจะมีซบเซาไปบ้างช่วงหนึ่ง แต่พอมีพารากอนขึ้นมากลับมาคึกคักอีกครั้งเรียกว่า siam never die
สาวลาดพร้าวเห็นลืมลงชื่อบ่อยๆ อย่างว่าละนะ ส.ว.ก็เป็นอย่างนี้ละขี้หลงขี้ลืม อย่าให้เป็นมากกว่านี้นะเดี๋ยวจะลืมอย่างอื่นด้วย(ล้อเล่นนะ) บางทีผมก็ลืมนะ
ยังคอยติดตามอ่านเรื่องของอูอยู่ประจำไม่ได้หายไปไหน แต่บางครั้งไม่มีเวลามาคุยด้วย ก็ให้กำลังใจอูอยู่ตลอดเหมือนกัน
ments42

Anonymous said...

มาดันให้ครบ 30 เม้นต์ซะงั้นแหละ

ไม่บอกว่าใคร

Anonymous said...

พี่เอ๊ด มีความลับอันน่าสะพรึงกลัวจิง ๆ
อีกคนที่เสียใจที่ว่า คงไม่ใช่นัย หรอกนะ
แบบว่ากลับมาแล้ว แต่ เป็นแฟนเอ็ด อ่ะ
หักมุมไปมะ อิอิ