Saturday, February 13, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 48

นี่มันอะไรกัน การณ์กลับกลายเป็นว่าเอ๊ดต้องการสอบเอนทรานซ์ใหม่เพื่อจะได้อยู่ดูแลผมที่กรุงเทพฯได้ และยิ่งไปกว่านั้น ความคิดนี้มาจากพ่อของผมเสียด้วย!

ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนอย่างแผ่วเบา เรื่องที่ผมได้ยินเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ผมไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร จึงกลับขึ้นมาตั้งหลักในห้องนอนก่อน

ผมนั่งซึมเซาอยู่บนเตียงนอน ความคิดกระเจิดกระเจิง ภาพอดีตหวนเข้ามาในความคิดคำนึง... ตอนที่ผมอยู่ชั้น ป.๖ พ่อไม่สนับสนุนให้ผมย้ายโรงเรียนแต่แล้วในท่าสุดพ่อก็ยอม ในตอนนั้นพ่อเป็นคนที่อารมณ์เย็นและมีเหตุผล

ต่อมาเมื่อผมอยู่ชั้นมัธยมต้น ปัญหาเรื่องไอ้นัยทำให้ผมมีนิสัยแปลกแยกและเข้ากับคุณลุงคุณป้าได้ไม่ดีนัก เมื่อผมมีปัญหากับคุณลุงคุณป้า พ่อก็มักอารมณ์เสีย จนต่อมาในช่วงหลัง ดูเหมือนว่าพ่อจะมีอารมณ์ขุ่นมัวและหงุดหงิดง่ายกว่าเดิม เมื่อผมดื้อก็จะถูกดุด่า จนผมรู้สึกว่าพ่อไม่รักผม และกลายเป็นความน้อยใจ ยิ่งน้อยใจ ผมก็ยิ่งตั้งป้อมกับพ่อเพื่อเรียกร้องความสนใจ จนกลายเป็นสภาพที่พ่อกับลูกเข้ากันไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ผมนั่งซึมอยู่อย่างนั้นจนมีเสียงเปิดประตูและเห็นคนเดินเข้ามาในห้อง... เอ๊ดนั่นเอง

“อ้าว ยังไม่นอนเหรอ” เอ๊ดทัก “เป็นไรไปอู ซึมเชียว สีหน้าไม่ดีเลย”

เอ๊ดว่าผมสีหน้าไม่ดี แต่สีหน้าของเอ๊ดก็ดูอัดอั้นตันใจ เอ๊ดคงชอบที่เรียนปัจจุบันมากและไม่เต็มใจที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อจึงต้องบังคับฝืนใจเอ๊ดขนาดนี้

“เอ๊ด... เอ้อ” ผมอึกอัก “เอ๊ดจะสอบเอนทรานซ์ใหม่เหรอ”

เอ๊ดนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“รู้ได้ไง” เอ๊ดถาม

“ก็เมื่อกี้อูจะลงไปดูทีวีแล้วได้ยินเอ๊ดคุยน่ะ” ผมบอกตามตรง เมื่อเห็นเอ๊ดนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ “เอ๊ดไม่ต้องสอบใหม่หรอก อูดูแลตัวเองได้ เห็นมั้ยว่าอูอยู่มาได้จนจบ ม.๔ แล้ว”

เอ๊ดเงียบอีก

“ทำไมป๊าต้องสั่งให้เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ใหม่ด้วยนะ อูอยู่ได้จริงๆ” ผมพูดต่อ อดต่อว่าพ่อไม่ได้

“อูจะรู้อะไร” เอ๊ดพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดูเหมือนว่าเรื่องสอบเอนทรานซ์ใหม่นี้เป็นเรื่องที่เสียดแทงใจของเอ๊ด เห็นนิ่งไปนิดหนึ่งจากนั้นก็พรั่งพรูคำพูดออกมาราวกับคนเหลืออด “ป๊าบอกว่าเดี๋ยวนี้อูเปลี่ยนไปมาก ทั้งดื้อ ทั้งก้าวร้าว ให้กลับมาบ้านบ้างก็ไม่ยอมกลับ อยู่คนเดียวน่ะอยู่ได้ แต่กลัวอีกหน่อยจะเสียคนเอาน่ะสิ ทั้งป๊ากับแม่เป็นห่วงอูมากขนาดไหนรู้ไหม”

เมื่อเอ๊ดระบายคำพูดออกมาจนหมด ผมถึงกับอึ้ง รู้สึกจุกในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก พ่อเนี่ยนะโทรไปขอร้องเอ๊ด พ่อเนี่ยนะเป็นห่วงผม

“ป๊าเนี่ยนะเป็นห่วง เห็นเอาแต่ขับไล่ไสส่งอู” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ผมก็อดเถียงไม่ได้

“ป๊าโทรมาบ่นเรื่องอูให้เอ๊ดฟังบ่อยๆ ป๊าไม่ได้บังคับเอ๊ดหรอก แต่เค้าขอร้อง ป๊าบอกให้เห็นแก่น้อง จนเอ๊ดสงสารป๊า อูนอกจากก่อเรื่องแล้วรู้อะไรบ้างล่ะ” ดูเอ๊ดจะยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิดผม

ในที่สุดผมจึงได้รู้ความจริงว่าที่ผมเข้าใจว่าผมพึ่งตัวเองได้นั้น ทุกคนกลับมองว่าผมเป็นเด็กที่มีปัญหาและคนที่อดรนทนไม่ได้ที่สุดก็คือคนที่ผมคิดว่าเกลียดผมนั่นเอง... ผมเริ่มท้อแท้ ความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่เอาไหนและไม่มีค่าเริ่มกลับมาคุกคามผมอีก

ผมถอนหายใจ สายตาพลันเหลือบมองไปเห็นกองหนังสือชั้น ม.ปลาย ของเอ๊ดที่ยังอยู่บนโต๊ะ ถ้าผมท้อ ผมก็คงต้องกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก... และในที่สุดก็กลายเป็นตัวปัญหา เป็นภาระของทุกๆคนในครอบครัวไปจริงๆ ผมอุตส่าห์เอาชนะตนเองจนกลับมามุเรียนหนังสือได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าผมยอมแพ้ในตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดก็ต้องสูญเปล่า

“ทำยังไงเอ๊ดถึงจะยอมเชื่อล่ะว่าอูอยู่คนเดียวได้จริงๆ” ผมถาม รู้สึกจนปัญญาเหมือนกัน

“ก็... อูไม่เคยทำอะไรให้ป๊ากับแม่วางใจได้เลยสักเรื่อง” เอ๊ดพูด “ดูเกรดดิ ก็ยิ่งเรียนยิ่งแย่”

เมื่อพูดถึงผลการเรียน ผมได้คิดขึ้นมาทันที

“ถ้ายังงั้นเอ๊ดคอยดูเกรดของอูเทอมนี้ก่อนก็แล้วกัน” ผมพูดด้วยความมั่นใจ “ถ้าเกรดอูห่วยอีกเอ๊ดค่อยไปสอบเอนทรานซ์ แต่ถ้าเกรดอูดี ก็ไม่ต้องสอบ”

เมื่อเอ๊ดเห็นท่าทีที่มั่นใจของผม สีหน้าก็เริ่มฉายแววลังเล

“ที่อูรื้อหนังสือ ม.ปลายของเอ๊ดออกมาก็เพราะว่าอูตั้งใจจะสอบเทียบแล้วก็สอบเอนทรานซ์ปีหน้าด้วย” ผมตัดสินใจเล่าแผนการณ์ของผมให้เอ๊ดฟัง ที่จริงก็ไม่อยากเล่านักเพราะไม่แน่ใจว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพะวงถึงเรื่องนั้น ผมต้องสร้างความมั่นใจให้แก่เอ๊ดไว้ก่อน

“หา อูน่ะเหรอจะสอบเทียบแล้วสอบเอนทรานซ์ปีหน้า” เอ๊ดอุทานอย่างแปลกใจ พร้อมกับทำสีหน้าประหลาด เหมือนกับไม่เชื่อ แต่ดูไปอีกทีก็เหมือนกับจะหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้ แต่ช่างเถอะ ถึงจะหัวเราะก็ไม่เป็นไร อยากหัวเราะเยาะก็หัวเราะไป

“ใช่ อูนี่แหละ” ผมย้ำ เมื่อเอ๊ดเห็นท่าทางจริงจังของผมก็นิ่งเงียบไป

“เรื่องเอนทรานซ์ อูไปพูดกับป๊าเองก็แล้วกัน ถ้าเอ๊ดไปบอกป๊าว่าจะไม่สอบ ป๊าก็ต้องโทษเอ๊ดว่าเห็นแก่ตัว ไม่ห่วงน้องอีก” เอ๊ดพูด แล้วในที่สุดเอ๊ดก็หลุดความในใจออกมา “เอ๊ดโดนป๊าว่าเรื่องนี้มาแล้ว เค้าเค้าห่วงอูขนาดไหนรู้มั่งหรือเปล่า ป๊าห่วงอูจน... จนไม่ห่วงความรู้สึกของเอ๊ดเลย”

ผมรู้สึกตื้ออยู่ในอก ประโยคสุดท้ายของเอ๊ดนั้นทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีใครหลายๆคนกำลังแอบเสียสละเพื่อผมอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด

แต่ให้ผมไปพูดกับพ่อเองน่ะเหรอ ผมยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เพราะความที่ปั้นปึ่งกับพ่อมานาน จู่ๆจะเปลี่ยนท่าทีก็กระไรอยู่

ผมอดแก้ตัวให้แก่ตนเองไม่ได้ว่าถ้าพ่อรักผม เป็นห่วงผม ทำไมไม่พูดให้ผมรู้บ้างล่ะ ทำไมต้องชอบว่า ชอบดุดันใส่ผมนัก แต่ตอนนั้นก็ลืมมองตนเองไปว่าแสดงท่าทีอะไรกับพ่อเอาไว้บ้าง

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เอ๊ดกำลังจะลงไปกินอาหารเช้า ผมขอให้เอ๊ดช่วยกินอาหารเช้าให้เสร็จเร็วหน่อยแล้วรีบปลีกตัวไปก่อน เพื่อผมจะได้หาโอกาสคุยกับพ่อ ผมคิดว่าคุยกับพ่อแต่เช้าน่าจะดีเพราะว่าคนที่เพิ่งตื่นนอนมักอารมณ์ดี น่าจะทำให้การพูดคุยง่ายขึ้น

ผมย่องลงไปข้างล่าง จากนั้นแฝงตัวเข้าไปในห้องอาหารอย่างเงียบกริบ ขณะนั้นเอ๊ดลุกจากไปแล้ว เหลือเพียงพ่อนั่งอยู่กับแม่ คุยตอนที่แม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าใจจริงผมยังรู้สึกกลัวพ่ออยู่บ้าง แต่ในเมื่อผมก่อ ผมก็ต้องเป็นคนสาน

“อ้าว อู ดีจังที่ลงมาตอนนี้” แม่ทักด้วยความดีใจที่วันนี้ผมไม่ทำตัวเป็นนินจา “มากินข้าวต้มด้วยกันสิ”

พ่อนั่งเงียบ ไม่พูดอะไร ผมกระอักกระอ่วน วางตัวไม่ถูก จะเริ่มพูดก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง จะยืนเฉยๆก็ไม่เหมาะ จะไปนั่งกินด้วยก็ไม่รู้จะดีไหม

“ป๊า ป๊าไม่ต้องให้เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ใหม่หรอก” ผมพูดโพล่งขึ้นมา ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกก็พูดออกมาเสียเลย

พ่อกับแม่มีสีหน้าแปลกใจ คงแปลกใจที่ผมรู้เรื่องนี้

“นี่เอ๊ดบอกเหรอ” พ่อถาม

“เอ๊ดไม่ได้บอก” ผมรีบออกหน้าแทนพี่ชาย ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อพ่อพูดกับผมดีๆ “อูบังเอิญได้ยินเอ๊ดคุยโทรศัพท์กับเพื่อนน่ะ”

“อย่าให้เอ๊ดต้องเสียเวลาเรียนไปปีนึงเลย อูดูแลตัวเองได้จริงๆนะป๊า ไม่เชื่อรออีกไม่กี่วันผลสอบเทอมนี้ก็ออกแล้ว คอยดูเกรดของอูก่อนละกัน” ผมรีบพูดต่อ เมื่อพูดจบก็รู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็ระบายเรื่องที่อยากพูดออกมาจนได้

พ่อกับแม่หันมาสบตากัน

“งั้นดูเกรดของอูก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน” พ่อพูด พร้อมกับเอ่ยปากชวน“ไหนๆลงมาแล้วก็นั่งกินเสียสิ”

เมื่อพ่อชวน ผมจึงไม่รีรออีก รีบนั่งลงกินอาหารร่วมกับพ่อและแม่ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมได้นั่งกินอาหารพร้อมหน้ากับพ่อและแม่ จะขาดก็เพียงเอ๊ด บรรยากาศที่ดีค่อยๆกลับคืนมาสู่บ้าน

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ผมก็คุยกับเอ๊ด เล่าเรื่องที่โต๊ะอาหารให้ฟัง พร้อมทั้งกำชับเอ๊ดไม่ให้บอกเรื่องที่ผมจะสอบเทียบกับสอบเอนทรานซ์ให้พ่อกับแม่รู้ เพราะไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังในตัวผมมากนัก ซึ่งเอ๊ดก็รับปาก

- - -

ปิดเทอมในปีนั้นผมมีโอกาสอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดเพียงไม่กี่วันก็มากรุงเทพฯอีก เนื่องจากเมื่ออยู่ที่บ้านผมดูหนังสือได้น้อยมาก ผมทำตารางเอาไว้เลยว่าในสัปดาห์หนึ่งต้องดูอะไรบ้างและดูให้ได้เท่าไร ซึ่งปรากฏว่าเมื่อกลับไปบ้านแล้วผมทำตามแผนไม่ได้เลยเนื่องจากอยู่ที่บ้านสบายเกินไป ทำให้ผมรู้สึกขี้เกียจ

น่าแปลกที่การกลับบ้านเมื่อเทอมก่อนๆแม้จะมีเวลาอยู่ที่บ้านมากกว่านี้ แต่ผมกลับไม่ได้สังเกตอะไร ตรงกันข้ามกับครั้งนี้ ที่แม้ผมจะอยู่ที่บ้านเพียงไม่กี่วัน แต่ผมกลับสังเกตอะไรได้มากมายหลายอย่างที่ไม่เคยสังเกตพบมาก่อน

อย่างแรกที่ผมสังเกตพบก็คือ เพื่อนๆในวัยเด็กที่อยู่ในละแวกบ้านของผมนั้นแต่ละคนเติบโตและดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ความสนิทสนมคุ้นเคยในวัยเด็กได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นความแปลกหน้าไม่คุ้นเคย ที่จริงก็ไม่ถึงกับแปลกหน้าต่อกัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้เหมือนไม่ใช่เพื่อนคนเดิมที่ผมรู้จักในวัยเด็ก มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เพื่อนแต่ละคนเติบโตขึ้นและเริ่มเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง หลายๆคนเข้าไปเรียนต่อ ม.ปลายในเมืองใหญ่ บางคนอยากเป็นทหาร บางคนอยากรับราชการ ในขณะที่บางคนเรียนอาชีวฯ และบางคนก็ไม่ได้เรียนต่อ

อีกอย่างที่ผมสังเกตก็คือ ในละแวกบ้านของผม และแม้แต่ในชนบทเล็กๆตามเส้นทางที่ผ่านมา ผมพบว่ามีเสาอากาศทีวีกันมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา น่าสังเกตว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทีวีแพร่เข้าไปในชนบทอย่างรวดเร็ว เมื่อก่อนหมู่บ้านหนึ่งอาจมีทีวีเพียงไม่กี่เครื่อง ส่วนใหญ่มักเป็นบ้านคนมีฐานะหน่อย แต่ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคที่ทีวีสีแพร่หลาย ดูเหมือนว่าทีวีจะแพร่เข้าไปในชนบทเร็วมากยิ่งขึ้น บ้านใดมีทีวีสังเกตได้จากเสาอากาศที่สูงหลายเมตร หลังจากนั้น เมื่อมีทีวี วิถีชีวิตของชาวชนบทก็เปลี่ยนไป มอเตอร์ไซค์ รถกระบะ เครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆก็หลั่งไหลเข้ามาในชนบทอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ผมยังอดคิดถึงบึงน้ำที่ผมรักไม่ได้... บึงน้ำในทุ่งขจี ด้านหนึ่งเป็นร่องสวนที่มีต้นไม้ใหญ่ ผมไม่ได้ไปที่นั่นหลายปีมาแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ที่บึงน้ำเร้นรักแห่งนั้นมีอดีต มีความสุข และมีความรักของผมและไอ้นัยฝังอยู่ ผมสัญญากับตัวเองว่าจะกลับไปที่นั่นอีก... พร้อมกับไอ้นัย…

รถประจำทางที่จอดรับผมที่หน้าบ้านเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ เมื่อผมหันกลับไปมองก็เห็นพ่อ แม่ และเอ๊ดที่ยืนส่งผมที่หน้าบ้านตัวเล็กลงเรื่อยๆ และแล้ว การเดินทางครั้งใหม่ของผมก็เริ่มต้นขึ้น...

- - -

กว่าที่ผมจะมาถึงหอพักก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ผมพบกับพี่ธิตที่ปากซอย เราสองคนจึงเดินเข้ามาด้วยกัน พี่ธิตอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงสแล็ก บ่งบอกมาดของหนุ่มออฟฟิส

“ทำไมรีบกลับมานักล่ะอู” พี่ธิตถามด้วยความสงสัยขณะที่เราเดินไปด้วยกัน

“ขี้เกียจอยู่บ้านครับ” ผมตอบ “อยู่แล้วไม่มีอะไรทำ เลยว่าจะมาเรียนพิเศษในกรุงเทพฯดีกว่า”

ผมก็อ้างเฉไฉไป ไม่ยอมบอกความจริงเรื่องสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์

“แล้วเรียนทุกวันเลยเหรอ” พี่ธิตถามต่อด้วยความอยากรู้ “วันที่ไม่เรียนจะทำอะไรล่ะ”

“ยังไม่ทราบเลยพี่ แต่ถ้ามีเวลาว่างผมก็คงนั่งดูหนังสือที่ห้อง ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกันครับ” ผมตอบ พลางคิดในใจว่าพี่อย่าซักมากนักสิครับ ผมแต่งเรื่องไม่ทัน

“ดูหนังสือที่ห้องเหรอ” พี่ธิตทวนคำ พลางยิ้มแบบลึกลับ “แล้วน้องจะรู้สึก”

- - -

“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมขอสายบอยหน่อยครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ เมื่อผมมาถึงหอพัก หลังจากที่แยกกับพี่ธิตและเก็บของที่ห้องแล้วผมก็รีบลงมาโทรศัพท์

ปลายสายด้านโน้นเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็มีเสียงอันร่าเริงดังขึ้น

“ฮัลโหล”

“บอย นี่พี่เอง” ผมทัก “พี่กลับมาแล้ว”

“เย้ พี่อู หายไปหลายวันเชียว” เสียงบอยร้องดีใจ ผมอดรู้สึกหัวใจพองโตไม่ได้ มันดีใจขนาดนี้ แสดงว่าผมมีความหมายต่อมันพอสมควรทีเดียว

“พรุ่งนี้ว่างไหม” ผมถาม

“ว่างๆๆ” บอยรีบตอบ “พี่อูจะเลี้ยงใช่ไหม”

“ต่างคนต่างออกโว้ย” ผมพูด “ตอนนี้ยากจน”

“เฮอะ” ไอ้บอยร้อง

“พี่อูไม่รู้จักหน้าทิ่อีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับมัน ทั้งบอยและผมหัวเราะ

“พรุ่งนี้เจอกัน ที่เก่าเวลาเดิมนะ” น่าแปลกที่ผมรู้สึกอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้คุยกับไอ้บอย ครั้งนี้ก็เช่นกัน จนอดปล่อยมุขไม่ได้

“ที่เก่าน่ะที่ไหน เวลาอะไรอ่ะ” บอยงง

ที่เก่าเวลาเดิมเป็นสำนวนที่มาจากชื่อเพลงของวงโอเวชั่น สำนวนนี้ดังมาตั้งแต่ตอนผมอยู่ ป.๖ หรือ ม.๑ นี่แหละ ติดปากกันทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่น ไอ้บอยก็รู้จัก แต่มันคงงงที่ผมพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“เซ่อจริง” ผมถือโอกาสหลอกด่ามัน “ก็สยามสแควร์ไง เจอกันหน้าสกาล่า ห้าโมงเย็น ไม่ใช่ที่เก่าเวลาเดิมเหรอ”

“อ๋อ” ไอ้บอยหัวเราะฮิฮะ “สำนวนจากหนังสือเธอกับฉันนี่บอยไม่ค่อยทันหรอกฮะ ไม่ได้อ่านนี่”

ฟังเพลง ที่เก่าเวลาเดิม ของวงโอเวชั่น จากอัลบั้ม ที่เก่าเวลาเดิม ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๖

30 comments:

Choo said...

เข้ามาให้กำลังใจก่อนครับนายอู

ขอบคุณครับอาอู

แล้วจะมาเม้นต์ภายหลังคร้บ

ชู

Anonymous said...

ืรออ่านตอนนี้นานเลย
รอลุ้นว่า อูจะขยันไหม

Anonymous said...

อ่านตอนนี้จบแล้ว..รู้สึกดีจัง!!

คนลาดพร้าว

พี said...

อ่านตอนนี้แล้วเห็นอู เริ่มมีความหวัง(เรียน) และได้พุดคุยกับพ่อแล้ว ดีใจด้วยนะอู

ไม่ได้มาคอมเม้นต์ซะนาน มาแอบอ่านเรื่อยๆนะครับ แต่ตอนนี้เพิ่งเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ กำลังปรับสภาพอยู่ครับ ลงมาซะใต้ล่างเลย

P

naja said...

สู้ๆนะครับพี่อู

Anonymous said...

ความเรืองรองขึ้นมาทันตาเห็น
Federick

Anonymous said...

ดีใจที่อาอูกับอาบอยแฮปปี้ ชอบๆๆๆ
ขอให้แฮปปี้ไปเรื่อยๆ
ขอให้กอดกันซักทีนะ อิอิ

~*Cate Blanchett FC*~

nai said...

อ่านจบคิดถึงสำนวนไทย หลายๆสำนวน เช่น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ขิงก็ร่าข่าก็แรง

แต่ตอนหลังคิดถึง เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ

พ่อลูกมีนิสัยคล้ายๆกัน ก็เลยมีปัญหา คนเป็นพ่อไม่ว่าสมัยไหน ก็รักก็ห่วงลูกทั้งนั้นละครับ อยู่ที่วิธีแสดงออก

คิดว่าน่าจะจบตอนดราม่า ต่อไปเป็นแนวคิกคุ

ที่เก่าเวลาเดิมนะอู

นัย

Anonymous said...

สุขสันต์วันแห่งความรักครับ

อาอู

น้อย ส.ฎ

Anonymous said...

ก่อนอื่น สุขสันต์วันตรุษจีนแห่งความรักครับ อาอู

เดาว่าอาอูคงกำลัง หม่ำหนมเทียนอยู่ ห้าๆๆๆ

อ่านตอนนี้แอบดีใจกับนายอูที่อะไรๆเริ่มออกมาในแนวทางที่ดีขึ้น

รออ่านฉากเลิฟๆของนายอูกับบอยมั่ง

เขียนซะทีเหอะ เด๋วนี้นี่อาอู เริ่มดำเนินเรื่องไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนเลย แต่ละตอน 555+

ล้อเล่นนะครับ แค่อยากรู้เรื่องไวๆ แค่นั้นแหละ เลนรุสึกเหมือนแต่ละตอนมัน ซ้านนนน สั้น

หลานหนิง

Anonymous said...

มารักอาอูแล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ลืมบอกรักอาอูอ่ะครับ อิอิอิ
Federick

Anonymous said...

พัฒนาในทางที่ดีขึ้น

แบงค์ครับ

Anonymous said...

นัยของอู ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้างนะครับ จดหมายยังไม่ถึงรึครับ รอรอรอรอรอรอ ทั้งจดหมาย และตอนต่อไปครับ อิอิ

กัน

Anonymous said...

ตอนหน้าขออูเล่าความหลังเกี่ยวกับนัยบ้างได้ไหม
คนอ่านคิดถึงนัยใจจะขาด อยู่แล้ว
อูอย่าเอาบอยมาเล่าบ่อยซิ เพราะตั้งใจลุ้น นัย

แมว

Anonymous said...

ตอนหน้าขออูเล่าความหลังเกี่ยวกับนัยบ้างได้ไหม
คนอ่านคิดถึงนัยใจจะขาด อยู่แล้ว
อูอย่าเอาบอยมาเล่าบ่อยซิ เพราะตั้งใจลุ้น นัย
เมื่อไร หวานใจอานัย จะกลับมา

แมว

Choo said...

หวังว่าการเดินทางครั้งใหม่ของอูรอบนี้

คงจะไม่หักมุม หรือ เศร้าสร้อยจนเกินไปนะครับ

น่าจะมีช่วงเวลาของความสดใส สนุกสนานเหมือนวัยรุ่นคนอื่นบ้าง ไม่ทุกข์กับอดีตจนเกินไป เปิดใจเปิดโอกาสให้ตนเองอีกครั้ง

เริ่มจากน้องบอยก่อนก็ดีนะครับ แต่ผมก็แอบลุ้นน้องแป๋งอยู่นะ 3Some กับพงษ์ด้วยเลย

เพลงของวงโอเวชั่นเป็นเพลงย้อนจากเหตุการณ์ในตอนนี้ไปหลายปีเหมือนกัน น่าจะเกือบ 5 ปี ก็เลยหาเพลงในยุคเดียวกันมาฝากอีก เป็นเพลงของสาว สาว สาว เพลง "รักคือฝันไป" ปี 2525 ไม่แน่ใจว่าตอนหนังแฟนฉันเอาเพลงนี้มาโปรโมนต์ด้วยหรือเปล่า ลองฟังกันครับ

http://www.youtube.com/watch?v=7K60bSyzT1I

แล้วก็ฝังอดีตไปบ้าง เหมือนเพลงของบิลลี่ โอแกน "ฝังไว้ในพื้นดิน"ประมาณปี 2531 ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=6SuYEF38OO4

เป็นกำลังใจให้นายอูครับ

ชู

Anonymous said...

)^_^(ที่18 สวัสดีครับลุงฉลองมาเรียบร้อยคับวันนี้มีร้องโอเกะ กินพิซซ่า กินไอซมันสเตอร์ ช่วงนี้มันร้อนค้อดๆเลยนะครับ ยังไม่ได้ฟังเพลงของลุงเลยครับรีบมาหาลุงก่อนเป็นเว็บแรกเลย ลุงอูตอนเรียนมีสาวๆมาจีบไหมครับแล้วชอบบ้างไหมน่าจะรู้สึกดีนะครับมีคนมาเป็นห่วงด้วย เอ้วาเลนไทน์ที่ผ่านมาลุงไม่ได้เล่านี่น่า ป๋าอยากกินข้าวพร้อมๆกันนะครับลุงนัดน้องบอยออกมาคราวนี้ต้องคืบบ้างแล้วอยู่ม3แล้วหุหุ
ผมรู้ว่าลุงชอบเพลงคลาสสิก แต่อันนี้อย่างฮาเลยครับเอามาฝาก มีคนหนึ่งชื่อจู๋ด้วยแต่ไมรู้คนไหน ขอบคู้นค้าบบ
http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=120758 อยากอ่าต่อแล้วครับลุ้งงง

Anonymous said...

เอาใหม่ๆhttp://www.youtube.com/watch?v=zcRrsHhyz4I อันนี้ครับลุง)^_^(

Anonymous said...

เมื่อไหร่ บอย กะ อู จะได้กัน ได้กันแล้ว นัยค่อยกลับมา

Anonymous said...

ต้องขอโทาด้วยเข้ามาตอบคอมเมนต์ช้า ช่วงนี้งานเยอะนิดหน่อยครับ

พีลงใต้เหรอ หวังว่าคงปรับตัวได้แล้วนะ

ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปครับ ถึงนัยจะเป็นอย่างไรก็ตาม อุตส่าห์ลุกขึ้นมาได้แล้วไม่อยากล้มลงไปอีก

ไม่รู้เหมือนกันครับว่านัยเป็นอย่างไร ขาดการติดต่อไปเลย ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงยังไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับนัยมาเล่าครับ

ขอบคุณพี่ชูสำหรับเพลง เชื่อไหมว่าเมื่อไม่กี่เดือนนี้ยังได้ยินเพลงรักคือฝันไปของ สาว สาว สาว อยู่เลย ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าเพลงนี้ปีไหนหนอ ที่แท้ปี ๒๕๒๕ นี่เอง

ขอบคุณหลานที่สิบแปด เดี๋ยวจะเข้าไปฟังครับ วันตรุษจีนตรงกับวาเลนไทน์ ไปวิ่งออกกำลังกายมาครับ ไม่มีอะไรพิเศษ

อู

Anonymous said...

กลับมาแล้วครับนานๆจะเข้ามาเม้นท์ซักทีครับ ช่วงนี้งานยุ่งครับไม่ค่อยได้เมนท์เลยครับ แต่ก้อติดตามตลอดครับผม ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับอู เข้ามาก้อดีใจครับที่แฟนคลับอู เยอะขึ้นทุกวัน
ดีใจด้วยนะครับอู
กร ครับ

Anonymous said...

ผมพึ่งจะมาอ่าน ก็ไล่อ่านตั้งแต่วัยเด็ก จนภาคสามตอนสี่สิบแปดจบไปเมื่อก่อนวันตรุษจีนวันที่สิบสี่นี่เอง นี้ก็พึ่งจะผ่านมาได้สี่ ห้าวันเอง แต่ใจก็อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆ แต่ก็รู้ว่าแต่ละตอนที่ออกมาใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ก็มี
คุณอู นี้มีความพยายามนะครับ เขียนตั้งแต่ปี2007 ปัจจุบันปี2010 ตั้งแต่ชั้นประถม5จนถึงมัธยมปีที่4 อายุตามเรื่องเป็นเวลารวม 6 ปี ใช้เวลาเขียน 22Mar2007~13Feb2010 อีก36วัน จะครบ 3ปี ในการเขียนเรื่องนี้ อูอายุในเรื่องเริ่มที่10~12ขวบ จนตอนล่าสุดก็น่าจะอายุ 16 ได้มังครับ ถ้าอูอายุ20ปี อีก4ปี ก็ต้องใช้เวลาเขียน อีก2ปี ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ตามประสาของคนอยากอ่านนะครับ ก็ต้องรออ่านอยู่ดี ห้าห้าห้า
กัน

Anonymous said...

อ่านเม้นท์ข้างบนแล้วนึกถึงตอนที่มาเจอเรื่องของคุณอูใหม่ๆราวกลางเดือนม.ค.53 ตะลุยอ่านจริงๆเลยค่ะ
เรื่องของคุณอูมีเสน่ห์มากมายเลยนะคะ เล่นเอาระบบ
ความเป็นอยู่ของพี่เรรวนปรวนแปรไปพักใหญ่...
..ทุกวันนี้เข้าที่แล้วค่ะ..ได้แต่นั่งพับเพียบอย่าง
สงบเสงี่ยมเรียบร้อยรอคอยตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ..
ป.ล.หลานไวมาเม้นท์คนสุดท้ายตอนที่45ว่า..
ป้าอายุ50..ยังค่ะ..ยังห่างไกลหลายปีอยู่
เอ๊!แล้วพี่ments42หายไปไหนน๊า..?

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อายุอีกทีนะ
อาชู 39
อาอู 41
ป้าพราว 48
ลุงเม้นต์42 52
รวมกัน 4 คน แค่ 180 เอง
แค่ generation ที2 ของคนในบอร์ดนี่เอง
หลายอายุต่ำสุดในบอร์ดคงซัก 12 -13

Anonymous said...

ขอบคุณกันมากที่เอาลำดับเวลามาไล่เรียง แสดงว่าเป็นคนถี่ถ้วน

ที่จริงเรื่องนี้เขียนมาก่อนหน้าปี 2007 อีก แต่ว่าโพสต์ในบอร์ดปาล์ม เอามาทำเว็บบล็อกปี 2007 ครับ

คิดทีไรก็ใจหาย เขียนมาตั้งหลายปี อ่านไม่กี่วันก็ตามทัน แล้วอีกหน่อยผมจะเขียนทันได้ไง พี่สาวลาดพร้าวอ่านแล้วปวดท้องหรือไงครับถึงได้ทำให้ความเป็นอยู่แปรปรวน สงสัยจะเป็นเพราะอ่านภาค ๑ แน่เลย

คงไม่ได้เขียนไปอีกแปดปีสิบปีหรอกครับ จะพยายามให้อวสานไม่เกินปี ๒๕๕๔ หวังว่าคงทำได้นะ

อ้อ แล้วที่ลำดับอายุมาน่ะ ของคนอื่นไม่แน่ใจ แต่ของผมน่ะยังไม่ถูกครับ คงต้องไปไล่ พ.ศ. ดูใหม่แล้วล่ะ แล้วก็สาวลาดพร้่าวน่ะระดับอาเท่านั้น ใครเรียกป้า ยังไม่ถึงสักหน่อย

อู

Anonymous said...

ป.ล.

วันนี้มีจะโพสต์ตอน ๔๙ ครับ

อู

Anonymous said...

อาอูนะเหรอ 43 แล้วนะ

แจ๊ก

Anonymous said...

-หุ หุ และแล้วก็วนกลับมาที่เก่าเรื่องอายุ..
คนลาดพร้าวน่ะ..ปลายปีนี้ถึงจะ47ค่ะ
จะเรียกอาเรียกป้า..ตามสบาย..ยกเว้นยาย..อิอิ
-คุณอูนี่เอาใจแฟนคลับน่าดูเลยนะคะ..
ถึงไม่เอาใจก้อตามติดไม่มีปล่อยอยู่แล้วค่ะ
ลำพังมานั่งขีดเขียนในบล็อกให้อ่านฟรีๆก็เป็นภาระอยู่
พอสมควร..เหนื่อยไหมคะเนี่ย..งานประจำก็มีแถม
แฟนคลับไล่จี้มาติดๆ..
-ขอสารภาพว่าเจอเรื่องของคุณอูตอนแรกจากการหา
รูปไปกระเซ้าเพื่อนๆ(ภาคที่2ตอนที่31)อ่านไปก็
ตกใจเหมือนกันค่ะ..เดี๋ยวนี้น่ะหรือ..สบายมาก..
ที่บอกแปรปรวนคือมื้ออาหารกะการพักผ่อนค่ะ
-พี่ments42คะมาได้แล้วค่ะ..คุณอูเค้าจะมาโพสต์
ตอนที่49วันนี้แล้ว(เรียกหาผู้อาวุโสกว่ามาจองที่นั่ง
ด้วยเกรงว่าจะได้ตำแหน่งอาวุโสสูงสุด..555)
-ส่วนคุณชูน่ะเค้าดีกรีมากกว่าคุณอู1.75ปีค่ะหลาน
(ไม่รู้ชื่อ)ป่านนี้คุณชูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปแล้ว

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เย้ๆๆๆๆ จะได้อ่านตอนต่อไป วันนี้แล้ว
ตีตั๋วแถวหน้า ไม่ดีกว่า ตีตั๋วแถวหลัง หลบมุม เพื่อมีใครมานั่งเป็นเพื่อนดีกว่า เหมือนอูกับน้ย หนีโรงเรียนไปดูหนังโป๊ ห้าห้าห้าห้า

กัน