Monday, June 29, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 3

หลังจากที่เปิดเรียนไปได้แล้วสักระยะหนึ่ง ทำให้ผมมีโอกาสรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องมากขึ้น ผมจึงได้ตระหนักว่าห้องนี้เป็นห้องรวมดาวอย่างแท้จริง

ห้องนี้เป็นห้องที่รวมคนเก่งจากห้องอื่นมาไว้หลายคน มีที่หนึ่งของห้องจากตอน ม.๓ ก็สองคนแล้ว นอกจากนั้นยังมีระดับที่สองและที่สามของห้องอีกหลายคน

พัน เด็กที่เกรดเฉลี่ยสะสมของม.ต้นดีที่สุดในห้อง ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น พันเป็นเด็กผิวขาว หน้าตี๋ ใส่แว่นหนาเตอะ แม้จะได้ที่หนึ่ง แต่นิสัยของพันกลับไม่ได้เป็นเด็กเคร่งขรึมตามมาดเด็กเรียนทั่วไป ตรงกันข้าม พันเป็นเด็กที่ร่างเริง แถมลามกสัปดนไม่เบาเลยทีเดียว ใครก็นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ได้ที่หนึ่งของห้องจะลามกได้ขนาดนี้ เรื่องที่พันไม่ถนัดเอาเลยก็คือเรื่องกีฬา เพราะแว่นสายตาหนาเตอะเป็นอุปสรรค จะเล่นกีฬาอะไรก็ไม่สะดวก

มอน นายนพมาศประจำปีที่แล้ว แม้จะมีชื่อเสียงจากเวทีประกวด แต่ที่จริงแล้วมอนก็เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่ง ผลการสอบได้เกรดเป็นลำดับหนึ่งถึงสามของห้องตลอดมา มอนมีใบหน้ารูปไข่ ขาว ทั้งสวยและทั้งหล่อในใบหน้าเดียวกัน ประกอบกับบุคลิกนิ่มๆ รูปกายขนาดกะทัดรัด ทำให้รู้สึกว่ามอนเป็นเด็กที่น่ารักมาก ทำให้ผมชอบมองดูมอนอยู่เสมอ เวลานั่งเรียน มอนจะนั่งอยู่ข้างหน้าเยื้องไปทางขวา ทำให้ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างของมอนได้อย่างสบายโดยที่มอนไม่รู้ตัวเลย

แม้แต่ไอ้กี้ เพื่อนโต๊ะติดกันของผม ก็เป็นเด็กที่เรียนดีคนหนึ่ง เกรดของมันสามกว่าๆ ดีกว่าผมมาก ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจว่าถึงอย่างไรปีนี้ผมก็มีที่พึ่ง และก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นที่พึ่งของผมตลอดสามปีเพราะต่อไปเราจะไม่มีการคละห้องเรียนกันอีก

สำหรับพวกตัวแสบตัวจี๊ดที่นั่งกันอยู่ที่หลังห้องด้านริมหน้าต่างก็มีกันอยู่หลายคนที่เดียว หัวโจกของกลุ่มคือเวช ซึ่งนั่งทางด้านซ้ายของผมนี่เอง เวชเป็นเด็กที่ค่อนข้างก้าวร้าว ชอบแสดงออกด้วยการทำตัวเป็นผู้นำกลุ่ม เมื่อเป็นผู้นำของทั้งห้องไม่ได้ก็ขอเป็นผู้นำกลุ่มเด็กเกก็ยังดี เวชมักเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนๆและอาจารย์ด้วยการตั้งกองแซวอาจารย์ผู้สอนในวิชาต่างๆอยู่เสมอ

นอกจากเวชแล้วยังมีเด็กเกระดับรองหัวโจกอีกคน นั่นก็คือไอ้เกรียง เกรียงเป็นเด็กที่เพิ่งเข้ามาเมื่อตอน ม.๔ ไม่รู้ว่าเข้ามาได้อย่างไรเหมือนกัน ภารกิจหลักในชั้นเรียนของมันก็คือเป็นรองหัวหน้าแก๊ง ช่วยเวชแซวอาจารย์

นอกจากเวชและเกรียง ที่เป็นระดับหัวโจกแล้วก็ยังมีเด็กเกอีกสามสี่คนซึ่งคอยเป็นลูกสมุนให้สองคนนี้

- - -

ผมเดินไปดูห้องสหกรณ์ส่งเสริมการอ่านที่ผมเคยทำงานอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากที่เปิดเรียนไปได้ระยะหนึ่งสหกรณ์ก็เริ่มเปิดทำการ เมื่อผมเข้าไปที่นั่น ผมก็พบว่าภายในเวลาเพียงชั่วปีเดียวที่ผมห่างหายไป ผู้คนที่ผมรู้จักล้วนแล้วแต่หายหน้าไปจนหมด

พี่มั่วก็จบออกไปแล้ว พี่เอ้กับพี่หมีปีนี้ก็อยู่ชั้น ม.๖ ทั้งคู่ต่างก็มัวยุ่งกับการเตรียมสอบเอนทรานซ์ ไม่ได้ขึ้นมาทำงานที่นี่แล้วเช่นกัน พวกที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันล้วนแต่เป็นพี่ ม.๕ ที่ผมไม่รู้จัก นอกนั้นก็เป็น ม.๔, ม.๓ และ ม.๒ ที่ผมไม่รู้จักสักคน

ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ ภายในเวลาเพียงปีเดียว สหกรณ์ที่ผมเคยรักและผูกพันเปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้ จากสถานที่ที่เคยมีเพื่อนและพี่ๆที่คุ้นเคยและอบอุ่น สถานที่ซึ่งผมกับไอ้นัยเคยใช้วันเวลาร่วมกัน แต่ในวันนี้กลับกลายเป็นสถานที่ที่ผมเป็นคนแปลกหน้าไป

“พี่จะเช่าอะไรดีครับ การ์ตูนใหม่ๆก็มีครับ” น้อง ม.ต้นซี่งทำหน้าที่คอยบริการลูกค้ากล่าวทักทายเมื่อเห็นผมยืนเคว้งอยู่ น้องคนนี้หน้าตาคมคาย แจ่มใส ตอนรับด้วยอัธยาศัยอันดี มันทำให้ผมอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ทั้งผมและนัยต่างก็เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน... แต่วันนี้ทั้งผมและไอ้นัยต่างก็เติบโตขึ้น และต่างก็ต้องเดินไปตามเส้นทางที่ชะตาลิขิตเอาไว้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อผมมองดูหน้าของรุ่นน้องคนนี้ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเห็นอดีตของตนเองและไอ้นัยมาปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นเอง

“น้องชั้นอะไรน่ะ มาทำงานที่นี่นานหรือยัง” ผมถาม

“ม.๒ แล้วครับ เข้ามาทำตั้งแต่เทอมสอง ปีที่แล้ว” เด็กรุ่นน้องตอบด้วยเสียงแจ่มใส

“ขอพี่ดูทั่วๆก่อนละกัน” ผมบอก

น้องปล่อยให้ผมดูการ์ตูนและนิตยสารตามสบาย เนื่องจากผมไม่ติดการ์ตูนญี่ปุ่น จึงไม่ค่อยสนใจกับชั้นหนังสือการ์ตูนนัก ผมดูนิตสารไปเรื่อยๆ

นิตยสารที่อยู่ในชั้นก็เป็นนิตยสารหัวเดิมๆ เช่น แพรวสุดสัปดาห์ แพรว ฯลฯ นิตยสารแนวนี้เป็นแนวผู้ใหญ่หน่อย เอาไว้บริการอาจารย์ กับพวกแนววัยรุ่น เช่น เธอกับฉัน วัยหวาน ฯลฯ เอาไว้บริการพวกนักเรียนด้วยกัน แต่ผมเริ่มให้ความสนใจกับนิตยสารบางเล่มที่มีภาพปกเป็นนายแบบหน้าตาดี

นิตยสารเธอกับฉันและวัยหวานเป็นนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังในยุคของผม ว่ากันว่าพวกนักเรียนหญิงจะนิยมชมชอบนิตยสารที่ว่านี้มากกว่านักเรียนชาย แต่เนื่องจากพี่มั่วเคยลองเอามาแล้ววัยรุ่นชายก็มาเช่าไปอ่านเหมือนกัน เพราะเนื้อหาข้างในก็มีเกี่ยวข้องกับวัยรุ่นทั้งหญิงและชาย ไม่ได้เจาะจงขายเฉพาะเด็กผู้หญิง พี่มั่วก็เลยซื้อมาด้วยเสมอ บางทีผมและไอ้นัยก็เคยไปซื้อนิตยสารเหล่านี้มา แต่ไม่เคยสนใจมันเลย

ดาราหรือว่านายแบบชายที่นักเรียนหญิงกรี๊ดในสมัยนั้นก็มีอยู่หลายคน อย่างเช่น พี่นิว อธิป ทองจินดา พี่ต้อม พลวัฒน์ มนูประเสริฐ สองคนนี้มักขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นอยู่เสมอๆ ผมพลิกดูนิตยสารต่างๆในห้องโดยให้ความสนใจกับนายแบบชายหน้าตาดีมากกว่านางแบบสาวๆสวยๆ

“พี่จะเช่าเล่มนี้เหรอ” น้อง ม.ต้นคนเดิมเข้ามาชวนผมคุยอีก มันมองดูนิตยสารเธอกับฉันที่ผมถืออยู่ในมือแล้วก็มองไหมสีที่ปักอยู่บนอกเสื้อ จากนั้นก็อมยิ้ม

“ถามทำไมเหรอ” ผมถามกลับ ไอ้น้องคนนี้มันน่ารักดี ช่างเจรจากับลูกค้า ดูมันคล่องแคล่วกว่าผมในตอนนั้นเสียอีก

“ก็มันนิตยสารเของด็ก ม.ต้นอะพี่” ไอ้น้องพูดพลางอมยิ้มอีก

“มันเขียนบอกไว้ตรงไหนวะน้อง” ผมรีบวางนิตยสารลง ชักรู้สึกอยากเขกหัวไอ้น้องคนนี้เสียแล้ว

“ก็ไม่มีเขียนบอกตรงไหนหรอกพี่” คราวนี้น้องไม่อมยิ้มแล้ว แต่ยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาว “แต่เห็นพี่ๆเค้าไม่เช่ากันนี่ มีแต่เด็ก ม.ต้นมาเช่า”

“พูดกวนนัก เดี๋ยวเตะเสียเลย” ผมพูดยิ้มๆ “ชื่ออะไรวะ”

“บอยครับ” ไอ้น้องตอบ “พี่หน้าตาใจดี ไม่เตะผมหรอก” รู้จักประจบรุ่นพี่เสียอีก

ผมลงมาจากสหกรณ์มือเปล่า ไม่ได้เช่าอะไรติดมือมาเลย ที่จริงก็ไม่ได้คิดมาเช่าอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่อยากมาดูสถานที่ที่ผมและไอ้นัยเคยทำงานอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง การได้เจอบอยทำให้ผมนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมาและคิดถึงไอ้นัยอีก หัวใจของผมเริ่มปั่นป่วนดั่งระลอกคลื่นอีกครั้งหลังจากที่ได้พยายามทำใจมาแล้วเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี


<นิตยสารเธอกับฉัน นิตยสารวัยรุ่นที่โด่งดังในยุคนั้น ปัจจุบันก็ยังตีพิมพ์และวางจำหน่ายอยู่ ภาพนี้เป็นนิตยสารในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ หน้าปกเป็นภาพของ นิว อธิป ทองจินดา ดาราวัยรุ่นยอดนิยมในช่วงนั้น พี่นิวเสียชีวิตในปี ๒๕๓๐ จากอุบัติเหตุรถยนต์ ตอนเสียชีวิตอายุประมาณ ๒๓ ปี>


<อธิป ทองจินดา ถ่ายแบบในนิตยสารฉบับอื่นๆในยุคเดียวกัน>

Thursday, June 25, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 2

ที่โรงเรียน

การที่เอ๊ดสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ถือว่าเอ๊ดประสบความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง หลังจากที่ทุ่มเทให้กับการเตรียมตัวสอบมาถึง ๓ ปี ส่วนผมนั้นก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการศึกษาไปอีกขั้นหนึ่งเช่นกัน เพราะสามารถสอบผ่านจนจบชั้นมัธยมต้นและเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมปลายได้ แม้ว่าผลการเรียนลุ่มๆดอนๆก็ตามที

ปีนี้เนื่องจากขนาดตัวของผมใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ผมจึงสามารถใช้เสื้อผ้าบางชุดของปีที่แล้วได้ เสื้อทุกตัวทั้งเก่าและใหม่มีตราโรงเรียนปักด้วยไหมสีอยู่เหนือชื่อย่อโรงเรียนบนหน้าอกเสื้อ ตราโรงเรียนบนเสื้อนี้เป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจและเป็นความใฝ่ฝันของนักเรียนมัธยมต้นทุกคน รวมทั้งของผมด้วยเช่นกัน เพราะนั่นหมายถึงการเป็นพี่ ม.ปลาย นั่นเอง ในสมัยก่อน ก่อนที่ผมจะเข้ามาเรียนที่นี่ สัญลักษณ์ของนักเรียน ม.ปลายเคยใช้เป็นเข็มกลัดตราโรงเรียน แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นไหมสีปักบนหน้าอกเสื้อแทน

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีเพียงเครื่องหมายที่ปักเพิ่มบนอกเสื้อเท่านั้น แต่ชีวิตการเรียนทั้งหมดเปลี่ยนไปจากการเรียนในชั้น ม.ต้นมาก เพราะเมื่อเข้าสู่ชั้น ม.ปลาย นักเรียนต้องเลือกแผนการเรียน ซึ่งในตอนที่ผมเรียนก็มีอยู่ ๓ แผนก ได้แก่ สายวิทย์ สายศิลป์ภาษา และสายศิลป์คำนวณ การเรียนในชั้นมัธยมต้นเป็นไปอย่างสบายๆ แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้วนักเรียนทุกคนต้องเริ่มวางแผนชีวิตเพื่อมุ่งเข้าสู่มหาวิทยาลัย

ในวันลงทะเบียนเรียนในปีนี้ก็เช่นเดียวกับปีก่อนๆ นั่นคือ มาดูแผ่นประกาศจัดชั้นเรียนว่าใครเรียนอยู่ห้องไหน จากนั้นก็ไปชำระค่าลงทะเบียน หลังจากนั้นก็รอเข้าห้องประชุมเพื่อรับฟังการปฐมนิเทศ แต่ต่างกันอยู่เล็กน้อยตรงที่ในปีนี้นักเรียนต้องเลือกแผนการเรียนด้วย ซึ่งแผนกวิทย์หรือว่าสายวิทย์มีจำนวนห้องเรียนมากที่สุด คือมีถึงสิบกว่าห้อง ส่วนอีกสองแผนมีเพียงสองสามห้องเท่านั้น นักเรียนส่วนใหญ่มักเลือกเรียนสายวิทย์ เพราะสามารถต่อยอดการเรียนในมหาวิทยาลัยได้หลายคณะ ส่วนพวกที่อ่อนคำนวณก็ต้องเลี่ยงไปเรียนแผนกศิลป์ภาษาเพราะเรียนวิชาคำนวณไม่มาก สำหรับผมนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เลือกเรียนสายวิทย์เอาไว้ก่อน

การลงทะเบียนเรียนในปีนี้ดูอึกทึกและวุ่นวายกว่าปีก่อนๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพื่อนๆปิดเทอมกันมานาน ไม่ได้เจอกันหลายเดือน จึงมีเรื่องให้คุยกันมาก และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ได้ขึ้นชั้น ม.๔ จึงคุยกันโขมงโฉงเฉง

ขณะที่ผมมุงดูประกาศจัดชั้นเรียนอยู่ ผมก็รู้สึกว่ามีใครมาเขกหัวผมเบาๆ

“ไอ้ห่าตี๋” ผมหันไปมองคนที่เขกหัวผม ตี๋นั่นเอง

“รู้ห้องยัง” ตี๋ถาม

ผมพยักหน้า “ห้อง ๑๕”

“อยู่ชายแดนเลยนะมึง” ตี๋แซว เพราะว่าห้อง ๑๕ เป็นห้องสุดท้ายของชั้น ม.๔ ห้องเรียนอยู่สุดตึกพอดี

ผมไม่ค่อยชอบการจัดชั้นเรียนใหม่ทุกปีอย่างที่ใช้กันอยู่ เพราะเสียดายเพื่อนๆที่เพิ่งจะสนิทกันก็ต้องจากกันไปเสียแล้ว แต่สำหรับตี๋แล้วระบบนี้ดูจะเป็นเรื่องดีแก่มันเพราะทำให้มันลืมบาดแผลในอดีตไปได้เร็วขึ้น อีกทั้งเพื่อนใหม่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องราวเก่าๆของมัน

เราหลบมายืนคุยกันสักครู่ ตี๋ในวันนี้ดูสูงขึ้น เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมมองดูเสื้อนักเรียนของมัน คงเป็นเสื้อที่ใช้มานานพอสมควรแล้ว คอเสื้อเปื่อยเป็นขุย รองเท้าก็เป็นรองเท้าคู่เก่า เพียงแต่ยังไม่มีรูที่นิ้วก้อย สิ่งที่ใหม่เพียงอย่างเดียวในตัวมันน่าจะเป็นไหมสีที่ปักเป็นรูปตราโรงเรียนบนอกเสื้อ ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ ชีวิตของคนเราช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

“เป็นไงบ้างวะ” ผมถาม

“ก็เรื่อยๆ” ตี๋ตอบ “ไอ้นัยล่ะ เป็นไงบ้าง”

“ป่านนี้อยู่เมืองนอก คงสบายไปแล้ว” ผมตอบเลี่ยงๆ ไอ้ตี๋นี่ก็แปลก เพื่อนของผมตั้งมากมายมีให้ถามถึงก็ไม่ถาม เจาะจงถามถึงแต่ไอ้นัย ผมไม่แน่ใจว่ามันคิดอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมและไอ้นัย แต่ถึงอย่างไรตี๋ก็เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ ถึงมันจะรู้อะไร หรือว่าคิดอย่างไร มันก็เป็นเพื่อนที่ดีของผมเสมอมา

เราสนทนากันเล็กน้อย จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันไปทักทายเพื่อนคนอื่นๆ จากนั้นเมื่อได้เวลาก็เข้าไปนั่งในหอประชุมของโรงเรียนเพื่อรอฟังการปฐมนิเทศ

การปฐมนิเทศในปีนี้ดูจริงจังและแตกต่างกว่าทุกปีที่ผ่านมา ผู้อำนวยการโรงเรียนรวมทั้งคณาจารย์ต่างก็ขึ้นมาพูดถึงความสำคัญของการเรียนในระดับมัธยมปลาย เพราะมันเป็นบันได้ที่จะก้าวไปสู่มหาวิทยาลัย แต่ละคนต้องสร้างบันไดเพื่อทอดนำไปสู่ความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัยด้วยตนเอง และพยายามเน้นให้ทุกคนกระตือรือร้นและขวนขวายหาความรู้ให้มากที่สุด จะใช้พฤติกรรมการเรียนแบบเรื่อยๆสบายๆเหมือนเมื่อตอนมัธยมต้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

นอกจากนี้ นักเรียนในระดับ ม.ปลายจะไม่มีการจัดชั้นเรียนใหม่อีก นั่นหมายความว่า เพื่อนที่ร่วมห้องในชั้น ม.๔ ก็จะเป็นเพื่อนร่วมห้องตลอดไปจนจบ ม.๖ ทั้งนี้ เพราะว่าการเรียนในระดับ ม.ปลายจะเน้นให้นักเรียนมีการจับกลุ่มกันและพึ่งพากันในกลุ่มในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าคละนักเรียนกันใหม่ทุกปีเหมือนในระดับ ม.ต้นจะทำให้นักเรียนเกาะกลุ่มกันได้ยาก

สำหรับผม การเปลี่ยนแปลงไม่เพียงเกิดขึ้นในชีวิตการเรียนเท่านั้น แต่ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัวด้วย เพราะเมื่อเอ๊ดจากไป ผมก็ได้ครอบครองห้องนอนในบ้านที่กรุงเทพฯแต่เพียงผู้เดียว จะว่าดีก็ดีตรงที่อิสระและเป็นส่วนตัวดี แต่จะว่าไม่ดีก็ไม่ดีเพราะว่าเหงาอย่างแรง นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือผมต้องทำงานบ้านในส่วนของเอ๊ดด้วย ซึ่งนั่นเท่ากับว่าผมต้องทำงานบ้านเท่ากับคนสองคน ซึ่งเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ

- - -

วันเปิดเทอม

ในที่สุด วันแรกของชั้นมัธยม ๔ ของผมก็มาถึง ผมแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมลออ ออกจากไปขึ้นรถเมล์ตั้งแต่เช้ามืด

เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ผมก็ต้องชะงัก ในความขมุกขมัวของยามเช้า ผมเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยในชุดนักเรียนยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์และหันข้างให้ผม เงาร่างนั้นยังไม่ขึ้นไปบนรถเมล์ เหมือนกับรอใครบางคนอยู่

“ไอ้นัย!” ผมอุทาน พลางวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ

เมื่อเข้าไปใกล้ นักเรียนคนนั้นก็เดินขึ้นรถเมล์ไป อุปาทานทำให้ผมเห็นนักเรียนโรงเรียนอื่นเป็นไอ้นัย

ผมถอนใจด้วยความสะทกสะท้อน ที่ป้ายรถเมล์ยามเช้าตรู่ทำให้ผมอดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ หลายเดือนที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดไปอยู่กับครอบครัว สภาพจิตใจของผมดีขึ้นมาก ผมกลับมาร่าเริงได้ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ผมคิดถึงไอ้นัย ผมมักจินตนาการอยู่เสมอว่าไอ้นัยคงกำลังทำนั่นทำนี่อยู่ อย่างเมื่อวันที่ผมไปลงทะเบียนและปฐมนิเทศ ผมก็คิดไปว่าไอ้นัยก็คงขึ้นชั้นมัธยมปลาย และต้องเรียนอย่างหนักเมื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆด้วยเช่นกัน หรืออย่างตอนผมไปเรียนเปียโน ผมก็คิดไปว่าไอ้นัยก็คงกำลังเรียนกีตาร์อยู่ที่โน่นเหมือนกัน

- - -

เปิดเทอมวันนั้นรถติดมาก แม้ผมจะออกจากบ้านแต่เช้า แต่กว่าจะถึงโรงเรียนก็ใกล้เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว

ผมรีบตรงไปที่ห้องเรียนเพื่อจับจองที่นั่ง ห้องเรียนของชั้น ม.๔ ก็อยู่ตึกเดียวกับ ม.๓ เพียงแต่อยู่ชั้นบน ม.๓ อยู่สองชั้นข้างล่าง ส่วน ม.๔ อยู่สองชั้นข้างบน ห้องเรียนของผมนั้นอยู่สุดทางเดินของชั้นบนสุด

ปกตินักเรียนตัวสูงจะนั่งหลังชั้น ตั้งแต่ชั้น ม.๒ เป็นต้นมา จะเป็นที่รู้กันว่าด้านหลังของชั้นเรียนส่วนที่อยู่ใกล้หน้าต่างจะเป็นที่สิงสถิตของพวกนักเรียนเกๆ ส่วนพวกที่ตั้งใจเรียนแต่ตัวสูงจะนั่งหลังชั้นด้านใกล้ประตู เพราะไม่อยากอยู่ใกล้พวกนักเรียนเก ส่วนหลังชั้นตรงกลางๆระหว่างสองกลุ่มนั้นก็จะเป็นพวกตัวสูงและยังไงก็ได้

ปีที่แล้วผมได้นั่งค่อนไปทางด้านใกล้ประตู ซึ่งผมชอบมาก เพราะทำให้ผมสามารถมองเห็นไอ้นัยเวลามันเดินผ่านไปมาได้ สำหรับปีนี้ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจับจองด้านใกล้ประตูอีก

เมื่อผมไปถึงห้องเรียน นักเรียนส่วนใหญ่จับจองโต๊ะกันไปแล้ว ตัวเล็กก็จับจองข้างหน้า ตัวสูงก็จับจองข้างหลัง ตามธรรมเนียม โต๊ะหลังชั้นถูกจับจองไปเกือบหมด มีโต๊ะเหลืออยู่ตัวเดียวซึ่งค่อนไปทางด้านหน้าต่าง

เอาวะ นั่งตรงนี้ก็ได้ ผมคิด พลางเดินไปวางเป้ตรงโต๊ะเรียนแถวหลังสุดซึ่งเหลือว่างเพียงโต๊ะเดียว เพิ่งจะวางเป้ เสียงออดเรียกตั้งแถวเคารพธงชาติก็ดังขึ้น

หลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จเรียบร้อย เมื่อกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้งผมก็ได้เห็นหน้าเพื่อนทุกคน ผมมีเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในชั้น ม.๑, ม.๒ และ ม.๓ อย่างละนิดอย่างละหน่อย ส่วนที่เหลือแม้ไม่เคยเรียนด้วยกันแต่ก็คุ้นๆหน้า แต่ก็มีบางคนที่แปลกหน้าราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน

เพื่อนโต๊ะติดกันของผมปีนี้อยู่ด้านขวามือของผม เป็นเด็กผิวเหลือง คือไม่ขาว ออกไปทางผิวเหลืองมากกว่า รูปร่างผอมสูง แต่ดูแข็งแรง ไม่ใช่ผอมบาง ใบหน้าตี๋ๆ รูปไข่ ตาชั้นเดียว เวลาหัวเราะเกือบแยกไม่ออกว่ากำลังลืมตาหรือว่าหลับตาอยู่ มันแนะนำตัวว่าชื่อกี้

“อะไรกี้วะ” ผมถาม

“คุกกี้โว้ย” มันตอบเสียงดัง กี้เป็นคนเสียงดัง เอะอะโวยวาย ลักษณะเป็นคนตรงโผงผางแต่ไม่ใช่คนเกกมะเหรก

มึงเนี่ยนะคุกกี้ ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป หน้าตี๋ขนาดนี้ผมว่ามันน่าจะมาจากสุกี้หรือว่าเก๋ากี้อะไรทำนองนั้นมากกว่า

ห้องเรียนผมอยู่ชายแดน ที่นั่งของผมก็อยู่ชายแดนเช่นกัน เพราะว่าโต๊ะเรียนด้านซ้ายมือของผมทั้งหมดเป็นพวกกลุ่มเด็กเกที่ไม่ค่อยสนใจการเรียนมาอยู่รวมกัน

ผมมารู้ภายหลังว่าห้องเรียนของผมนั้นเป็นห้องพิเศษ พวกอาจารย์แอบเรียกกันว่าเป็นห้องรวมดาว เพราะว่ามีดาวเด่นหลายคนมารวมกัน มีทั้งเด็กเรียนเก่งระดับที่หนึ่งของห้องอื่นอยู่ ๒ คน มีทั้งนายนพมาศจากชั้น ม.๓ ที่รวมความหล่อและความสวยเอาไว้ในคนคนเดียวกัน มีนักกีฬาดาวเด่นของโรงเรียน มีเด็กเกเรระดับหัวโจก และมีนักเรียนเข้าใหม่ที่มาจากโรงเรียนอื่น รวมเบ็ดเสร็จอยู่ในห้องเดียวกัน

เหตุที่โรงเรียนของเราต้องรับเด็กนักเรียนใหม่เข้ามาเรียนในระดับชั้น ม.๔ ก็เพื่อทดแทนเด็กนักเรียนที่ออกไปตอนจบชั้น ม.๓ เนื่องจากมีเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่งที่สอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้และลาออกไป

เป็นเรื่องปกติที่เมื่อเรียนถึงชั้น ม.๓ ก็จะมีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ต้องการสอบเข้าไปเรียนต่อในระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมฯ ทั้งนี้เพราะเป็นความเชื่อในยุคนั้นว่าหากเรียนที่โรงเรียนเตรียมฯจะสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นนักเรียนที่มุ่งมั่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆก็จะมีส่วนหนึ่งไปสอบเข้าโรงเรียนซึ่งติดแต่เข็มพระเกี้ยวสีทองบนเสื้อแต่ไม่ปักอักษรย่อของโรงเรียนแห่งนี้

สำหรับผมนั้น เมื่อตอนที่อยู่ชั้น ม.๓ ผมไม่เคยสนใจเรื่องนี้เพราะไม่ได้คิดย้ายโรงเรียนไปไหน เหตุผลประการที่สำคัญที่สุดก็คือไอ้นัยไม่เคยคิดย้ายโรงเรียนไปเรียนที่อื่นนั่นเอง

- - -

หลังจากที่คณาจารย์ให้โอวาทและสร้างกำลังใจให้แก่พวกนักเรียนด้วยการปฐมนิเทศแล้ว ทำให้พวกเรารู้สึกกระตือรือร้นต่อการเรียนในชั้น ม.๔ มากขึ้น รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงไปบ้าง สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา เราต้องย้ายไปเรียนอีกตึกหนึ่ง ไม่ได้เรียนในห้องเรียนประจำของเรา ห้องเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของพวก ม.ปลาย ที่ต้องจัดแยกออกไปก็เนื่องจากต้องมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์และมีการทำการทดลองไปด้วยในขณะที่เรียนนั่นเอง

นอกจากห้องเรียนวิทยาศาสตร์แล้ว ห้องอีกห้องหนึ่งที่จัดมีไว้สำหรับบริการนักเรียนชั้น ม.ปลาย ได้แก่ ห้องแนะแนว ที่จริงห้องแนะแนวนี้ระดับชั้นไหนจะมาขอรับการปรึกษาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่นักเรียน ม.ต้น จะไม่ค่อยมาใช้ และถึงแม้ว่าห้องแนะแนวจะมีไว้สำหรับชั้น ม.ปลาย ก็ตาม แต่จากที่ผมสังเกต นักเรียนที่เข้าไปขอรับการปรึกษาก็น้อยเต็มที ห้องพยาบาลดูจะยังมีนักเรียนไปใช้มากกว่าเสียอีก

สำหรับผมนั้น ชั้นเรียนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่ๆ และเป้าหมายในชีวิตใหม่ๆ ได้ทำให้ผมมีความกระตือรือร้นมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเรียนในชั้น ม.๒ และ ม.๓ ของผมค่อนข้างจะลุ่มๆดอนๆ ทำให้ผมต้องพึ่งเพื่อนอยู่เสมอในเรื่องการบ้านและรายงาน พอมาถึงชั้น ม.๔ นี้ก็ทำให้ผมรู้สึกขี้เกียจทำงานอยู่บ้างเพราะความที่เคยพึ่งผู้อื่นมานานนั่นเอง

ฟังเพลง สายชล
ฟังเพลง สายชล (สำรอง)
ฟังเพลง นกกับรถ


<อัลบั้มชุด สายชล ผลงานของจันทีนย์ อุนากูล (ชื่อ และสกุลในขณะนั้น ปัจจุบันคือ จันทนีย์ (อูนากูล) พงศ์ประยูร) วางตลาดในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นผลงานเพลงที่โด่งดังมากในยุคนั้นและอีกหลายปีต่อมา ได้รับรางวัลพระราชทานแผ่นเสียงทองคำจากยอดขายสูงสุดในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ผลงานเด่นในอัลบั้ม ได้แก่ เพลงสายชล, ลองรัก, เธอ, นกกับรถ ฯลฯ คนที่ไม่เคยผิดหวังในเรื่องความรักฟังแล้วอาจไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับผมยามที่อยู่ริมบึงน้ำและนึกถึงเพลงนี้จะรู้สึกเศร้าและอ้างว้างมาก>

Tuesday, June 23, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 1

เดือนเมษายน

หลังจากที่ไอ้นัยจากไปแล้ว ชีวิตของผมก็เหมือนกับว่าหายไปครึ่งชีวิต ผลการเรียนของผมตกต่ำลงอย่างมากเนื่องจากไม่มีกะจิตกะใจเรียนหนังสือ นอกจากนี้ ผมยังต้องคอยหวาดระแวงอยู่เสมอว่าพวกผู้ใหญ่อาจกำลังสืบเสาะความลับของผมและไอ้นัยอยู่ สภาพจิตใจของผมจึงไม่ค่อยดีนัก จนเมื่อได้กลับมาอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ความรักในครอบครัวได้ช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของผม สภาพจิตใจของผมจึงค่อยดีขึ้นบ้าง


ผมได้ไปที่บึงน้ำเพียงครั้งเดียว ที่นั่น ยามเมื่อไม่มีไอ้นัย ช่างเงียบเหงาสิ้นดี มันทำให้ผมรู้สึกเดียวดายจนไม่กล้าอยู่ที่นั่นนานๆ ผมตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าไม่มีไอ้นัย ผมจะไม่มาที่นี่อีก ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ผมจะไม่มาที่นี่คนเดียวอีกเพราะว่าผมต้องการมาพร้อมกับไอ้นัย หรือเป็นเพราะว่าผมกลัวที่จะมาคนเดียวกันแน่

ในช่วงเวลาปิดภาคตั้งแต่เริ่มแต่ต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นมา เอ๊ดไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดเลยเพราะมัววุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ เอ๊ดใช้เวลาก่อนสอบในการติวอย่างหนัก จนหลังจากสอบเอ็นทรานซ์เสร็จในช่วงต้นเดือนเมษายนแล้วเอ๊ดจึงค่อยกลับมาที่บ้าน

“อู กินขนมเสียหน่อย” แม่ชวนผมกินขนมในบ่ายวันหนึ่ง ขนมนี้แม่ไม่ได้ทำเอง แต่ซื้อมาจากตลาด

ช่วงเวลาปิดเทอมที่ผ่านมานี้ ผมใช้เวลาอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ รู้สึกหมดความกระตือรือร้นที่จะออกไปเล่นนอกบ้าน อยากอยู่ใกล้ๆพ่อกับแม่มากกว่า เพราะมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ คลายความว้าเหว่ลงได้มาก

“ผลการเรียนของอูปีที่แล้วตกลงไปนะ” แม่ชวนคุย

ผมเฉยๆ ไม่พูดอะไร ปกติแม่ไม่ค่อยถามไถ่เรื่องผลการเรียนของผม

“พอนัยไม่อยู่ ผลการเรียนของอูก็ตกเลย แม่บอกแล้ว ว่านัยเป็นเด็กดี พึ่งพาได้ นี่พอนัยไม่อยู่เลยไม่มีใครคอยดูแลอู” แม่พูด ผลการเรียนของผมตกเพราะผมเสียใจ แต่แม่กลับคิดไปว่าเป็นเพราะไอ้นัยไม่อยู่ดูแลผม “นัยไม่ได้มาที่นี่สองปีแล้วนะ ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

ผมรู้สึกตื่นเกร็งขึ้นมาในทันที จู่ๆแม่ก็พูดถึงไอ้นัย กระตุ้นให้ผมรู้สึกหวาดระแวง เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณอาของไอ้นัยอาจจะโทรมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ที่บ้านของผมฟัง แม่จึงพยายามตะล่อมถามผม

“เออ แม่ไม่เห็นอูเขียนจดหมายถึงนัยเลย ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ” แม่ถามต่อ

“เขียนไปแล้วแม่” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“อูเขียนตอนไหนเหรอ แม่ไม่ยักเห็น” แม่สงสัย

“ก็ตอนกลางคืนอ่ะ อูเขียนดึกๆ แม่เลยไม่เห็น” ผมตอบ เริ่มรู้สึกอึดอัด

“แล้วไม่เห็นนัยเค้าตอบมาเลย” แม่สงสัยอีก

“เอ้อ ช่วงนี้มันคงยุ่งอยู่น่ะแม่ ถ้าหายยุ่งแล้วก็คงเขียนมาแหละ” ผมพูด ว่าแล้วก็รีบเดินหนีไปในทันที ถ้าขืนนั่งกินขนมอยู่ต่อไปอาจถูกจับพิรุธได้

ผมต้องคอยหวาดระแวงอยู่เสมอ ตอนอยู่ที่บ้านคุณลุงที่กรุงเทพฯ ผมก็ต้องคอยผวาเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ เพราะเกรงว่าคุณอาของไอ้นัยจะโทรมาสอบถามอะไรอีก พอกลับมาบ้านที่ต่างจังหวัดก็ต้องคอยระแวงพ่อกับแม่

- - -

หลังจากที่เอ๊ดสอบเอ็นทรานซ์เสร็จและกลับมาบ้าน ผมค่อยสบายใจขึ้นบ้าง เพราะผมรู้ว่าพอจะไว้ใจเอ๊ดได้บ้าง เพราะจากที่ผ่านมา เอ๊ดคงพอระแคะระคายอะไรอยู่บ้าง เนื่องจากการดำเนินชีวิตของผมอยู่ในสายตาของเอ๊ดโดยตลอด แต่หลังจากวันที่ไอ้นัยจากไป เอ๊ดก็ไม่เซ้าซี้หรือพยายามคาดคั้นอะไรจากผมอีก

“โอ๊ย เปิดซ้ำเปิดซากอยู่นั่นแหละ เบื่อจะตายอยู่แล้ว ฟังเพลงอื่นไม่เป็นหรือไง” เอ๊ดบ่นขึ้นมาในวันหนึ่ง หลังจากที่ฟังเพลง ‘ฟ้ายังมองเรา’ ของนันทิดา แก้วบัวสาย เป็นครั้งที่หนึ่งร้อยกว่า

“ก็ชอบฟังอ่ะ” ผมตอบ ผมนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่ในห้องขณะที่เอ๊ดนั่งเขียนอะไรอยู่ที่โต๊ะทำงาน

ก่อนกลับบ้าน ผมได้ซื้อเทปเพลงมาสองสามม้วน หนึ่งในเทปเหล่านั้นเป็นอัลบั้มออกใหม่ของพี่ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย นักร้องสาวซึ่งกำลังโด่งดังมากในยุคนั้น ชื่อชุด ‘เมื่อวันฟ้าสวย’ อัลบั้มชุดนี้ออกเมื่อปลายปีที่แล้ว มีเพลงไพเราะในนั้นหลายเพลง แต่เพลงที่ผมชอบมากที่สุดก็คือเพลง ‘ฟ้ายังมองเรา’ ผมอาศัยเพลงนี้ให้กำลังใจแก่ตนเอง ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้ผมจะนึกถึงไอ้นัย อยากให้มันได้ฟังเพลงนี้ด้วย จะได้มีกำลังใจสู้กับชีวิตต่อไป

นัย ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหนนะ ทำไมไม่เขียนจดหมายมาหากูบ้างเลย กูคิดถึงมึงมากรู้ไหม ผมคิดในใจ ตั้งแต่จากกกัน ไอ้นัยไม่เคยติดต่อผมเลย ผมหลอกแม่ว่าเรามีการติดต่อกัน แต่ที่จริงจดหมายสักฉบับไอ้นัยก็ไม่เคยเขียนมา ตอนที่มันจากไปใหม่ๆ ผมโทรศัพท์มาถามแม่บ่อยๆว่ามีจดหมายจากไอ้นัยส่งมาที่บ้านบ้างไหม แต่พอถามไปได้สักช่วงหนึ่งผมก็เลิกถาม เพราะเกรงทางบ้านสงสัย

“เอ้า เอานี่ไป” เอ๊ดพูด กระชากผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมเห็นเอ๊ดเอาแบงก์ร้อยสองใบวางบนเตียงข้างๆตัวผม

“ให้เงินอูทำไมน่ะ” ผมงง

“ค่าจ้างให้เลิกเปิดเพลงนี้ ถ้าไม่พอบอกได้นะ” เอ๊ดพูด

ผมรีบเก็บเงินใส่กระเป๋าทันที อยู่ดีๆก็ได้เงินใช้ฟรีๆ

“อย่าเปิดอีกนะ” เอ๊ดกำชับ

“อะไรกัน อูไม่ได้รับปากอะไรเสียหน่อย” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“อ้าว แล้วเอาเงินไปทำไม” เอ๊ดถาม “งั้นเอาเงินคืนมา”

“อ้อยเข้าปากช้างแล้วจะเอาคืน เห็นจะยาก” ผมใช้วิชาดื้อด้าน

“ไอ้ขี้โกง” เอ๊ดด่า แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม

ช่วงหลังนี้ดูเอ๊ดดีกับผมมากขึ้น บางทีก็แกล้งแหย่ผมเพื่อให้ผมอารมณ์ดี วันนี้ถึงขนาดลงทุนด้วยเงินสองร้อยบาทเพื่อแหย่ผม

ที่จริงยังมีเรื่องที่เอ๊ดไม่รู้ นั่นก็คือ ช่วงก่อนที่เอ๊ดจะกลับมา ผมยังมีเทปอีกม้วนหนึ่งที่ผมเปิดฟังแล้วแล้วฟังอีก นั่นคือเพลง ‘สายชล’ จันทนีย์ อุนากูล แต่ผมมักเปิดฟังตอนอยู่คนเดียวในห้องตอนดึกๆ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงรัก ถ้าเปิดบ่อยๆให้ใครได้ยินอาจเป็นที่สงสัยได้

เพลงสายชลนี้โด่งดังมาหลายปีแล้ว น่าแปลกที่เมื่อก่อนผมฟังแล้วก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้พอฟังในยามดึก ขณะที่อยู่คนเดียวเงียบๆทีไร มันอดรู้สึกอ้างว้างไม่ได้...

- - -

เดือนพฤษภาคม

ความอบอุ่นของชีวิตครอบครัวดำเนินต่อไปได้อีกไม่นาน ในที่สุดก็ถึงวันที่เอ๊ดต้องจากผมไป เพราะว่าเอ๊ดไม่ได้สอบติดในกรุงเทพฯ แต่ไปติดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

ข่าวนี้ทำให้ผมใจหาย เพราะนั่นหมายความว่าเอ๊ดจะต้องย้ายออกไปจากบ้านคุณลุง และต่อไปผมจะต้องอยู่ที่บ้านนี้กับคุณลุงและคุณป้าเพียงสามคน

ตอนอยู่ชั้นประถม ผมคุ้นเคยกับชีวิตที่อยู่ห่างไกลครอบครัวแบบเด็กหอ แต่พอมาพักอยู่ที่บ้านคุณลุงกับเอ๊ดได้สามปี ผมก็เคยชินกับชีวิตที่อยู่กับพี่ชายเสียแล้ว มาถึงตอนนี้ ไอ้นัยก็จากไป เอ๊ดก็จะจากไปอีก มันทำผมรู้สึกใจหายและอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตในรอบปีที่ผ่านมาช่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายจริงๆ

เมื่อผลสอบเอ็นทรานซ์ประกาศอย่างเป็นทางการ พ่อ เอ๊ด และผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ สำหรับผมนั้นมาเพื่อรายงานตัวและลงทะเบียนเรียนในชั้น ม.๔ ส่วนเอ๊ดมาเพื่อเก็บข้าวของ

ในวันที่เอ๊ดเดินทางไปเพื่อเรียนต่อ ที่บ้านของเรา พ่อ แม่ และผม ต่างก็ไปส่งเอ๊ดที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เอ๊ดเดินทางไปพร้อมกับรุ่นพี่ที่คณะและเพื่อนร่วมรุ่นที่สอบได้ในปีนั้น ใบหน้าของพ่อและแม่เปื้อนไปทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ผมคิดว่าน้ำตาของพ่อและแม่เป็นน้ำตาของความปีติที่สามารถเห็นลูกชายประสบความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งในชีวิต แต่สำหรับผมนั้นมีแต่ความเศร้าสร้อย ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมผูกพันกับเอ๊ดมากขนาดนี้ ผมเพิ่งมาตระหนักก็ต่อเมื่อเอ๊ดกำลังจะจากไป... มันก็เหมือนกับไอ้นัย... กว่าที่ผมจะตระหนักถึงความสำคัญที่มันมีต่อผมก็ต่อเมื่อมันได้จากไปแล้ว...

ฟังเพลง ฟ้ายังมองเรา
ฟังเพลง ฟ้ายังมองเรา (สำรอง)


<อัลบั้ม เมื่อวันฟ้าสวย ของนันทิดา แก้วบัวสาย วางแผงในช่วงปลายปี ๒๕๒๙ เป็นผลงานในยุคต้นๆของเธอ ในอัลบั้มนี้มีเพลงดังอยู่หลายเพลง หลายเพลงยังโด่งดังมาจนถึงปัจจุบันนี้ อาทิ ฟ้ายังมองเรา หักใจให้ลืม บอกหน่อยได้ไหม ฯลฯ โดยเฉพาะเพลง บอกหน่อยได้ไหม เป็นที่นิยมร้องในหมู่คนที่ทำงานแล้ว และมักร้องหลังกลางเดือนเป็นต้นไป โดยนำไปร้องแบบขำๆว่า เบิกหน่อยได้ไหม >

Monday, June 22, 2009

ภาคสาม (วัยแสวงหา)

เกริ่นนำ

เรื่อง “ผิดตรงไหน ก็แค่ผู้ชายรักกัน” นี้เป็นภาค ๓ จากเรื่อง “เรื่องของอู” โดยภาคแรก (วัยเด็ก) เป็นเรื่องราวในวัยเด็กของเพื่อนรัก ๓ คน คือ นัย ชัช และอู ขณะเรียนอยู่ชั้นประถม ส่วนภาคสอง (วัยฝัน) เป็นเรื่องราวในลำดับต่อมาเมื่อทั้งหมดต่างเติบโตเป็นวัยรุ่นและเข้าสู่ชั้นมัธยมต้น อันเป็นวัยแห่งความฝันอันสดใส

วัยรุ่นตอนต้นเป็นช่วงเวลาที่จิตใจยังบริสุทธิ์และสดใสแบบเด็กๆ ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีความมุ่งมั่นและความใฝ่ฝัน ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต นัยและอูได้ย้ายออกจากโรงเรียนเดิมมาเรียนในโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ด้วยกัน และที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ ทั้งคู่ต่างเติบโตขึ้น และเปลี่ยนจากความรักฉันเพื่อนในวัยเด็ก กลายเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งสังคมทั่วไปในยุคนั้นยังไม่เปิดกว้างยอมรับ พร้อมกับความสับสนทางอารมณ์ ความไม่เข้าใจตนเอง และการไม่ยอมรับตนเอง

ในที่สุดแต่ละคนก็ต้องก้าวสู่เส้นทางที่พวกเขาจำเป็นต้องเดิน ไม่ว่าจะอยากเลือกหรือไม่ก็ตาม นัยก้าวเดินผิดพลาดบนเส้นทางชีวิต ทำให้ผู้ปกครองของนัยรู้ความจริงว่านัยเป็นเกย์ และถูกส่งไปเรียนต่อยังต่างประเทศอย่างกะทันหัน ส่วนอูนั้นเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม และได้เรียนรู้ความเจ็บปวดของการพลัดพราก

ภาคสาม (วัยแสวงหา) นี้เป็นเรื่องราวต่อมาเมื่ออูเติบโตขึ้นและตระหนักว่าตนเองเป็นเกย์ อูเติบโตในบริบทของสังคมยุคที่สังคมทั่วไปยังมองรักร่วมเพศเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ในช่วงนั้นเป็นยุคต้นที่เอดส์แพร่ระบาด และคนทั่วไปทั้งหวาดกลัวและรังเกียจโรคนี้ด้วยเห็นเป็นโรคมรณะ และเนื่องจากโรคนี้แพร่กระจายในหมู่ชายรักร่วมเพศ ดังนั้นจึงมีคนบางส่วนจึงเข้าใจไปผิดไปว่าเกย์เป็นต้นตอของการแพร่ของโรคเอดส์ รวมทั้งบางคนก็คิดเลยเถิดไปถึงว่าเกย์ทุกคนในที่สุดต้องจบชีวิตลงด้วยโรคมรณะนี้ ดังนั้นรักร่วมเพศจึงยิ่งกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวและน่ารังเกียจสำหรับคนบางคน

จากบริบทของสังคมดังกล่าว แม้อูจะตระหนักว่าตนเองเป็นเกย์ แต่บางครั้งก็ยากที่จะยอมรับในธรรมชาติของตนเองได้ อูเก็บซ่อนมันเอาไว้ในเงามืดของจิตใจ ไม่ยอมให้ใครเข้ามาพบเห็น ประกอบกับต่อมาอูได้รู้ว่าแท้ที่จริงตนเองเป็นต้นเหตุให้นัยก้าวเดินผิดพลาดในชีวิต จึงถูกติเตียนจากมโนธรรมอย่างรุนแรงตลอดมา อูได้ใช้เวลาในช่วงต่อมาเพื่อการแสวงหา... แสวงหานัยเพื่อนรักที่พลัดพรากจากไป รวมทั้งแสวงหาความหมายของชีวิตและคุณค่าของการดำรงอยู่ เพื่อที่จะดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ พร้อมกับมีสันติสุขในจิตใจ

บุคคล และสถานที่ ที่ปรากฏในเรื่องนี้ ล้วนแต่เป็นการเขียนขึ้นจากจินตนาการทั้งสิ้น มิได้มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้น หากมีบุคคลหรือสถานที่ในเรื่องที่เหมือนหรือคล้ายกับบุคคลหรือสถานที่ที่มีอยู่จริง ขอให้ทราบว่านั่นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

Monday, June 15, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 92 (อวสาน)

ไอ้นัยเงียบไปชั่วขณะ แล้วพูดต่อ “คุณอาเค้าสงสัยมึงนะ ถ้าใครมาถามอะไร มึงอย่ารับ กูไม่ได้พูดอะไรเลย”

พูดเพียงเท่านี้ผมก็รู้ดีว่าไอ้นัยหมายถึงเรื่องอะไร ผมรู้ว่าไอ้นัยไม่ใช่คนปากโป้ง ที่แท้คุณอาอำเพื่อหลอกถามผมจริงๆ

ไอ้นัยปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรเพราะต้องการปกป้องผมเอาไว้ มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าแล้วเราสองคนผิดตรงไหน มันก็แค่เด็กผู้ชายสองคนที่รักกัน เราไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เหตุใดจึงต้องชิงชังรังเกียจกันขนาดนี้

ไอ้นัยเงียบไปอีก หลังจากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “เราต้องจากกันแล้วนะอู”

ผมใจหายวาบ ได้ยินไอ้นัยพูดต่อไปอีก “เค้าไม่ให้กูอยู่ที่นี่แล้ว เค้าไล่กูไปเรียนที่อเมริกา กูไปวันพุธนี้นะ เครื่องบินออกตอนเช้า หกโมงห้าสิบ”

มันกะทันหันจนผมตั้งตัวไม่ทัน ผมพูดอะไรไม่ออก ไอ้นัยพูดต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือยิ่งขึ้น

“อู มึงโกรธกูมากไหม”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ก็มีเสียงผู้หญิงตะโกนดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์

“นัย ทำอะไรอยู่น่ะ”

เสียงไอ้นัยขาดหายไป กลายเป็นเสียงสัญญาณสายไม่ว่างแทน...

ผมวางหูโทรศัพท์ลงอย่างซึมเซา ไม่เลยนัย กับเรื่องที่เกิดขึ้นวันก่อน ก่อนหน้านี้กูก็คิดมากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้ว กูรักมึงเกินกว่าที่จะถือโทษมึงได้ ถึงคุณอาชิงชังรังเกียจมึง ขับไล่ไสส่งมึง แต่กูรักมึง ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ยังทันได้บอกมัน

เราต้องจากกันแล้วนะอู คำพูดของไอ้นัยก้องอยู่ในหูของผม เราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่าจะปลูกบ้านอยู่ติดกัน ผมไม่เชื่อเลยว่ามันจะมีวันที่เราต้องจากกันเช่นนี้ได้

ผมรู้สึกหวาดกลัว... กลัวที่จะต้องอยู่ต่อไปโดยไม่มีไอ้นัย ผมนึกไม่ออกว่าชีวิตของผมจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรโดยไม่มีไอ้นัย มาถึงตอนนี้ผมเพิ่งจะรู้ว่ามันมีความหมายต่อผมเพียงใด... มันมากเกินกว่าที่ผมรับรู้และเข้าใจได้เสียอีก… ผมเพิ่งมาได้สำนึกเมื่อตอนที่กำลังจะเสียมันไปนี่เอง

- - -

ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ คืนนั้นผมฝันวุ่นวายมาก ทั้งวุ่นวาย ทั้งน่ากลัว จนบางทีต้องสะดุ้งตื่น แต่ก็จำเนื้อเรื่องไม่ได้ จำได้แต่เพียงว่ามันน่ากลัวมาก ผมต้องนอนแบบหลับๆตื่นๆทั้งคืน

“อู อู อู” ผมรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัว พร้อมกับได้ยินเสียงคนเอะอะรอบๆตัวผม

“ตัวร้อนจี๋เชียว” ผมได้ยินเสียงคนพูด

ผมถูกเขย่าตัวอย่างแรง สักพักก็รู้สึกว่ามีคนเอาอะไรเปียกๆมาเช็ดใบหน้าและแขนของผม ผมค่อยๆลืมตาขึ้นดูโลก ผมเริ่มรู้สึกตัวพร้อมกับรู้สึกปวดหัวและปวดเบ้าตา

จากนั้นผมรู้สึกจำอะไรไม่ค่อยได้ มาจำได้อีกทีก็ตอนอยู่ในห้องตรวจของหมอ คุณลุงกับเอ๊ดพาผมมาหาหมอที่โรงพยาบาล

หลังจากตรวจเสร็จเรียบร้อย เราทั้งสามคนก็ออกมารอที่หน้าห้องจ่ายยา เอ๊ดเอาแต่คอยถามผมว่าเป็นไงบ้างอยู่ตลอดเวลา สีหน้าของเอ๊ดเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

เอ๊ดเล่าให้ผมฟังว่า ขณะที่เอ๊ดตื่นนอนและลงมาข้างล่างตอนเช้ามืดเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน เอ๊ดเห็นผมนอนอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อจับตัวผมก็พบว่าตัวผมร้อน จึงไปปลุกคุณลุงคุณป้าลงมาดู คุณลุงเห็นว่าผมมีไข้สูงจึงรีบพามาส่งโรงพยาบาล

ผมถูกพาตัวกลับบ้าน หลังจากที่ได้ยาไปสักพักไข้ก็ลด อาการปวดหัวปวดเบ้าตาก็เริ่มสร่าง แต่ยังรู้สึกอ่อนเพลีย คุณป้าสั่งให้ผมหยุดเรียนในวันนั้น ส่วนคุณลุงเมื่อกลับมาส่งผมที่บ้านเรียบร้อยก็รีบไปออกทำงานเพราะสายแล้ว เอ๊ดเองก็ไปโรงเรียนสาย พ่อและแม่เมื่อรู้ข่าวต่างก็โทรมาถามอาการด้วยความเป็นห่วง

ทุกคนในบ้านพยายามถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงได้ไปนอนจับไข้อยู่ที่ชั้นล่างในสภาพน้ำตาเกรอะกรังใบหน้า อาการป่วยครั้งนี้ผมเองก็ไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าจู่ๆก็ผล็อยหลับไป จากนั้นก็ฝันร้าย ต่อจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย

วันนั้นเป็นวันอังคาร รุ่งขึ้นไอ้นัยก็จะต้องจากผมไปแล้ว วันนั้นผมเอาแต่นอนทั้งวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอ่อนเพลีย แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าเบื่อโลก ผมไม่อยากยุ่งกับใครทั้งสิ้น เพียงแค่อยากพบไอ้นัยเท่านั้น

ตกเย็นเอ๊ดกลับมาจากโรงเรียน เอ๊ดดูแลผมมาก ต้มโจ๊กให้ผมกิน พยายามซักถามอาการว่าเป็นอย่างไร เอ๊ดคุยกับผมดีเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่น้อยใจผม

“ตกลงอูเป็นอะไรกันแน่เนี่ย” ผมถามเอ๊ด

“นั่นสิ ก็ไม่รู้เหมือนกัน หมอบอกว่าอาการยังไม่ชัด แต่ช่วงนี้เป็นหน้าฝน ให้สงสัยไข้หวัดใหญ่เอาไว้ก่อน ต้องตามดูอาการต่อ” เอ๊ดตอบ “แล้วเมื่อคืนอูลงไปทำอะไรข้างล่างตอนดึกๆล่ะ แล้วทำไมน้ำตานองหน้าเลย” เอ๊ดถามต่อ

“มันมีโทรศัพท์ก่อกวน คุณป้าเลยให้ลงไปดู ถ้ารับสายทันก็ให้ด่ามันไป แต่อูรับไม่ทัน ก็เลยนั่งเล่นที่ข้างล่างสักพัก ก็จำได้แค่นั้นเอง” ผมอธิบายอ้อมแอ้ม

เอ๊ดทำสีหน้าแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สักพักก็คงเบื่อที่จะซักไซร้ ก็เลยปล่อยให้ผมนอนต่อไป

กลางคืนวันนั้น เนื่องจากคุณป้าเห็นผมนอนซมทั้งวัน จึงสั่งให้ผมหยุดเรียนเพื่อพักผ่อนต่ออีกหนึ่งวัน

“พรุ่งนี้หยุดอีกวันนะอู” คุณป้าพูด “วันนี้ดูยังไม่ค่อยฟื้นเท่าไรเลย”

“แต่...” ผมอึกอัก

“ไม่ต้องแต่อะไร หยุดสองวันไม่ถึงกับเรียนไม่ทันหรอก ถึงคราวจำเป็นก็ต้องหยุด สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ เข้าใจไหม” คุณป้าไม่ผ่อนปรน

ผมร้อนใจมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเอ๊ด

“ก็หยุดไปสิ ปกติก็ไม่เห็นอูจะห่วงเรียนเท่าไรเลยนี่” เอ๊ดพูด ฟังไม่ออกว่าประชดหรือเปล่า

“เอ้อ... พรุ่งนี้อูมีเรื่องจำเป็นน่ะ ต้องไปให้ได้ เอ๊ดช่วยหาวิธีหน่อยสิ” ผมอ้อนวอน

“มีเรื่องจำเป็นอะไรนักหนา แล้วคุณป้าก็สั่งไว้แล้ว จะให้ทำไงล่ะ” เอ๊ดไม่เล่นด้วย

ผมเห็นเป็นเวลาจวนตัว จึงจำต้องบอกความจริงออกไป

“คือไอ้นัยมันจะไปเรียนเมืองนอกน่ะ อูจะไปส่งมันหน่อย ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะได้เจอกันอีก” ผมพูด พอพูดถึงไอ้นัย ผมก็รู้สึกหม่นหมองขึ้นมาอีก

“อ้าว” เอ๊ดอุทาน “ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย อูไม่เคยเล่าให้ฟัง” เอ๊ดพูดเหมือนจะตำหนิผมว่ามีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมเล่าอีกแล้ว

“หาทางให้อูหน่อยดิ ช่วยพูดกับคุณป้าหน่อย” ผมอ้อนวอนอีก เอ๊ดส่ายหัว

“เห็นจะยาก ยิ่งถ้าบอกว่าจะไปส่งเพื่อน คุณป้ายิ่งไม่ให้ไปใหญ่” เอ๊ดจนปัญญา

- - -

วันพุธ

ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ในใจเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ภาพในอดีตไหลเข้ามาในความคิดของผมเป็นระยะๆ ผมอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดนักเรียนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้า จากนั้นก็มานั่งรออยู่ในห้องนอน คิดว่าประมาณตีห้าก็จะแอบออกจากบ้านไป

เอ๊ดนอนทำตาปริบๆดูผม เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะออกจากบ้านโดยที่เอ๊ดไม่รู้ เพราะว่าเราสองคนนอนอยู่ในห้องเดียวกัน ปกติถ้าผมเปิดไฟเอ๊ดจะต้องโวยวายเพราะว่าเอ๊ดไม่ชอบนอนโดยมีแสงไฟแยงตา แต่วันนี้เอ๊ดมองดูผมอย่างเงียบๆ

ตีห้า ฟ้ายังไม่สาง ออกจากบ้านตอนนี้เลยดีกว่า ถ้าช้ากว่านี้คุณลุงหรือคุณป้าจะตื่นมาพบเข้า

ผมคว้าเป้ขึ้นมาถือ มือล้วงลงไปในเป้ คลำดูให้แน่ใจว่าซองบทเพลงยังอยู่ วันนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้มอบบทเพลงนี้ให้ไอ้นัยรวมทั้งบอกความในใจที่มีต่อมัน

เอ๊ดลุกจากที่นอน นั่งมองดูผมอย่างเงียบงัน ผมรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เอ๊ดไม่ห้ามปรามผมเลย

“อูไปละนะ” ผมบอกเอ๊ด

“เมื่อคืนก่อนที่นอนร้องไห้ก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม” เอ๊ดถาม

ผมพยักหน้า เอ๊ดคงปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด วันนี้มีความสำคัญสำหรับผมมาก ถึงอย่างไรก็ต้องขอเจอไอ้นัยเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้ เมื่อคิดว่าจะได้เจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“อย่าทำหน้าเศร้ายังงั้นสิ” เอ๊ดพูด สีหน้าบ่งบอกแววเห็นใจ “ไปเถอะ บอกลานัยแทนเอ๊ดด้วยก็แล้วกัน”

ผมโล่งใจขึ้นมาหน่อย มองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกขอบคุณ จากนั้นก็รีบออกจากบ้านไป

- - -

เช้าวันนั้นท้องฟ้ามืดครึ้ม แม้จะยังเช้าอยู่ แต่รถแท็กซี่ว่างหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะว่าแท็กซี่ไม่ได้มีจำนวนมากมายเช่นในปัจจุบัน และแท็กซี่ส่วนใหญ่ที่ขับผ่านก็มีผู้โดยสารนั่งอยู่แล้ว ผมรออยู่สักพักกว่าจะเรียกแท็กซี่ได้

“ไปสนามบินดอนเมืองครับ” ผมพูด

“สี่ร้อยบาทหนู” คนขับแท็กซี่บอกราคา ในยุคนั้นแท็กซี่ยังไม่มีมิเตอร์ จะว่าไปที่จริงแล้วในรถแท็กซี่ก็มีมิเตอร์ติดตั้งอยู่ แต่ว่าเอาไว้เป็นที่แขวนหมวกของคนขับ ไม่ได้เอาไว้คำนวณราคาค่าโดยสาร การโดยสารแท็กซี่ต้องใช้วิธีต่อรองราคาเอา ตาดีก็ได้ราคายุติธรรม ตาร้ายก็โดนฟัน

“โห น้า ไปดอนเมืองเนี่ยนะสี่ร้อยบาท” ผมอุทาน อดเอามือคลำเงินในกระเป๋าไม่ได้

คนขับแท็กซี่ไม่ตอบ แต่ขับรถออกไปทันที

ผมต้องรออยู่อีกนานกว่าที่จะเรียกแท็กซี่คันใหม่ได้ คันนี้คิดราคาสามร้อยบาทโดยให้เหตุผลว่าเส้นทางไปดอนเมืองรถติดมาก ผมเห็นเวลาล่วงเลยไปมากแล้วจึงตกลงไป

นั่งรถไปตามถนนลาดพร้าวได้สักครู่ฝนก็ปรอยลงมา และเมื่อรถเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิตรถก็ติดหนึบ ในยุคที่ยังไม่มีดอนเมืองโทลเวย์ การจราจรในถนนเส้นนี้หนักหนาทีเดียวแม้ในยามฟ้ายังไม่สาง


<ท่าอากาศยานดอนเมืองในยุคที่ยังเป็นสนามบินแห่งชาติอยู่และยังไม่มีดอนเมืองโทลเวย์ กว่าจะมีดอนเมืองโทลเวย์ให้บริการในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๘ แท็กซี่ในยุคนั้นยังใช้วิธีต่อรองราคากันอยู่ กว่าจะมีแท็กซี่มิเตอร์ก็ในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๕>


เวลายังพอมี น่าจะไปทัน ผมคิดในใจทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เคยเดินทางไปดอนเมืองยามเช้า ไม่รู้ว่ารถติดขนาดไหน ผมล้วงหยิบซองบทเพลงในเป้ขึ้นมาลูบคลำเล่นอีก มันเป็นของมีค่าเพียงสิ่งเดียวที่ผมจะให้แก่ไอ้นัยได้ในยามนี้ ไอ้นัยอาจคิดว่าผมโกรธมันอยู่ ผมไม่มีโอกาสบอกแก่มันเลยว่าผมรักมันเกินกว่าที่ผมจะถือโทษมันได้ ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสบอกมันที่สนามบินก่อนจากกัน หรืออย่างน้อย เมื่อไอ้นัยได้ขับขานบทเพลงที่ผมเขียนขึ้น มันก็คงจะเข้าใจ

หกโมงเช้า ฝนปรอยหนักขึ้น รถบนถนนติดเป็นสายยาวเหยียดราว ถนนกลายสภาพเป็นลาดจอดรถ ผมเพิ่งเดินทางไปถึงแค่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนเท่านั้น

หกโมงยี่สิบ ผมเพิ่งมาถึงแยกถนนแจ้งวัฒนะ รถยังติดหนักอยู่ ผมร้อนใจจนนั่งไม่ติดเบาะ

หลังจากพ้นช่วงนั้นไป การจราจรค่อยดีขึ้น จนในที่สุด ผมมาถึงอาคารผู้โดยสารต่างประเทศ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อเวลาประมาณหกโมงครึ่ง

ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อย ผมคิด ผมรีบวิ่งเข้าไปในอาคาร แต่พอเข้าไปก็ต้องงุนงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่สนามบินดอนเมือง ผมไม่เคยมาส่งใครหรือมารับใครมาก่อนเลย ภายในอาคารมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคนเป็นจำนวนมากเดินไปเดินมา ผมไม่รู้ว่าจะตั้งต้นที่ตรงไหน


<พอเข้าไปก็ต้องงุนงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่สนามบินดอนเมือง ผมไม่เคยมาส่งใครหรือมารับใครมาก่อนเลย ภายในอาคารมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคนเป็นจำนวนมากเดินไปเดินมา ผมไม่รู้ว่าจะตั้งต้นที่ตรงไหน>


ผมเดินถามคนในอาคารโดยเลือกถามคนที่คิดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ถามไปถามมาก็ได้ความว่าให้ไปถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

ผมรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทันที ตั้งแต่เข้ามาในอาคาร กว่าจะถามได้ความ กว่าจะวิ่งไปถึงเคาน์เตอร์ ก็หกโมงสี่สิบ ไอ้นัยจะยังรอผมอยู่ไหมนะ

“พี่ครับ เที่ยวบินที่ไปอเมริกา หกโมงห้าสิบ จะมาส่งคนน่ะครับ ต้องไปที่ไหนครับ” ผมถาม

“เอ้อ สายการบินอะไรจ๊ะน้อง” เจ้าหน้าที่สาวท่าทางใจดีถาม

อ้าว ไอ้นัยไม่ได้บอก ต้องรู้สายการบินด้วยเหรอ

“ไม่ทราบครับ รู้แค่นี้เอง” ผมตอบด้วยท่าทางร้อนรน “พี่ช่วยหน่อยเถอะครับ” ผมอ้อนวอน

“เดี๋ยวพี่ลองช่วยดูให้ ใจเย็นๆนะจ๊ะ” พี่เจ้าหน้าที่พยายามปลอบใจ แต่เมื่อดูเวลาแล้วก็ชะงักไปนิดหนึ่ง “เอ้อ ถ้ามาส่งคนป่านนี้คงไม่ทันแล้วละ คงเข้าไปอยู่ในโซนผู้โดยสารขาออกหรือไม่ก็ขึ้นเครื่องกันไปหมดแล้ว”

ผมใจหายวาบ “อะไรนะครับ” ผมอุทาน

เจ้าหน้าที่สาวถอนใจ “เสียใจด้วยนะจ๊ะน้อง น้องมาช้า คงไม่ทันแล้วล่ะ”

เนื่องจากผมไม่เคยไปส่งใครที่สนามบินมาก่อนเลย จึงไม่รู้ว่าปกติทำกันอย่างไร ได้แต่คิดเอาเองว่าคงเหมือนกับการไปส่งใครที่สถานีรถไฟหรือที่ท่ารถ บขส. ซึ่งเราสามารถคุยกับผู้เดินทางได้จนถึงเวลารถออก แต่ถึงอย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สาวผู้นั้นก็ยังพยายามเช็คเที่ยวบินออกมาให้ จากนั้นบอกเบอร์เคาน์เตอร์สายการบินให้ พร้อมทั้งแนะนำให้ผมลองวิ่งไปถามที่เคาน์เตอร์สายการบินดูเผื่อจะพบญาติมิตรของผู้เดินทางที่นั่นบ้าง

เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์สายการบินที่ว่า เคาน์เตอร์มีคนอออยู่แน่นขนัด แต่ว่าป้ายที่ขึ้นอยู่เป็นเที่ยวบินอื่น เมื่อผมถามเจ้าหน้าที่สายการบินที่เคาน์เตอร์นั้นก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันว่าผมมาสายไปแล้วจริงๆ

ผมวิ่งพล่านทั่วอาคาร ยังไม่ยอมหมดหวังง่ายๆ ผมยังมีความหวังเหลืออยู่ใยหนึ่ง พยายามสอดส่ายสายตาดู เผื่อว่าอาจได้เจอไอ้นัย

ทันใดนั้น ผมก็เห็นใครคนหนึ่งเข้าจริงๆ คนผู้นั้นคือคุณอาผู้หญิงของไอ้นัยนั่นเอง!

คุณอาเดินอยู่คนเดียว ไม่เห็นไอ้นัยและคุณอาผู้ชายอยู่ด้วย คุณอาเดินไปที่ลิฟต์ จากนั้นกดเรียกลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง

ผมถามแม่บ้านทำความสะอาดจึงได้รู้ว่าชั้นล่างเป็นที่จอดรถกับชั้นสำหรับผู้โดยสารขาเข้า แสดงว่าคุณอาอาจจะกำลังกลับไปที่รถเพื่อกลับบ้านก็เป็นได้

ผมยังไม่ยอมแพ้ พยายามวิ่งอยู่ภายในตัวอาคารต่อไป เผื่อจะได้พบไอ้นัย

ผมวิ่งไปวิ่งมาอยู่จนเจ็ดโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องกระจกห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นที่สำหรับดูเครื่องบินเวลาขึ้นลง ผมรู้สึกท้อแท้ หดหู่ ในที่สุดผมก็หลอกตนเองต่อไปอีกไม่ได้ ปาฏิหาริย์อาจมีจริง แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับผม

ไอ้นัยได้จากผมไปแล้ว... จากกันทั้งๆที่ไม่ได้ร่ำลากัน...

ผมเหม่อมองดูเครื่องบินที่กำลังวิ่งในรันเวย์ผ่านทางหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่อย่างซึมเซา รู้สึกเบ้าตาร้อนวูบ น้ำตาเอ่อท้นทะลักขึ้นมา... ผมรู้สึกอยากร้องไห้...

ไอ้นัยไปแล้ว แม้เปลือกนอกไอ้นัยจะดูเหมือนเป็นเด็กหัวอ่อน แต่ผมรู้ว่าไอ้นัยเป็นเด็กที่เข้มแข็ง ผมก็จะอ่อนแอไม่ได้ ผมต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้อย่างมัน

ผมกอดเป้เอาไว้แน่น ภายในเป้มีบทเพลงรักที่ผมไม่มีโอกาสมอบให้ไอ้นัย ภาพอดีตหวนกลับเข้ามาในความคิดของผมเป็นฉากๆ...

ในวัยประถมต้น ไอ้นัยยังเป็นเด็กตัวเปี๊ยก... วันที่ผมและไอ้ชัชพาไอ้นัยเข้าไปซ่อนในหอนักเรียนประจำ... วันที่ไอ้ทิวอัดใส่ลิ้นปี่ไอ้นัยจนหน้าเขียวตอนเล่นฟุตบอล... วันที่ไอ้ชิดซ้อมไอ้นัย... วันที่ไอ้ชัชสาดจานข้าวแกงใส่ไอ้นัย... วันที่เรากัดโดนัทอันเดียวกันบนรถเมล์... วันที่ไอ้นัยเล่นกีตาร์ให้ผมฟังในที่ริมบึงน้ำ... จนถึงวันไอ้นัยเดินไปกับ รปภ... ชีวิตที่ผ่านมาที่มีทั้งสุขและทุกข์... มันเป็นอดีตที่ไม่อาจหวนคืนมาได้อีก

ผมกัดกรามแน่น ไม่ยอมปล่อยให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงหยาดน้ำตาสองหยดเท่านั้นที่ไหลผ่านร่องแก้มของผม ผมไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาร่วงออกมาภายนอก แต่ผมปล่อยให้มันร่วงลงไปข้างใน... ร่วงลงไปท่วมท้นในหัวใจของผมจนหมดสิ้น...

มึงอย่าท้อนะไอ้เพื่อนรัก กูไม่ได้โกรธมึง กูรักมึงมานานแล้วแต่กูไม่เข้าใจตัวเอง และตอนนี้เมื่อกูเข้าใจตัวเองแล้วกูก็ยิ่งรักมึงมากขึ้นกว่าเดิม... มึงไปเมืองนอกแล้วเรียนให้เก่งๆ กูอยู่นี่ก็จะขยันเรียน เวลามึงกลับมากูจะได้ไม่น้อยหน้ามึงมากนัก... ความคิดของผมกระเจิดกระเจิง

ผมนั่งกอดเป้ซึมอยู่ในห้องกระจกนั้นนานนับชั่วโมง คิดโน่นคิดนี่ กัดกรามแน่นจนปวดกรามไปหมด เพราะถ้าไม่กัดกรามเอาไว้ผมก็คงต้องร้องไห้ออกมา

- - -

ผมแกร่วอยู่ในสนามบินดอนเมืองจนเวลาบ่ายเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากเจอใคร อยากเจอแต่ไอ้นัยเพียงคนเดียว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

ผมกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น พบว่าคุณป้ากำลังดุเอ๊ดอยู่ เพราะเอ๊ดบอกกับคุณป้าว่าเอ๊ดเป็นคนให้ผมไปโรงเรียนเอง เนื่องจากเห็นว่าใกล้สอบแล้ว ไม่อยากให้หยุดเรียนหลายวัน คุณป้าดุเอ๊ดอย่างหนักเพราะเอ๊ดจงใจขัดคำสั่งของคุณป้า และเมื่อคุณป้าเห็นผมกลับบ้านก็พลอยดุผมไปด้วยในฐานะที่เชื่อฟังคำพี่ชายมากกว่าฟังคำของคุณป้า

เมื่อเอ๊ดเห็นสีหน้าของผมก็รีบให้ผมหลบขึ้นไปข้างบนก่อน คุณป้าโทรศัพท์รายงานให้พ่อผมรู้ พ่อจึงโทรมาดุเอ๊ดอีกรอบ คุณลุงกลับมาก็ดุเอ๊ดอีก ส่วนผมนั้นโดนดุแต่เพียงเล็กน้อย เรื่องทั้งหมดในครั้งนี้เอ๊ดออกหน้ารับเอาไว้ทั้งหมดแต่เพียงคนเดียว

- - -

หลังจากที่ไอ้นัยเดินทางไปต่างประเทศ อาจารย์ประจำชั้นของไอ้นัยจึงได้มาบอกเพื่อนในชั้นว่านัยได้ลาออกจากโรงเรียนและไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ยังความแปลกใจให้แก่ทุกคน เพราะก่อนหน้านั้นไอ้นัยหายตัวไปอย่างลึกลับและทุกคนเข้าใจว่าไอ้นัยป่วยอยู่

ผมเคยโทรศัพท์ไปขอที่อยู่เพื่อติดต่อกับไอ้นัย แต่คุณอาก็บ่ายเบี่ยง ผมให้ตี๋โทรไปขอที่อยู่บ้างโดยอ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ก็ถูกคุณอาปฏิเสธเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครติดต่อกับไอ้นัยได้เลย

แรกๆที่ไอ้นัยจากไป เพื่อนๆลือกันว่าไอ้นัยป่วยหนักจนต้องไปรักษาตัวที่เมืองนอก คนที่รู้ความจริงคงมีผมเพียงคนเดียว แต่ผมก็ไม่ได้บอกใครถึงสาเหตุความนัย ครั้นพอนานวันเข้า ทุกคนก็ค่อยๆลืมไอ้นัยไป

เดือนกันยายน

ในที่สุด ช่วงเวลาสอบปลายภาคก็มาถึง เนื่องจากตลอดเทอมที่ผ่านมาผมมีปัญหาในจิตใจค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงทำให้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง คะแนนสะสมก็ไม่ค่อยดี ยังดีที่ได้ความช่วยเหลือจากไอ้แก่ เพื่อนหน้าแก่ผู้มีน้ำใจ ผมจึงพอเอาตัวรอดมาได้ ผลสอบที่ออกมาจึงร่วงลงมาเหลือเพียงเกรด ๒.๕ กว่าๆ

ชีวิตการเรียนในชั้น ม.๓ เทอมปลายของผมนั้นเป็นไปอย่างน่าเบื่อ ผมยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของไอ้นัย ที่ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะตั้งใจเรียนก็ทำไม่ได้ นับวันผมต้องพึ่งพาไอ้แก่มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องขอลอกการบ้านกับกินแรงมันทำรายงาน ซึ่งมันก็ยอมให้ผมพึ่งพาแม้บางครั้งจะมีบ่นผมบ้างก็ตาม

เดือนธันวาคม

ยิ่งใกล้วันคริสต์มาสและปีใหม่ ความหดหู่ก็ยิ่งเข้าโจมตีจิตใจของผมอย่างรุนแรงโดยไม่รู้สาเหตุ ผมรู้สึกเดียวดาย สภาพจิตใจของผมในช่วงนั้นค่อนข้างแย่ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากพ้นปีใหม่ไปแล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง

ในที่สุดผมก็จบ ม.๓ มาได้อย่างทุลักทุเลด้วยเกรดเทอมปลายที่ไม่ถึง ๒.๕ ตอนนี้ผลการเรียนของผมมีแต่แย่ลง แต่โชคดีที่ทางบ้านผมไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องเกรดของผมนัก

- - -

เดือนมีนาคม

ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้านต่างจังหวัด ทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ดต่างก็เป็นห่วงผมมาก เพราะเห็นว่ายิ่งนานผมก็ยิ่งเปลี่ยนไป ไม่ว่าใครจะถามอย่างไรผมก็ตอบเพียงแต่ว่าไม่มีอะไร ทุกคนได้แต่หนักใจแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ผมได้มีโอกาสไปนั่งเล่นที่บึงน้ำโลกส่วนตัวของไอ้นัยและผมอีกครั้งหนึ่ง การมาในครั้งนี้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกหวาดกลัว ทุกครั้งที่ผมมากับไอ้นัย บึงน้ำแห่งนี้คือโลกแห่งความสุข แต่ครั้งนี้... ในวันไม่มีไอ้นัย... ทุกอย่างกลับดูอ้างว้างเดียวดายไปหมด แม้ต้นหญ้าที่ริมบึงจะเขียวแต่ก็ดูไม่ขจีเหมือนก่อน แม้น้ำในบึงจะเย็นแต่ก็ไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนเก่า แม้สายลมจะโชยอ่อนๆแต่ก็ไม่รู้สึกรื่นรมย์เหมือนเดิม... ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปจริงๆหรือว่าเป็นเพราะผมเองที่เปลี่ยนไป... ผมแวะไปดูต้นเม่าที่เรามาเล่นพิเรนทร์กันเมื่อตอนเด็ก... ผมตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าไม่มีไอ้นัยมาด้วย ต่อไปผมจะไม่มาที่นี่อีก

เรื่องราวเกี่ยวกับไอ้นัยหลายต่อหลายเรื่องยังคงเป็นปริศนาอยู่ ไอ้นัยไปทำอะไรในห้องน้ำกับชายคนนั้น อะไรเกิดขึ้นกับไอ้นัยหลังจากถูก รปภ คุมตัวไป ไอ้นัยกลับบ้านไปได้อย่างไรในวันนั้น และต่อมาเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านของมัน รวมทั้งเรื่องราวทั้งหลายที่ไอ้นัยปิดบังผมซึ่งผมเคยอยากรู้ ฯลฯ ... แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญอะไรแล้ว... เมื่อไอ้นัยจากไป ทุกอย่างก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป

นัย ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า ทำไมมึงไม่ติดต่อกูบ้าง กูคิดถึงมึงมากรู้ไหม ผมคิดในใจ... สายลมพัดต้นหญ้าริมบึงเสียงดังหวีดหวิว ฟังไปคลับคล้ายเสียงกีตาร์ของไอ้นัยที่กำลังดีดบรรเลงเพื่อปลอบประโลมใจให้แก่ผม

บทเพลงรักที่ผมเขียนให้ไอ้นัย ผมยังเก็บใส่ซองเอาไว้ ผมมักหยิบมันขึ้นมาดูบ่อยๆ ผมฝันลมๆแล้งๆว่าสักวันหนึ่ง ผมคงมีโอกาสมอบเพลงนี้ให้แก่มัน และมันจะร้องบทเพลงนี้ให้ผมฟัง...




<ผมวิ่งไปวิ่งมาอยู่จนเจ็ดโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องกระจกห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นที่สำหรับดูเครื่องบินเวลาขึ้นลง ผมรู้สึกท้อแท้ หดหู่ ในที่สุดผมก็หลอกตนเองต่อไปอีกไม่ได้ ปาฏิหาริย์อาจมีจริง แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับผม>

- - -

ปัจฉิมบท

หลายปีผ่านไป...

แม้ผมจะยอมรับว่าตนเองเป็นเกย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมยอมรับธรรมชาติและตัวตนของตนเองได้ตลอดเวลา ผมเก็บซ่อนมันเอาไว้ในเงามืดของจิตใจ ไม่ยอมให้ใครเข้ามาพบเห็น บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกสับสนและไม่ยอมรับตนเอง ตามเหตุผลด้านค่านิยมของสังคมแล้วผมควรเป็นเด็กชายที่เติบโตเป็นชายหนุ่ม รักหญิงสาว แต่งงาน และมีครอบครัว แต่โดยหัวใจแล้วผมรู้ว่าผมรักผู้ชายด้วยกัน เมื่อเหตุผลและหัวใจอยู่ตรงข้ามกัน สงครามในใจของผมจึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หัวใจของผมเป็นเหมือนสนามรบที่ไม่เคยมีวันสงบสุขได้ ผลของความสับสนในจิตใจของผมได้ทำร้ายคนที่ผมรักและคนที่รักผมหลายต่อหลายครั้ง ผมใช้เวลาและความพยายามเพื่อแสวงหาคำตอบให้แก่ชีวิตของตนเอง... เพื่อหาคำตอบให้แก่หัวใจ และเพื่อที่จะหาที่ยืนในสังคมเยี่ยงคนปกติ...

ชีวิตหลัง ม.๓ ของผมลุ่มๆดอนๆ มีทั้งสุขและทุกข์ ผมไม่อาจลืมไอ้นัยได้เลย เรื่องของไอ้นัยทำให้ผมถูกติเตียนจากมโนธรรมอย่างรุนแรงตลอดมา

จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อนๆร่วมชั้นเรียนในระดับมัธยมของผมต่างก็มีเส้นทางชีวิตกันไปต่างๆนานา ตอนเรียนมัธยม ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีปมเรื่องเพศอยู่ในใจ ประกอบกับความรู้สึกผิดต่อไอ้นัย จึงทำให้ผมเก็บตัวมาตลอด ผมมีเพื่อนไม่มากนัก เพื่อนสนิทยิ่งมีน้อย เพื่อนๆที่อยู่ในความทรงจำของผมมากที่สุดคือเพื่อนๆในชั้น ม.๑ อาจเป็นเพราะว่าเป็นปีที่ผมเพิ่งเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ใหม่ๆก็เป็นได้ จึงฝังลึกอยู่ในความทรงจำเป็นพิเศษ

เพื่อนๆร่วมห้องชั้น ม.๑ ของผมเท่าที่รู้สอบเข้าเรียนแพทย์ได้ไม่ต่ำกว่า ๕ คน นอกจากนั้นก็มีสอบเข้าเภสัชศาสตร์และทันตแพทย์ได้

พจน์เป็นแพทย์ ดิษฐ์หัวหน้าชั้นรับราชการทหาร ชาติเรียนกฎหมาย ต่อมาเป็นผู้พิพากษา

เล็กที่นั่งหน้าดิษฐ์ต่อมาเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ และมีชีวิตที่ล้มเหลวจนต้องหันไปพึ่งเหล้า

ใหญ่ เพื่อนชักว่าวในชั่วโมงพลศึกษาของผมเป็นมัณฑนากร

นก เพื่อนที่เด็กที่สุดและตัวเล็กที่สุดในชั้น มีชีวิตที่คาดไม่ถึง เพราะต่อมาเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจและได้กลายเป็นนายตำรวจที่มีอนาคตก้าวหน้าเร็วคนหนึ่ง

ไอ้คุณจิยอดนักสืบ ได้ทำงานในหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับเงินๆทองๆ จิกินแหลก กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งตามน้ำและทวนน้ำ จนร่ำรวย

นอกนั้นก็มีเพื่อนในอาชีพอื่นๆ เช่น อาชีพทนาย ล่าม นักบัญชี ทำร้านอาหาร ฯลฯ

อ๊อด เพื่อนสนิทในชั้น ม.๒ ของผม ทำงานในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

เพื่อนมัธยมสามคนสุดท้ายที่ผมอยากกล่าวถึงก็คือวีกิจ วิชัย และตี๋

วีกิจ เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกับผมตอน ม.๑ ร่ำเรียนเอาดีในทางดนตรีไทย ต่อมาเมื่อจบการศึกษาแล้วก็ทำงานคลุกคลีกับเด็กด้อยโอกาสมาตลอด โดยใช้ดนตรีไทยที่ร่ำเรียนมาเป็นสื่อเพื่อขัดเกลาจิตใจเด็กๆ ทราบมาว่ารายได้ของวีกิจมักชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยใจรักและความเสียสละ แต่ไม่ค่อยมีใครให้การสนับสนุน

วิชัย เพื่อนหน้าตายของผม ในที่สุดก็เข้าเชื่อในพระเจ้า กลายเป็นคริสเตียนและทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามในองค์กรการกุศลของคริสเตียนแห่งหนึ่ง

และท้ายที่สุด นั่นคือตี๋ หลังจากจบมัธยม ตี๋เรียนต่อทางด้านศึกษาศาสตร์ เมื่อจบจากมหาวิทยาลัยตี๋ก็หันหลังให้กับแสงสีของเมืองกรุงไปเป็นครูในโรงเรียนชนบทในภาคอีสาน ตี๋ทุ่มเทชีวิตให้แก่การเรียนการสอนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนและคนในท้องถิ่นอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ผมคิดว่าเส้นทางชีวิตของตี๋เช่นนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตอน ม.๒ อยู่มาก

ทั้งสามคนนี้ต้องถือว่ามีความกล้าหาญในการเลือกเส้นทางชีวิต แม้ทั้งสามคนจะไม่เป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคม รวมทั้งมีฐานะการเงินที่ไม่ค่อยดีนัก แต่กลับเป็นเพื่อนที่ผมนับถือในน้ำใจมากที่สุด

สำหรับชัช เพื่อนสนิทสมัยประถมของผมและไอ้นัย ชัชไปเรียนในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคและต่อมาเป็นวิศวกร ตลอดการศึกษาเราไม่เคยพบกันเลย ผมได้พบชัชอีกครั้งก็เมื่อต่างคนต่างทำงานกันแล้ว ชัชในวันที่เติบใหญ่กลายเป็นคนที่ผมไม่คุ้นเคย เราเป็นเหมือนเพื่อนที่คบกันเพียงผิวเผิน ไม่ใช่เพื่อนที่เคยสนิทกันอย่างลึกซึ้ง หรืออาจเป็นไปได้ว่าชัชอาจละอายต่ออดีตที่เราเคยมีร่วมกัน และพยายามที่จะลบอดีตส่วนนั้น...รวมทั้งเพื่อนเช่นผม... ออกไปจากชีวิต

สำหรับนัย เราไม่ได้พบกันอีกเลย จนกระทั่งผมจบจากมหาวิทยาลัยก็ยังไม่มีโอกาสได้พบรวมทั้งไม่มีโอกาสติดต่อมันอีกด้วย

ผมยังนึกถึงคำสอนของครูช่วยอยู่เสมอ และใช้คำสอนนี้ปลอบใจตนเองเรื่อยมา

“ครูเชื่อว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มีโอกาสได้พบเจอกับเรา ล้วนแล้วแต่มีวาสนาต่อกันทั้งนั้น แต่จะมีวาสนาต่อกันในทางใด และมีมากเพียงไหน มันก็ต้องแล้วแต่คนไป… คนเราเมื่อมีวาสนาต่อกัน ในที่สุดก็จะได้พบกันอีก เหมือนอูที่ได้มาพบครูอีกนี่ไง”

เรายังไม่หมดวาสนาต่อกันนะนัย ผมเชื่ออย่างนั้น และสักวันหนึ่ง เราคงได้พบกันอีก...

บงกชอันพิสุทธิ์เกิดในโคลนตมฉันใด ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ย่อมเกิดจากชีวิตที่แปดเปื้อนมลทินได้ดุจเดียวกัน ชีวิตของตี๋ก็อาจถือเป็นตัวอย่างได้ ผมจะรอดูวันแห่งความสำเร็จของไอ้นัย...

ขณะที่ผมจบจากมหาวิทยาลัย บทเพลงรักที่ผมเขียนให้ไอ้นัยยังคงอยู่ในซองใบเก่า ตัวซองเก่าคร่ำคร่ามากแล้ว กระดาษภายในก็คงเหลืองและเก่าไปตามกาลเวลา แต่ผมจะไม่เปลี่ยนซองดีกว่า เก็บเอาไว้อย่างนี้ รอเมื่อถึงวันที่ผมได้พบไอ้นัยอีกครั้ง ผมจะได้บอกแก่มันว่าเพลงรักบทนี้ได้ผ่านกาลเวลาและการเดินทางอันยาวนานเพียงใด ใช้ความหวังและความอดทนมากเพียงไหน... กว่าที่จะมาถึงมือผู้รับที่แท้จริงของมัน...


จบภาค ๒


<ภาพถ่ายในวัยเด็ก ภาพนี้ถ่ายตอน ป.๖ ตอนไปทัศนศึกษาที่สวนสัตว์เขาดิน เป็นภาพในวัยเด็กที่เหลืออยู่เพียงใบเดียวซึ่งมีนัยอยู่ในภาพ หมายเลขหนึ่งคือนัย หมายเลขสองคือชัช ส่วนหมายเลขสามคือเชียร คนที่นั่งอยู่หลังห้องและชอบให้เพื่อนจับจู๋เล่น ส่วนผมไม่อยู่ในภาพเพราะเป็นคนถ่าย>


<ภาพนี้ถ่ายตอน ป.๖ เช่นกัน คนขวามือคือยะ กระเทยของห้อง เป็นเด็กชายที่แสดงความตุ้งติ้งและวี้ดว้ายแบบเด็กผู้หญิงออกมาอย่างเปิดเผย คนที่สองจากซ้ายเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีภาพ นั่นคือ โหนก คนที่มีเรื่องกับผมตอน ม.๑ ภาพนี้ที่จริงผมตั้งใจจะถ่ายยะ แต่มีเด็กห้องอื่นสองคนที่อยู่ใกล้ๆพอเห็นกล้องก็ขอเข้ามาถ่ายด้วย มารู้เอาภายหลังว่าเด็กในภาพคือโหนก สังเกตว่าโหนกกับเพื่อนเล่นจับหัวกัน เพราะหัวของโหนกมีลักษณะเด่น เพื่อนๆจึงชอบจับเล่นนั่นเอง>

Saturday, June 13, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 91

ตอนสายของวันนั้น ขณะที่ผมกำลังทำงานบ้านอยู่ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จากนั้นเอ๊ดก็มาตามผมไปรับสาย

“ผู้หญิงโทรมา” เอ๊ดพูด สีหน้าแสดงความสงสัย

ผมเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน แต่พอเมื่อรับสายแล้วก็หายสงสัย เป็นคุณอาผู้หญิงของไอ้นัยนั่นเอง

ผมรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะเมื่อเช้าคุณอาผู้ชายโทรมา ตอนสายคุณอาผู้หญิงโทรมาอีก เรื่องนี้คงต้องมีเลศนัยเป็นแน่

หลังจากทักทายกันเล็กน้อย คุณอาผู้หญิงก็ถามในเรื่องที่ต้องการรู้ทันที แต่เป็นการถามแบบอ้อมไปอ้อมมา น้ำเสียงในการพูดคุยเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

“อู... อูรู้ไหมว่านัยเค้ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” คุณอาถาม

ถามแบบนี้อีกแล้ว เมื่อเช้าอาผู้ชายก็ถามไปแล้ว ผมระวังตัวจนตัวเกร็ง

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” ผมตอบแบบเดียวกับเมื่อเช้า “ช่วงหลังเราไม่ค่อยได้เจอกันครับ”

“แล้วนัยเค้ามีท่าทางอะไรผิดปกติหรือเปล่า” คุณอาถามแบบเดิมอีก เพียงแต่เปลี่ยนถ้อยคำไปเล็กน้อย

“ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับคุณอา” ผมตอบสั้นที่สุด

คุณอาเงียบไปครู่หนึ่ง

“เอางี้ อูคิดว่านัยเป็นกระเทยไหม” คุณอาถามโพล่งขึ้นมา

“อะไรนะครับ” ผมตกใจ คราวนี้ตกใจจริงๆ ทำไมคุณอาถึงคิดว่าไอ้นัยเป็นกระเทยได้

“แบบว่าชอบผู้ชายด้วยกันน่ะ” คุณอาขยายความต่อ “อูพอรู้ไหม”

“...” ผมสะดุ้ง คำถามนี้จี้ใจดำเกินไป ผมไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี ถ้าถามว่าเป็นกระเทยละก็ไม่ใช่ แต่ถ้าถามว่าชอบผู้ชายละก็... หลายวันก่อนผมอาจไม่แน่ใจ แต่เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ผมคิดว่ามันคงเป็นแบบเดียวกับผม ยามหวนคิดถึงเรื่องเมื่อวาน ผมอดรู้สึกเจ็บแปลบในใจไม่ได้

“ไม่หรอกครับ” ผมยืนกระต่ายขาเดียวแบบอึกอัก เกรงว่าจะตอบผิดพลาดไป ผมตื่นเต้นจนตัวเกร็ง รู้สึกว่ามีเหงื่อซึมออกมาจากฝ่ามือ “ไม่เห็นนัยมีอะไรผิดปกตินี่ครับ”

“อูแน่ใจใช่ไหมจ๊ะ” คุณอาถามสวนกลับมา “อูสนิทกับนัยที่สุด คบกันมาตั้งหลายปี ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แทบจะกินนอนด้วยกัน อูไม่รู้อะไรเลยจริงๆหรือ นัยบอกอาเรื่องอูหมดแล้วนะ”

คำถามนี้เหมือนคำถามรุกฆาต ผมตกใจ มือสั่นจนแทบปล่อยหูโทรศัพท์หลุดจากมือ แสดงว่าคุณอารู้ความสัมพันธ์ระหว่างไอ้นัยกับผมจนหมดแล้ว นี่ถ้าคุณอาเอาเรื่องนี้ไปบอกที่บ้านผม ครอบครัวผมคงแตกย่อยยับแน่

แต่... เอ... ถ้ารู้หมดแล้วจะมาถามผมอีกทำไม?

“ผมไม่เห็นนัยมีอะไรผิดปกติเลยนะครับ เพื่อนๆทุกคนก็เห็นเหมือนกัน คุณอาทำไมสงสัยแบบนั้นละครับ” ผมปากแข็ง แถมยังถามกลับ

ตอนนี้ผมพอรู้วัตถุประสงค์แล้ว คุณอาโทรมาเพื่อเค้นเอาความจริงจากผมว่าผมและไอ้นัยความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินเพื่อนหรือไม่นั่นเอง หายนภัยกำลังกรายมาถึงตัวผมแล้ว

ไอ้นัยไม่ใช่คนปากมาก ผมไม่อยากเชื่อว่ามันเล่าอะไรให้คุณอาฟัง ผมตัดสินใจทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ไม่รับเสียอย่าง ยืนกระต่ายขาเดียวอยู่อย่างนั้น

คุณอาเริ่มมีน้ำเสียงที่แข็งกระด้างมากขึ้น คงรู้สึกไม่พอใจในคำตอบ หลังจากนั้นก็ซักวกไปวนมาอยู่อีกสักครู่ จนในช่วงหลังของการสนทนา ผมตอบแต่เพียง เปล่าครับ ไม่ทราบครับ ไม่ครับ เท่านั้น ไม่กล้าพูดมาก เพราะกลัวพลาด

หลังจากจบการสนทนาอันเคร่งเครียด ยังไม่ทันที่ผมจะหายมึน เอ๊ดเดินมาลากตัวผมขึ้นไปที่ห้องนอนทันที เมื่อเข้าไปในห้องนอน เอ๊ดรีบปิดประตู

“บอกมานะอู นี่มันเรื่องอะไรกัน” เอ๊ดถามเสียงเครียด

“เรื่องอะไรเหรอ” ผมแกล้งทำมึน ที่จริงตอนนั้นไม่ได้แกล้ง แต่ว่ากำลังมึนจริงๆ

“มีเรื่องอะไรกัน เมื่อวานอูกลับดึกโดยไม่ได้บอกใคร ซ้ำวันนี้คุณอาไอ้นัยยังโทรมาอีก อูก็เอาแต่เปล่าครับ ไม่ครับ อยู่นั่นแหละ บอกมานะว่าอูกับนัยไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้” เอ๊ดถาม ไม่เพียงแต่น้ำเสียงเคร่งเครียด แม้แต่สีหน้าก็เคร่งเครียด

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก หลังจากถูกคุณอาเค้นมาสองรอบ ยังมาถูกเอ๊ดตามมาเค้นอีก

“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรจริงๆ” ผมปฏิเสธ ผมรู้สึกว่าล้ามากแล้ว

“ยังงี้แล้วยังบอกไม่มีอะไรอีก” เอ๊ดพูดเสียงดังจนเกือบเป็นเสียงตะคอก “เห็นมีอะไรผิดปกติกับไอ้นัยมาตั้งนานแล้ว ยังบอกไม่มีอะไรอีก”

คำว่ามีอะไรผิดปกติทำให้วัวสันหลังหวะอย่างผมถึงกับสะดุ้งเฮือก

“...” ผมเงียบ ไม่พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ ตอนนั้นมันมึนชาไปหมดแล้ว

“นี่อูเห็นเอ๊ดเป็นพี่ชายบ้างไหม แต่ก่อนมีอะไรก็เอามาปรึกษา หลายปีมานี้ทำอะไรไม่เคยบอก มีปัญหาอะไรก็ไม่เล่า ป๋าสังให้เอ๊ดดูแลอูให้ดี แต่เอ๊ดเป็นพี่ที่แย่มากเลยใช่ไหม อูมีอะไรถึงไม่ยอมบอก” เอ๊ดพรั่งพรูคำพูดออกมาด้วยความน้อยใจ

ผมเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เอ๊ดดูจะหมั่นไส้แกมรำคาญผม รวมทั้งไม่ค่อยอยากยุ่งกับผมนัก ที่แท้ไม่ได้เป็นเพราะว่าเอ๊ดรำคาญผมจริงๆ แต่เป็นเพราะว่าเอ๊ดน้อยใจผมต่างหาก

ผมรู้สึกตึงเครียดและอึดอัดใจจนแทบจะทนไม่ไหว สองวันมานี้เรื่องร้ายต่างๆประดังกันเข้ามาจนผมตั้งตัวไม่ติด ผมรู้สึกสงสารเอ๊ดมาก ใจหนึ่งอยากสารภาพความจริงทั้งหมดให้เอ๊ดฟัง

“เอ๊ดอยากรู้ความจริงเหรอ…” ผมถามช้าๆ ใช้ความคิดอย่างหนัก

เอ๊ดพยักหน้าพลางรอให้ผมเล่าความจริงออกมา

“ไม่มีอะไรจริงๆเอ๊ด เอ๊ดเป็นพี่ชายที่ดี เอ๊ดดีกกับอูมาตลอด อูต่างหากเป็นน้องที่เลว” ผมพูดจากใจจริง ผมเป็นเพื่อนที่เลว เป็นน้องชายที่เลว รวมทั้งน่าจะเป็นลูกที่เลวของพ่อแม่ด้วย

ในที่สุดผมก็ยับยั้งใจเอาไว้ในวินาทีสุดท้าย ถ้าผมสารภาพออกไปแล้วเอ๊ดยอมรับไม่ได้ว่ามีน้องชายผิดปกติ ถ้าพ่อแม่ผมยอมรับไม่ได้ว่าลูกชายวิปริตผิดเพศ เรื่องราวทั้งหมดมีแต่จะเลวร้ายลงอย่างไม่มีทางแก้ไขให้กลับคืนมาได้อีก รวมทั้งไอ้นัยคงพลอยถูกสงสัยและเดือดร้อนไปด้วย ถ้าผมเงียบเอาไว้ก่อน อย่างน้อยวันหลังถ้าผมตัดสินใจจะบอกผมก็ยังทำได้

“โอ๊ย จะบ้า” เอ๊ดร้องพลางเอากำปั้นทุบข้างฝาดังโครมใหญ่ จากนั้นเปิดประตูห้องผลุนผลันออกไป ปกติเอ๊ดเป็นคนใจเย็น ผมไม่เคยเห็นเอ๊ดหุนหันดุดันเช่นนี้มาก่อน หลังจากนั้นทั้งวันเอ๊ดไม่คุยกับผมอีกเลย

ตกกลางคืน เนื่องจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีแต่เรื่องร้ายๆ เมื่อผมเข้านอน ผมก็นอนไม่หลับเกือบทั้งคืนอีกเพราะเต็มไปด้วยความกังวล เป็นห่วงไอ้นัยมาก ผมนึกถึงภาพที่ตี๋มาโรงเรียนในสภาพที่โดนเฆี่ยนมาอย่างยับเยินแล้วอดหนาวไม่ได้ คุณอาจะทำอะไรรุนแรงกับไอ้นัยไหม

นอกจากนี้ผมยังกังวลเรื่องที่คุณอาของไอ้นัยจะพยายามสอบถามเรื่องราวจากพ่อของผม ถ้าพ่อและแม่ระแคะระคายบ้านผมคงแตกแน่ รวมทั้งยังรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจในสิ่งที่ไอ้นัยทำลงไป ผมคิดวนเวียนไปมาจนปวดหัว แม้จะเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ผมกลับเกลียดมันไม่ลง ยังอดเป็นห่วงและเป็นทุกข์แทนมันไม่ได้ ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

‘ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา... ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด... ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ...’ ในสำนึกวูบสุดท้าย ผมแว่วเสียงอบรมของอาจารย์ใหญ่ก่อนที่ผมจะผล็อยหลับไป

- - -

วันจันทร์

เช้าวันนี้ผมรีบไปโรงเรียนแต่เช้าเพราะต้องการไปพบไอ้นัย อยากรู้ว่าเมื่อวันเสาร์เกิดอะไรขึ้นกันแน่ และต้องการให้แน่ใจว่ามันปลอดภัยดี แต่เมื่อไปถึงห้องเรียนของไอ้นัยผมก็ต้องผิดหวัง เพราะว่ามันยังไม่มา จนหลังเคารพธงชาติ ผมแวะไปดูอีกทีก็พบว่าไอ้นัยยังไม่มา

ผมแวะเวียนไปดูไอ้นัยอีกหลายครั้ง เผื่อว่ามันจะมาสาย

“มึงเป็นไรวะไอ้ไก่อู เห็นมาป้วนเปี้ยนหน้าห้องกูหลายครั้งแล้ว” อ๊อดถามเพราะรู้สึกผิดสังเกต

“กูมาดูไอ้นัย” ผมบอกตามตรง “มีเรื่องจะคุยกับมันหน่อย”

“ป่านนี้คงไม่มาแล้วมั้ง” อ๊อดดูเวลา ตอนนั้นเป็นเวลาสายแล้ว “สงสัยจะป่วย”

ตลอดทั้งเช้าผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ผมรอไอ้นัยด้วยความกระวนกระวาย รู้สึกเป็นห่วงมันมาก จะโทรไปหามันที่บ้านก็กลัวโดนเค้นอีก การรอคอยโดยไม่มีความหวังนี่มันช่างทรมานจริงๆ

ตอนพักเที่ยง ผมขอให้อ๊อดโทรศัพท์ไปหาไอ้นัยที่บ้าน ผมลากมันไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะในโรงเรียน พลางบอกเบอร์โทรศัพท์ให้

“ทำไมมึงไม่โทรเองวะ” อ๊อดถามด้วยความสงสัย ยังไม่ยอมต่อโทรศัพท์ “มีปัญหาอะไรเหรอ”

“เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งถามเลย โทรก่อนเถอะ” ผมรู้สึกอึดอัด ทำไมมีแต่คนตั้งคำถามที่ผมไม่ต้องการตอบกันมากมายนัก

“ไม่เอาอะ อยากรู้ก่อน” อ๊อดยียวน

ผมถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม จากนั้นยกมือไหว้มันอย่างนอบน้อม “กูขอร้องมึงล่ะอ๊อด ไหว้มึงด้วยเอ้า โทรให้กูหน่อยเถอะ อย่าเพิ่งถามอะไรได้ไหม”

“เฮ้ยๆๆ ไอ้ไก่อู เป็นไรไปน่ะ” อ๊อดตกใจเมื่อเห็นผมลงทุนไหว้มัน หลังจากนั้นก็รีบต่อโทรศัพท์แต่โดยดี “เอ้า โทรๆๆ ไม่ถามก็ไม่ถาม”

คุณอาผู้หญิงเป็นคนรับสายอ๊อด เมื่ออ๊อดขอสายไอ้นัย คุณอาบอกว่าไอ้นัยไม่สบาย ตอนนี้หลับอยู่

“ก็บอกแล้วว่าสงสัยมันไม่สบาย” อ๊อดพูดหลังจากวางหูโทรศัพท์

บ่ายวันนั้น หลังเลิกเรียน ผมขอให้อ๊อดช่วยโทรหาไอ้นัยให้อีก แม้อ๊อดจะสงสัย แต่คราวนี้ไม่ถามอะไร ยอมไปโทรให้แต่โดยดี แต่ผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม

วันรุ่งขึ้น ไอ้นัยยังไม่มาโรงเรียน ตอนเที่ยงผมจึงไปขอร้องไอ้ตี๋ให้ช่วยโทรไปหาไอ้นัย ผมเปลี่ยนเสียงคนโทรเพื่อไม่ให้คุณอาระแวง ตี๋มองหน้าผม

“ทำไมมึงไม่โทรเองวะ” ตี๋ถามด้วยความสงสัย คำถามนี้อีกแล้ว

“กูขอร้องมึงสักครั้ง มึงอย่าถามเหตุผลได้ไหม แค่ช่วยโทรเท่านั้นแหละ” ผมอ้อนวอนมัน

นับว่าทั้งอ๊อดและตี๋เป็นเพื่อนที่พึ่งได้ในยามยาก ตี๋ยอมโทรศัพท์ให้แต่โดยดีโดยไม่ถามเหตุผลอีกเลย

“ไอ้นัยไม่สบายว่ะ หลับอยู่” ตี๋บอกผมหลังจากวางหู

ตอนบ่าย ผมวานให้ตี๋โทรให้อีก ผลก็เป็นเช่นเดิม ไอ้นัยหลับอยู่

ไม่สบายยังไงถึงได้หลับสองวันสองคืน ผมรู้สึกผิดปกติ หรือว่าไอ้นัยโดนเฆี่ยนจนป่วยและมาโรงเรียนไม่ได้?

- - -

เดือนกรกฎาคม

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ไอ้นัยไม่มาโรงเรียนเลย จากคำพูดของอ๊อด อาจารย์ประจำชั้นของไอ้นัยพูดให้เพื่อนๆในห้องแต่เพียงสั้นๆว่านัยไม่สบายและไปพักฟื้นที่ต่างจังหวัด ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเรียนได้เมื่อไร

“มียังงี้ด้วยโว้ย ไม่สบายแล้วไปพักฟื้นต่างจังหวัด มีแต่เข้าโรงพยาบาล ไอ้นัยนี่แปลกๆ เป็นโรคห่าอะไรวะ หรือจะเป็นโรคเอดส์ ยิ่งกำลังระบาดอยู่ด้วย” อ๊อดพูดเรื่อยเปื่อยกับผม

ผมเสียวสันหลังวาบ

“ไอ้ปากเสีย” ผมด่าไอ้อ๊อด “ไม่รู้อย่ามั่วได้มั้ย”

- - -

เดือนสิงหาคม

ไอ้นัยไม่ได้มาโรงเรียนมาเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว พวกเพื่อนๆวิจารณ์กันหึ่งว่าไอ้นัยป่วยหนักจนมาโรงเรียนไม่ได้ ไม่มีใครได้พูดคุยกับไอ้นัยเลย ผมเองไม่อยากจะเชื่อเพราะล่าสุดที่ได้เห็นไอ้นัย มันก็ดูแข็งแรงดี ถึงมันจะโดนทำโทษอย่างรุนแรง ป่านนี้ก็คงหายดีไปนานแล้ว

ผมเคยไปดูที่บ้านไอ้นัยหลายครั้ง แต่ก็ได้แค่แอบดู ไม่กล้าเข้าไปกดออดเรียกเพราะกลัวจะพบคุณอา ผมหาโอกาสปลอดที่ไอ้นัยอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เลย ถ้าเมื่อไรที่คุณอาทั้งสองคนไม่อยู่ที่บ้าน บ้านจะคล้องแม่กุญแจปิดเงียบ แสดงว่าไอ้นัยก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน

สถานการณ์ภายในครอบครัวของผมไม่ราบรื่นนัก ตัวผมเองยังหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าคุณอาจะเอาความลับของไอ้นัยและผมไปเล่าให้ที่บ้านของผมฟัง ส่วนเอ๊ดน้อยใจผมมากและไม่ยอมพูดกับผมเลย ไม่ว่าผมจะงอนง้ออ้อนวอนอย่างไร เอ๊ดยื่นคำขาดว่าถ้าไม่เล่าความจริงให้ฟังก็ไม่ต้องคุยกัน ภายใต้ความกดดัน ผมเกือบจะเล่าความจริงให้เอ๊ดฟังหลายต่อหลายครั้ง แต่แล้วก็ยับยั้งใจไว้ในที่สุด ความกลัดกลุ้มกังวลและความอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้สุดที่จะบรรยายได้ ผมเรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง และคะแนนการสอบย่อยกลางภาคของผมร่วงระนาว

คำขาดของเอ๊ดทำให้ผมหวนนึกถึงตอนที่ผมกดดันไอ้นัยให้เล่าความจริงที่มันปิดบังให้ผมฟัง ความอัดอั้นคับแค้นใจที่ไอ้นัยได้รับก็คงเป็นแบบนี้นี่เอง

ขอโทษนะเพื่อน กูไม่น่าบีบคั้นมึงขนาดนั้นเลย ผมเริ่มสำนึกเสียใจ ตั้งแต่เด็กจนโต ผมทำร้ายมันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กว่าจะสำนึกได้มันก็สายเกินไปทุกครั้ง... แต่ไม่ว่าผมจะทำร้ายมันกี่ครั้ง มันก็ยังอดทนกับผมเสมอ แล้วผมล่ะ อดทนกับมันแค่ไหน อะไรนิดอะไรหน่อยก็ผมก็โวยมันเสียแล้ว

ตีหนึ่งแล้ว เอ๊ดเข้านอนไปแล้ว ในห้องปิดไฟมืด ผมนอนไม่หลับจึงมานั่งที่โต๊ะทำงานทั้งในความมืด แสงจากไฟในซอยลอดเข้ามาทางหน้าต่างๆสาดส่องโต๊ะแค่พอเห็นได้ลางๆ ผมเอาซองบทเพลงออกมาลูบคลำเล่น

กริ๊งงงงง

เสียงโทรศัพท์จากเครื่องที่อยู่ชั้นล่างดังสั้นๆแล้วเงียบไป ท่ามกลางคืนอันเงียบสงัด เสียงของมันจึงกังวานเป็นพิเศษ

กริ๊งงงงง

เสียงโทรศัพท์ดังสั้นๆแล้วเงียบไปอีก... นั่นเป็นสัญญาณของไอ้นัยนี่นา

ผมผุดลุกจากโต๊ะ รีบออกจากห้องไปทันที

“ไอ้โทรศัพท์บ้ามันมาอีกแล้ว” เสียงคุณป้าดังขึ้น คุณป้าเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอนมาเห็นผมพอดี “เดี๋ยวป้าจะลงไปด่ามันหน่อย ดึกดื่นแล้วยังโทรมาแกล้งอีก”

“มันเงียบไปแล้วครับคุณป้า เดี๋ยวอูลงไปดูให้ดีกว่า คุณป้าไปนอนก็ได้ครับ ถ้าดังอีกอูด่ามันให้เอง” ผมรับอาสา

ชรอยคุณป้าคงจะง่วงนอน จึงไม่ได้คัดค้านอะไร จากนั้นหันกายกลับเข้าไปในห้องนอนและปิดประตู

ผมรีบเดินลงไปที่เครื่องโทรศัพท์ จากนั้นโทรไปที่บ้านไอ้นัยทันที ต้องลองเสี่ยงดู ถ้าเป็นคนอื่นรับ ผมจะวางสายโดยไม่พูดอะไร

“โหล” ปลายสายด้านโน้นรับแทบจะทันที เสียงพูดเบาเกือบเป็นเสียงกระซิบ

เสียงนั้นเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่วัยเด็ก ไอ้นัยนั่นเอง

“นัย” ผมอุทานอย่างดีใจ ในที่สุดผมก็ติดต่อมันจนได้ “เป็นไงบ้าง”

“ก็... สบายดี” เสียงตอบนั้นฟังดูเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน ต่างจากนัยคนเดิมที่อารมณ์ดีและเข้มแข็ง

เพียงเท่านี้ผมก็รู้ว่ามันกลบเกลื่อน ผมใจหายวาบ หรือเรื่องที่ผมเคยกลัวจะเป็นจริงขึ้นมา

“คุณอาตีมึงเหรอ ใช่มั้ย” ผมรีบถาม

“...”

เพียงแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรู้ว่าคุณอาทั้งสองคนเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ ไม่เคยตีไอ้นัยเลย มีแต่ดุ อีกอย่าง ไอ้นัยเป็นเด็กว่าง่ายและน่ารักมาตลอด จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องตี แต่มาวันนี้... ไอ้นัยต้องถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ...

“กูโดนคุมตัวแจ เค้าไม่ยอมให้กูติดต่อใคร” ไอ้นัยเปลี่ยนเรื่องสนทนา น้ำเสียงกลับกลายเป็นเร่งรีบ “นี่กูแอบโทร ฟังนะอู ให้กูบอกเรื่องสำคัญก่อน”


<“กูโดนคุมตัวแจ เค้าไม่ยอมให้กูติดต่อใคร” ไอ้นัยเปลี่ยนเรื่องสนทนา น้ำเสียงกลับกลายเป็นเร่งรีบ “นี่กูแอบโทร ฟังนะอู ให้กูบอกเรื่องสำคัญก่อน”>

Wednesday, June 10, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 90

ไอ้นัยย้ายเวลามาเรียนตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง ดังนั้นผมต้องรอมันเป็นเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน ผมรู้สึกใจเต้นระทึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมตื่นเต้นจนรู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นเลยทีเดียว

แต่ไหนแต่ไรมา เวลาอยู่กับไอ้นัย ผมมีแต่รู้สึกสบายๆ ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นและตึงเครียดขนาดนี้มาก่อน ผมร้อนรนจนนั่งไม่ติดเก้าอี้

นั่งรอแล้วจะประสาทกิน ไปเดินเล่นหน่อยดีกว่า ผมคิดในใจ จึงไปเดินเล่นที่สยามสแควร์เพื่อฆ่าเวลาและผ่อนคลายความตึงเครียดของตนเอง ผมวางแผนเอาไว้ว่าเมื่อมอบเพลงให้ไอ้นัยแล้วจะชวนมันมานั่งกินโดนัทที่ร้านเดิม ร้านที่เรามานั่งกินตั้งแต่อยู่ชั้น ม.๑ ... เมื่อนึกถึงร้านโดนัท ผมอดนึกถึงตอนที่ผมคอยบริการไอ้นัยไม่ได้ คุณหนูนัยนั่งกระดิกเท้าที่โต๊ะอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมก็ซื้อน้ำหวานและโดนัทเอาไปบริการให้ถึงโต๊ะ ใบหน้าของมันในตอนนั้นมีเสน่ห์ สดชื่น และมีความสุข

ก่อนเวลาบ่ายสองโมงเล็กน้อย ผมรีบเดินจากสยามสแควร์กลับเข้าไปในโรงเรียนดนตรีเพื่อดักรอไอ้นัย ผมเดินไปหามันที่ห้องเรียนกีตาร์แต่กลับพบนักเรียนคนอื่นกำลังเรียนอยู่

“นัยไปไหนละครับครู” ผมเคาะประตูแล้วชะโงกหน้าเข้าไปถามครูผู้สอนในห้องเรียน

“นัยเหรอ เพิ่งเลิกเรียนออกไปเมื่อกี้นี้เอง” ครูตอบ “วันนี้จบเร็วเลยเลิกก่อนเวลานิดหน่อย”

โธ่เอ๊ย น่าจะกลับมาเร็วกว่านี้หน่อย ผมนึกโมโหตนเอง พลางรีบวิ่งออกจากโรงเรียนดนตรีเพื่อตามหาไอ้นัย ถ้ามันกลับบ้านเลยผมก็รู้ว่าจะต้องไปดักมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายไหน แต่ถ้ามันยังอยู่แถวนี้เพื่อเดินเล่นต่อโอกาสหามันเจอคงมีน้อย เพราะที่สยามสคแวร์คนแน่นมาก

เมื่อยืนอยู่หน้าโรงเรียนดนตรี ผมพยายามสอดส่ายสายตามองหาไอ้นัย ทันใดนั้นผมก็เห็นร่างของเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งเดินอยู่บนสะพานลอย ดูไปคลับคล้ายคลับคลาจะเป็นไอ้นัยแต่ก็เห็นไม่ถนัด

ผมรีบวิ่งไปที่สะพานลอย เมื่อขึ้นไปอยู่บนสะพานลอย ผมเห็นเงาร่างนั้นลงจากสะพานลอยไปแล้วและกำลังเดินอยู่บนทางเท้า... เป็นไอ้นัยจริงๆด้วย

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคยังเข้าข้างผมที่เราสองคนไม่คลาดกัน

ทันใดนั้นผมก็นึกอยากรู้ว่าไอ้นัยกำลังจะเดินไปไหน ในเมื่อเห็นมันแล้วยังไงคงไม่พลัดกันอีก ตามมันไปดูก่อนดีกว่า

ผมเดินตามไอ้นัยไปเรื่อยๆ เห็นไอ้นัยเดินดูของตามร้านค้าริมถนน จากนั้นก็เข้าไปในห้าง แวะดูนั่นดูนี่เรื่อยเปื่อย จากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบน

ผมขึ้นบันไดเลื่อนตามไปห่างๆ เพราะถ้าตามไปติดๆคงถูกมันเห็น บ่ายวันเสาร์คนแน่นขนัด ผมอาศัยร่างของคนอื่นบังตัวผมเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ไอ้นัยหันมาเห็นเข้า

จนถึงชั้นบน คนที่ใช้บันได้เลื่อนเริ่มบางตา ผมตามไอ้นัยไปใกล้ๆไม่ได้แล้ว จึงต้องทิ้งช่วงให้มันขึ้นบันไดเลื่อนลับไปก่อน จากนั้นผมจึงตามขึ้นไป ไม่รู้ว่าไอ้นัยจะขึ้นชั้นบนไปทำไมกัน

เมื่อผมขึ้นไปถึงชั้นบน ไอ้นัยก็หายตัวไปเสียแล้ว!

ผมใจหายวูบ เกรงจะคลาดกันอีก นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่น่าปล่อยให้ไอ้นัยคลาดสายตา มานึกอีกทีที่จริงผมไม่ควรคิดพิเรนทร์สะกดรอยตามไอ้นัยเลย เรียกมันเอาไว้แล้วก็เอาซองบทเพลงให้มันก็สิ้นเรื่อง แต่มานึกเสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว

ผมเดินตามหาไอ้นัยด้วยความร้อนใจ จากเดินเป็นวิ่ง ผมวิ่งหามันทั้งชั้นนั้นและชั้นใกล้เคียง แต่ก็ไม่เห็นไอ้นัยแม้แต่เงา

ผมยังไม่หมดความพยายาม พยายามเดินหาไอ้นัยต่อไป ถึงอย่างไรมันคงยังอยู่ในตึกนี้แน่

ผมเดินหาจนมาถึงหน้าห้องน้ำแห่งหนึ่ง ห้องน้ำห้องนั้นอยู่ในบริเวณที่เงียบสงัด แทบไม่มีลูกค้าเดินผ่าน ผมชะลอฝีเท้าเพื่อตั้งหลักว่าจะเดินตามหาที่ไหนต่อไปดี

ทันใดนั้นเอง พนักงาน รปภ ในเครื่องแบบสองคน เดินแซงหน้าผมไปและตรงเข้าไปในห้องน้ำชาย ผมเหลือบสายตาเข้าไปดู เห็นในห้องน้ำชายนั้นมี รปภ ในเครื่องแบบอีกคนหนึ่งยืนอยู่ ผมรู้สึกเอะใจ มันเป็นสถานการณ์ที่ผิดสังเกต

ผมชะลอฝีเท้าให้ช้าลงอีก เดินผ่านห้องน้ำอย่างช้าๆ ได้ยินเสียง รปภ คุยกัน

“เนี่ย อยู่ในส้วมห้องนี้แหละ เห็นรองเท้าสี่ข้าง” รปภ คนหนึ่งพูดกับคนที่เหลือ

“เป็นตุ๊ดก็วิตถารพออยู่แล้ว ยังเสือกมาเอากันในห้องน้ำห้างอีก ม่านรูดมีก็ไม่ไป” รปภ อีกคนบ่นดังๆ

ผมได้ยินแต่เสียง แต่ไม่กล้าชะโงกหน้าเข้าไปดู จากนั้นทำทีเป็นเดินดูสินค้าแถวๆร้านค้าที่อยู่ใกล้ห้องน้ำ

“ออกมานะ” เสียง รปภ พูดค่อนข้างดัง พลางได้ยินเสียงตบประตูปังๆ

ผมรู้สึกใจเต้นระทึก นี่มันเกิดอะไรขึ้น

“ออกมา” เสียงดังเกือบเป็นเสียงตวาด พร้อมทั้งเสียงตบประตูดังยิ่งขึ้น ผมรู้สึกกลัวจนต้องถอยห่างออกจากบริเวณร้านค้าหน้าห้องน้ำ

“อุบาทว์นักนะพวกมึง” เสียง รปภ ดังลอดออกมาอีก จากนั้นก็เป็นเสียงอุทานด้วยความตกใจ “เฮ้ย นี่เด็กนี่หว่า”

ผมรู้สึกสังหรณ์ใจวูบ พริบตานั้นผมรู้สึกว่าตัวหวิวๆ โคลงเคลงคล้ายกับลอยอยู่ในน้ำ มีอาการคล้ายหน้ามืด ภาพรอบตัวกลายเป็นสีเทาไปหมดราวกับตกไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง จู่ๆผมก็รู้สึกหนาวยะเยือก หวาดกลัวขึ้นมาจนตัวสั่น มีความรู้สึกเหมือนกับอับจนสิ้นหนทาง ท้อแท้ และหมดสิ้นความหวัง มันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมาก ผมไม่เคยเผชิญกับความรู้สึกที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต

เพียงครู่เดียวผมก็ตื่นจากภวังค์ แลเห็น รปภ ๓ คนเดินประกบชาย ๒ คนออกมาจากห้องน้ำ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกิน ๓๐ ปี หน้าตาดี แต่งตัวดี ส่วนอีกคนเป็นเด็กวัยรุ่น

ไอ้นัยนั่นเอง!!!

ไอ้นัยหันมาเห็นผมเข้าพอดี เห็นมันอ้าปากคล้ายกับจะอุทานออกมา ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ใบหน้าของไอ้นัยซีดเผือด ความรู้สึกอันน่ากลัวที่เกิดขึ้นในโลกสีเทาเมื่อครู่วูบกลับมาอีก ผมเหมือนกับจะเข้าใจความรู้สึกของไอ้นัยในขณะนั้น ผมยืนตะลึง ทำอะไรไม่ถูก

รปภ พาทั้งสองคนเดินผ่านหน้าผมไป เมื่อผมหายตะลึง ผมรีบเดินตามไปห่างๆ ส่วนไอ้นัยไม่หันมามองผมอีกเลย

ผมควรจะทำอย่างไรดีจึงจะช่วยไอ้นัยได้ ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น ผมคิดอะไรไม่ออก จะไปแย่งตัวไอ้นัยมาคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นทั้งกลัว ทั้งคิดอะไรไม่ออก

รปภ พาทั้งสองคนไปที่จากนั้นกดเรียกลิฟต์ เมื่อทั้งหมดขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ผมเดินไปดูดวงไฟที่ลิฟต์ว่าลิฟต์คันนี้ไปจอดที่ชั้นใด เพื่อจะได้ตามขึ้นไป

ปรากฏว่าลิฟต์จอดหลายชั้น ผมจึงขึ้นลิฟต์ตามไปดูทีละชั้น แต่ก็ไม่พบไอ้นัย ไอ้นัยกับชายหนุ่มอีกคนคงถูกพาเข้าไปคุยภายในห้องที่ไหนสักแห่งแล้วเป็นแน่

ผมเดินพล่าน พยายามคิดว่าคววรทำอย่างไรดี แต่ก็คิดไม่ออก จะโทรไปบอกคุณอาไอ้นัยให้มาช่วยก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อไอ้นัยกันแน่ เรื่องแบบนี้ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองรู้เข้าใครจะทำใจยอมรับได้ ครั้นจะอยู่เฉยๆก็กลัวไอ้นัยจะถูกทำร้าย จะแจ้งตำรวจก็เกรงว่าเรื่องจะบานปลายยิ่งกว่าเดิม หรือไม่แน่ว่าทาง รปภ จะจับตัวไอ้นัยส่งตำรวจเสียเองก็เป็นได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งตึงเครียด

เมื่อคิดไม่ออก ผมจึงได้แต่เดินตามหาไอ้นัย เผื่อว่าไอ้นัยอาจถูกปล่อยตัวออกมา หรือถ้าผมเห็นมันถูกพาไปโรงพัก ผมอาจตัดสินใจบอกที่บ้านไอ้นัยก็ได้

หลายชั่วโมงผ่านไป ผมพยายามเดินไปเดินมาเผื่อจะพบไอ้นัย แต่ก็ไม่พบ ผมจึงตัดสินใจโทรไปที่บ้านของมัน เผื่อว่ามันจะกลับบ้านไปแล้ว แต่ที่บ้านของไอ้นัยก็ไม่มีคนรับสาย

จนสามทุ่ม ผมเดินอยู่ในตึกจนท้อใจ เดินไปเดินมาโดยไม่หยุดเป็นเวลาหลายชั่วโมง อาหารเย็นก็ยังไม่ได้กิน ทั้งเหนื่อยล้า ทั้งตึงเครียด และทั้งหวาดกลัว ผมรู้สึกถูกกดดันจนอยากจะร้องไห้...

ผมตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่บ้านไอ้นัยอีกครั้ง

“ฮัลโหล” เสียงคุณอาผู้หญิงรับสาย

“คุณอาครับ นัยอยู่ไหมครับ” ผมพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ เพราะตอนนั้นกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่ก็พยายามบังคับเสียงอย่างสุดความสามารถ

“นัยเข้านอนไปแล้ว” คุณอาพูดเสียงห้วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยไอ้นัยก็กลับถึงบ้านไปแล้ว แต่ก็รู้สึกเอะใจเพราะทุกครั้งคุณอาไม่เคยปฏิเสธไม่ให้ผมคุยกับไอ้นัยมาก่อน

ช่างมันเถอะ ผมคิด ตอนนั้นสมองตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก ผมไม่กล้าคุยกับคุณอามาก มีอะไรเอาไว้ค่อยคุยกับไอ้นัยพรุ่งนี้ก็ได้ แม้ตอนนั้นอยากรู้มากว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้นัยแต่ก็จำใจต้องวางสายไปก่อน

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน” เสียงคุณอาเรียกผมก่อนที่ผมจะวางสาย “วันนี้อูอยู่กับนัยหรือเปล่า”

“เอ้อ...” ผมตะกุกตะกัก “วันนี้ไม่ได้เจอกันเลย มีอะไรหรือครับ”

ผมชักเอะใจว่าคุณอาดูผิดปกติไป หรือว่าคุณอาจะรู้ระแคะระคายว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้บ้าง

“เปล่า ไม่มีหรอก” คุณอาพูดเสียงห้วน “เท่านี้ก่อนนะอู”

- - -

ผมกลับถึงบ้านตอนสี่ทุ่มกว่า เมื่อไปถึง ในบ้านเปิดไฟสว่างโร่ คุณลุง คุณป้า และเอ๊ด กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนั่งเล่น

“โอย ตายแล้ว ตาอู ไปอยู่ไหนมาเนี่ย เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า” คุณป้ารีบถามเมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน

แย่ละสิ มัวแต่คิดเรื่องไอ้นัยจนลืมโทรศัพท์บอกทางบ้าน ผมนึกในใจ

“ไม่ได้เป็นอะไรครับ” ผมตอบ

เท่านั้นเอง พอทุกคนรู้ว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ผมก็โดนถล่มอย่างไม่ยั้ง คุณป้าเอะอะด้วยความโมโหเพราะว่าเป็นห่วงผมตลอดทั้งค่ำ จนเกือบจะไปแจ้งความคนหายอยู่แล้ว เพราะว่าผมไม่เคยมีพฤติการณ์กลับบ้านผิดเวลาขนาดนี้โดยไม่บอกล่วงหน้า คุณลุงก็บ่น ไม่ว่าใครจะถามอย่างไรผมก็ไม่ยอมอธิบาย แม้แต่เอ๊ดก็ต่อว่าผมเพราะคิดว่าผมไปเที่ยวเถลไถล ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรจริงๆ ผมไม่อยากโกหกเพราะถ้าถูกจับได้ว่าโกหกเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่ เลยพานนิ่งเสียดีกว่า

ผมยืนเงียบ ปล่อยให้ทุกคนต่อว่าจนพอแก่ใจ ตอนนั้นมันชาไปหมดแล้ว ทั้งสมองและร่างกาย จากนั้นผมก็เดินขึ้นชั้นบนและเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเข้าไปในห้องน้ำได้ก็ล็อกกลอน จากนั้นก็ร้องไห้ออกมา

ผมพยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงลอดออกไปนอกห้องน้ำ การร้องไห้โดยพยายามกลั้นเอาไว้นั้นมันช่างเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายสิ้นดี หลังจากเผชิญความกดดันมาตลอดทั้งบ่าย ผมยังมาโดนดุเรื่องกลับบ้านดึกอีก ชีวิตของผมส่วนหนึ่งเสมือนต้องถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในเงามืด จะให้ใครเข้ามารู้มาเห็นไม่ได้ เพราะว่าชีวิตส่วนนั้นเป็นส่วนที่น่ารังเกียจของใครหลายๆคน... จะหวานจะขมก็ต้องทนกล้ำกลืนเอาไว้คนเดียว...

ผมร้องไห้อยู่นานพอสมควร จากนั้นก็อาบน้ำและเข้านอนเลย ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นดวงตาที่แดงก่ำของผม เสียงคนคุยกันแว่วขึ้นมาจากข้างล่าง ทั้งสามคนคงยังบ่นผมอยู่

ก่อนเข้านอน ผมหยิบซองเพลงรักที่ผมต้องการจะมอบให้ไอ้นัยออกมาลูบคลำเล่น ชีวิตช่างเล่นตลกเสียจริง การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงวูบเดียวของผมก่อให้เกิดเรื่องเลวร้ายอย่างที่แก้ไขไม่ได้ นี่ถ้าผมไม่คิดสะกดรอยมัน เรียกมันเอาไว้และส่งเพลงให้มัน เรื่องร้ายๆทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น...

คืนนั้นผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายเกือบตลอดคืน คิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้ เกิดอะไรขึ้นกับไอ้นัย มันเข้าไปทำอะไรกับชายหนุ่มคนนั้นในห้องส้วม รวมทั้งหลังจากถูก รปภ คุมตัวไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับไอ้นัยบ้าง คำถามต่างๆผุดขึ้นมาเต็มสมอง

ตั้งแต่เมื่อกลางวัน ผมมัวแต่เป็นห่วงไอ้นัยที่ถูก รปภ จับตัวไป ใจมัวแต่จดจ่ออยู่แต่ว่าจะช่วยไอ้นัยอย่างไร แต่เมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็อดกลับมาคิดไม่ได้ว่า ไอ้นัยทำอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วมันเห็นผมเป็นอะไร ความคิดเรื่องไอ้นัยสลับไปมากับความคิดตำหนิตนเองจนเกือบตลอดคืน

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนสายเล็กน้อยเพราะกว่าจะได้หลับก็เกือบรุ่งสาง ยังดีที่เป็นวันอาทิตย์ ผมไม่ต้องรีบไปโรงเรียน แต่ถึงไม่ต้องไปโรงเรียนผมก็มีงานบ้านที่ต้องทำ

พอตื่นขึ้นมาผมก็คิดถึงไอ้นัยทันที ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะโทรไปหาไอ้นัย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร เอ๊ดก็เดินขึ้นมาตามผมลงไปรับโทรศัพท์ ผมรีบลงไปเพราะคิดว่าเป็นไอ้นัยโทรมา

“นัย เป็นไงบ้าง” ผมยกหูโทรศัพท์พร้อมทักทาย

“อูเหรอ นี่อานะ” เป็นเสียงของคุณอาผู้ชาย

ผมใจหายวูบ ทำไมคุณอาถึงโทรมา

“อามีเรื่องอยากถามอูหน่อย คืออูเห็นนัยเค้ามีพฤติกรรมอะไรแปลกๆบ้างไหม” คุณอาถามแบบไม่อ้อมค้อม

ผมอึ้ง คำถามนี้กะทันหันจนผมตั้งตัวไม่ทัน

“เอ้อ... นัยเค้าก็ปกติดีนี่ครับ” ผมตอบ “แต่ปีนี้เราห่างกันไปครับ ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน ต่างคนก็มีกิจกรรมในห้องครับ”

ในชั่ววูบนั้นผมคิดได้เพียงคำตอบนี้ ผมก็ไม่แน่ใจตนเองเหมือนกันว่าที่ตอบออกไปเพราะต้องการเอาตัวรอดคนเดียวหรือเพราะต้องการไม่ให้คุณอาระแวงความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองคนกันแน่

หลังจากนั้นคุณอาก็ซักถามอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของผมและไอ้นัย ผมก็ตอบจริงบ้าง โกหกบ้าง แต่ผมก็ไม่รู้จุดประสงค์ของคุณอาว่าจะถามไปเพื่ออะไร และทำไมจู่ๆถึงได้อยากรู้ในเวลานี้

“ขอผมคุยกับนัยหน่อยนะครับคุณอา” ผมพูดกับคุณอาหลังจากที่โดนสอบปากคำเรียบร้อย

“...” คุณอาเงียบไปครู่หนึ่ง “นัยเค้าไม่ค่อยสบายน่ะ ยังไม่ตื่นเลย เอาไว้ก่อนละกันนะอู เท่านี้ก่อนนะ”

พูดจบคุณอาก็รีบวางสายไป


<ผมเดินตามไอ้นัยไปเรื่อยๆ เห็นไอ้นัยเดินดูของตามร้านค้าริมถนน จากนั้นก็เข้าไปในห้าง แวะดูนั่นดูนี่เรื่อยเปื่อย>

Sunday, June 7, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 89

มันเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง ผมตั้งใจว่าจะบอกให้ไอ้นัยรู้ว่าผมรู้สึกต่อมันอย่างไร ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันนั้นพิเศษเหนือกว่าเพื่อนสนิทคนอื่นๆ มันไม่ใช่ความรักเพื่อนในแบบทั่วไป แต่มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมัน และอยากให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมื่อเราเข้ามาเรียนที่นี่ ตั้งแต่ที่เราเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นและมีปากเสียงกัน จนถึงเวลาที่เราทะเลาะกันอย่างรุนแรงและหมางเมินกัน ผมไม่เคยมีความสุขเลย ผมอาจมีเหตุผลหลายข้อเพียงพอที่จะเลิกคบกับมัน เพราะว่ามันติดกัญชา แม้ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง รวมทั้งมันยังขับไล่ผม และนอกจากนี้ไอ้นัยเองเป็นคนที่แยกตัวไปจากผม ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศตัดสัมพันธ์กับผมโดยปริยาย เหตุผลเหล่านี้อาจเพียงพอที่จะเลิกคบกับไอ้นัย ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปงอนง้อมันอีก แต่น่าแปลก การที่ไอ้นัยไปจากชีวิตของผม มันไม่ได้ทำให้ดีใจเลย ตรงกับข้าม ผมกลับหม่นหมองอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคิดก็ยิ่งหาทางออกไม่พบ

ในที่สุด ผมก็โยนเหตุผลต่างๆทิ้งไป แล้วปล่อยให้หัวใจนำทางแทน...

ตอนนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าไอ้นัยรู้สึกอย่างไรกับผม ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นเกย์หรือเปล่า ผมไม่รู้ว่ามันมีความรู้สึกต่อผมเช่นเดียวกับที่ผมรู้สึกต่อมันหรือไม่ ในสายตาของผม ผมไม่เคยเห็นอะไรที่ชัดเจนจากตัวมันเลย บางทีมันอาจไม่ได้เป็นเกย์เลยก็ได้ ที่ผ่านมามันอาจเป็นแค่ความอยากรู้อยากลองในวัยเด็กเท่านั้น ที่จริงมันอาจเป็นปกติเหมือนเด็กทั่วไปก็ได้

และถึงแม้ว่ามันเป็น รวมทั้งอาจเคยมีความรู้สึกที่พิเศษต่อผม แต่หลังจากที่เราทะเลาะกันหลายต่อหลายครั้ง ผมก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกดีๆของมันที่เคยมีต่อผมยังคงอยู่หรือไม่ มันอาจเบื่อหน่ายและหมดสิ้นเยื่อใยในตัวผมไปเสียแล้วก็ได้

ผมอยากบอกความรู้สึกของผมที่มีต่อมัน อยากให้มันรู้ว่าผมขาดมันไม่ได้ แม้มันจะสูบบุหรี่ สูบกัญชา หรือว่าไปทำอะไรไม่ดีก็ตาม แม้ผมจะเคยมิทิษฐิต่อมัน แต่นั่นเป็นเรื่องของอารมณ์เพียงชั่ววูบ แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง

‘ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา... ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด... ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ...’

ผมอดนึกถึงโอวาทยามเช้าที่อาจารย์ใหญ่มักอบรมพวกเราสมัยที่เราเรียนอยู่ชั้นประถมไม่ได้ อาจารย์มักยกเอาเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลมาเล่าให้พวกเราฟังพร้อมทั้งอบรมอยู่เสมอ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์ใหญ่พูดบ่อยๆตลอดหลายปีที่เราเรียนอยู่ชั้นประถมจนพวกเราจำได้แม่นก็คือเรื่องของความรัก ตอนเด็กๆ ผมมักหัวเราะกับไอ้นัยและเพื่อนคนอื่นๆเมื่ออาจารย์ใหญ่สาธยายคำจำกัดความของความรักอย่างยืดยาว พวกเราคิดว่าทำไมความรักมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ แต่ตอนผมพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าการจะรักใครสักคนอย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ใช่แล้ว ผมไม่ควรช่างจดจำความผิด ไม่ควรฉุนเฉียว ผมควรอดทนต่อไอ้นัยและเชื่อในส่วนดีของมัน รวมทั้งมีความหวังต่อมันเสมอ ผมน่าจะนึกถึงข้อความนี้ได้เร็วกว่านี้ มานึกได้เอาตอนนี้ไม่รู้ว่าจะสายเกินไปหรือไม่

การจะบอกความรู้สึกของผม ถ้าพูดออกไปตรงๆมันดูทื่อไปหน่อย ผมอยากทำอะไรที่พิเศษและมีความหมายเพื่อให้มันรู้ถึงความจริงใจของผม

ให้ดอกกุหลาบดีไหม? ไม่เอาดีกว่า ถ้าใครรู้ว่าเด็กผู้ชายให้ดอกกุหลาบกันคงหึ่งไปทั้งโรงเรียนเป็นแน่ อีกอย่าง ผมว่ามันไม่ค่อยมีความหมายเท่าไรนัก แค่เอาเงินไปซื้อดอกไม้ ใครๆก็ทำได้ ผมอยากให้สิ่งที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินแก่มันมากกว่า

ผมกลับไปที่โรงเรียนดนตรีอีกครั้ง ผมอยากได้บทเพลงบทนั้น แต่โน้ตดนตรีเล่มนั้นแพงมาก ผมซื้อไม่ไหวเพราะมีเงินไม่พอ ผมจึงไปหาครูของผมเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ครูครับ” ผมโผล่หน้าเข้าไปในห้องเรียนซึ่งขณะนั้นครูของผมกำลังสอนนักเรียนคนอื่นอยู่ เมื่อครูเห็นผมก็เดินออกมาพบที่นอกห้อง

“ยังไม่กลับหรืออู” ครูสอนเปียโนทักผม “มีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ก็มีนิดหน่อยครับ” ผมตอบอึกอัก “คือผมอยากได้โน้ตเปียโนเล่มหนึ่ง แต่ว่ามันแพงมาก ผมมีตังค์ไม่พอ อยากจะขอยืมเงินครูไปซื้อก่อนน่ะครับ แล้วเสาร์หน้าผมจะเอาเงินมาคืนให้”

ครูมองหน้าผมด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลูกศิษย์จอมขี้เกียจเกิดขยันขึ้นมา “อยากได้เล่มไหนเหรอ”

ผมบอกชื่อหนังสือไป เมื่อครูได้ฟังจึงพาผมเดินไปดูที่ห้องโชว์

“โน้ตมันยากอยู่นะ มีง่ายๆเพียงบางเพลงเท่านั้น อูจะเล่นไม่ไหวน่ะสิ” ครูท้วงหลังจากพลิกดูหนังสือโน้ตเปียโนเล่มที่ผมต้องการ “ทำไมไม่เลือกเล่มอื่นที่มันง่ายกว่านี้หน่อยล่ะ ถ้าอยากได้แบบเรียนเอาไว้ซ้อมเพิ่มเติม ครูเลือกให้เอาไหม”

“เอ้อ ผมอยากได้บางเพลงในนั้นน่ะครับ” ผมสารภาพความจริงออกไป

เมื่อครูถามว่าเพลงไหน ผมจึงบอกชื่อเพลง ครูได้ฟังแล้วก็อมยิ้ม มองหน้าผม

“นึกว่าอูเกิดขยันขึ้นมา” ครูแซวผม “จะหัดเพลงรักไปเล่นให้ใครฟัง นี่เพิ่ง ม.๒ เอง มีแฟนแล้วเหรอ ไวจริงนะอู”

ผมพูดจากลบเกลื่อนไปเล็กน้อย แต่ชื่อเพลงก็บอกอยู่โทนโท่ ยากที่จะปฏิเสธได้ ครูเปียโนผู้ใจดีเมื่อเห็นผมอยากได้เพลงนี้เพียงเพลงเดียว จึงพูดกับผมว่า

“ถ้าอยากได้แค่เพลงเดียว งั้นเดี๋ยวครูจัดการให้ อูไปรอหน้าห้องเรียนก่อนไป” ครูพูด

หลังจากที่ผมไปรอที่หน้าห้องเรียน เพียงครู่เดียวครูก็กลับมาพร้อมด้วยสำเนาโน้ตเพลงที่ผมต้องการ ครูอุตส่าห์ไปถ่ายเอกสารมาให้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อทั้งเล่ม

“ยังงี้ดีกว่าไหม” ครูพูด พร้อมทั้งส่งสำเนาโน้ตเพลงให้

“ขอบคุณครับครู” ผมยกมือไหว้และรับสำเนาโน้ตเพลงไว้ด้วยด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ

- - -

หลังจากนั้น ผมจึงไปจองเวลาซ้อมเปียโน วันนั้นพอดีมีเวลาว่างในช่วงเย็น ผมก็ทนแกร่วรอที่โรงเรียนอีกเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะได้ซ้อมเปียโน

เมื่อถึงเวลาที่จองเอาไว้ ผมก็เอาเพลง My Love is Like a Red Red Rose มาแกะ โดยพยายามเล่นแนวทำนองให้ได้ก่อน เมื่อเล่นแนวทำนองได้แล้วผมก็พยายามร้องคลอตาม โดยสังเกตว่าคำร้องพยางค์ไหนลงที่โน้ตตัวไหน กว่าจะแกะได้แค่นี้ก็เล่นเอาเหงื่อตก ปรากฏว่าเพลงนี้ร้องยากเพราะว่าใช้ช่วงเสียงที่ค่อนข้างกว้าง เวลาร้องมีการเอื้อนจากเสียงต่ำไปสูงและจากสูงไปต่ำ ทำให้ร้องยาก

เมื่อหมดเวลาที่จองเอาไว้ ผมยังจองเวลาซ้อมต่ออีกในวันอาทิตย์ ปกติชั่วโมงซ้อมในวันหยุดหาได้ยากมาก แต่วันรุ่งขึ้นพอดีมีคิวว่างในตอนเย็น

ก่อนกลับบ้าน ผมซื้อกระดาษบรรทัดห้าเส้นกลับบ้านไปด้วย กระดาษบรรทัดห้าเส้นที่ว่าก็คือกระดาษสำหรับเขียนโน้ตดนตรีนั่นเอง ในกระดาษจะตีเส้นเอาไว้ให้สำเร็จรูป สำหรับเขียนโน้ตลงไปได้เลย ไม่ต้องไปลำบากตีเส้นเอง

เมื่อถึงบ้าน ผมใช้วลาตอนกลางคืนร้องเพลงที่ฝึกได้ในวันนี้ เมื่อจับคำร้อง ทำนอง และจังหวะได้แม่นแล้ว ผมก็เขียนเนื้อเพลงภาษาไทยใส่ลงไป

ใช่แล้ว ผมจะแต่งเพลงรักให้ไอ้นัยสักเพลงนั่นเอง!

เนื่องจากความรู้ทางดนตรีของผมมีอยู่นิดเดียว ดังนั้นการจะแต่งเพลงโดยคิดทำนองและเนื้อร้องด้วยคงเป็นไปได้ยาก เท่าที่ผมพอจะทำได้ก็คือเอาทำนองเพลงมาสักเพลงแล้วแต่งคำร้องใส่ลงไป

ผมเลือกเพลงนี้เพราะเดิมก็เป็นเพลงรักอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นอาขยานซึ่งเราเรียนในช่วงที่เรายังสนิทสนมคุ้นเคยกันดีอยู่ แต่โชคร้ายที่เพลงนี้ร้องยากไปหน่อย การใส่คำร้องลงไปจึงคิดคำที่เสียงวรรณยุกต์เหมาะกับตัวโน้ตได้ยาก แต่ในเมื่อเดินหน้าไปแล้วก็ถอยไม่ได้

ในเวลากลางคืน ผมนั่งฮัมเพลงอยู่ที่โต๊ะทำงานของผม พยายามคิดคำร้องใส่ลงไปด้วยความกระตือรือร้น

“อู บ้าไปแล้วหรือเปล่า ร้องเพลงหงุงหงิงอยู่ได้เป็นชั่วโมงแล้ว” เสียงเอ๊ดเอ็ดตะโรออกมาจากเตียง เอ๊ดพยายามจะนอนแต่นอนไม่หลับเพราะเสียงฮัมเพลงของผมรวมทั้งแสงไปจากโคมที่โต๊ะ “รำคาญโว้ย คนจะนอน”

ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเพราะอารมณ์กวีกำลังแล่น จึงปิดไฟแล้วย้ายมานั่งทำงานที่โต๊ะกินอาหารชั้นล่างแทน

“เอ๊ดว่าอูจะบ้าไปแล้วนะ ยังงี้เห็นจะต้องบอกป๋าให้พาไปเช็คประสาทแล้ว” เสียงเอ๊ดพูดไล่หลังออกมาเมื่อผมเดินออกมาจากห้องนอน เอ๊ดค่อนข้างหงุดหงิดรำคาญผม เพราะผมชอบทำตัวแปลกแยก ไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ไม่ตอบ แรกๆก็เป็นห่วง แต่พอนานวันเข้าก็กลายเป็นรำคาญแทน

ผมพยายามเขียนเนื้อร้องใส่ลงไป แม้มันไม่ง่ายสำหรับผม แต่ผมก็พยายามเต็มที่ เพียงแค่คิดว่าผมอาจจะได้คืนดีกับไอ้นัย ผมก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด ต่างจากช่วงที่ผ่านมาที่ผมรู้สึกเคร่งเครียดและหม่นหมองอยู่ตลอดเวลา

วันรุ่งขึ้น ผมไปที่โรงเรียนดนตรีอีก ผมเอาเนื้อร้องที่ร่างเอาไว้ไปเล่นกับเปียโน ลองร้องคลอดู แล้วปรับแก้ตัวโน้ต จังหวะ และคำร้อง เข้าหากัน

น่าจะพอใช้ได้แล้ว ผมคิดในใจ

ในสัปดาห์ต่อมา ผมใช้เวลาตลอดสัปดาห์ตั้งแต่วันจันทร์ถึงลองร้องและปรับแก้เพลงนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นการปรับเล็กๆน้อยๆ ทั้งตัวโน้ต จังหวะ และคำ เหมือนกับการเก็บรายละเอียดมากกว่า แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าดีพอแล้ว จนวันเสาร์ถัดมา ผมเอาไปทดลองร้องคลอกับเปียโนอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย โดยแอบเอาเวลาเรียนมาใช้ เมื่อครูอยู่ผมก็เล่นหัดเพลงที่เรียน แต่พอครูไม่อยู่ ผมก็เอาเพลงของผมขึ้นมาแก้ และคิดว่าได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น เพราะหากแก้หยุมหยิมต่อไปก็จะไม่มีวันได้มอบให้ไอ้นัยเสียที

เมื่อสิ้นสุดการแก้ไข ผมก็ลอกโน้ตเพลงและคำร้องลงไปในกระดาษบรรทัดห้าเส้น โดยเขียนอย่างบรรจงที่สุด และแล้ว ในที่สุด ผมก็ได้คำฝากรักที่มีค่าแต่ไม่มีราคา เพราะมันได้ซื้อหามาด้วยเงินทอง แต่มาจากใจของผม

ผมเอาเพลงที่ผมเขียนขึ้นพับใส่ซองจดหมาย ปิดผนึกเอาไว้ ตั้งใจว่าจะรออยู่ที่โรงเรียนดนตรีจนเจอไอ้นัยและมอบให้มันในวันนี้ และบอกให้มันช่วยหัดเพลงนี้แล้วเอามาร้องให้ผมฟังหน่อย โดยผมวางหลุมพรางเอาไว้ในเพลงนิดหน่อย คือในเนื้อเพลงจะมีความว่า ‘ฉันรักเธอ’ อยู่ด้วย เวลาไอ้นัยเอาไปหัด มันก็จะได้รู้ว่าผมบอกความในใจแก่มัน และถ้าไอ้นัยร้องเพลงนี้ให้ผมฟัง ผมก็จะถือเอาว่าไอ้นัยได้บอกความในใจแก่ผมด้วยเช่นกัน