Wednesday, December 16, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 37

ในณะที่เกรียงและเพื่อนคนอื่นรื้อค้นข้าวของที่อยู่ในห้องรับแขกกับห้องนั่งเล่นในบ้านของเวชนั้นผมก็นั่งเล่นอยู่ที่โซฟากับเวช พร้อมกับถือโอกาสสำรวจบ้านของเวชด้วยสายตา ตัวบ้านของเวชใหญ่โต นอกตัวบ้านก็กินบริเวณกว้างขวาง บ้านคุณลุงที่ผมเคยอาศัยอยู่มีขนาดที่ดินประมาณ ๑๐๐ ตารางวา ส่วนที่ดินของบ้านหลังนี้เนื้อที่ใหญ่กว่าหลายเท่า น่าจะประมาณหนึ่งไร่ได้ ซึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ดินย่านฝั่งธนบุรียังมีราคาไม่แพงนัก การที่คนมีฐานะจะมีที่ดินปลูกบ้านสักหนึ่งไร่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ที่น่าแปลกก็คือบ้านนี้แม้ใหญ่โต แต่รู้สึกเงียบเหงาผิดปกติ

“คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยอยู่บ้านเหรอ” ผมถามอย่างระมัดระวัง

“ฮื่อ” เวชตอบ “ทำงาน งานเลี้ยง เยอะแยะไปหมด”

“แล้วทำความสะอาดบ้านกันตอนไหนล่ะ” ผมถาม ด้วยความที่ทำงานบ้านเองจนชิน จึงนึกสงสัยว่าสามคนพ่อแม่ลูกเอาเวลาทำงานบ้านกันตอนไหน

“มีคนทำน่ะ” เวชตอบ “มีแม่บ้านกับลุงสองผัวเมีย ทำงานบ้าน ทำครัว แล้วก็ทำสวน”

เวชตอบสั้นๆ แต่เพียงแค่นี้ผมก็พอนึกภาพออก เวชคงเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เวชเองจึงไม่รู้ว่าจะกลับบ้านมาทำไมเพราะเมื่อกลับมาแล้วก็ไม่มีใคร แม้บ้านของเวชจะใหญ่ ฐานะจะดูมั่งคั่ง แต่ผมคิดว่าหัวใจของเวชคงมีแต่ความเงียบเหงาอ้างว้าง เมื่อพ่อแม่ลูกต่างก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ดูเหมือนว่าผู้ที่ครอบครองบ้านและเสพสุขในบ้านอันใหญ่โตที่แท้จริงกลับกลายเป็นสองผัวเมียที่คอยดูแลบ้านให้

สภาพของเวชทำให้ผมอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ไอ้นัยเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น คุณอาของไอ้นัยก็ไม่ได้เป็นคล้ายๆกันนี้หรอกหรือ พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินจนเหลือเวลาให้แก่ไอ้นัยเพียงเล็กน้อย แต่สภาพของเวชดูจะเงียบเหงากว่าด้วยซ้ำ มันทำให้ผมอดเกิดความเห็นอกเห็นใจเวชขึ้นมาไม่ได้ น่าแปลกที่เมื่อก่อนหน้านี้ผมรู้สึกปรารถนาดีกับเวชอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากหัวใจ ไม่ใช่จากเหตุผลใดๆ ที่แท้คงเป็นเพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายไอ้นัยนี่เอง

คิดไปคิดมาก็อดคิดถึงตัวเองไม่ได้ นึกถึงภาพตนเองเดินเข้าห้องฝ่ายปกครองในวันรุ่งขึ้น และหลังจากนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“เฮ้ย คิดห่าอะไรวะ นั่งเหม่อเชียว” เวชเรียกผม “กูเห็นมึงชอบนั่งใจลอยเป็นประจำเลย”

“เอ้อ ก็คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยน่ะ คิดถึงพรุ่งนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง” ผมพูด

“ปอดแหกละสิ” เวชหัวเราะ “ไม่มีอะไรมากหรอก ของมึงเพิ่งครั้งแรก อย่างมากก็เชิญผู้ปกครองมาพบ”

เวชหยุดเล็กน้อย แล้วพูดต่อ

“แต่กูว่ามึงคงรอดได้ว่ะ ใครจะรู้ เพราะอาจารย์ไม่รู้จักมึง กระเป๋าก็ไม่ได้ทิ้งเอาไว้”

ผมถอนใจ “ถ้าโดนเชิญผู้ปกครองมา สงสัยพ่อกูต้องบังคับให้กลับไปเรียนต่างจังหวัดแน่เลย”

“เสียใจแล้วละสิ” เวชพูดยิ้มๆ ไม่แน่ใจว่ามันแฝงความหมายเยาะหยันเอาไว้หรือเปล่า

“...”

ผมเหลือบไปเห็นที่มุมห้องมีวัตถุคล้ายตู้สีไม้โอ๊ควางอยู่ มันคือเปียโนแบบอัปไรต์นั่นเอง

“โห มีเปียโนด้วย” ผมอุทาน พร้อมกันนั้นก็อดเดินไปดูไม่ได้ แต่ไม่กล้าเปิดฝาออกมาทดลองเล่นเพราะกลัวเวชด่า

“มึงเล่นเป็นเหรอ” เวชพูดอย่างแปลกใจ

“ก็เรียนอยู่อะ แต่ไม่ค่อยก้าวหน้าหรอก ไม่มีโอกาสซ้อม กูไม่มีเปียโนเอง ต้องอาศัยซ้อมที่โรงเรียนดนตรี เวลาซ้อมก็หายาก” ผมอธิบาย “แล้วเปียโนนี้ใครเล่นล่ะ”

เวชส่ายหน้า “ไม่มีใครเล่นเป็นหรอก เอาไว้โชว์น่ะ”

ที่แท้มีเปียโนเอาไว้ประดับบารมีนั่นเอง การมีเปียโนอยู่ในบ้านเป็นเครื่องบ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะได้อย่างหนึ่งจริงๆ

“มึงลองเล่นดิ” เวชพูด

“ให้กูลองเหรอ ดีจัง” ผมพูดอย่างดีใจ ผมฝันอยากมีเปียโนที่บ้านมานานแล้ว จะได้ไม่ต้องคอยไปซ้อมที่โรงเรียน หากมีโอกาสฝึกฝนให้มากขึ้น ฝีมือของผมคงก้าวหน้าได้มากกว่านี้ แต่มันก็เป็นได้แค่ความฝันจริงๆ เพราะผมอยู่หอพัก มองไม่เห็นทางเอาเลย

ผมเปิดฝาเปียโนขึ้น เผยให้เห็นลิ่มเปียโนสีขาวงาช้างสลับดำเรียงรายเป็นแถวยาว ขึ้นนั่งบนเก้าอี้เปียโน จากนั้น... โดยไม่ต้องคิด ผมเล่นเพลง Minuet หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเพลง A lover’s concerto นั่นเอง... มันเป็นเพลงที่ผมเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกในยามที่รู้สึกเหงาและว้าเหว่ ผมบรรเลงมันมาจนนับครั้งไม่ถ้วน

“เพราะดีนะ” เวชชมเมื่อผมเล่นจบ ผมรู้สึกแปลกใจ ไม่เคยได้ยินมันชมใครหรืออะไรมาก่อนเลย

“เล่นไม่ค่อยดีหรอก” ผมออกตัว “ถ้ามึงได้ฟังเพื่อนกูเล่นด้วยกีตาร์มึงจะต้องชอบ เพราะกว่านี้เยอะเลย”

อยู่ดีๆผมก็หลุดปากพูดประโยคหลังออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ปกติผมไม่เคยพูดพาดพิงถึงไอ้นัยให้ใครฟังเลย ทำไมวันนี้จึงหลุดออกไปได้ ดีที่เวชไม่ได้ถามอะไรต่อ

- - -

บ้านของเวชแม้ใหญ่โต แต่ก็ไม่มีอะไรชวนให้ประทับใจเลยจริงๆ พวกไอ้เกรียงไปซนอยู่เพียงชั่วโมงเดียวก็เบื่อจากนั้นก็ชวนกันกลับ ผมก็กลับด้วย เราต่างแยกย้ายกันที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอย ผมขึ้นรถเมล์สายที่ไปสะพานพุทธเพื่อไปต่อรถเมล์สาย ๘

ระหว่างทางที่ผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน ในหัวของผมเต็มไปด้วยความคิดอันสับสน เมื่อนึกถึงบ้านอันใหญ่โตของเวชทำให้ผมอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ความร่ำรวยของพ่อแม่เวชทำให้ผมเกิดความทะเยอทะยานขึ้นมาบ้าง กล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมคิดทะเยอทะยานขึ้นมาหลังจากที่ผมใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆมาตลอด ผมอดฝันหวานไม่ได้ว่าเมื่อผมเติบใหญ่ขึ้น ผมจะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง จะมีบ้านหลังโตและมีฐานะร่ำรวยแบบนี้บ้าง

ผมคิดไปถึงไอ้เชาวน์และพวกซึ่งก่อตัวเป็นกลุ่มติวที่เข้มแข็งไม่ได้ พวกมันเรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตายไปเพื่ออะไรกัน ก็คงเพื่อสร้างฐานไปสู่ความสำเร็จในชีวิตข้างหน้า พวกนี้มันก็คงอยากร่ำรวยและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน มันมีความฝัน อีกทั้งมีกำลังใจที่ผลักดันให้มันลงมือทำ ส่วนผมนั้นเล่า... ผมมีแต่ความฝัน แต่ไม่มีกำลังใจที่จะทำสิ่งใดเลย...

และแล้ว ฝันหวานของผมก็ต้องดับวูบลงเมื่อผมนึกถึงชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นแก่ผมในวันรุ่งขึ้น...

- - -

วันต่อมา

เช้าวันถัดมา ผมใจไม่ดีเลยตลอดทั้งเช้า เพราะคิดว่าคงเกิดเรื่องขึ้นกับเวชและพวก รวมทั้งผมด้วยเป็นแน่ ผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งเช้าเพราะความวิตกกังวล ที่จริงถ้าจะว่าไปแล้วผมกังวลมาตลอดทั้งคืน พยายามจะนอนก็นอนไม่หลับ

สถานการณ์ในตอนเช้าวันนั้นกลับสงบราบรื่น ไม่เห็นวี่แววอาจารย์ฝ่ายปกครองเลย จนหมดคาบเรียนในภาคเช้า ก่อนที่พวกเราจะออกไปพักเที่ยง อาจารย์วารีก็เดินเข้ามาในห้อง

“เดี๋ยวก่อนนักเรียน ครูขอเวลาหน่อย” อาจารย์วารีพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ สังเกตอารมณ์ของอาจารย์ไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อตอนสาย อาจารย์ฝ่ายปกครองมาพบครู และได้เล่าให้ครูฟังว่าเมื่อวานได้ไปตรวจโต๊ะสนุ้กเกอร์ที่ปากคลองตลาด” อาจารย์วารีเกริ่น จากนั้นก็พูดต่อ “จากนั้นก็พบนักเรียนของเราบางคนประพฤติตัวไม่เหมาะสม เมื่ออาจารย์เรียก นักเรียนพวกนั้นก็วิ่งหนีไปจนหมด ทิ้งไว้แต่กระเป๋าและเป้นักเรียน”

เอาละสิ นึกว่าอาจารย์ฝ่ายปกครองจะเป็นคนมาชำระโทษ กลับกลายเป็นอาจารย์วารีเสียได้ ผมครวญอยู่ในใจ อดรู้สึกเสียใจต่ออาจารย์วารีไม่ได้ที่ทำเรื่องเดือดร้อนให้อาจารย์ผู้แสนดีคนนี้

“ใครที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวาน ทานอาหารเที่ยงสร็จแล้วมาพบครูหน่อยนะ ครูอยากคุยด้วย” อาจารย์วารีพูดเพียงสั้นๆแล้วก็เดินออกจาห้องไป ทิ้งให้พวกนักเรียนในห้องวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงอื้ออึงเพราะไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์หมายถึงใคร

“พวกไอ้เหี้ยเวชแน่เลย” ไอ้กี้กระซิบบอกผม “พวกแม่งชวนกันไปตีสนุ้กเป็นประจำ”

ผมอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงนั่งเงียบๆเอาไว้ พวกนักเรียนต่างทยอยเดินออกไปจากห้องพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้น ผมนึกล่วงหน้าไป เห็นภาพตนเองใส่ชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงิน นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนเก่าๆ สงสัยคราวนี้คงหนีไม่พ้นต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนใกล้บ้านเป็นแน่

ผมหันไปมองเวช แม้ไม่ได้ส่องกระจกแต่ผมคาดว่าสีหน้าของผมคงซีดอย่างมากเพราะความวิตกกังวล

“เฮ้ย มึงไม่ต้องไปหรอกไอ้อู” เวชพูดหลังจากที่เพื่อนๆออกไปกันจนหมดแล้ว เหลือแต่เกรียงและคนอื่นๆในเหตุการณ์เมื่อวาน

“ได้ไงวะ กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน พอมีเรื่องมึงจะหนีหน้าได้ไง” ไอ้เกรียงไม่ยอม

“ให้มันเอาตัวรอดไปเถอะ มันไม่ได้ทิ้งหลักฐานเอาไว้ มึงจะลากมันมาทำไม” เวชพูดเสียงเข้ม “สนุ้กมันยังไม่เคยแทงเลย มันไปนั่งเฉยๆ มึงจะไปเอาอะไรกะมัน”

น่าแปลกที่เวชปกป้องผมอย่างออกนอกหน้า ดูไอ้เกรียงจะไม่พอใจมาก แต่ก็ขัดเวชไม่ได้เพราะว่าเวชเป็นหัวโจก ส่วนคนอื่นๆนั้นไม่มีปากเสียงอะไร

ผมวางตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือแสดงออกอย่างไร ใจหนึ่งก็ดีใจ ถ้าเวชพูดแบบนี้แสดงว่าถึงอย่างไรเวชกับพวกคงไม่ซัดทอดผม อีกใจหนึ่งก็อึดอัด เพราะรู้สึกว่าไอ้เกรียงไม่พอใจมาก ผมอาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งไปในที่สุด

“เดี๋ยวมึงไม่ต้องขึ้นไปหาอาจารย์ เอาตามนี้แหละ” เวชพูดเหมือนกับออกคำสั่งผม ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรต่อ

ใครจะรู้ว่าน้ำใจที่เวชเอื้อเฟื้อแก่ผมนั้นได้ก่อให้เกิดผลที่ตามมาอีกมากมายอย่างที่ใครๆก็คาดไม่ถึง!

- - -

น่าแปลก การที่เวชปล่อยให้ผมเอาตัวรอดไปได้นั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ แต่ผมคิดหาสาเหตุไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร

ผมไม่รู้สึกหิว จึงไม่ได้ไปที่โรงอาหาร ผมต้องการเวลาเพื่อคิดอะไรสักหน่อย จึงแวะไปนั่งในห้องสมุดแทน

ผมเดินไปนั่งที่มุมสงบ... ตรงที่ที่ไอ้นัยเคยนั่งอ่านหนังสือ และที่ตรงนี้เองที่ผมเอาจดหมายจากไอ้นัยออกมาอ่าน ผมคิด คิด และคิดถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่ ทำไมผมไม่ยินดีกับการเอาตัวรอดในครั้งนี้เลย

เวชมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายไอ้นัย มันเป็นเด็กที่ว้าเหว่และขาดความอบอุ่น จำได้ว่าในเวลาที่ไอ้นัยต้องการผมอย่างที่สุด เวลานั้นเองที่ผมได้ทอดทิ้งมันไป... และในเวลานี้ ผมก็กำลังจะทอดทิ้งเพื่อนไปอีกคนหนึ่ง

- - -

“ว่าไงอู มีอะไรเหรอ” อาจารย์วารีทักอย่างปรานีเมื่อเห็นผมยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของอาจารย์ในห้องพักครู

“เอ้อ... ผมมา... ผมมา... ก็อาจารย์ให้ผมมาหาไงครับ” ผมตะกุกตะกัก เริ่มเรื่องไม่ถูกเหมือนกัน

“ครูให้เธอมาหาเหรอ” อาจารย์วารีทวนคำด้วยสีหน้างงๆ “ครูพูดเมื่อไร ไม่มีนี่”

“ก็อาจารย์บอกว่าใครอยู่ในเหตุการณ์ที่โต๊ะสนุ้ก... เอ้อ...” ผมพูดไม่ออก

อาจารย์วารีมีสีหน้าแปลกใจ

“นี่เธอก็เอากับเค้าด้วยหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” อาจารย์อุทาน “รายชื่อที่อาจารย์ฝ่ายปกครองส่งมาก็ไม่มีชื่อเธอ”

“ผมไม่ได้ทิ้งเป้เอาไว้ครับ” ผมอธิบาย

“แล้วเธอมาหาครูทำไม” อาจารย์วารีมีสีหน้าเคร่งขรึม ดูท่าทางหนักใจ

ก่อนที่ผมจะตอบอะไร เวช เกรียง และพวกก็เดินเข้ามาในห้องพักครูพอดี เวชชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผม ส่วนไอ้เกรียงแสยะยิ้ม คล้ายกับสะใจ

หลังจากที่อยู่กันพร้อมหน้าครบครัน อาจารย์วารีก็ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งเวชก็ตอบให้อาจารย์ทราบตามจริง เมื่ออาจารย์สอบถามจนจบความแล้วก็คืนของที่พวกเราลืมทิ้งเอาไว้เมื่อวาน จากนั้นปล่อยให้พวกเรากลับห้องไปก่อน

“อ้อ เดี๋ยว อูอยู่ก่อนนะ” อาจารย์วารีเรียกผมเอาไว้

ผมกลับมานั่งที่หน้าโต๊ะของอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง

“อู ครูนึกไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะไปคลุกคลีกับพวกเวชเค้าได้” อาจารย์เริ่มการสนทนา

“ครับ” ผมรับคำ ตอนนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าคำว่าครับหรือว่าอยู่เฉยๆ

“เรื่องมันไปยังไงมายังไง ถึงไปอยู่กับพวกนั้นได้” อาจารย์วารีถาม

“ก็...” ผมพยายามตอบอย่างระวัง “บางทีผมก็เหงาๆน่ะครับ เห็นพวกเวชไปเล่นสนุ้กกันก็อยากรู้ว่าเล่นกันยังไง ก็เลยตามไปครับ”

“แล้วเธอกินเหล้าสูบบุหรี่ด้วยหรือเปล่า” อาจารย์ถามไม่อ้อมค้อม

ผมพยักหน้า “ครับ”

“ในเมื่อเธอไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้ในห้องสนุ้ก ที่จริงเธอจะไม่มาพบครูก็ได้ แต่เธอมาทำไมล่ะ” อาจารย์วารีถามด้วยคำถามที่ค้างไว้จากเมื่อครู่

“ผมทำเพื่อ... เอ้อ... เพื่อ... ผมไม่ทราบจะพูดอย่างไรดีครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก “ผมเคยทิ้งเพื่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง... เมื่อนานมาแล้ว... และผมไม่อยากทำแบบนั้นอีกครับ”

อาจารย์วารีพยักหน้าเหมือนกับจะเข้าใจความหมายของผม

“อู รู้ไหมว่าทำไมครูเรียกเธอมาคุยเป็นพิเศษ” อาจารย์วารีพูดพลางมองหน้าผมด้วยสายตาที่ปรานี “ครูอยากเตือนเธอให้ระมัดระวังในการใช้ชีวิต”

“อาจารย์หมายถึงเรื่อง....” ผมทิ้งท้ายคำพูด

“เรื่องคบเพื่อนน่ะ” อาจารย์วารีต่อคำพูดให้

“อาจารย์หมายถึงการคบเพื่อนไม่ดีใช่ไหมครับ” ผมถาม

แทนที่อาจารย์วารีจะตอบว่าใช่ อาจารย์กลับส่ายหน้า

“ครูไม่ได้คิดว่าเวชกับพวกเป็นเด็กไม่ดีหรอกนะ ลูกศิษย์ครูเป็นเด็กดีทุกคน แต่ว่าแต่ละคนอาจมีภูมิหลังต่างๆกัน และมีนิสัยที่แตกต่างกัน เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องพยายามอบรมลูกศิษย์เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ดีและมีเลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะกับตนเอง”

ผมแปลกใจกับคำตอบของอาจารย์ ผมไม่เคยพบใครที่มองลูกศิษย์ทุกคนในแง่ดีเช่นนี้มาก่อน และต่อจากนั้นมา ตลอดเวลาที่ผมเรียนอยู่กับอาจารย์วารีทำให้ผมเข้าใจได้ว่าหน้าที่ของอาจารย์ไม่ใช่อยู่ที่การเข็นเด็กให้สอบเอ็นทรานซ์ติด แต่หน้าที่ของอาจารย์ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

“ผมไม่เข้าใจครับ” ผมสารภาพ

“ครูไม่ได้บอกว่าเธอคบเพื่อนไม่ดี คนเราไม่อาจประเมินความสำเร็จกันได้เพียงเพราะว่าตอน ม.๔ เด็กคนนั้นสูบบุหรี่ หรือว่าเล่นสนุ้ก คนที่เด็กๆเกเรแล้วต่อมาก้าวหน้าประสบความสำเร็จก็มี ต่อไปเวชอาจเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากก็ได้ใครจะรู้” อาจารย์วารีหยุดคิดนิดหนึ่ง “แต่ครูอยากให้เธอพิจารณาการใช้ชีวิตของเธอเองต่างหาก ครูว่าครูพอรู้นิสัยของเธอนะอู ครูไม่คิดว่าสิ่งที่เธอทำอยู่นี้เหมาะกับนิสัยของเธอจริงๆ เธอควรเป็นตัวของตัวเอง เลือกเส้นทางชีวิตในทางที่เหมาะสมกับตนเอง แล้วชีวิตของอูจะก้าวหน้าต่อไปได้ เธอเป็นเด็กฉลาด ครูเชื่อว่าเธอเข้าใจที่ครูพูด”

ผมอึ้ง คำพูดของอาจารย์วารีเหมือนจี้ถูกใจดำของผม ดูเหมือนอาจารย์จะมีความเชื่อมั่นใจตัวลูกศิษย์ทุกคนจริงๆ เพราะแม้แต่คนอย่างผม อาจารย์ก็ยังมองว่าเป็นเด็กฉลาดได้

- - -

หลังจากที่ผมกลับลงมาที่ห้อง เวชไม่ถามอะไรผมเลย ส่วนเกรียงพยายามสอบถามผมว่าอาจารย์วารีเรียกผมไปคุยต่อด้วยเรื่องอะไร ซึ่งผมตอบบ่ายเบี่ยงไป ส่วนเพื่อนคนอื่นๆในที่สุดก็รู้ว่าผมอยู่ในกลุ่มของเวชในตอนที่อาจารย์ฝ่ายปกครองบุกตรวจ

บ่ายวันนั้น ผมคิดถึงคำพูดของอาจารย์วารีตลอดทั้งบ่าย แต่คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ตก เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ จนกระทั่งเลิกเรียน ด้วยความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนและวางตัวไม่ถูก ผมจึงรีบแยกตัวออกมาจากกลุ่มของเวชเพื่อจะไปสหกรณ์

คิดไม่ตก ไปหาไอ้บอยดีกว่า วันก่อนผมได้วางแผนการเที่ยวเอาไว้ กะว่าจะไปชวนไอ้บอยเสียหน่อย ก็ดีเหมือนกัน มีเรื่องเซ็งๆ ไปเที่ยวกับไอ้บอยคงช่วยให้สบายใจขึ้นบ้าง

21 comments:

Anonymous said...

จองที่ก่อนไป่อ่าน

หลานหนิง

Anonymous said...

เบื่ออาอูละ ทิ้งปมตลอดสิน่า

หลานหนิง

tangkwa said...

สงสัยข้ามเลขตอนไปนะคะ

36------38


37 หายไปค่ะ

แตงค่ะ

Anonymous said...

มารักอาอูครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

คุณอู
วีคเอนด์ นี้ขออีกตอนนะคะ
นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
Rose

Anonymous said...

คุณอู
วีคเอนด์ นี้ขออีกตอนนะคะ
นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
Rose

Fryderyk C. said...

มาแล้ว คิดถึงจังเลยครับ อาอู

Anonymous said...

ตัวของตัวเอง อืม...

Anonymous said...

ไม่แน่ว่าจะเว้นไว้เป็นพิเศษก็ได้เนอะ
แต่ก็เคยเว้นมาครั้งนึงแล้วเหมือนกันนะ
ผมจำได้ปีที่แล้วมั้ง

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

โอ้แล้วแบบนี้เวชจะเข้ามาเป็นตัวแทนอานัยอ่ะเปล่าเนี่ย
Oliver

nai said...

ใจลอยไปถึงไหนแล้ว หรือว่าจงใจข้ามหรือเปล่าครับ

อาจารย์สมัยก่อนดีอย่างนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าอาจารย์สมัยนี้จะไม่มีลักษณะนี้แต่อาจเหลือน้อยเต็มที่ เวลาเปลี่ยนอะไรอะไรก็ต้องเปลี่ยนไปบ้าง

อ่านตอนนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับพ่อแม่ที่คอยแต่จะหาเงินอย่างเดียว เงินคงไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของลูกก็ได้นะ และ ก็เป็นอุทาหรณ์ในการดำเนินชีวิตของลูกๆได้ด้วย

ผมเดาว่าน่าจะเป็นช่วงรอยต่ออีกครั้งหนึ่งของอูก็ได้ เริ่มเปลี่ยนจากเด็กมีแนวโน้มไม่ดี มาสู่เส้นทางปกติ ที่ต้องเน้นเรื่องเรียนเป็นสำคัญ

ปล.อูว่างๆเล่นเพลง A lover’s concerto ให้ฟังบ้างนะ

Anonymous said...

12... คอมเมนท์ครบโหลแล้วนะครับ

แบงค์ครับ

Anonymous said...

)^_^(ที่13 คุณครูวารีหมายถึงอะไรครับ ครูเขารู้ว่าลุงไปชอบน้องบอยหรือครับฟังลุงเล่าสงสัยเวชจะวินคว้าลุงอูไปครองซะละมั้งครับ กิ้กเยอะจิง ขอให้ลุงงานน้อยๆแต่เงินเยอๆนะครับจะได้มาเล่าต่อไวไวไงครับ

boy_aof_za said...

หวัดดีครับคุณลุงอู หนูบอยนะครับ อยากมาคอมเม้นนานแล้วคับ แต่ไม่รู้วิธี อ่านมานานมากแล้วนะครับ อ่านทุภาคเลยครับ อ่านานมากกว่าจะจบ ลุงอูคงตั้งใจในการเขียนมากนะคับ เห็นเขียนกันข้ามปีเลย ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ สำหรับประสบการณ์

พี said...

"
หลังจากนั้นบอยก็เล่นเกมพวกปาเป้าแทน ผมก็เล่นด้วย ได้แค่รางวัลเล็กๆติดมือกลับมานิดหน่อย เพราะว่าฝีมือแย่พอๆกัน เล่นกันอยู่นานพอสมควรจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้อากาศในคืนวันนั้นค่อนข้างเย็น แต่ผมกลับนั่งรถกลับหอพักด้วยความอบอุ่น... มันเป็นความอบอุ่นใจ "

ขอบคุณคร้าบ.....ที่มาต่อให้ในตอนที่35 แม้ว่าจะนิดเดียว และก็วนกลับไปที่คุณอู ต้องการสื่อ ที่ทิ้งท้ายไว้ตอนแรก

... มันเป็นความอบอุ่นใจ

ผมก็เข้าใจนะ เพียงแต่คนอ่านกำลัง...แบบว่า ลุ้นๆ เชียร์...ร์ ให้มีอะไรมากกว่านี้นะ ก็เลยเหมือนค้างๆ คาๆ

ตอนใหม่นี้ เวช เริ่มเปิดตัวเต็มที่แล้ว เอาไงดีล่ะ ...
...ลูกชายคนสุดท้อง ไม่มีน้อง อยากได้น้องชาย น่ารักๆ ทะลึ่งทะเล้น ขี้เล่น กวนๆ มาดูแล ให้เราได้เอาใจไว้สักคน เราจะได้เป็นผู้ใหญ่สักหน่อย หรือ...
...เหงา เหงา เหมือนกัน ออกจะเกเรนิดหน่อย แต่มีน้ำใจให้เราทั้งเรื่องมีการบ้านให้ลอก ตามใจตอนไปตีสนุ้ก ไม่บังคับให้เล่นหรือสูบบุหรี่ ดื่มเบียร์ ออกหน้าให้ก็หลายครั้งล่าสุดก็ช่วยเสนอไม่ให้ไปพบกับอาจารย์

เป็นผมก็คิดไม่ตกเลยนะนี่...คนนึงน่ารัก อีกคนดูเป็นแมน

ตอนนั้นอูจะรู้สึกยังไงนะ จะเลือกยังไงนะ บุคคลิก 2 แบบนี้

คนอ่านก็รอลุ้นต่อไป

+ P +

Anonymous said...

เมื่อวันก่อนสงสัยเมา นับเลขตอนผิด นานๆจะพลาดแบบนี้สักครั้ง

หลานหนิงเบื่ออาอูเหรอ โชคดีที่หลาน arus ยังรักอาอยู่ ไม่อย่างนั้นอาแย่

ชีวิตช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหงาๆ อยากมีใครสักคนที่จะเป็นเพื่อนสนิท ที่เข้าใจเรา หัวเราะกับเรา และร้องไห้กับเรา ไม่รู้ว่าคาดหวังมากเกินไปหรือเปล่า แต่อาก็พยายามแสวงหาเพื่อนแบบนี้เพื่อมาเติมชีวิตที่เงียบเหงา เพื่อนอย่างนี้ไม่ต้องมีมากหรอก มีสักคนเดียวก็พอใจแล้ว แต่ถึงคนเดียวก็ตามที มันไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆเลย

ทั้งเวชและบอยต่างก็ช่วยเพิ่มสีสันให้แก่ชีวิตของเด็กที่กำลังแสวงหา แต่ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน และไม่มีใครหยั่งรู้อนาคตได้ ดังนั้นอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าอาก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรอไปรู้เอาพร้อมๆกับพวกเรานั่นแหละครับ

ขอบคุณหนูบอยที่เข้ามาคอมเมนต์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เขียนมาสามสี่ปีแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็คงเขียนอีกสักสองปีก็จะจบบริบูรณ์

ตอบคุณกุหลาบ สุดสัปดาห์คงมาอีกตอนแหละครับ

ตอบนัย ตอนนี้เป็นรอยต่อเหรอ ผมว่าชีวิตผมมันปุๆปะๆนะ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย คงหารอยต่อไม่ค่อยเจอ ส่วนเพลงนั้น นัยเล่นกีตาร์เอาเองก็แล้วกัน เล่นเก่งกว่าอยู่แล้วนี่

เวชเป็นลูกคนเดียวครับพี การที่ได้ไปบ้านเวชทำให้มีส่วนเกิดแรงผลักดันขึ้นในชีวิต อยากมี อยากได้ อยากเป็นที่นับหน้าถือตา ฯลฯ ซึ่งแต่ก่อนเฉยๆกับเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ได้ไปเห็นบ้านเวช ชีวิตก็อาจเปลี่ยนไปอีกแบบ แล้วก็เลือกทางแยกไปอีกทางหนึ่งก็ได้ใครจะรู้

แตงกวา แตงกว่า น้องแตงกวาคนที่หมั่นไส้พี่อูหรือเปล่า ถ้าใช่ พี่นัยอยู่ข้างบนนะน้อง อย่าลืมทักพี่เขาด้วย คิดถึงไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไปครับ

อู

Anonymous said...

ฝากมาหลายวัน มาไม่ทันคนแรกสิน่า
แต่ไม่เป็น ยังตามอ่านเหมือนเดิมน่ะคับ พี่อู
หวังว่าสบายดีน่ะคัีบ ยังลุ้นๆ ตอนต่อๆไปอยู่นะคับ
หุหุ
^^sky^^

Choo said...

ลอกอูมาจากในเรื่องฯ

"น่าแปลกที่เมื่อก่อนหน้านี้ผมรู้สึกปรารถนาดีกับเวชอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากหัวใจ ไม่ใช่จากเหตุผลใดๆ ที่แท้คงเป็นเพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายไอ้นัยนี่เอง"

และลอกมาจากเม้นต์ของอูข้างบน

"ชีวิตช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหงาๆ อยากมีใครสักคนที่จะเป็นเพื่อนสนิท ที่เข้าใจเรา หัวเราะกับเรา และร้องไห้กับเรา ไม่รู้ว่าคาดหวังมากเกินไปหรือเปล่า แต่อาก็พยายามแสวงหาเพื่อนแบบนี้เพื่อมาเติมชีวิตที่เงียบเหงา เพื่อนอย่างนี้ไม่ต้องมีมากหรอก มีสักคนเดียวก็พอใจแล้ว แต่ถึงคนเดียวก็ตามที มันไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆเลย"

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ บางครั้งบางเรื่อง เราควรหลับตา แล้วใช้หัวใจในการนำทาง ความรักความสุขความทุกข์ ความเหงา บ่อยครั้งมันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล

และเพื่อนที่เข้าใจเพียงคนเดียว ก็มีค่ามากกว่าคนรู้จักเป็นพัน มิตรภาพยิ่งใหญ่กว่าผลประโยชน์

อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมาก 20,000 กว่าวันอย่างมีความสุข และสันติสุขในจิตใจครับ

ชู

Anonymous said...

ผมร้องไห้ครับขอบคุณครับรู้สึกดีจริงๆ

tangkwa said...

ไม่ใช่หลอกค่ะ

ชื่อซ้ำกันเยอะค่ะ

อ่านทุกตอนค่ะ

แต่ชอบแย่งคอมเม้นท์ที่ 1

อิอิ

แตงค่ะ

Anonymous said...

เข้ามาปูเสื่อรอตอนต่อไป

thom