Friday, December 11, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 36

เดือนธันวาคม

หลังจากที่หมดฝนไปแล้ว ลมหนาวก็กรายเข้ามา อากาศยามต้นเดือนธันวาคมแจ่มใส เย็นสบาย

เกือบหกโมงเช้าแล้ว แต่ฟ้ายังไม่สาง สองสามวันมานี้อากาศเย็นลงอีกและเปลี่ยนจากเย็นสบายมาเป็นหนาว ผมออกจากหอพักเพื่อไปโรงเรียนเช่นปกติ เมื่อเดินพ้นประตูหอพัก สายลมที่พัดวูบมาปะทะทำให้ผมรู้สึกหนาวเล็กน้อย

ชีวิตของผมในเทอมนี้ไม่ค่อยมีอะไรเคร่งเครียด ผมเรียนอย่างสบายๆ การบ้านก็ไม่ต้องเปลืองสมองทำเองเท่าไรนัก อาศัยเวชคอยช่วยหาต้นฉบับให้ ชีวิตตอนเย็นและค่ำส่วนใหญ่ก็หมดไปกับเรื่องบันเทิง บางวันก็กินอาหารกับบอย บางวันก็ไปกับเวชและพวก บางวันก็กลับมาร่วมสังสรรค์กับกลุ่มของพี่ธิตที่ชั้นดาดฟ้าของหอพัก วันเสาร์ก็ไปเรียนเปียโนจากนั้นก็เดินโต๋เต๋อยู่ในย่านสยามสแควร์และมาบุญครอง ส่วนวันอาทิตย์ก็ซักผ้า รีดผ้า และทำความสะอาดห้องพัก วนเวียนอยู่เช่นนี้

ความสามารถในการสูบบุหรี่ของผมก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนนี้ผมสามารถสูบบุหรี่หมดทั้งมวนได้แล้วโดยไม่มึน นอกจากนี้ ผมยังเริ่มหัดดื่มเบียร์กระป๋อง แต่ยังไม่รู้สึกชอบเท่าใดนัก ผมคิดว่ารสชาติของมันขม ไม่น่าดื่มเอาเสียเลย แถมดื่มได้เพียงสองสามอึกหน้าก็จะแดงและรู้สึกมึน แต่อย่างไรก็ดี ในเมื่อเวชและพวกดื่มกัน ผมก็พยายามหัดเพื่อจะได้เข้ากลุ่มได้

เมื่อผมสูบบุหรี่และดื่มเบียร์ได้ เกรียงและเพื่อนคนอื่นๆดูจะยอมรับผมมากขึ้น อย่างน้อยตอนนี้พวกมันก็เลิกค่อนแคะผมว่าเป็นเด็กอ่อนหัดแล้ว

ทางด้านเวชนั้น หลังจากที่อาจารย์วารีทราบวีรกรรมของเวชแล้วก็เชิญผู้ปกครองของเวชมาพบ ข่าวที่รั่วออกมาจากห้องพักครูได้ความว่าอาจารย์วารีไม่ได้ส่งเรื่องนี้ให้ทางฝ่ายปกครองดำเนินการ เพราะว่าอาจารย์พิกุลไม่ต้องการเอาเรื่อง แต่ที่อาจารย์วารีเชิญผู้ปกครองของเวชมาก็เพื่อหารือให้ช่วยรับผิดชอบเรื่องค่าซ่อมรถให้แก่อาจารย์พิกุล ซึ่งผู้ปกครองของเวชก็ยินยอมรับผิดชอบ เรื่องจึงเป็นอันจบลงไป และหลังจากนั้นมา เวชก็ไม่ค่อยหาเรื่องป่วนอาจารย์พิกุลเท่าไรนัก ทำให้บรรยากาศการเรียนในชั่วโมงคณิตศาสตร์ดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ทางด้านไอ้น้องบอยนั้น หลังจากที่ไปเที่ยวงานภูเขาทองด้วยกันทำให้ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้น บอยมีส่วนช่วยให้ชีวิตของผมคลายเหงาไปได้มาก ผมรู้สึกติดไอ้บอยมากขึ้นทุกที เดิมทีหลายๆวันจะแวะไปหามันที่สหกรณ์เสียทีหนึ่ง แต่มาในช่วงหลังนี้ผมคิดถึงมันบ่อยขึ้นจึงทำให้แวะไปหามันบ่อยขึ้นกว่าเดิม

เช้าวันนี้ ผมเดินฝ่าความมืดและอากาศที่หนาวเย็นเพื่อไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาเช่นเดิม หลังจากที่ผมได้อ่านจดหมายของไอ้นัยทำให้ผมรู้สึกผิดและตำหนิตนเองมาตลอด แม้เวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ จนในที่สุด ผมต้องพยายามหนีความผิดและการตำหนิจากมโนธรรมของตนเองด้วยการพยายามลืมไอ้นัยไปให้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมพยายามหนีด้วยการใช้เวลาไปกับเรื่องอื่นๆเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาคิดถึงเรื่องไอ้นัย ซึ่งมันก็พอช่วยได้บ้าง แต่พฤติกรรมหลายๆอย่างของผมก็ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง อย่างเช่นการขึ้นรถเมล์ของผม ทุกวันนี้ผมก็ยังเดินเป็นระยะทางสามป้ายรถเมล์เพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ปากซอยภาวนาในตอนเช้า ผมยังไปดูจดหมายที่ห้องธุรการบ้างเป็นครั้งคราว รวมทั้งในวันเสาร์ เมื่อมักแวะเวียนไปที่ร้านโดนัทที่สยามสแควร์เสมอ

รถเมล์สาย ๘ ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่ารถเพื่อพาผมเดินทางสู่จุดหมาย รถเมล์สายนี้มีจุดหมายของมัน แล้วชีวิตของผมล่ะ มีจุดหมายอยู่ที่ใด?

สายลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่างรถเมล์ ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป ผมเคยคิดจะเลิกขึ้นรถเมล์ที่ท่ารถนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจตัดใจได้ มันเป็นเหมือนความเคยชิน และมันเป็นเหมือนกับความหวังใยเล็กๆที่ผมมักมีอยู่เสมอ... ผมมักมีความหวังอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม

- - -

หลังเลิกเรียน

นักเรียนพากันทยอยเดินออกจากห้องเรียน ชีวิตที่มาอยู่ร่วมกันในตอนกลางวันต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตนเอง

กลุ่มของเชาวน์จะใช้เวลาหลังเลิกเรียนในการไปติวที่โรงเรียนกวดวิชาและจับกลุ่มติวกันเอง กลุ่มนี้ในเทอมต้นมีสมาชิกในกลุ่มอยู่เพียงสี่ห้าคน แต่พอมาในเทอมนี้กลับมีเพื่อนๆเข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่มถึงสิบกว่าคน โดยแกนนำยังคงเป็นเชาวน์และเพื่อนในกลุ่มสี่ห้าคนดั้งเดิมที่ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง มีการแบ่งกันไปอ่านหนังสือเพื่อนำเอาความรู้มาติวเพื่อนๆ ตำราฟิสิกส์ฉบับภาษาอังกฤษที่ผมเคยเห็นมันอ่านอยู่นั้นก็เป็นตำราที่มันนำมาศึกษาเพื่อไปติวให้เพื่อนๆนั่นเอง โดยเชาวน์รับผิดชอบการติววิชาฟิสิกส์ นอกจากนี้ก็มีคนอื่นๆที่รับผิดชอบในการติวคณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา อังกฤษ แม้กระทั่งวิชาสามัญ ๑ นอกจากกลุ่มสี่ห้าคนที่เป็นแกนนำแล้วสมาชิกส่วนที่สมทบเข้ามาในภายหลังก็เป็นเพื่อนๆในห้องที่มาร่วมฟังการติวและช่วยเหลืองานเล็กๆน้อยๆในกลุ่ม แม้แต่ไอ้กี้ แมน และนน จอมมารดำขาวก็เข้ามาร่วมในกลุ่มติวด้วย

นอกจากกลุ่มติวของเชาวน์แล้วก็ยังมีเด็กเรียนบางส่วนที่ไม่ได้เข้ากลุ่มนี้ แต่ใช้เวลาทุ่มไปกับการกวดวิชาตามโรงเรียนกวดวิชา อย่างเช่น โชค นอกจากกลุ่มเด็กเรียนพวกนี้แล้วที่เหลือก็เป็นพวกกลุ่มเด็กที่เรียนแต่พอดี นักเรียนพวกนี้มักใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปในการทำกิจกรรมชุมนุมต่างๆ หรือไม่อย่างนั้นก็กลับบ้าน กับอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ค่อยเรียน พวกนี้จะใช้เวลาเถลไถล โดยสรุปแล้วกลุ่มเด็กเรียนที่เด่นที่สุดในห้องก็คือกลุ่มของเชาวน์ ส่วนกลุ่มเด็กไม่เรียนที่จับกลุ่มกันได้อย่างเข้มแข็งที่สุดก็คือกลุ่มของเวชนั่นเอง และแน่นอน ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเวชด้วย

“เฮ้ย เวช วันนี้ไปตีนุ้กกัน ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว” เกรียงเอ่ยปากชักชวนเวช ซึ่งปกติเวชมักไม่ขัด

“ไปดิ” เวชรับคำ จากนั้นก็หันมาทางผม “ไปมั้ยไอ้อู”

ระยะหลังนี้บางทีเวชก็จะชวนผมไปด้วย ต่างจากตอนต้นๆที่ผมต้องออกปากขอตามไปด้วยเสมอ คำชวนของเวชเป็นเสมือนหนึ่งการยอมรับผมเข้ากลุ่ม

ที่ห้องสนุ้กเกอร์ เวชและพวกสูบบุหรี่ ดื่มเบียร์ และเล่นสนุ้กกัน บางคนก็นั่งพัก ส่วนผมนั้นนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โซฟาดูเพื่อนๆเล่นกันเช่นเคย

ผมไม่ได้สนใจกับการเล่นสนุ้กของเวชและเพื่อนๆ สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่บุหรี่ที่คีบอยู่ที่ปลายนิ้ว ยาเส้นที่เผาไหม้ที่ปลายบุหรี่ก่อให้เกิดกลุ่มควันลอยอ้อยอิ่ง ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปพร้อมกับควันบุหรี่นั้น

จำได้ว่าเมื่อก่อนผมเคยด่าว่าเพื่อนคนหนึ่งอย่างรุนแรงเพราะเรื่องสูบบุหรี่ มันเป็นคนที่ผมรักที่สุด ผมพยายามสั่งสอนมันเพื่อให้มันได้คิดว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ผิด แต่แล้วในที่สุด ความเหงาและความต้องการเข้ากลุ่มทำให้ผมต้องหันมาพึ่งบุหรี่

ถ้าเมื่อก่อนผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็แปลว่าวันนี้ผมก็คงกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่ แต่ถ้าในวันนี้ผมกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ ก็แปลว่าเมื่อก่อนผมก็คงทำผิดไป...

“ฮั่นแน่ ควันโขมงเชียว ขอสักตัวสิ” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เสียงของคนในกลุ่มพวกเรา

ผมเบนสายตาจากปลายบุหรี่ จับจ้องไปที่เจ้าของเสียง ชายคนนั้นแต่งกายในชุดสีกากี รูปร่างท้วมอุ้ยอ้าย ยืนขวางประตูห้องอยู่ ร่างอันท้วมบังประตูมิด ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชายคนนี้อยู่ในโรงเรียน

เวชและพวกยืนนิ่ง มือถือไม้คิวค้างเหมือนกับกำลังตกตะลึง

“เป็นไง สนุกมั้ย ขอครูเล่นด้วยคนสิ” ชายคนนั้นพูดอีก พูดจบก็เดินมาที่โต๊ะสนุ้ก

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าชายคนนี้เป็นใคร อาจารย์ฝ่ายปกครองนั่นเอง!

“ผมเล่นไม่ค่อยเก่งครับ คงสู้อาจารย์ไม่ได้” เวชพูดเสียงอ้อมแอ้ม จากนั้นส่งไม้คิวให้อาจารย์ ผมเห็นเวชกวาดสายตา สบตาผมกับเพื่อนๆ แต่ผมไม่เข้าใจความหมาย

ในพริบตาที่อาจารย์ฝ่ายปกครองรับไม้คิวจากเวชนั้นเอง เกรียงและพวกก็กรูกันไปที่ประตู จากนั้นก็เปิดประตูและวิ่งออกจากห้องไป และเมื่ออาจารย์หันไปทางประตู เวชเองก็ทิ้งไม้คิวและวิ่งไปทางประตูบ้างเช่นกัน

“ไอ้อู หนี” เวชตะโกนพลางวิ่งออกจากห้องไป

ผมยังนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยความตกใจ พอได้ยินเสียงเวชผมก็ได้สติ โยนบุหรี่ทิ้ง จากนั้นก็คว้าเป้ลุกขึ้นและวิ่งไปที่ประตูทันที โชคดีที่เป้อยู่ข้างๆตัว ดังนั้นผมจึงไม่ลืมหยิบไปด้วย

“จะไปไหน มาตีสนุ้กกันก่อน” อาจารย์ฝ่ายปกครองคว้าแขนของผมเอาไว้ได้ ผมสะบัดเต็มแรงจนหลุดจากเงื้อมมืออาจารย์ จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องไปเป็นคนสุดท้าย

ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าผมวิ่งจากชั้นบนลงมาชั้นล่างได้อย่างไร แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าผมก้าวเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นก็ถึงชั้นล่างแล้ว โชคดีที่ไม่กลิ้งตกบันไดลงมา เมื่อออกมายืนที่ถนนใหญ่ ผมเห็นหลังเวชไวๆจึงรีบวิ่งตามไปอย่างสุดฝีเท้า

สักพักเวชก็ชะลอฝีเท้าลง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ไปทันกันที่แถวหน้าโรงเรียนเสาวภา ทุกคนวิ่งจนหอบ โดยเฉพาะผมที่รู้สึกตกใจมาก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยต้องวิ่งหนีอาจารย์ในลักษณะนี้มาก่อนเลย หลังจากที่ตั้งหลักได้ ทุกคนหัวเราะกันสนุก ยกเว้นผมที่ไม่รู้สึกสนุกด้วยเลย

“โอ๊ย ไม่น่าโผล่มาเลย เสียเส้นหมด” เกรียงพูดไปหัวเราะไป “ข้าวของก็ไม่ได้เอามาสักชิ้น ในสมุดมีชื่อเขียนอยู่โทนโท่ พรุ่งนี้โดนอยู่แล้ว”

“เฮ้ย อาจารย์คนนี้เค้าจำกูได้ ถึงมึงเก็บของมาจนหมดเค้าก็ตามถูกอยู่ดี” เวชหัวเราะราวกับเป็นเรื่องสนุก

“ไอ้อูโชคดีกว่าเพื่อน คราวนี้คงรอดตัวได้ เพราะอาจารย์ไม่รู้จัก แถมยังเสือกรอบคอบคว้าเป้มาอีก” เวชพูดอีก

“แล้วพรุ่งนี้จะเป็นยังไงวะ” ผมถาม

“ก็คงไม่เป็นไง คงเชิญผู้ปกครองมาพบนั่นแหละ” เวชตอบ “กินเหล้า สูบบุหรี่ ตีสนุ้ก มั่วสุมกันครบเครื่อง”

ผมเสียวสันหลังวาบ เชิญผู้ปกครองมาพบ... ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าผมคงตายแน่

“จ๋อยเชียวมึง ไอ้ห่า แค่นี้ไม่ตายหรอก” เกรียงด่าผม จากนั้นก็หันไปถามเวชด้วยความสงสัย “แล้วมึงจะหนีทำไมวะไอ้เวช ในเมื่ออาจารย์จำมึงได้”

“หนุกดีโว้ย” เวชตอบสั้นๆ ท่าทีไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร “อยู่เฉยมันง่ายเกินไป”

“แล้วนี่จะไปไหนต่อดีวะเนี่ย ยังวันอยู่เลย” เกรียงพูดเปรยๆ

เรายืนคุยกันอยู่สักพักเพราะว่าคิดที่ไปไม่ออก

“ไปเที่ยวบ้านไอ้เวชดีกว่า ค่ำๆค่อยกลับกัน ดาวยังไม่ขึ้นหาทางกลับบ้านไม่ถูกโว้ย” เกรียงพูดเสียงหัวเราะ “ตกลงนะไอ้เวช มึงเป็นลูกพี่ พาลูกน้องไปเที่ยวบ้านมั่งสิ มึงชอบพูดว่าที่บ้านว่างๆ ไม่ค่อยมีคนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

แลเห็นเวชเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังชั่งใจอยู่

“ก็ได้ ไป” เวชพูดในที่สุด

ผมสังเกตว่ากับเพื่อนๆ เวชแม้จะเป็นหัวโจก แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเพื่อนๆขอหรืออยากได้อะไรเวชมักไม่ค่อยขัด ในความแข็งกร้าว เวชกลับแคร์เพื่อนฝูงอยู่ไม่น้อย

- - -

เวชเรียกแท็กซี่ จากนั้นพวกเราทั้งหมดห้าคนก็เบียดเสียดไปในรถแท็กซี่คันเดียวกัน รถพาเราข้ามสะพานพุทธไปทางฝั่งธนบุรี เวชและพวกเอะอะเฮฮากันไปตลอดทาง ดูไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอาจารย์ฝ่ายปกครองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับผมซึ่งรู้สึกใจคอไม่ดี เกรงว่าพ่อแม่จะรู้เรื่องเข้า

รถแท็กซี่พาเรานั่งไปไกลพอสมควรจากนั้นก็เลี้ยวเข้าซอยซอยหนึ่ง กับเส้นทางย่านฝั่งธนผมไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าบ้านของเวชนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ รู้แต่เพียงว่าในซอยนั้นมีบ้านใหญ่ๆหลายหลัง ดูท่าคงเป็นซอยในย่านคนมีฐานะ

บ้านของเวชนั้นมีเนื้อที่กว้างขวาง สวนรอบๆตัวบ้านสวยงาม เต็มไปด้วยไม้ดอกบานสะพรั่ง ตัวบ้านก็ใหญ่มาก อีกทั้งยังมีสระว่ายน้ำอยู่ภายในบริเวณบ้านอีกด้วย

“หู มีสระว่ายน้ำด้วย” พวกเพื่อนๆอุทานกันเสียงขรมเมื่อได้เห็นบ้านของเวช “บ้านแม่งโคตรรวยเลย”

เวชพาเราเดินเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อเข้าไปในบ้าน เห็นภายในมีพื้นที่กว้างขวาง ห้องรับแขกตกแต่งอย่างหรูหรา มีห้องนั่งเล่นแยกต่างหากจากห้องรับแขก ห้องอาหารก็ถูกแยกออกไปเป็นสัดส่วน ผมเห็นแล้วอดนึกถึงบ้านของไอ้นัยไม่ได้ แม้คุณอาของไอ้นัยจะเป็นสถาปนิก แต่ก็ตกแต่งบ้านอย่างประหยัด เน้นความสวยงามที่เรียบง่ายแต่มีรสนิยม ส่วนบ้านของเวชนี้ตกแต่งค่อนข้างหรูหราอันบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้าน

ผมอดทึ่งในฐานะทางบ้านของเวชไม่ได้ เท่าที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยไปบ้านเพื่อนที่รวยๆมาก่อน ทำให้รู้สึกชื่นชมแกมอิจฉาในตัวเวชไม่ได้ พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะตั้งความหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งผมจะรวยและสามารถเป็นเจ้าของบ้านแบบนี้ได้บ้าง

เมื่อเกรียงเข้ามาในบ้านก็ออกอาการซน เปิดโน่นดูนี่ดะไปหมด ตรงไหนที่เป็นตู้เป็นลิ้นชักก็พยายามเปิดสำรวจดูว่ามีอะไรบ้าง พวกเพื่อนคนอื่นๆทีแรกก็เกร็งๆ แต่เมื่อเห็นเกรียงไม่เกรงใจและเวชไม่ได้ว่าอะไร ทุกคนก็ช่วยกันสำรวจบ้านของเวชด้วยความตื่นเต้น จนในที่สุดก็มาหยุดที่ตู้เย็น

“โห ของกินเยอะแยะเลย” เกรียงพูด ว่าแล้วเปิดน้ำอัดลมออกมาแบ่งกันกินวุ่นวาย ส่วนเวชก็ยืนดูเฉยๆไม่พูดอะไร เนื่องจากผมอาศัยอยู่กับคุณลุงคุณป้ามาหลายปี จึงพอเข้าใจมารยาทเมื่ออยู่ในบ้านผู้อื่นอยู่บ้าง จึงไม่กล้าเพ่นพ่านวุ่นวาย เพียงแค่ยืนดูเฉยๆ

เมื่อผมเห็นน้ำเย็นก็ชักรู้สึกกระหายบ้างเหมือนกัน

“เอ้อ เวช กูหิวน้ำ ขอน้ำกินหน่อยดิ” ผมพูดกับเวช

เวชมองผมด้วยสายตาเขม็งทันที

“นี่มึงใช้ให้กูเสิร์ฟน้ำให้มึงเหรอ” เวชถามเสียงแข็ง

ผมงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเวช ทีเพื่อนๆรื้อนั่นค้นนี่มันกลับไม่ว่าอะไร แต่เมื่อผมขอน้ำดื่มกลับมีอาการไม่พอใจ เวชนี่เป็นคนที่เข้าใจยากเอาการอยู่เหมือนกัน

“เอ้อ เปล่า” ผมตอบ “กูหยิบกินเองก็ได้ แต่เห็นว่ามึงเป็นเจ้าของบ้าน จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตมึงก่อนสิ”

สีหน้าของเวชดูผ่อนคลายลง ดูมันจะพอใจกับคำตอบนี้

“ตามสบาย หยิบเอาเลย” เวชตอบ


<ย่านปากคลองตลาดในอดีต ภาพนี้เป็นภาพเก่า ถ่ายมาตั้งแต่ยุคที่ยังมีรถราง น่าจะก่อน พ.ศ. ๒๕๑๐ รถเมล์สีขาวที่เห็นเป็นรถเมล์ขาวนายเลิด ซึ่งเป็นรถเมล์ในระบบเอกชน ก่อนหน้าที่จะมาเป็น ขสมก อันเป็นรัฐวิสาหกิจ ในภาพน่าจะเป็นรถเมล์ขาวสาย ๘ กำลังวิ่งออกมาจากท่าที่ใต้สะพานพุทธ สภาพตึกย่านปากคลองตลาดที่เห็นในภาพกับในยุคที่ผมเรียนมัธยมอยู่ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร ตึกแถวทั้งฝั่งที่เห็นและฝั่งตรงข้ามชั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้า ส่วนชั้นบนมักเป็นที่พักอาศัย หรือบางทีก็เป็นโต๊ะสนุ้ก

ในภาพจะเห็นว่ามีโรงหนังอยู่ด้วย คือโรงหนังเอ็มไพร์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเพชรเอ็มไพร์ และต่อมาก็เลิกกิจการไป>


<สถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงหนังเพชรเอ็มไพร์ในปัจจุบัน ที่เห็นเป็นตึกสีส้มๆ>

24 comments:

Anonymous said...

มาตอกบัตรแล้ว

thom

Anonymous said...

ที่สองอ่ะ ว้าเซ้งเลย
Oliver

Anonymous said...

ใจหนึ่งก็รัก อีกใจหนึ่งก็เจ็บ เ็จ็บที่ยังคิด ถึงเธออยู่เรื่อยไป ใจหนึ่งก็คิด จะเดินไปให้ไกล แต่อีกใจยังไม่กล้าพอ เพราะรู้ว่าคงขาดเธอไม่ได้
ไม่รู้ว่าจะเข้ากับชีวิตอาอูรึเปล่านะครับ
Oliver

naja said...

ตอนที่พี่อูเดินไปขึ้นรถที่เดิม เดินไปดูจดหมาย เดินไปดูที่ร้านโดนัท

เศร้าอ่ะ

Anonymous said...

รายงานตัวครับ

หลาน Arus อาอู

พี said...

เกือบโดนอาจารย์จับได้แล้ว...


คราวหน้าระวังหน่อยนะอู

ผมสงสัยมานานแล้วว่า เวช จะมีบทบาทอะไรกับชีวิตของอู เพราะกล่าวถึงบ่อยๆ และค่อนข้างละเอียด

วัยรุ่นเกเร เพราะขาดความอบอุ่น และขี้เหงา เหมือนกับอู ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทที่เข้าใจกัน ก้ต้องมีอะไรมากกว่านี้

เอ....ลอยกระทงเสร็จแล้ว กำลังลูบหัวบอยอยู่เลย...ทำไมตัดบทมาขึ้นเดือนธันวาคมเลยล่ะ ค้างครับ..นึกว่าจะมีต่อ อ่ะๆ รอได้ เรื่องของพระเอก(เฉพาะภาค3นะ)จะรออ่าน...

+ P +

Anonymous said...

เด็กไม่ดีต้องโดนลงโทษ

ว่ามะอาอู หุหุ

หลานหนิง

Anonymous said...

ตามอ่านสะตาแฉะเลย
^^sky^^

Anonymous said...

ยังติด 1 ใน 10 วูปี้.........

แบงค์ครับ

Fryderyk C. said...

มาแล้ว หลังจากบ้านเล่นเนตไม่ได้ 2 วัน
เปิดมาโชคดีจังเลยครับ อาอูเขียนตอน 36 แล้ว

เรื่องสนุกดีมากเลยครับ จะติดตามต่อไปนะครับ
คิดถึงอานัยอ่ะ เมื่อไรจะกลับมาซักที ฮุๆ
ว่าไป เมื่อไหร่ อาอู จะได้กับ อาบอยซักทีครับ 555+
สวัสดีครับ

Anonymous said...

ผมว่าอูต้องได้กับเวชอีกคนแน่เลย มีแนวโน้มนะเนี๊ย

ชีวิตเวชเหมือนผมเลย ขาดความอบอุ่น บ้านเลี้ยงด้วยเงิน แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่าที่่จริงแล้ว ผมต้องการอะไร

สุดท้ายผมก็ต้องมาเป็นแบบนี้ เป็นเกย์ทั้งที่ไม่ได้อยากจะเป็น แต่ผมก็ไม่เคยเสียใจครับ เพราะผมมีความสุขดีกับคนที่ผมรักและรักผม

เพื่อนคนอื่นว่าไง

joekung

Anonymous said...

)^_^( หุหุ ถ้ารอดไปได้ครั้งนี้ก็กลับมาเรียนหนังสือซะนะครับ ถ้าเป็นเหมือนเดิมขอให้โดนจับยังดีกว่า ลุงจะได้กลับมาเรียนเหมือนเดิม แทนที่จะไปกับบอยหรือไปนั่งติวกับแป๋งดันไปกับเวชซะได้ เวชคงมีปัญหาอะไรแน่ๆถ้าฟังจากที่ลุงเล่ามาเนี่ยคงไม่แครการเรียนเพราะบ้านรวยเอ็นไม่ติดก็คงไปเรียนเมืองนอกละมั้งแล้วคนอื่นละรวมทั้งลุงด้วยป๋ากับม้าคงเสียใจที่รู้ว่าสูบบุหรี่กินเบียร์แหง งอลลไม่ปลื้ม

Anonymous said...

ตอบหลานโอลิเวอร์ที่ค้างมาจากตอนที่แล้วก่อน กลัวว่าจะลืมอีก เรื่องคู่หูจอมแสบสมัยโรงเรียนประถมนั่นหมายถึงใครครับ ไอ้ชิดหรือเปล่า พวกที่เรียนสมัยประถมนี่ส่วนใหญ่ก็คงจำกันไม่ได้แล้วละครับเพราะไม่ได้ติดต่อกัน มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าทำอาชีพอะไร อยู่ที่ไหน เพราะว่าพอมีชื่อในวงสังคมบ้าง แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกัน แค่อ่านเจอจากข่าวในหนังสือพิมพ์บ้างเท่านั้น

เรื่อง gender อาไม่ได้ศึกษาเป็นพิเศษครับ ที่ให้ความเห็นไปนั้นเกิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตมากกว่า อย่าลืมว่าภาคนี้เป็นวัยแสวงหา ชีวิตของอาในช่วงนี้เป็นการแสวงหาจุดมุ่งหมายและคำตอบของชีวิต พร้อมกับหาที่ยืนในสังคมเยี่ยงคนทั่วไป อยากให้หลานติดตามและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปด้วยกันครับ อย่าเพิ่งทิ้งอาไปไหน

หลานฟรีเดอริก หรือเฟรเดอริก ชื่อเขียนแล้วอ่านยากจริงๆ อ่านแล้วก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า แต่เข้าใจว่าคนเป็นสาวกของโชแปงชาวโปแลนด์ เพลงคลาสสิกอาก็ฟังครับ อุปรากร บัลเลต์ เพลงประสานเสียง ละครเวทีก็ดูหมด เพลงไทยฝรั่ง แจส ก็ฟัง ยกเว้นฮาร์ดร็อกกับพวกอัลเทอร์กับพวกดนตรียุคใหม่ ฟังไม่ค่อยเข้าใจครับ

ที่จริงปีที่อาอยู่ ม.๔ นี้ ตอนปลายเทอมหนึ่ง ริชาร์ด เคลเดอร์มาน มาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยด้วย จำได้ว่าตั๋วแพงมาก คนที่เรียนเปียโนส่วนใหญ่ก็อยากไปดูกัน เพราะเป็นนักเปียโนชื่อดังในยุคนั้น แถมยังรูปหล่ออีกด้วย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยหล่อแล้ว

ตกลงว่าหลานจะเอายังไงแน่ครับ อยากให้อานัยกลับมา แล้วก็อยากให้อาอูได้กับบอย คงยุ่งกันใหญ่ เดี๋ยวน้ำเน่าได้อีก อาจะได้กับบอยไหมต้องตามต่อไป

เวชเป็นคนที่เข้าใจยากมากๆ มันมีกำแพงอะไรสักอย่างที่เพื่อนๆเข้าไม่ถึง เวชเป็นเด็กที่บ้านเลี้ยงด้วยเงินจริงๆ พ่อแม่คิดว่าเงินเลี้ยงลูกได้ เวชโตมาพร้อมกับฐานะที่ดีแต่เวชกลับไม่ได้ชื่นชมกับมันเลย

หลาน arus คอมฯหายป่วยแล้วใช่ไหม กลับมาโพสต์ได้เสียที

สูบบุหรี่ กินเบียร์ ก็ทำแล้ว ก็อาเคยบอกแล้วว่าชีวิตของอาทำผิดมากกว่าทำถูก ทำแล้วก็มาเสียใจ บางทีเสียใจไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้

หนิงนะหนิง มาซ้ำเติมกันอีก

ตอนต่อไปจะเป็นอย่างไรก็เดาๆกันไปก่อน แล้วมาดูกันว่าที่เดาเอาไว้ถูกหรือเปล่าครับ

อู

Anonymous said...

ใช้งานได้ครับ แต่ยังไม่ดีเท่าก่อนคอมป่วย
ไม่มี word excel ทำรายงานไม่ได้

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

)^_^(ที่1 ตื่นได้แล้วสวัสดีเช้าครับลุงใกล้คริสต์มาสแล้วนะครับลุงเตรียมของขวัญไว้หรือยังขอตอนพิเศษ10ตอนแล้วกันหุหุ อ้าจิงด้วยในเรื่องก็ใกล้ปีใหม่แล้วซิครับลุงต้องมีอะไรพิเศษให้น้องบอยใช่ม้า มีอะป่าวอยากรู้ไวๆแล้ว ให้เป็นตัวและหัวใจเลยครับแห่มๆ

Anonymous said...

อรุณสวัสดิ์หลานที่หนึ่ง

ของขวัญน้องบอยเหรอ ยังไม่ได้นึกเลย แต่ว่าเดี๋ยวจะพาบอยไปดูพลุวันเฉลิมฯที่สนามม้านางเลิ้งครับ เป็นพลุส่งมาจากญี่ปุ่น

เดือนธันวาทีไรมักมีเรื่องไม่ดีทุกที สงสัยว่าปีนี้คงมีงานเข้าเช่นกัน

Anonymous said...

อาอูบอกว่าจะพาอาบอยไปดูพลุที่สนามม้านางเลิ้งเหรอครับ อืม แบบนี้แสดงความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย ว่าแต่ที่บอกว่าพาบอยไปเนี่ย เป็นเรื่องอดีตที่ผ่านมา หรือเรื่องในปัจจุบันนี้ครับ
Oliver

Anonymous said...

หลานโอลิเวอร์

ไปดูตอน ม.๔ ครับ ไม่ใช่ปัจจุบัน ก็แค่ไปดูพลุ คิดไปถึงไหนเนี่ย

พลุปีนั้นสวยสุดยอด แล้วจะเล่าให้ฟังตอนหน้าครับ

Anonymous said...

อาอูนี่ดีเนาะ มีคนไปดูพลุเป็นเพื่อน ผมดูคนเดียวมานานแล้ว เศร้า...จัง
Oliver

Choo said...

มาให้กำลังใจจิกโก๋อู ตอนนี้แค่ บุหรี่ เบียร์ อีกหน่อยก็คงไม่พ้น หนีโรงเรียน เล่นการพนัน เที่ยวผู้หญิง ติดยาเสพติดเป็นแน่แท้ ยังเหลวไหลได้อีกครับอู ตอนนี้ยังไม่สายยังพอมีเวลากลับตัว กลับใจนะอู

คนเราทำอะไรหลายอย่างก็เพราะมีความหวัง เช่นเดียวกับการทำอะไรหลายอย่างเพื่อไม่ให้เหงา แต่ก็หนีความเหงาไปไม่พ้น บางครั้งท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เรากลับเหงาและโดดเดี่ยวภายในจิตใจอย่างที่สุด

หากเราเผชิญหน้ากับความเหงา ได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับมัน นำความเหงามาเป็นเพื่อน อยู่ด้วยกันจนกลายเป็นเพื่อนสนิท เราอาจพบคุณค่าของความเหงาในอีกแง่มุมหนึ่ง เป็นมุมที่น้อยคนจะได้สัมผัส เป็นอาจเป็นมุมมองที่นำมาซึ่งความสงบสุข สันติสุข และความมั่นคงภายในจิตใจในเวลาต่อมา

ว่าแต่ตอนที่แล้วกำลังเดินเที่ยวงานภูเขาทอง ไปเล่นเกมส์สาวน้อยตกน้ำอยู่ดีๆ ไหงโพล่มาเดือนธันวาฯ ซะได้ละครับ หรือว่าอูตั้งใจละเลยอะไรให้หายไปจากความทรงจำหรือเปล่าครับ 555

ตอน ริชาร์ด เคลเดอร์มาน มาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทย จัดที่สนามกีฬากองทัพบกครับ ถ.วิภาวดี ตรงข้ามกรมการรักษาดินแดนฯ ผมก็ไปดูมายังจำได้ดี ยังสงสัยอยู่มาจนทุกวันนี้ว่าเขาหายใจทางไหนและตอนไหน เผลอนิดเดียว 20 กว่าปีซะแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้อูและนายอูต่อไปเรื่อยๆ ครับ เอาเพลง ดอกไม้จะบาน เป็นเพลงเพื่อชีวิตมาฝากด้วย ไม่รู้จะเข้ากับบรรยากาศหรือเปล่าครับ

http://www.youtube.com/watch?v=tTNcjYWBreo

ชู

ปล. หลานโอลิเวอร์ คุยเก่งจังเลยครับ

nai said...

““บอยเล่นอย่างอื่นก็ได้ฮะ ตามใจพี่อูละกัน” บอยพูด

ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง อดไม่ได้ต้องเอามือลูบหัวมันเบาๆ แต่พอนึกได้ว่ากำลังอยู่ที่ไหนก็รีบเอามืออออก
ขอบใจนะบอย”

เดือนธันวาคม
...................

เหมือนกินข้าวแล้วกับข้าวหมด
เหมือนอ่านหนังสือแล้วโดนฉีกหน้าสุดท้ายไป
เหมือนดูหนัง VCD แล้วแผ่นสดุดตอนจบ
เหมือน....................ฯลฯ

อูนายทำเราหงุดหงิดแล้ว พี่อูไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว อ่านตอนที่ 36 เหมือนกับ หายไปสัก 5-6 บรรทัด หรือ หายไปสัก 1 พารากราฟ เห็นจะได้ นึกว่าผมมีความรู้สึกคนเดียวแต่เท่าที่อ่านเม้นต์ ก็มี P พี่ชู มีความรู้สึกเดียวกัน

ห้ามเลยนะที่จะบอกว่าตอนต่อไปก็จะรู้ เพราะว่าผมถามอดีตช่วงต่อระหว่างตอน 35 กับ 36 เพราะฉะนั้นไม่ตอบไม่เขียนไม่ได้แล้ว Please Please Please

อ่านตอนนี้เป็นช่วงลองของ จะเพราะเหงา หรือ เพราะอะไรหลายอย่าง วัยรุ่นหลายๆคนในยุคของอู ก็จะมีพฤติกรรมประมาณนั้น กินเบียร์ สูบบุหรี่ แทงสนุก ตอนต่อไปน่าจะมีไปแถวแม้นศรีแน่ๆเลย แล้วบอกว่า อูนั่งรอเพื่อนอยู่ที่โซฟา

อยู่ที่ว่า ใครจะกลับตัวทันก่อน ส่วนใหญ่ลองเป็นเด็กเลวสักพักก็กลับตัวได้ หันกลับเรียนหนังสือต่อได้ คิดว่าอูคงไปอย่างนั้น

รออยู่นะครับ
วboyย

Anonymous said...

อ่านคอมเม้นต์ ของอาชูกับอาบอยแล้วเห็นใจอาอู รู้สึกว่าอาอูนี่จะโดนงานเข้าเยอะในช่วงเดือนธันวาาอย่างที่ว่าจริงๆด้วย เห็นใจอาอูครับ
ป.ล.เห็นใจขอบคุณอาชูที่ชม ผมก็ว่าผมคุยตามปกติแหละครับ ผมว่าคนที่เป็นคนที่คุยสนุกจริงๆจากการติดตามอ่านมาเนี่ย น่าจะเป็นคุณ Sea กับ คุณ Arus หลานอาอู และดูแล้วสองคนนี่น่าจะเด็กกว่าผมอีกมั้งครับ
Oliver

nai said...

ขอคุณครับอู ที่มาต่อตอน 35 ให้จบบริบูรณ์ เอ๊า น้องๆ หลาน พี่ชู พี อาอูมาต่อ อีก4-5 บรรทัดให้จบครับ (ลองไปอ่านช่วงท้ายของตอน 35 อีกครั้งก็ได้ครับ)

"หลังจากนั้นบอยก็เล่นเกมพวกปาเป้าแทน ผมก็เล่นด้วย ได้แค่รางวัลเล็กๆติดมือกลับมานิดหน่อย เพราะว่าฝีมือแย่พอๆกัน เล่นกันอยู่นานพอสมควรจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้อากาศในคืนวันนั้นค่อนข้างเย็น แต่ผมกลับนั่งรถกลับหอพักด้วยความอบอุ่น... มันเป็นความอบอุ่นใจ."

แล้วจะหารางวัลมาให้นะอู ว่าแต่อยากได้อะไร
นัย

Anonymous said...

โห อานัย

ยังกับนักสืบพันทิป

เอีหรือเค้าแอบส่งข้อมูลลับซึ่งกันและกัน

หลานหนิง