Sunday, December 6, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 35

ผมพยายามอิดออดโดยอ้างเหตุผลต่างๆนานาที่จะไม่ลอยกระทงใบเดียวกับบอย

“เราอธิษฐานกันคนละเรื่อง ลอยคนละกระทงก็แล้วกัน ถ้ากระทงเดียวกันเดี๋ยวไม่ขลัง เลยอดกันทั้งคู่” ผมมั่วแบบสุดๆโดยไม่สนใจว่าบอยจะเชื่อหรือไม่ จากนั้นก็รีบจ่ายเงินค่ากระทงทั้งสองใบเพื่อที่บอยจะได้คัดค้านไม่ได้อีกพร้อมกับซื้อไฟแช็กอีกหนึ่งอันสำหรับจุดเทียนในกระทง

“อะ ตามใจพี่อูละกัน ตังค์พี่อูนี่ บอยคอยกินอย่างเดียว” บอยยอมตามใจผม

บอยถือกระทงอันสวย ส่วนผมถือกระทงนักเรียนประถม เราค่อยๆเดินเบียดกลุ่มคนไปจนถึงท่าน้ำใต้สะพานพุทธ

ผมจุดเทียนให้กระทงของบอย จากนั้นก็จุดให้กระทงของตนเอง

“เอ้า อธิษฐานซะนะ” ผมพูดกับบอย

ผมเห็นบอยทำปากหมุบหมิบคล้ายกำลังอธิษฐาน อุปาทานทำให้ผมมองเห็นใบหน้าด้านข้างของบอยช่างคลับคล้ายกับไอ้นัย ภาพที่ผมเห็นราวกับไอ้นัยกำลังถือกระทงอธิษฐานอยู่ ผมขนลุกเกรียว

จู่ๆผมก็รู้สึกอ้างว้างเลื่อนลอยขึ้นมา ผมพยายามที่จะลืมไอ้นัย แต่ผมก็ยังทำไม่สำเร็จเสียที

‘ถ้าผมกับไอ้นัยยังมีวาสนาต่อกัน ก็ขอให้เราได้พบกันอีกในเร็วๆนี้ แต่ถ้าหมดวาสนาต่อกันแล้วก็ขอให้ผมลืมไอ้นัยให้ได้ด้วยเถิด’ ผมอธิษฐานกับกระทง

หลังจากนั้นเราต่างก็ปล่อยกระทงลงน้ำพร้อมๆกัน แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณริมท่าน้ำแออัดไปด้วยกระทง แต่ถึงจะแออัด เพียงไม่นานกระทงน้อยก็ค่อยๆกระเพื่อมลอยออกไปกลางสายน้ำ ผมเหม่อมองกระทงที่ลอยออกไปด้วยหัวใจที่อ้างว้าง กระทงนั้นเสมือนกับพาหัวใจของผมล่องลอยออกไปสุดแสนไกลโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง

“พี่อูเป็นอะไรอะ ดูซึมไปเลย” บอยทักด้วยความแปลกใจ

“ไม่เป็นอะไรสักหน่อย” ผมเฉไฉ

“ก็ดีฮะ ซึมมากหน่อย กะล่อนน้อยหน่อย” บอยพูดพลางหัวเราะ มุขนี้ของบอยเป็นมุขที่ล้อชื่อหนัง ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย ที่ออกฉายเมื่อปีหรือสองปีก่อน เป็นหนังดังในหมู่วัยรุ่นยุคนั้น นำแสดงโดยบิลลี่ โอแกน เพ็ญ พิสุทธิ์ สุรศักดิ์ วงษ์ไทย หลังจากนั้นก็มีวีดิโอออกมาให้เช่า

“พี่อูอธิษฐานว่าไงอะ” บอยถามตรงๆ

“เรื่องมันยาวน่ะ” ผมอึกอัก ไม่อยากบอกความจริง คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมกำลังกลัวอยู่ อุตส่าห์ไม่ถามมันแล้วเชียวว่ามันอธิษฐานอะไรเพราะว่ากลัวมันถามกลับ แต่นี่บอยชิงถามก่อนเลย

“แล้วนายล่ะ อธิษฐานว่าไงบ้าง ขอให้ได้กินฟรีทุกวันละสิ” ผมแกล้งทำตลกเพื่อเสเรื่องออกไป

“ไม่เห็นต้องอธิษฐานเลย ทุกวันนี้ก็ได้กินฟรีอยู่แล้ว” บอยหัวเราะ “เก็บเอาไว้ขอเรื่องสำคัญดีกว่า”

“เรื่องอะไรล่ะ” ผมชักอยากรู้ จึงพลั้งปากถามออกไป

“ก็...” บอยหยุดคิดนิดหนึ่ง “บอยอธิษฐานขอให้มีอนาคตดีๆ ได้แฟนสวยๆ ทำงานรวยๆ”

ผมสะอึกนิดหนึ่ง ขอให้ได้แฟนสวยๆ... ทำไมประโยคนี้ฟังดูแปร่งหูนักนะเมื่อบอยพูด ในใจรู้สึกมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้นวูบหนึ่ง แต่ผมก็จับต้นชนปลายความคิดของตนเองไม่ถูกเหมือนกัน

“เอ้า ลอยเสร็จแล้ว จะกลับกันหรือยัง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากคุยเรื่องคำอธิษฐานอีก

“หา จะกลับแล้วเหรอ ยังหัวค่ำอยู่เลยพี่อู” บอยงอแงยังไม่อยากกลับ “พี่อูต้องรีบกลับเหรอ”

“เปล่า แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี” ผมพูด

“อยากไปดูงานลอยกระทงที่อื่นอีก” บอยพูด “มีที่ไหนน่าดูมั่งล่ะ”

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานลอยกระทงจัดกันที่ไหนบ้าง ตามสวนสาธารณะก็คงไม่ต่างจากที่สะพานพุทธนี้เท่าไร จะไปสวนสยามก็ไกลเกินไปสำหรับตอนนี้

“นายเคยเที่ยวงานวัดในต่างจังหวัดไหม” ผมได้ความคิดขึ้นมา

“ไม่เคยอะ บอยเป็นคนกรุงเทพฯ” บอยตอบ

“งั้นไปเที่ยวงานวัดกัน มีเกมให้เล่น มีของกินเยอะแยะเลย” ผมรู้แล้วว่าควรพาบอยไปที่ไหน

“มีของกินเยอะเลยเหรอ งั้นรีบไปเลย อยู่ที่ไหนล่ะพี่อู” แววตาบอยแจ่มใสขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงของกิน

“งานภูเขาทองที่วัดสระเกศไง” ผมเฉลย

- - -

ถนนวรจักรในค่ำคืนวันนี้รถติดยิ่งกว่าวันก่อนเพราะงานภูเขาทองที่ตรงกับวันลอยกระทง จึงมีวัยรุ่นมาเที่ยวงานกันมาก ผมกับบอยลงจากรถเมล์สาย ๘ ตั้งแต่สี่แยกวรจักรและเดินมาเรื่อยๆแทน

บาทวิถีหน้าวัดสระเกศคับคั่งไปด้วยผู้คนและพ่อค้าแม่ค้าที่มาตั้งแผงและรถเข็นขายของซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกิน ทำให้เราเดินไปได้อย่างช้าๆ บอยหัวเราะอารมณ์ดีมาตลอดทางเพราะเพิ่งเคยเที่ยวงานวัดเป็นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อเดินเข้าไปในงาน บอยก็ทำตาโต เพราะแผงขายสินค้าที่เรียงรายกันอยู่นั้นมีทั้งของกินของใช้เป็นจำนวนมาก ของใช้ก็มีทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องเขียน ถ้วยโถโอชาม ไปจนถึงของเล่น ของจิปาถะ ส่วนของกินนั้นก็มีทั้งอาหารคาวหวานและขนม ผมเองก็ตื่นตาตื่นใจเหมือนกัน เพราะว่าไม่เคยเที่ยวงานวัดในกรุงเทพฯมาก่อน ตอนกลับบ้านที่ต่างจังหวัดก็ไม่ได้ไปเที่ยวงานวัดที่ไหนนานมาแล้วเช่นกัน อย่าว่าแต่งานวัดในต่างจังหวัดก็มีหลายระดับ ถ้างานเล็กๆก็สำหรับคนในท้องถิ่นใกล้ๆ แต่ถ้าเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัดอย่างเช่นงานกาชาดละก็คนมาเที่ยวเยอะมากเหมือนกัน

ดูท่าบอยมันจะชอบของกินเสียจริงๆ เพราะว่ามันไม่แวะดูแผงขายของใช้เลย ดูแต่แผงขายของกินเป็นหลัก

“น่ากินไปหมดทุกอย่างเลย กินอะไรดีพี่อู” บอยถามผม

“ก็ตามใจดิ ตังค์นายนี่หว่า” ผมตอบ

บอยอ้าปากหวอ ทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ผมรู้ว่ามันแกล้งทำ ใบหน้าที่แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจของมันดูน่ารัก

“เฮอะ พี่อูไม่รู้หน้าที่อีกแล้ว” บอยพูด

“เออว่ะ หน้าที่อะไรพี่ไม่รู้แล้ว รู้แต่ว่าถ้านายพยายามกินทุกอย่าง พี่คงหมดตัว” ผมพูด พลางมองไปที่แผงขายของกินยาวเหยียด อดล้วงมือไปกำเงินในกระเป๋ากางเกงไม่ได้

บอยหัวเราะ “กินเข้าไปหมดได้ไง ท้องแตกตายกันพอดี”

บอยซื้อของกินไม่มากจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นพวกปลาหมึกย่าง ลูกชิ้นปิ้ง แล้วก็ขนมอย่างขนมถังแตก ขนมจี่ บอยเป็นคนเลือกซื้อ ส่วนผมคอยตามจ่ายเงิน เมื่อได้แล้วก็เดินกินไปด้วยกัน

“ลูกชิ้นไม้สุดท้ายแล้วพี่อู แบ่งกันคนละครึ่ง” บอยถือลูกชิ้นเนื้อไม้หนึ่งในมือ ไม้หนึ่งมีลูกชิ้นอยู่สี่ห้าลูก บอยกินไปครึ่งไม้แล้วก็ส่งมาให้ผม

ผมรับลูกชิ้นครึ่งไม้มาจากบอยแล้วกินลูกชิ้นที่เหลือ ด้วยหัวใจที่รู้สึกอบอุ่น มันเป็นความอบอุ่นที่แฝงไว้ด้วยความเลื่อนลอย... ทำไมลูกชิ้นครึ่งไม้มันจึงหน้าตาคล้ายกับโดนัทครึ่งอันนักนะ

ผมเหลือบไปเห็นไหมสวรรค์ที่เอาน้ำตาลมาปั่นจนเป็นเส้นคล้ายสำลี แล้วเอาแท่งไม้ขนาดใหญ่กว่าตะเกียบหน่อยมาใช้เป็นแกนให้ไหมสวรรค์มาเกาะ จากนั้นก็พันให้เป็นก้อนโต มีสีสันต่างๆงดงาม มันเป็นขนมงานวัดที่ผมโปรดปรานในวัยเด็ก เมื่อมาเห็นตอนโตก็ยังอดซื้อกินไม่ได้

“เนี่ย ของโปรดในงานวัดเมื่อตอนพี่ยังเด็กๆ ขอลองกินสักหน่อย ไม่ได้กินมานานแล้ว” ผมคุยให้บอยฟังขณะที่เลือกไหมสวรรค์ว่าจะซื้อสีอะไรดี

รสชาติของไหมสวรรค์เมื่อได้กินตอนโตก็งั้นๆ มันก็น้ำตาลทรายดีๆนี่เอง ทำไมตอนเด็กถึงได้ชอบนักก็ไม่รู้ แต่ถึงแม้รสชาติจะงั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้กินมันอีกครั้งหนึ่ง ไหมสวรรค์ไม้นั้นเป็นเสมือนสื่อแห่งกาลเวลาที่ช่วยผมย้อนกลับไปสู่ความสุขในวัยเด็ก... วัยแห่งความฝันที่สวยสดงดงาม...

เราเดินไหลไปเรื่อยๆตามกระแสผู้คน เมื่อไปจนถึงทางแยกเพื่อขึ้นไปยังบรมบรรพตหรือว่าภูเขาทอง เราก็ไหลไปตามทางแยกนั้น

เราไหลตามฝูงชนขึ้นไปตามทางเดินใช้เวลาเดินๆหยุดๆนานพอสมควรกว่าจะถึงชั้นดาดฟ้าซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ภูเขาทอง คนแน่นขนัดเต็มดาดฟ้า ภูเขาทองในวันนั้นห่มด้วยผ้าแดง มีคนเขียนความปรารถนาเอาไว้บนผ้าแดงที่พันรอบฐานเป็นจำนวนมาก ผมกับบอยอ่านกันจนเพลิน

“เขียนมั่งมั้ยพี่อู” บอยหันมาถามผม ท่าทางมันคงอยากเขียน

“ไม่ละ นายเขียนเถอะ พี่จะคอย” ผมตอบ ที่ไม่อยากเขียนเพราะไม่อยากให้ใครรู้ความปราถนาของผม

“งั้นบอยก็ไม่เขียนเหมือนกัน” บอยตอบ

“งั้นเราไปชมวิวกันดีกว่า” ผมชวนบอย

ชั้นดาดฟ้าของภูเขาทองนั้นอยู่สูงจากพื้นดินมาก เมื่อแหงนหน้ามองข้างบนแลเห็นจันทร์เพ็ญกระจ่างฟ้า นับว่าโชคดีมากที่อากาศในคืนนั้นแจ่มใส ทำให้สามารถมองเห็นจันทร์เพ็ญได้ถนัดตา

เราสองคนเดินชมวิวโดยรอบ มองเห็นกรุงเทพฯยามค่ำคืนจากที่สูงอย่างเต็มตา กรุงเทพฯในวันนั้นยังมีตึกสูงไม่มากนัก บรรยากาศดูสงบและมืดกว่ากรุงเทพฯในวันนี้ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและดวงไฟส่องสว่างมากมาย ผมมองไกลออกไปจนสุดสายตา แลเห็นแผ่นดินสีดำจรดขอบฟ้ามืดมิด แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าจะหาใครสักคนก็คงเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ...

“พี่อู จะลงไปข้างล่างกันหรือยัง” เสียงบอยกระชากให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมกับบอยเดินลงจากภูเขาทองด้วยเส้นทางคนละเส้นกับเมื่อขามา เมื่อลงมาถึงข้างล่างก็เป็นบริเวณร้านพวกโชว์ของแปลก มีป้ายเขียนไว้ข้างหน้าร้าน เช่น ดูเด็กสองหัว เด็กปากเท่ารูเข็ม วัวห้าขา ดอกบัวหัวเป็นคน ฯลฯ ตอนเด็กๆผมจะชอบดูของแปลกพวกนี้มาก แต่พอโตแล้วจึงได้รู้ว่าบางอย่างก็ถูกหลอก

ผมพาบอยตีตั๋วเข้าไปดูของแปลกพวกเด็กสองหัว เด็กปากเท่ารูเข็ม เมื่อดูออกมาแล้วบอยก็บ่น “โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไร ดีนะที่ไม่ได้ออกเงินเอง”

ผมตบหัวมันเบาๆ “นี่แน่ะ ดูฟรีแล้วยังพูดมากอีก”

ถัดจากกลุ่มร้านของแปลกก็เป็นกลุ่มเครื่องเล่นและเกมต่างๆ พวกปาเป้า ยิงธนู ยิงปืน และที่หาดูได้ยากในสมัยนี้คือสาวน้อยตกน้ำ

“หูยยยย มีเกมให้เล่นด้วย ไปเล่นกันพี่อู” บอยร้องด้วยความดีใจ พลางจับมือผมลากไปดูร้านเกมต่างๆที่เรียงรายอยู่เป็นแถวยาว

ผมรู้สึกมืออุ่นวูบ มือของบอยที่กุมมือของผมทำให้ใจของผมหวั่นไหว ผมปล่อยให้บอยลากไปแต่โดยดี

“พี่อู ผู้หญิงตกน้ำนี่เค้าเล่นกันยังไง” บอยถาม

“เค้าเรียกว่าสาวน้อยตกน้ำต่างหาก” ผมแก้ให้ พลางอธิบายวิธีเล่น พร้อมกับเหลือบดูสาวน้อยที่นั่งอยู่บนไม้พาดถังน้ำซึ่งบางคนก็ไม่ใช่สาวน้อยเสียทีเดียว

เกมสาวน้อยตกน้ำนี้จะมีอุปกรณ์คือถังน้ำขนาดใหญ่บรรจุน้ำอยู่ ปากถังเอาไม้พาดไว้ แล้วเอาสาวในชุดแนบเนื้อมานั่งบนไม้ที่พาดนี้ ถ้าเป็นในชนบทบางทีก็เป็นสาวในชุดผ้านุ่งกระโจมอกแทน วิธีการเล่นก็คือคนเล่นจะต้องเอาลูกบอลปาไปที่เป้าเล็กๆอันหนึ่งซึ่งอยู่ข้างถังนี้ เป้านี้จะมีกลไกคุมแผ่นไม้ที่พาดปากถัง เมื่อลูกบอลปากระทบเป้า ไม้ที่พาดปากถังก็จะหลุด แล้วสาวน้อยก็จะหล่นลงไปในถังน้ำ เมื่อหล่นลงไปแล้วสาวน้อยก็จะปีนขึ้นมานั่งบนไม้พาดปากถังในสภาพที่เปียกปอน แล้วก็เริ่มปาเป้ากันใหม่

“บอยจะเล่นอันนี้แหละ” บอยพูดอย่างร่างเริง

ผมเหลือบมองสาวน้อยที่นั่งเปียกปอนบนปากถัง อากาศค่อนข้างเย็น บางคนก็นั่งกอดอกด้วยความหนาว บางคนก็วัยไม่น้อยแล้ว แทนที่จะได้เดินเล่นชมงานอย่างสนุกสนานกลับต้องมาตกน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จู่ๆอารมณ์ของผมก็หม่นหมองขึ้นมา

“เล่นอย่างอื่นไม่ดีเหรอ” ผมค้าน

“บอยชอบอันนี้อะ สนุกดี” บอยไม่เปลี่ยนใจ

“นี่นายเห็นการรังแกคนเป็นของสนุกหรือไง” ผมอดระบายความรู้สึกออกมาไม่ได้

บอยมองหน้าผมอย่างประหลาดใจ “พี่อูก็... นี่มันเกมอะ เค้าตกน้ำเค้าก็ได้ค่าจ้าง ไม่ได้ตกน้ำฟรีๆสักหน่อย แล้วคนอื่นเค้าก็เล่นกัน ไม่เห็นมีอะไรเลย”

ผมอึ้ง ที่บอยพูดก็มีเหตุผล ผมเพิ่งสังเกตว่าแม้เปลือกนอกบอยจะขี้เล่น กวนประสาท และดูยังเด็กอยู่ แต่ความคิดอ่านของมันกลับไม่เด็กเลย

ผมเงียบเพราะไม่รู้จะเถียงอะไร บอยมองหน้าผม แล้วในที่สุดก็เปลี่ยนใจ

“บอยเล่นอย่างอื่นก็ได้ฮะ ตามใจพี่อูละกัน” บอยพูด

ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง อดไม่ได้ต้องเอามือลูบหัวมันเบาๆ แต่พอนึกได้ว่ากำลังอยู่ที่ไหนก็รีบเอามืออออก

“ขอบใจนะบอย”

หลังจากนั้นบอยก็เล่นเกมพวกปาเป้าแทน ผมก็เล่นด้วย ได้แค่รางวัลเล็กๆติดมือกลับมานิดหน่อย เพราะว่าฝีมือแย่พอๆกัน เล่นกันอยู่นานพอสมควรจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้อากาศในคืนวันนั้นค่อนข้างเย็น แต่ผมกลับนั่งรถกลับหอพักด้วยความอบอุ่น... มันเป็นความอบอุ่นใจ


<ภาพภูเขาทองในยุคที่ผมยังเด็ก>


<เกมสาวน้อยตกน้ำนี้จะมีอุปกรณ์คือถังน้ำขนาดใหญ่บรรจุน้ำอยู่ ปากถังเอาไม้พาดไว้ แล้วเอาสาวในชุดแนบเนื้อมานั่งบนไม้ที่พาดนี้ ถ้าเป็นในชนบทบางทีก็เป็นสาวในชุดผ้านุ่งกระโจมอกแทน วิธีการเล่นก็คือคนเล่นจะต้องเอาลูกบอลปาไปที่เป้าเล็กๆอันหนึ่งซึ่งอยู่ข้างถังนี้ เป้านี้จะมีกลไกคุมแผ่นไม้ที่พาดปากถัง เมื่อลูกบอลปากระทบเป้า (ในภาพนี้ เป้าเป็นรูปหัวใจสีขาว) ไม้ที่พาดปากถังก็จะหลุด แล้วสาวน้อยก็จะหล่นลงไปในถังน้ำ เมื่อหล่นลงไปแล้วสาวน้อยก็จะปีนขึ้นมานั่งบนไม้พาดปากถังในสภาพที่เปียกปอน แล้วก็เริ่มปาเป้ากันใหม่>


<ไหมสวรรค์ ขนมเด็กที่คู่กับงานวัดในสมัยก่อน ทำจากน้ำตาลทรายล้วนๆและสีใส่ขนม รสชาติของไหมสวรรค์เมื่อได้กินตอนโตก็งั้นๆ มันก็น้ำตาลทรายดีๆนี่เอง ทำไมตอนเด็กถึงได้ชอบนักก็ไม่รู้ แต่ถึงแม้รสชาติจะงั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้กินมันอีกครั้งหนึ่ง ไหมสวรรค์ไม้นั้นเป็นเสมือนสื่อแห่งกาลเวลาที่ช่วยผมย้อนกลับไปสู่ความสุขในวัยเด็ก... วัยแห่งความฝันที่สวยสดงดงาม...>


<ขนมเด็กอีกอย่างหนึ่งที่เรียกร้องความสนใจจากเด็กๆได้เป็นอย่างดีในงานวัดในยุคก่อน นั่นก็คือน้ำตาลปั้น ชื่อที่ถูกต้องจะเรียกว่าอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมมักเรียกของผมเองว่าน้ำตาลปั้น คนขายต้องมีฝีมือทางศิลปะพอสมควรทีเดียว อีกทั้งต้องผลิตให้เด็กดูกันสดๆ วิธีทำก็คือเอาน้ำตาลมาเคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมข้นๆแล้วผสมสีทำอาหารให้มีสีสันต่างๆ จากนั้นก็เอาน้ำตาลเคี่ยวหลากสีนี้มาประดิษฐ์เป็นของกินสีสวย ถ้ามีน้ำตาลนี้ที่ไหน เด็กๆจะมามุงดูกันมาก น้ำตาลปั้นแบบนี้ปัจจุบันหาดูได้ค่อนข้างยากแล้ว>

25 comments:

Anonymous said...

)^_^(ที่1 จองแล้ว

Fryderyk C. said...

เย้ๆๆ ที่สอง รออ่านมาเกือบอาทิตย์แหนะ55+

เล่นเปียโนเหมือนกันเลยนะคับ คุณอาอู

Anonymous said...

)^_^( หนุกหนานๆๆขอบพระคุณลุงอูอย่างสูงค้าบ ผมไม่เคยไปงานที่ภูเขาทองเลยครับก็อยู่ที่รรแหละครับลุงอูเคยอ่านเรื่องนี้ยังครับ http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=119616 คราวหน้าเวลากินแม๊คต้องสั่งโค๊กร้อนแล้วล่ะนะแต่ที่บ้านมักสั่งให้กินน้ำเปล่าอยู่แล้วหุหุ มีแอบลูบหัวด้วยบอยสูงเท่าไรครับลุง อยากอ่านตอไวไวจัง ใช่แล้วลุงต้องไปสืบแอบดูมารดำขาวสิผมเดาว่า100เปอเซ้งงง อย่าลืมมาเล่านะครับไปกินข้าวเย็นก่อน ลุงอย่าลืมกินด้วยนะครับ

Unknown said...

มาติดตามรออ่านทุกวันเลยคุณอู
Rose

Anonymous said...

เห้อออ เมื่อไหร่จาหมดตอนลอยกระทงนะอาอู อินอ่า

เป็นกำลังใจให้นายอูกะนายบอย หุหุ

หลานหนิง

Anonymous said...

ไม่ทันอีกแ้ล้ว T-T
คอมยังซ่อมไม่เสร็จครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

คุคุคุ มิน่าล่ะ ชวนแล้วถึงได้ไป ใจตรงกันนี่เอง
(รู้กันสองคนเนอะ คุคุคุ)
ลูกชิ้นครึ่งไม้ทำไมเหมือนโดนัทครึ่งอัน เป็นวรรคทอง
ของเรื่องอาอูได้เลยนะครับ ผมชอบมาก อ่านแล้ว
พออกเสียงก็ติดหูเลย

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วมันชื่นหัวใจจริงๆนะครับ ว่าแต่มันเป็นรักสี่เส้าจริงๆเหรอครับ ผมลำบากใจแทนจัง แต่ผมให้อาอูเลือกได้สองคนนะคือ อานัย กับ อาบอย ถ้าเลือกใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ก็อยู่กันไปสามคนเลยละกัน อิอิ ล้อเล่นนะครับ แต่ตัวอย่างในอดีตก็มีมาแล้วนะครับ อย่างในเรื่องมหากาพย์เรื่อง มหาภารตะ ที่พี่น้องตระกูลปาณฑพทั้งห้าคนมีภรรยาร่วมกันไงครับ
Oliver

Anonymous said...

ตอกบัตร

thom

Anonymous said...

เต็กกอแห่งนครปฐมดูเหมือนจะมีเมีย 9 คน แค่สี่เส้าไม่เป็นไร

Anonymous said...

หวัดดีหลานที่หนึ่ง ลุงอ่านดูแล้ว ถ้าจะละลายไขมันให้ได้ดีก็ควรกินโค้กเดือดกับดราโนตามลงไปด้วย

คนเป็นสัตว์เลือดอุ่น อุณหภูมิของร่างกายคงตัว ไม่ใช่กิ้งก่าเสียหน่อย ดังนั้นเมื่อกินอะไรลงไป ไม่ว่าร้อนหรือเย็น เมื่อลงกระเพาะไปมันน่าจะถูกปรับอุณหภูมิให้เท่ากับอุณหภูมิของร่างกายไปเอง อาคิดแบบนี้นะ

น้องบอยตัวกะทัดรัดครับ ไม่สูงประมาณคางของลุงเอง ส่วนจอมมารดำขาวกำลังสืบอบู่ ต้องรอสักระยะ

เฟรดเดอริกเรียนแบบเรียนเปียโนเล่มไหนแล้ว สอบเทียบเกรดหรือเปล่า โพสต์ youtube ให้อาฟังฝีมือบ้างสิ arus ด้วย สีไวโอลินให้อาฟังบ้าง อาจะเอาไว้ฟังก่อนนอน

หลานโอลิเวอร์ รักกี่เส้ายังไม่รู้เลยครับ ที่วันนั้นอาโพสต์ในคอมมเนต์ไปน่ะพูดเล่นครับ เพราะวินชอบแช่งอา อาก็เลยเขียนไปยังงั้น แถมยังมีพี่ชูและคนอื่นหาว่าเน่าอีก ดูท่าหลานจะเป็นหนอนหนังสือนะ

ต้อมตอกบัตรเข้าทำงานตอนตีสี่ งานอะไรครับนี่ ทำไมทำเช้าจัง ถ้าบอกว่าตอกบัตรเลิกงานก็ต้องถามใหม่อีกว่างานอะไรเลิกเอาเกือบสว่าง

วันนี้ขอเม้นตัดหน้าพี่ชูกับนัย

อู

Choo said...

ถึงว่า...รู้สึกจะเจ็บหน้าตั้งแต่เมื่อเช้า โดนอูตัดหน้านี้เอง

ที่บอกว่าออกช่อง 7 เมื่อไรบอกด้วย จริงๆ จะตามไปดูนะครับ ดูอย่าง Harry Potter ออกเป็นหนังสือแล้ว ก็ต้องทำหนังออกตามมา รับเงินเป็นกระบุง เรื่องของอูก็น่าจะทำอย่างนั้นบ้าง เชียร์นะนี้ ไม่ได้ว่าน้ำเน่าซักหน่อย 555+

ช่วงนี้มักจะตามอ่านเมนต์ของน้องๆ หลานๆ ไม่ค่อยได้เมนต์อะไรมาก กำลัง แต่ก็ติดตามตลอดนะครับ ตอนที่แล้วก็โดนนัยแซวอยู่เหมือนกัน ว่าสงสัย

แล้วนัยสงสัยอะไรผมละครับ งงๆ จะได้แก้ตัวถูก

ในที่สุดอูก็มีใจให้น้องบอยซะแล้ว ก็ดีนะชีวิตวัยรุ่นจะได้กระชุ่มกระชวยขึ้น มัวอมทุกข์อยู่ มันผิดวิสัยวัยแสวงหา

แต่คิดถึงนัยบ้าง ก็ทำให้ชีวิตรู้จักก้าวเดินแบบระมัดระวังขึ้น ทำอะไรวันหน้าจะได้นึกถึงจิตใจคนอื่นมากขึ้น เอาแต่ใจตัวเองน้อยลงไงครับ

เอาใจช่วย ให้กำลังใจอูมาทุกตอน ตอนนี้ก็เช่นเดิมครับ

ชู

Anonymous said...

ดีใจท่น้องอูมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนมากครับ
คำนึงและคิดถึงในทุกเรื่องแต่ด้วยประสบการณ์อาจทำให้ไม่สามารถหาทางออกได้เหมือนเช่นคนดูทั้งหลาย
แต่ก็เป็นกำลังใจให้อูนะครับ
สิ่งที่ผ่านมาทำให้อูเติบโตแต่ผมก็ภวนาให้น้องอูได้เจอกับนัยเพื่อที่จะได้ตอบตัวเองได้ซักทีว่าคืออะไร..ถึงแม้ว่ามันจะนานนะครับ
แต่ก็อยากให้น้องอูผ่านเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปให้ได้นะครับ
สำหรับน้องนัยก็อยากให้น้องนัยมีความสุขกับชีวิตให้มากๆและเข้มแข็งกันนะครับ
คนเราต้องเจอทั้งดีและไม่ดีเพื่อจะได้เติบโตเป็นคนที่เข้มแข็งครับ

ขอบคุณผู้แต่งและรักน้องอูกับน้องนัยนะครับส่วนน้องบอยเป็นเด็กที่น่ารักมากครับ

Anonymous said...

ลูกชิ้นรึจะสู้โดนัทได้... ไม่มีทาง

แบงค์ครับ

Anonymous said...

มาอ่านตอนนี้แล้วมีความสุขครับ....

เศร้ามานานแล้ว ทั้งอู คุณอู และคนอ่าน

สั้นไปนิดนึงนะตอนนี้ กำลังมีความสุขเลย...รออ่านตอนหน้าครับ

+ P +

Anonymous said...

ผมไม่ได้เป็นหนอนหนังสือหรอกครับ แค่อ่านเยอะเท่านั้นเอง คือผมกำลังตั้งคำถามว่า คนเราเนี่ยต้องมีรักแท้รักเดียวหรือครับ แล้วจะเป็นไปได้มั้ยว่าจะมีคนที่เรารักมากกว่าหนึ่งคน แล้วเราก็รักมากกว่าหนึ่งคนด้วย ก็ในเมื่อมันเป็นความรักด้วยกันทั้งนั้น ทำไมต้องเลือก ที่เราต้องเลือกเพราะเราอยากเลือกหรือเราโดนกดดันจากบางสิ่งบางอย่างให้เลือกกันแน่ อันนี้แค่ตั้งคำถามเฉยๆนะครับ ไม่ได้ยุ เพราะตัวผมเองไม่เคยมีแฟนกับเขาซะที อาอูคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ ช่วยตอบผมในฐานะผู้มากประสบการณ์ก็ได้ครับ
ป.ล.นึกขึ้นได้ว่า มีคู่หูจอบแสบสองคนสมัยที่อาอูยังเรียนอยู่ชั้นประถม ตอนนี้สองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ ทำอานัยผมซะเจ็บขนาดนั้น ผมคงลืมไม่ลงหรอก
Oliver

nai said...

โดนอูตัดหน้าก็เลยต้องไปรักษา เลยมาเม้นต์ช้าเลย สมัยก่อนยังมีหนังเรื่อง โปรดทราบคิดถึงมาก เข้ากับตอนนี้เหมือนกันนะครับ

ความสัมพันธ์ของ อูกับน้ย อูกับบอย ดูเหมือนคล้ายแต่ไม่คล้ายในความรู้สึกของอู นัยมันเป็นเพื่อนที่มากกว่าเพื่อน บอยมันเป็นน้องที่......

ล้อเล่นน่า อิจฉาเฉยเฉย

วboyย

Anonymous said...

น้องบอยเป็นน้องที่.....มากกว่าน้องเหมือนกัน

Anonymous said...

ตอบหลานโอลิเวอร์

คำถามของหลานตอบยากมากครับ ต่างคนก็ต่างความคิด

ตามความคิดของอา ความรักไม่ใช่ทรัพยากรที่มีจำกัดเหมือนอย่างน้ำมัน ที่ใช้แล้วก็จะหมดไป แต่ความรักนั้นไม่ใช่ ความรักมีไม่จำกัด เรารักพ่อแล้วก็ใช่ว่าความรักของเราจะหมดไป เรายังรักแม่ได้อีก รักพี่น้องได้อีก รักเพื่อนได้อีก เพื่อนจะมีกี่คนก็ได้ แล้วก็รักแฟนได้อีก ฯลฯ

ความรักนั้นมีไม่จำกัด แต่กรอบของสังคมเป็นตัวกำหนดและจำกัดขอบเขตและบทบาทของความรัก ยกตัวอย่างเช่น สังคมยอมรับให้พี่น้องกันรักกันได้ในรูปแบบหนึ่ง แต่ในอีกรูปแบบหนึ่งกลายเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นต้น

เรื่องรักแท้อาคงตอบหลานไม่ได้เพราะอาเองก็ไม่รู้ว่ารักแท้รักเทียมนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่ารักก็คือรัก แต่กรอบของสังคมเป็นตัวกำหนดบทบาทของความรัก

ส่วนใหญ่สังคมให้คุณค่าบทบาทชายหญิงที่จะมาร่วมชีวิตกันว่าควรเป็นผัวเดียวเมียเดียว จะมีบ้างในบางสังคมที่ยอมให้ชายมีเมียหลายคนได้ นั่นก็เป็นเรื่องของความรักที่เชื่อมโยงกับบริบททางสังคม

สำหรับเกย์นั้นเนื่องจากไม่มีกรอบประเพณีแบบชายหญิง ดังนั้นชีวิตคู่แบบเกย์จึงค่อนข้างลำบากครับ เพราะหากฎ เกณฑ์ หรือคุณค่าทางสังคมมาเป็นบรรทัดฐานนรองรับไม่ได้ ดังนั้นพฤติกรรมการมีคู่ของเกย์จึงมีหลากหลายรูปแบบ บางคนก็คิดแบบเป็นคู่เหมือนแบบหญิงชาย บางคนก็คิดแบบเป็นหมู่ ก็มีโน่นมีนี่ไปได้อีก แล้วแต่คนไป

อีกอย่างการมีคู่ของเกย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เชิดหน้าชูตาหรือมีศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ดังนั้นจึงหาความภาคภูมิใจในชีวิตคู่ได้ยาก นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของเกย์ที่เลียนแบบผัวเดียวเมียเดียวของชายหญิงไม่ยั่งยืนครับ

ไม่รู้ว่าตอบตรงคำถามของหลานหรือเปล่า นี่ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวครับ

อู

Anonymous said...

สิ่งที่อาอูตอบผมมันทำให้ผมอึ้ง คือผมว่ามันเป็นข้อเท็จจริงของชาวรักเพศเดียวกันทั้งหลายจริงๆ นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกรักเพสเดียวกันต้องต่อสู้ขึ้นมาในสังคม ที่ไม่ใช่แค่เรียกร้องความสนใจ แต่สิ่งสำคัญคือการยอมรับถึงการมีตัวตนของพวกเราต่างหาก สิทธิอื่นใดก็จะตามมาเอง
ในความเห็นของผมนะครับ ผมมองว่า เรื่องความรักของชาวรักเพศเดียวกัน ถ้าไร้ซึ่งบรรทัดฐาน สิ่งสำคัญคือการตกลงระหว่างกัน ถ้าผิดจากที่ตกลงกันไว้หรือทำให้อีกฝ่ายชอกช้ำหัวใจ ผมนับว่าเป็นความผิดนะครับ
ป.ล.อาอูเคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศสภาพ (Gender)เพราะว่าเท่าที่อาอูตอบเหมือนคนจะมีความรู้เรื่องนี้ดีพอสมควร เพราะเรื่องเพศสภาพช่วยให้การมีตัวตนของชาวรักเพศเดียวกันปรากฏต่อสังคมได้มากทีเดียว
Oliver

นาย_วสันต์ said...

ผมรอติดตามทุกวันนะครับ เรื่องของอาอูโดนใจผมมากครับ (ชอบมาก)

Anonymous said...

เดินเล่นงานภูเขาทองกันด้วยรึนี่ อืมตอนที่เดินเล่นกันตอนน้นผมเกิดรึยังหว่า
ถ้าผมเป็นพี่นัยคงน้อยใจแย่ ตอนที่อยู่ด้วยกันไม่เห็นจะเคยพากันไปเที่ยวที่ไหน

แต่ซักพักผมมั่นใจว่า อูคงรู้หัวใจตัวเอง สงสารแต่บอย หากมาหลงเสน่ห์อูเข้า สดท้ายก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่
เพราะเท่าที่ผ่านมา อูคิดถึงบอยเพราะคิดว่า บอยเปนเหมือนนัย

รักยากลืมยากนะครับ หากเป็นผมคงลืมไม่ได้เหมือนกัน ผูกพันกันมาขนาดนั้น ตราบใดที่อูยังรู้สึกว่า อูเป็นคนทำร้ายนัยให้ต้องเจ็บปวด อูจะลืมนัยได้หรือ

Anonymous said...

ใจหนึ่งก็รัก อีกใจหนึ่งก็เจ็บ เ็จ็บที่ยังคิด ถึงเธออยู่เรื่อยไป ใจหนึ่งก็คิด จะเดินไปให้ไกล แต่อีกใจยังไม่กล้าพอ เพราะรู้ว่าคงขาดเธอไม่ได้
ไม่รู้ว่าจะเข้ากับชีวิตอาอูรึเปล่านะครับ
Oliver

Fryderyk C. said...

ตอบ อาอู

เรียนคลาสสิกครับ เรียนตาม Alfred Course 1 - 2 - 3 อ่ะครับ แล้วก็เรียนกับครูต่อ เคยคิดว่าจะไปสอบเกรดนะครับ แต่ว่า ไม่ได้เรียนเป็นหลัก เลยเล่นเพื่อความสบายใจมากกว่าครับ ถ้าเทียบเกรด น่าจะอยู่ Grade 6 ของ Trinity ครับ อาอู ชอบฟังเพลงคลาสสิกมั้ยครับ 5555+ เห็นชื่อผม อาจะรู้มั้ยนี่ว่าผมชอบฟังของใคร ฮุๆๆ คิดถึง อานัย ด้วยครับ
สวัสดีครับ

Anonymous said...

เข้ามาตอกบัตร หมายถึงเข้ามาตอกบัตรอ่านครับอู

พื้นฐานสัญชาิตญาณเพศผู้เป็นนักล่านักสืบพันธุ์
โดยเฉพาะสัตว์เลือดอุ่นที่มีวิวัฒนาการสูง
สัตว์เพศผู้ส่วนใหญ่ในโลกจึงมีเพศเมียหลายตัว
และเพศผู้ที่จะเป็นจ่าฝูงจะต้องแข็งแรงและเก่ง
ส่วนตัวอ่อนแอก็จะหมดโอกาศ
เพื่อความสมบูรณ์แข็งแรงของรุ่นต่อๆไป
ทำให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองดำรงอยู่ได้สืบไป
มีสัตว์ส่วนน้อยในโลกนี้ที่จะเป็นผัวเดียวเมียเดียว

อย่างที่คุณอูบอกว่าเกย์ขาดความภูมิใจที่จะเปิดเผยเหมือนชายหญิง
แถมยังขาดความยึดเหนี่ยวอีกเรื่องคือเรื่องลูก
ขนาดนี้แล้วชายหญิงยังเลิกกันก็ยังเลิกกันมากมาย
เกย์ก็เป็นเพศผู้ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ที่จะดำรงแบบรักเดียวยิ่งยากยิ่งคู่เดียวยิ่งยากเข้าไปอีก

ดังนั้นเกย์การจะอยู่กันนานๆกับคนเดียว
จึงต้องมีความเข้าใจและให้อภัยกัน

thom