Sunday, October 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 25

“นายชื่ออะไรล่ะ” วัยรุ่นลูกเจ้าของตึกหอพักถามขณะที่ช่วยผมยกโต๊ะ ผมอยู่ข้างหน้า

“ชื่ออู” ผมตอบ “นายล่ะ”

“ชื่อแป๋ง” ลูกชายเจ้าของห้องเช่าตอบ จากนั้นก็ร้องออกมา “เฮ้ยๆ ยกดีๆดิ”

แป๋งดุผมเมื่อเห็นผมยกโต๊ะขึ้นบันไดแล้วเป๋ไปเป๋มา เหมือนกับจะหงายท้องลงมา ท่าทางและการพูดจาของแป๋งเป็นกันเองราวกับเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมานาน

“หมดแรงอะ” ผมตอบ รู้สึกปวดกล้ามเนื้อที่แขน แขนทั้งสองข้างล้าไปหมดอันเนื่องมาจากการถือกระเป๋าสัมภาระหนักมาตลอดทั้งวัน

“อะไรกัน ทำยังกะคนแก่ มานี่ เราอยู่หน้าเองดีกว่า เดี๋ยวนายหล่นลงมาทับเรา” แป๋งพูดพลางยิ้ม ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของแป๋งดูมีเสน่ห์จากเขี้ยวเล็กๆที่มุมปากทั้งสองกับลักยิ้มที่ลึกบุ๋มลงไป ไรหนวดเข้มที่เหนือริมฝีปาก ใบหน้าของแป๋งบ่งบอกแววอารมณ์ดีและทะเล้น หน้าของแป๋งดูไปคล้ายๆกับไพโรจน์ สังวริบุตรตอนยังเป็นวัยรุ่น ในหนังเรื่องวัยอลวน (หนังเข้าฉายปี พ.ศ. ๒๕๑๙ แต่หลังจากนั้นก็ยังหาดูได้เพราะว่ามีฉบับวีดิโอให้เช่า) แต่ว่าแป๋งผิวไม่คล้ำเท่าและหน้าตาดีกว่า

แป๋งสลับที่กับผม จากนั้นก็ช่วยผมแบกโต๊ะขึ้นไปถึงชั้นสี่ เมื่อขึ้นถึงห้องผมถึงกับหมดแรง ลิ้นห้อย

“เอ้อ ขอบใจนายมากแป๋ง” ผมพูด

แป๋งยิ้มแฉ่ง ยิ้มของแป๋งดูน่ารักและมีเสน่ห์ดึงดูดใจผมอย่างประหลาด

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กว่ะ” แป๋งพูด ว่าแล้วแป๋งก็กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง “โห ทำไมของน้อยนักวะ”

“ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากนี่ ส่วนใหญ่ก็หนังสือ ของใช้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก” ผมตอบ

“หนังสือเยอะเหรอ หนังสืออะไรล่ะ ปกขาวหรือเปล่า” แป๋งพูดพลางหัวเราะ

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่พูดว่าอะไร

“เฮ้ย อู” แป๋งลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “หน้าตาเด็กเรียนยังงี้ นายเคยดูปกขาวหรือเปล่า”

ผมถึงกับอึ้งเมื่อเจอคำถามกะทันหันเช่นนี้ ถ้าจะตอบว่าเคยดูก็จะเสียภาพลักษณ์ของเด็กเรียนไป ถ้าตอบว่าไม่เคยดูก็โกหก ผมคิดวูบหนึ่งแล้วก็สั่นหัว

“กะอยู่แล้ว หน้าตายังงี้คงไม่เคยดูหรอก” แป๋งหัวเราะเห็นลักยิ้มบุ๋มอีก จากนั้นแป่งก็ปั้นสีหน้าลึกลับ กระซิบถามด้วยเสียงที่เบาลงไปอีก “แล้วนี่ชักว่าวเป็นหรือเปล่า”

ผมนิ่ง พลางนึกในใจว่าขนาดเพิ่งเจอหน้ากัน ก็ยังทะเล้นขนาดนี้

ผมส่ายหน้าอีก ไหนๆจะโกหกทั้งทีก็อำมันให้ตลอดรอดฝั่งไปเสียเลย

แป๋งอ้าปาก ทำหน้าตกใจ

“ตายห่า โตเป็นควายแล้วยังชักว่าวไม่เป็น” แป๋งอุทาน “ถามจริงๆเถอะ หน้าบ้านนายมีภูเขาหรือเปล่าวะ”

“บ้านเราไม่ได้อยู่หลังเขาโว้ย” ผมตอบ

“แน่ะ แปลออกเสียด้วย” แป๋งหัวเราะ ความกวนของแป๋งไม่ได้ด้อยไปกว่าไอ้น้องบอยเลย มีแต่จะเหนือกว่า

หลังจากที่แป๋งคุยเล่นกับผมสักครู่ก็ขอตัวกลับลงไปข้างล่าง เมื่อแป๋งลงไปแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ผมตั้งใจจะนอนพักให้หายเมื่อยสักครู่ แต่ที่ไหนได้ เพียงครู่เดียวผมก็ผลอยหลับไป

- - -

ผมหลับไปทั้งๆที่เนื้อตัวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อไคล เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

วันนี้พอก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยจัดของต่อ ผมคิด รู้สึกหิวขึ้นมา จึงออกจากห้องและลงไปข้างล่างเพื่อไปสำรวจหาร้านอาหารในละแวกหอพัก

มีร้านข้าวแกงเล็กๆร้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆหอ แต่ว่าปิดร้านไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ตรงข้ามหอก็เป็นตึกแถวขนาดสิบกว่าคูหา แต่ร้านด้านนั้นเป็นร้านขายพวกหนังสือพิมพ์ ของจุกจิก ร้านทำผม และร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งปิดร้านไปแล้วเช่นกัน ร้านอาหารที่ยังเปิดจนค่ำเป็นร้านที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยอีกหน่อย เจ้าของบ้านดัดแปลงหน้าบ้านเป็นที่ขายอาหาร อาหารที่ขายก็เป็นพวกอาหารตามสั่ง

แม้ผมจะเคยอยู่ในซอยภาวนามาก่อน แต่กับซอยแถวนี้เคยแต่นั่งรถผ่าน ไม่เคยลงมาเดิน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าภายในซอยมีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ก็จำได้ว่าที่หน้าปากซอยเมื่อถึงตอนหัวค่ำจะมีก๋วยเตี๋ยวรถเข็นมาขายแถวหน้าธนาคารกสิกรไทย หรือถ้าจะเดินย้อนขึ้นไปทางสี่แยกลาดพร้าว-รัชดาเล็กน้อย ที่หน้าตึกมิตรอารีย์ที่ขายวัสดุก่อสร้างก็มีก๋วยเตี่ยวรถเข็นเช่นกัน

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกินอาหารตามสั่งที่บ้านใกล้หอพักดีกว่า เพราะว่าเดินใกล้ที่สุด อาหารที่กินก็เป็นอาหารตามสั่งพื้นๆ ได้แก่ ข้าวหมูผัดกระเพรา ซึ่งข้าวผัด ข้าวผัดกระเพราไข่ดาว ข้าวไข่เจียวหมูสับ ฯลฯ เหล่านี้ ที่ในสมัยนี้เรียกกันว่าเมนูสิ้นคิด เพราะไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรในการสั่ง แต่ความจริงก็คือตอนที่ผมอยู่หอผมก็ฝากท้องกับร้านนี้มาตลอด และรอดชีวิตมาได้ด้วยเมนูสิ้นคิดเหล่านี้นี่เอง

บรรยากาศในตอนค่ำวันนั้นลมค่อนข้างแรง อากาศเย็น ชื้น และแว่วเสียงฟ้าร้องครืนครันมาแต่ไกล ดูท่าคล้ายฝนกำลังจะตก ก่อตัวเป็นบรรยากาศอันเงียบเหงาและหดหู่ ในตอนนั้นร้านใกล้ปิดแล้ว เหลือผมที่เป็นลูกค้านั่งอยู่เพียงคนเดียว เดิมทีผมรู้สึกหิว แต่เมื่อมีอาหารวางอยู่ตรงหน้าจริงๆ บรรยากาศยามค่ำในปลายฤดูฝนกลับทำให้ผมกินอาหารไม่ลง

ผมนั่งกินอาหารเย็นคนเดียวด้วยความรู้สึกที่เงียบเหงาและเดียวดาย หลายปีมานี้ ผมคุ้นชินกับการกินอาหารเย็นที่บ้านคุณลุงคุณป้า แม้ในบางครั้งผมต้องกินอาหารเย็นคนเดียวเพราะกลับบ้านค่ำ แต่ผมก็ยังมีความรู้สึกของความเป็นครอบครัวอยู่ ผมยังได้ยินเสียงคุณลุงคุณป้าดูทีวีอยู่ในห้องใกล้ๆ และถ้าย้อนเวลาให้ไกลออกไปอีก ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมซึ่งผมเป็นนักเรียนประจำ ผมกินอาหารเย็นในห้องอาหารในหอพักนักเรียนประจำ ที่นั่นผมมีเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารมากมาย เวลากลางคืนที่หอเป็นเวลาที่ผมกระตือรือร้น เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะเป้นวันใหม่และผมจะได้พบกับไอ้นัย...

เมื่อคิดถึงไอ้นัย ผมรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมา เพราะว่าเคราะห์กรรมทั้งหมดของไอ้นัยเป็นผลงานของผมนั่นเอง...

น่าแปลกที่เมื่อตอนที่ผมพยายามดิ้นรนเพื่อจะได้มาอยู่ที่หอพักและเรียนที่กรุงเทพฯต่อไปนั้น ผมรู้สึกว่าการอยู่หอพักนั้นเป็นเรื่องที่วิเศษเหลือเกิน เพราะมีแต่อิสรภาพ จะออกกี่โมงก็ได้ จะกลับกี่โมงก็ได้ ไม่ต้องคอยโทรบอกใครหรือต้องลนลานรีบกลับบ้านเพราะกลัวโดนดุ มันเป็นการแสดงออกว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถดูแลตนเองได้แล้ว เพราะทุกอย่างเราต้องรับผิดชอบตนเองทั้งหมด อิสรภาพนั้นช่างหอมหวานในความคิดของผม

แต่ในคืนแรกที่ห้องเช่าหรือที่ผมเรียกว่าหอพักจนติดปาก ผมกลับไม่รู้ชื่นชมกับอิสรภาพที่ได้มาอย่างยากเย็นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกเดียวดายเหลือเกิน นี่ถ้าไอ้นัยอยู่ด้วยผมก็คงไม่รู้สึกเหงา...

ไอ้นัยอีกแล้ว ผมพยายามสลัดความคิดเกี่ยวกับไอ้นัยออกไปจากสมอง หลังจากที่ผมกินอาหารเสร็จก็เดินกลับขึ้นไปที่ห้อง และพยายามจะจัดห้องต่อไป

- - -

“อู ชั้นสี่ มีโทรศัพท์ค่ะ” เสียงจากอินเตอร์คอมที่ติดอยู่ตรงทางเดินชั้นสี่ดังขึ้น เป็นเสียงของพี่พรนั่นเอง

ผมรีบล็อกห้องและวิ่งลงไปที่ชั้นล่างทันที ใครโทรศัพท์มาหนอ

เมื่อไปถึงชั้นล่าง เห็นโทรศัพท์ที่เป็นเครื่องส่วนกลางสำหรับให้คนในหอใช้มีหูโทรศัพท์วางอยู่ข้างๆเครื่อง

“แม่โทรมา” พี่พรบอก

คิดเอาไว้แล้วเหมือนกันว่าคนที่โทรมาหาถ้าไม่ใช่แม่ก็คงเป็นเอ๊ด ส่วนพ่อนั้นคงไม่โทรมา แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ฮัลโหล แม่ นี่อูพูด” ผมกรอกเสียงลงไปในกระบอกโทรศัพท์

แม่ทักทายและถามไถ่เรื่องความเป็นอยู่ของผมเป็นการใหญ่

“นี่เพิ่งจะวันแรกเองนะแม่” ผมพูด “อูยังไม่เป็นไรหรอก”

“ก็นั่นแหละ ถึงยังไงแม่ก็เป็นห่วง อูไม่เคยอยู่คนเดียวแบบนี้มาก่อน เฮ้อ นี่แม่ตัดสินใจผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้” แม่อดบ่นไม่ได้

“ไม่ผิดหรอกแม่ ก็ป๊าไล่อูออกมา อูจะอยู่ได้ไง มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” ผมตอบ

เมื่อพูดถึงพ่อ แม่ก็ถอนหายใจออกมาอีก

“ป๊าเป็นไง ถามถึงอูบ้างป่าว” ผมถามด้วยความอยากรู้

แม่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“ก็ถาม อยากรู้ว่าอูสบายดีไหม” แม่พูดเบาๆ

“ป๊าไม่ได้ถามหรอก” ผมตอบ ความรู้สึกน้อยใจประดังขึ้นมา “แม่แค่จะปลอบใจอู แต่ไม่เป็นไรหรอก อูถามไปยังงั้นเอง”

แม่พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย และกำชับผมเรื่องการดูแลตัวเองสารพัด แม่กำชับผมเยอะมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังไม่ทันที่แม่จะพูดจบประโยค จู่ๆสายก็ตัดไป

ผมเงยหน้าจากหูโทรศัพท์ มองหน้าพี่พรอย่างงงๆ และวางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่องอย่างเดิม

“เอ๊ะ สายหลุด” ผมเปรย

“สายไม่ได้หลุดหรอกน้อง แต่ว่าคุย ๕ นาทีแล้วมันจะตัด” พี่พรอธิบาย “เพราะว่าหอนี้คนอยู่กันเยอะ บางคนก็ไม่เกรงใจคนอื่น คุยเป็นวรรคเป็นเวร ก็เลยต้องทำแบบนี้”

อะไรวะ มียังงี้ด้วย คุยห้านาทีก็ตัดแล้ว ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลย ผมด่าในใจ โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเครื่องโทรศัพท์แบบหยอดเหรียญ แต่ไม่ใช่เครื่องแบบขององค์การโทรศัพท์ที่โทรครั้งละหนึ่งบาท แต่เป็นเครื่องที่ทำขายในเชิงธุรกิจ หยอดเหรียญครั้งละห้าบาทโดยใช้เหรียญห้า และสามารถตั้งได้ว่าจะให้โทรได้นานครั้งละกี่นาที โทรออกต้องเสียเงิน แต่ถ้ารับสายไม่ต้องเสียเงิน

เมื่อผมวางหูโทรศัพท์ลงบนแท่น เพียงครู่เดียวก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นอีก มีสายเข้า

“ฮัลโหล สายมันตัดอะแม่” ผมยกหูขึ้นแล้วคุยต่อ

“ขอสายปั้นชั้นสามหน่อยครับ” เสียงมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง นั่นเป็นเสียงผู้ชาย ไม่ใช่เสียงแม่

“เค้าขอสายปั้นชั้นสามครับพี่พร” ผมหันไปพูดกับพี่พรอย่างงงๆ

“นี่แหละ มันยังงี้แหละ เรื่องปกติ ถ้าสายตัดไป และมีคนอื่นโทรเข้าพอดี ก็จะเป็นแบบนี้ น้องอูต้องรอหน่อยแล้วละ เอางี้ เดี๋ยวถ้าแม่โทรมาอีก พี่จะโฟนเรียกอีกที” พี่พรพยายามปลอบใจ จากนั้นก็ประกาศเรียกหาปั้นทางอินเตอร์คอม

นี่มันอะไรกันวะ ทำไมมันเป็นแบบนี้ ป่านนี้แม่คงกดโทรศัพท์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อต่อสายมาหาผม ถ้าอย่างนั้นผมไปโทรหาแม่ที่ตู้องค์การข้างนอกเอาดีกว่า

คิดได้เช่นนั้นก็เดินออกจากหอทันที แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็นึกได้ว่าไม่ได้เอาเหรียญลงมา จึงต้องขึ้นไปที่ห้องเพื่อหยิบเหรียญอีก

เมื่ออยู่ในห้อง ผมรื้อค้นกระเป๋าตังค์และกระเป๋าเสื้อผ้า ก็ได้เหรียญหยอดตู้เพียงไม่กี่บาท สุดท้ายก็ต้องมาขอแลกเหรียญกับพี่พร ชีวิตชาวหอกลับไม่สะดวกราบรื่นอย่างที่คิด เพียงวันแรกก็มีเรื่องให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

- - -

หลังจากคุยโทรศัพท์กับแม่ที่ตู้ข้างนอกหอจนเสร็จเรื่อง ผมก็กลับขึ้นไปบนห้อง และคิดจะอาบน้ำ

อ้าว สบู่ แชมพู แฟรงสีฟัน ยาสีฟัน ลืมเอามาทั้งหมดเลย!

ผมต้องเดินลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อของอีก ที่ด้านล่างตรงที่ผมไปรับโทรศัพท์นั้นมีตู้สินค้าขายของใช้จำเป็นพวกสบู่ แชมพู อีกทั้งมีขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

คราวนี้พี่พรไม่อยู่ แต่เป็นนายแป๋งที่เฝ้าข้างล่าง แป๋งอยู่ในชุดนอนผ้าบางๆ เสื้อนอนแขนสั้น กางเกงนอนขายาว

“เฮ้ย ทำไมนายเดินขึ้นลงหลายรอบนักวะ” แป๋งทัก หัวเราะหุหุแบบทะเล้น ขณะที่ขายของให้ผม

“เห็นด้วยเหรอ” ผมแปลกใจ เพราะมื่อกี้ตอนผมเดินขึ้นๆลงๆไม่เห็นแป๋งเลย “วันนี้เดินขึ้นลงจนขาลากเลย”

“เราก็อยู่ข้างหลังนี่เอง” แป๋งตอบ ข้างหลังนี่หมายถึงส่วนที่อยู่หลังโต๊ะของพี่พร ซึ่งมีตู้บังอยู่ หลังตู้นั้นมีตั่งไม้ขนาดใหญ่เอาไว้นั่งเล่นนอนเล่น แป๋งคงนั่งเล่นอยู่ข้างหลังและเห็นผม ส่วนผมไม่ทันได้สังเกต

“ทำไมไม่คิดทีเดียวไปเลย คิดได้แค่ทีละอย่างหรือไง” แป๋งพูดพลางหัวเราะ ลักยิ้มกับเขี้ยวเล็กๆใต้ไรหนวดเขียวเข้มทำให้แป๋งดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจ

“มึนโว้ย วุ่นมาตั้งแต่เช้า” ผมตอบ และถามต่อ “กลางคืนนายยังต้องลงมาขายของเหรอ”

“เปล่าหรอก พี่พรหลบไปกินข้าว เราเลยมาเฝ้าแทนแป๊บนึง ไม่อยากนั่งนานหรอก ไม่ได้ใส่กางเกงใน” แป๋งทำเสียงกระซิบกระซาบตอบ

คำตอบของแป๋งทำให้ผมอดเหลือบมองไปที่เป้างกาเกงนอนของแป๋งไม่ได้ เนื้อผ้าอย่างบางทำให้เห็นรอยนูนที่เป้ากางเกงนอนอย่างชัดเจน แป๋งไม่ได้ใส่กางเกงในจริงๆเสียด้วย รอยนูนเป็นลำที่เป้ากางเกงนอนของแป๋งทำให้หัวใจของผมอดรู้สึกวาบหวิวไม่ได้

- - -

กว่าที่ผมจะหาวัสดุและอุปกรณ์ในการอาบน้ำแปรงฟังจนครับก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเมื่อยล้ามาก อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นแล้วจะได้เข้านอนเสียที

ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวม แต่ละชั้นจะมีห้องพัก ๗ ห้อง ห้องน้ำ ๑ ห้อง ในห้องน้ำจะซอยเป็นห้องอาบน้ำขนาดเล็กๆ ๒ ห้อง ในห้องอาบน้ำจะมีอ่างน้ำขนาดกะทัดรัด ๑ อ่าง สำหรับอาบน้ำ และส้วมแบบนั่งยอง มีราวให้แขวนข้าวของได้นิดหน่อย ส่วนหน้าห้องอาบน้ำมีอ่างล้างหน้า ๒ อ่างสำหรับล้างหน้าแปรงฟัน ใครที่ต้องการเพียงล้างมือ ล้างหน้า หรือแปรงฟันก็ไม่ต้องใช้ห้องอาบน้ำ

ห้องของผมอยู่ด้านหน้าตึก ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านในสุดของตึก การอาบน้ำในวันแรกของผมก็เช่นเดียวกับเหตุการณ์อื่นๆในวันนี้ คือเต็มไปด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากผมต้องถือผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้าใหม่สำหรับเปลี่ยน แชมพู สบู่ ยาสีฟัน รุงรังไปหมด

เมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำ เนื่องจากห้องมีขนาดคับแคบ ราวก็สั้นนิดเดียว เสื้อผ้าทั้งชุดเก่าและใหม่ และผ้าเช็ดตัวที่หอบเข้าไปด้วยจึงไม่มีที่พาด ขวดและหลอดต่างๆก็ไม่มีที่วาง เฮ้อ กลุ้ม ทำไงดีวะ ที่ไม่พอ

ผมแก้ปัญหาด้วยการเอาเสื้อผ้าบางส่วนพาดกับบานประตู ขวดต่างๆก็วางกับพื้น หลังจากอาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวและหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับมาที่ห้อง ระหว่างที่เดินกลับห้องมานั้นเองผมก็เดินสวนกับพี่คนหนึ่งที่พักอยู่ชั้นเดียวกัน พี่คนนั้นนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวเดินมาอาบน้ำ ในมือถือขันใบหนึ่ง ภายในขันบรรจุสบู่ แชมพู และยาสีฟัน ขณะที่สวนกัน พี่คนนั้นมองข้างของรุงรังในมือของผมด้วยสายตาแปลกๆ

ผมจึงถึงบางอ้อว่าที่นี่เค้าอาบน้ำกันแบบนี้นี่เอง นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวทำให้ไม่มีอะไรต้องแขวนมากมาย ข้าวของทั้งหมดก็บรรจุลงในขัน แล้วเอาขันวางที่ขอบอ่าง แค่นี้ก็อาบน้ำได้แล้ว ผมไม่น่าโง่เลย!


<ห้องเช่าที่ผมพักอาศัยตอนอยู่ชั้น ม.๔ เป็นตึก ๔ ชั้น สามคูหา มีห้องให้เช่าทั้งหมด ๓๐ ห้อง แต่ละชั้นมีห้องน้ำรวม ตอนไปอยู่ใหม่ๆต้องปรับตัวพอสมควรเพราะไม่คุ้นเคยกับความเป็นอยู่แบบนี้มาก่อน>

20 comments:

InDy said...

ขอบคุณคร้าบผม พอโพสก่อนแล้วอ่านนะครับ อิอิ

glorynhing said...

คิดถึงตัวเองตอนไปอยุ่หอฝึกงาน แบบนายอูเลย

เป็นกำลังใจให้อาอูครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

รักอาอู แต่มารักไม่ทัน T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

top5

อีกไม่นาน แป๋ง เสร็จอูแน่ๆ

thom

Choo said...

อ้าว...น้องป๋อง รู้จักพี่อูน้อยเกินไปแล้วซะแล้ว
ปกขงปกขาว ชัก... เค้าไม่ถามกันแล้วป๋อง

มาหาว่าอยู่หลังเขาอย่างนี้ ป๋องต้องระวังหลังไว้นะ เผลออาจพลาดท่าเสียที่ให้อูนะครับ

ของเขาแรงจริงๆ นะป๋อง ใช้งานมาตั้งแต่ประถมโน้น เป็นเจ้าสังเวียนไปแล้วคร๊าบบบบบ มาถามอะไรเด็กๆ

ชู

ปล. เม้นต์ผิดฟอร์มไปบ้าง ไม่ว่ากันนะ
มันอดแซวไม่ได้นิครับ 555

พี said...

หอนี้คงมีอะไรหนุกๆ ให้อูทำเยอะแยะแน่ๆเลย

เล่ามาให้หมดซะดีๆ

นายแป๋งนี่ท่าทางซนไม่เบา กล้าๆด้วย ได้เจอเก๋าเกมส์แบบอู เสร็จแน่...

จะรออ่านครับ

+ PEE +

yo408 said...

เล่าถึงเรื่องอาบน้ำทำให้นึกภาพออกครับ เคยไปนอนเรือนแถวของบ้านพักทหาร ลักษณะเหมือนทาวเฮ้าส์ดีๆนี่เอง แต่แบ่งเป็น3ห้องมีชั้น1เป็นห้องรวมใหญ่แบ่งกันนอนหลายๆคนใช้ตู้เสื้อผ้ากั้นเป็นที่นอน ชั้น2ห้องหน้าใหญ่หน่อยอยู่รวมกันแบบข้างล่าง ชั้น2ห้องหลังเล็กหน่อยเพื่อนอยู่คนเดียว ห้องน้ำรวมอยู่ชั้น1ด้านหลัง เคยจะทำแบบอู แต่เพื่อนบอกบ้าป่าว บังคับให้ใส่ผ้าเช็ดตัว ถือขันใส่ของลงไปแบบนี้ แรกๆอายช่วงบนพอตัว แต่ไม่เห็นใครจะสนใจมองประหนึ่งเรื่องธรรมดาของผู้ชายด้วยกัน เข้าห้องน้ำถึงเข้าใจ มันไม่มีที่จะวาง แขวนของมากมายขนาดนั้น อีกทั้งเวลาอาบน้ำมันจะกระเด็นกระดอนเปียกไปทั่ว ความสะอาดก็ตามประสาผู้ชายๆ คราบไคลสบู่ คราบราดำ อย่างเพียบ อื่ม เอามาแค่นี้แหละพอแล้ว รับไม่ได้เหมือนกันถ้าเสื้อผ้าเราที่ต้องใส่ไปแขวนกับราดำเปียกๆลื่นแบบนั้น

ออกมาเจอห้องล่างนุ่งกางเกงในตัวเดียวซักผ้าที่ล้านซักล้างหลังเรือนนอน เลือดกำเดาแทบพุ่ง

Anonymous said...

พี่แป๋งเสดอาอู แน่นอน!!

ผมเองก้เคยอยากไปยุหอเหมือนกันนะคับ ชีวิตดูจะสบายดี อย่างที่อาอูบอกอ่ะแหละ ว่า จะไป-กลับกี่โมงก้ได้ไอย่างงี้ ดูเปนอิสรภาพดี แต่ผมว่าเดะยุไปนานๆอาอูก้ต้องมีความสุขแน่ๆเลย เพราะพอยุไปนานๆก้ชินกับชีวิตแบบนี้ได้ แถมยังมีพี่แป๋ง หึหึ

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

Choo said...

แก่แล้วขี้หลงขี้ลืม. ทักน้องแป๋งเป็นน้องป๋องซะงั้น

เจอเด็กๆใจเลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดรับ

ขอโทษๆ

สว. ชู

nai said...

สงสัย น้องป๋อง ไม่ใช่สิ แป๋ง จะสอนจรเข้ว่ายน้ำซะแล้ว หน้าตาคมเข้มซะด้วย มีไรหนวด มีลักยิ้ม เข้าทางอูซะแล้ว

ปล. มีแซว สว.ชู เล็กน้อย
นัย

Anonymous said...

(^_^)ที่11 ลุงอูมาไวกิ้กๆ ผมก็ไมใส่กกนเหมือนกันนะครับเวลานอน มีแอบนึกถึงน้องบอยด้วยแสดงว่ามีใจหุหุ ตอนนี้หม่นน้อยลงแล้วชอบๆ ลุงอูอย่าลืมโทรหาน้องบอยด้วยเน้อพาไปเที่ยวดูหนังซะเลยครับ แป๋งนี่ยังไงกันน้ามาแอบเหล่ลุงอูตลอด ลุงอูตรวจห้องดีๆระวังนะครับเด๋วจะถูกแอบถ่ายคลิบเอากิ้กๆ ขอบคุณค้าบบบมาเร็วๆน่าผมลุ้นอยู่น้า

Anonymous said...

แป๋งมันขี้เล่นและเนียนด้วย แต่ใครจะเสร็จใครหรือว่าใครจะพลาดท่าเดี๋ยวต้องดูอีกที

พี่ชูสงสัยจะมึน ป๋องเป็นพี่ชายครับ แป๋งเป็นน้อง แป๋งน่ารักกว่าครับ ออกฮาๆ พี่ชายกวน ขี้เก๊ก

ตอนนี้ยังไม่เปิดเทอมเลย เลยยังไม่เจอน้องบอย แต่ที่ไม่ได้โทรไปเพราะรู้สึกสับสนกับน้องบอยอยู่เหมือนกัน เลยขอพักสำรวจใจตัวเองดูก่อน ประกอบกับยุ่งๆเรื่องย้ายที่อยู่ด้วย

เรื่องแอบถ่ายคลิปสมัยนั้นยังไม่มี เพราะยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ถึงจะมี มือถือรุ่นแรกๆมันหนักมาก อันเท่ากระบอกข้าวหลาม คุยได้อย่างเดียว กับเอาไว้ตีหัวคน ส่ง sms หรือถ่ายรูปถ่ายคลิปไม่ได้ทั้งนั้น ต้องถามลุงชูดู อาจจะเคยใช้ แต่อาไม่เคยใช้ครับ มือถืออันแรกที่ใช้คือ โนเกีย 3310 เป็นคนที่ตามเทคโนโลยีไม่ค่อยทัน เริ่มใช้มือถือค่อนข้างช้าครับ

อู

Anonymous said...

อิอิ วันก่อนมีคนส่งเวบดีๆมาให้ เลยเอามาฝากทุกๆคนคับ
ภาพสวยโฮกกกกเลย วิธีทำง่ายๆคับ อยากชมสวยๆกด full screen หลังจากนั้นคุนลุง อา พี่ จะเล่นกานยังไงก้เอาเลยคับ มันจะเปนภาพถ่าย แต่เรากด ซ้าย-ขวา-ขึ้น-ลง ได้ตามใจเลย ก้คือเหนรอบทิศทางนั่นเองแนะนำๆ ลองกดซ้ายหรือขวาค้างไว้นะคับ หมุนติ้วเลยอ่ะ มึนตึ้บ- -"

นี่ลิ้งคับ
http://photo.photojpl.com/tour/08toureiffel/08toureiffel.html
โดยส่วนตัวชอบอันที่เปนสะพานคับ สวยมากเลย อยากไปจัง

Sea~~!!

Anonymous said...

งิงิ ดูไปดูมา มันมะได้มีแต่ฝรั่งเศสนา มีอันอื่นอีก อันนี้แบบเดวกันคับ ให้ทุกคนเลื่อลงมานิดนึงมันจะมีรุปเยอะๆอ่ะ อยากดูอันไหนก้คลิกขเปน่ะคับ มันจะไปโผล่ในหน้าตาแบบเดวกับลิ้งมะกี้แล้วก้จะมีภาพแนบในนั้นอีกเยอะเลย งงกานไหมเนี่ย - - ยังไงก้อยากให้ดูนะคับ สวยมาก

ลิ้งคับ
http://www.francoischarron.com/photos-panoramiques-360-degres-interactives-et-sonores/-/H3PuVU5XXD/menu/

ชอบโรงแรมน้ำแขง สวยจัง

Sea~~!!

Choo said...

ขอบคุณหลานทะเลมากๆ ครับ ตอนแรกดู อาก็งงๆ เหมือนเวียนหัว ไม่รู้อายุมากไปหรือเปล่า

แต่พอเล่นไปซักพักก็เริ่มสนุก มันหมุนได้ 360 องศา รอบทิศในทุกๆ แนวเลย วิวก็สวยมาก ฝรั่งเศสยังไม่เคยไปเลย

ถ้าหลานจะไปเที่ยว อย่าลืมอาอูไปด้วยนะ แล้วอย่าลืมอาอีกคนนะครับ

ชู

ปล. น้องไอซี กับ เด็กวางระเบิด หายไปนานแล้ว สงสัยภารกิจมาก อย่าลืมมาทักทายพี่อูบ้างนะครับ

Anonymous said...

ขอบคุณหลานทะเลมาก สอบเสร็จว่างแล้วล่ะสิ

เว็บรูป ๓๖๐ องศาที่เอามาฝากนั้นแจ่มมาก รายละเอียดคมชัด ดูแล้วอยากไปเที่ยวขึ้นมาทีเดียว ต้องถามพี่ไอซีดูว่าสถานที่ในภาพไปมาแล้วกี่แห่ง

อู

Anonymous said...

(^_^)ที่1 ไปเที่ยวงานมหกรรมหนังสือมาครับนั่งรถไฟทั้งบนฟ้าและใต้ดินเลยหนังสือปกขาวที่ลุงบอกเปิดดูแล้วไม่เห็นมีอะไรเลยกิ้กๆ ลุงไปรึยัง http://mpec.sc.mahidol.ac.th/forums/index.php/topic,3757.0.html แมร่งสุโค่ยจริงๆครับท่าน เวบคุณทะเลสวยดีน่าจะมีให้ดูอีกหลายๆที่นะครับ ไปกินข้าวก่อนนะครับลุงลุงอย่าลืมกินข้าวด้วยน่า

Anonymous said...

http://mpec.sc.mahidol.ac.th/forums/index.php/topic,3757.0.html
ไหงมันขาดหว่า

Anonymous said...

index.php/topic,3757.0.html

Anonymous said...

กำลังเครียดครับช่วงนี้

ปล.ไม่ได้หายไปไหนฮับ
ไอซี