Wednesday, October 14, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 24

“โธ่เอ๊ย ทำไมเอ๊ดไม่ทำสัญญาไป เดี๋ยวก็อดหรอก กว่าจะหาได้ก็แทบตาย” ผมโวยวายหลังจากที่ออกมาจากตึก

“อูจะไปกันใหญ่แล้ว อยู่ดีๆจะมาเช่าหอพักอยู่เองคนเดียวได้ไง” เอ๊ดพยายามห้ามปราม

เอ๊ดไม่ยอมเซ็นสัญญาท่าเดียว พร้อมทั้งเดินทางกลับบ้านทันทีและลากผมกลับไปด้วย ผมโมโหเอ๊ดมาก ทีแรกก็โวยวาย แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่าเอ๊ดไม่ต่อปากต่อคำด้วย ผมก็เลยต้องหยุดไปเอง

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เอ๊ดก็นำเอาเรื่องห้องเช่าที่ได้ไปดูมาคุยกับแม่ ส่วนพ่อนั้นไม่ยุ่งด้วยและไม่ถามอะไรเลย

เพราะเรื่องของผมทำให้ในช่วงนั้นที่บ้านต้องวุ่นวายมาก พ่อกับแม่ก็แทบจะไม่พูดกันเพราะแม่รู้สึกไม่พอใจพ่อมากทีเดียวที่พ่อเอ่ยปากไล่ผมออกจากบ้าน แต่ว่าหลังจากวันที่พ่อไล่ผมซ้ำรอบสองแล้วพ่อก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ทั้งไม่ไล่ และก็ทั้งไม่บอกให้อยู่ที่บ้านต่อไปได้ การที่พ่อเฉยไม่ได้ทำให้ผมคิดว่าพ่อเปลี่ยนใจ ผมกลับคิดไปว่าพ่อยังไม่เปลี่ยนใจมากกว่า จึงยืนกรานที่จะย้ายกลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯอีกให้ได้

คนที่รับศึกหนักคงเป็นแม่ เพราะแม่เป็นคนที่ถูกบีบอยู่ระหว่างกลาง ผมก็ต้องการอย่างหนึ่ง พ่อก็ต้องการอย่างหนึ่ง ทีแรกแม่ก็ไม่ยอมให้ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่หลังจากที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมในช่วงหลัง ที่ผมกลับมากระตือรือร้น พร้อมทั้งไม่มีอาการอาเจียนและท้องเสียอีก ทำให้แม่ต้องคิดหนักว่าถ้าผมอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วอาการเครียดกับซึมเศร้ากลับมาอีก กับการปล่อยให้ผมกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพคนเดียว อย่างไหนจะดีกว่ากัน

ในช่วงนี้แม่ดูไว้วางใจและปรึกษาเอ๊ดค่อนข้างมาก แม่คงเห็นว่าเอ๊ดเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วและมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ประกอบกับแม่ปรึกษาพ่อเรื่องของผมไม่ได้เลย เพราะพ่อเอาแต่พูดว่า

“มันคิดว่ามันโตแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปก็แล้วกัน”

ในที่สุด แม่ก็ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับเอ๊ดและผมเพื่อไปดูห้องเช่าที่ผมหมายตาเอาไว้

เมื่อแม่บ้านประจำตึกเห็นผมก็ส่ายหัว พร้อมทั้งยิ้ม

“กว่าจะตัดสินใจได้” แม่บ้านพูด “นี่ดีนะที่ห้องยังไม่ได้ปล่อยไป”

“เปล่าครับ” ผมอ้อมแอ้ม รู้สึกอายเหมือนกัน “คราวนี้พาแม่มาดูครับ”

แม่บ้านอ้าปากหวอ คงไม่ค่อยเจอผู้เช่าที่ยุ่งยากมากเรื่องขนาดนี้บ่อยนัก

แม่บ้านพาเราทั้งสามคนไปดูห้องอีกรอบหนึ่งอันเป็นรอบที่สาม แม่ซักถามแม่บ้านอย่างละเอียดยิบ หลังจากนั้นยังไม่พอ ยังขอคุยกับคุณน้าเจ้าของห้องเช่าอีกด้วย

“แม่” ผมกระตุกชายเสื้อแม่เบาๆ แล้วกระซิบ “เดี๋ยวเค้ารำคาญขึ้นมาก็เลยไม่ให้เช่ากันพอดี”

“ไม่ได้ แม่ต้องถามให้ละเอียด” แม่ยืนกราน “ไม่งั้นจะวางใจได้ไง”

หลังจากที่คุณน้าเจ้าของห้องเช่าลงมาก็คุยกับแม่ด้วยอาการโอภาปราศรัยเป็นอย่างดี แม่ซักถามรายละเอียดหลายๆอย่างที่ได้ซักถามแม่บ้านมาแล้ว เช่น สภาพแวดล้อม มีกฎระเบียบอย่างไร ผู้เช่าแต่ละห้องเป็นอย่างไร ห้องหนึ่งอยู่กันกี่คน ชายหรือหญิง ฯลฯ ซึ่งคุณน้าก็คุยและตอบข้อข้องใจของแม่จนแม่รู้สึกพอใจ

ผมเองก็เพิ่งรู้จากคุณน้าจากการคุยในวันนี้เองว่าตึกนี้มีทั้งหมด ๓๐ ห้อง อยู่คนเดียวก็มี ผัวเมียก็มี เป็นนักเรียนนักศึกษามากกว่าคนทำงาน โดยเฉพาะห้องเช่าที่ผู้เช่ายังเด็กๆอยู่ก็มีหลายห้อง เช่น ห้องหนึ่งเป็นสองพี่น้อง คนพี่อยู่ปีหนึ่ง คนน้องอยู่ ม.๖ อีกห้องหนึ่งก็สองพี่น้อง ม.๖ กับ ม.๓ อีกห้องหนึ่งก็สามพี่น้อง คนโตเรียน ปวส. ๑ ส่วนอีกสองคนเรียน ม.๕ กับ ม.๒ เป็นต้น

“ม.๔ อยู่คนเดียวเหรอ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” คุณน้าพูดกับแม่ “คุณก็ดูสิว่าตึกนี้เด็กเยอะ ไม่เหงาหรอก ส่วนใหญ่ก็นิสัยดี เรียบร้อย เพราะดิฉันเลือกคนเช่ามากเหมือนกัน ถ้าดูเกะกะเกเรก็ไม่รับ เด็กในตึกแม้จะเป็นผู้เช่า แต่ดิฉันก็ดูแลเหมือนญาติ”

และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งจะรู้ก็คือ คุณน้าเองก็มีลูกชายสองคน กำลังเรียน ม.๕ และ ม.๔ โรงเรียนเดียวกับที่เอ๊ดจบมาเสียด้วย พอผู้ใหญ่ทั้งคู่รู้ว่าลูกชายของตนต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน การพูดคุยก็ยิ่งเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น

คุณน้าก็ถามเหมือนกันว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง เด็ก ม.๔ จึงมาหาห้องเช่าเอง แม่ก็คงไม่อยากเล่ามาก คงเล่าเพียงคร่าวๆว่าเดิมพักอยู่กับญาติ แต่ต่อมาทางครอบครัวญาติเกิดไม่สะดวกเหมือนเดิม จึงต้องย้ายออกมา

“อะ ลองดูก็แล้วกัน” แม่ตัดสินใจพร้อมกับถอนหายใจ

- - -

ในที่สุด แม่ก็ตัดสินใจให้ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯอีกครั้ง คราวนี้แม่กับเอ๊ดช่วยกันคิดแต่แม่เป็นคนตัดสินใจเอง เพราะพ่อไม่ยุ่งด้วย นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง จากเดิมที่แม่ไม่เห็นด้วย แต่หลังจากที่ได้คุยกับคุณน้า แม่ก็เปลี่ยนใจ และเป็นคนเซ็นสัญญาเช่ากับคุณน้าด้วยตนเอง

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในบ้านอีกครั้งหนึ่ง ภายในช่วงเวลาปิดเทอมเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ผมต้องย้ายที่อยู่ถึงสองครั้ง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องโรงเรียนใหม่ใกล้บ้านของผมต่อมาเป็นอย่างไร จ่ายเงินไปแล้วมากน้อยเพียงใด และต้องไปลาออกหรือไม่ แต่คิดว่าในที่สุดพ่อก็คงต้องไปจัดการเอาจนได้

การย้ายกลับไปกรุงเทพฯในครั้งนี้ค่อนข้างทุลักทุเล เพราะว่าข้าวของค่อนข้างมาก อีกทั้งไม่มีพ่อคอยขับรถให้ การย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯในครั้งนี้ในเมื่อพ่อไม่พูดอะไร ผมก็เกิดทิษฐิขึ้นมาเหมือนกัน ไม่ยอมเอ่ยปากขอให้พ่อช่วยเลยแม้แต่น้อย แม่กับเอ๊ดก็ขับรถไม่เก่ง เอ๊ดพอขับได้แต่ไม่กล้าขับทางไกลข้ามจังหวัด ครั้นจะว่าจ้างรถกระบะบรรทุกของมาส่งให้ก็เป็นเงินหลายพันบาท

“ไม่มีรถแล้วอูจะย้ายของได้ไง ของตั้งมากมาย” เอ๊ดถาม

“ก็แบกขึ้นรถทัวร์ไปดิ” ผมตอบ “ก็มีแต่เสื้อผ้ากับหนังสือเรียน มากที่ไหน”

“เฮ้อ ป๊าก็ไม่ช่วย แปลกแฮะ ไม่รู้ว่าป๊าคิดอะไรอยู่” เอ๊ดบ่นอุบ

เมื่อมีข้อจำกัดเกิดขึ้น ผมก็ทำเท่าที่ทำได้ โดยเอาไปแต่ของใช้ที่จำเป็น ได้แก่หนังสือเรียนและชุดนักเรียน ชุดไปเที่ยว โคมไฟอ่านหนังสือ ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอน ที่จริงในห้องเช่าก็มีของใช้จำเป็นครบอยู่แล้ว อันได้แก่ โต๊ะทำงาน เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า อย่างอื่นคิดว่าไปซื้อเอาใหม่จะสะดวกกว่า เพราะคงเป็นเพียงแค่สิ่งละอันพันละน้อยนั้นเท่านั้น

ผมจัดเตรียมข้าวของที่จะย้ายไป รวมกันแล้วก็ได้สองกระเป๋า จากนั้นผมกับเอ๊ดแบกขึ้นรถทัวร์ไป ตอนเดินทางพร้อมกับกระเป๋าหนักๆนี่ก็ทุลักทุเลเอาการ เพราะกว่าจะได้ขึ้นรถทัวร์ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเสียก่อน พอไปถึงหมอชิตแล้วก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ซอยลาดพร้าว ๒๕ เพราะขึ้นรถเมล์ไม่ไหว

เมื่อเอ๊ดส่งผมจนถึงห้องเรียบร้อยแล้วเอ๊ดก็ขอตัวกลับเพราะตอนนั้นก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว เอ๊ดเองก็ต้องขึ้นเชียงใหม่ไปเพื่อลงทะเบียนเรียนและเตรียมตัวเรียนในเทอมต่อไป

“ไม่พักด้วยกันสักคืนเหรอ” ผมถาม รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ชาย ในยามปกติ เอ๊ดดูเหมือนจะหมั่นไส้และไม่อยากยุ่งกับผมนัก แต่ในยามที่ผมเดือดร้อน พี่ชายคนนี้ก็ยังพึ่งได้เสมอ

“ไม่อะ” เอ๊ดทำหน้าเบ้ “กลับไปนอนบ้านดีกว่า อูจะได้จัดข้าวของด้วย”

หลังจากที่เอ๊ดกลับไป งานชิ้นแรกที่ผมทำก็คือการเช็ดโต๊ะ เช็ดตู้ จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าแขวนเข้าตู้ แล้วก็ถูห้อง

หลังจากนั้นก็เอาของออกมาจัด เอาโคมไฟอันโปรดตั้งที่โต๊ะทำงาน โคมไฟอันนี้ที่ต้องเอาติดมาด้วยเพราะว่าราคาแพง เกือบสามพันบาท เป็นโคมไฟอ่านหนังสือที่มีอินเวอร์เตอร์ ใช้หลอดตะเกียบที่ใช้กับโคมไฟ ซึ่งไม่ใช่หลอดตะเกียบแบบที่เห็นในยุคนี้ การมีอินเวอร์เตอร์ทำให้แสงจากหลอดนวลตา ไม่กระพริบแบบหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป อ่านหนังสือแล้วสบายตา และไม่ร้อนอีกด้วย

จากนั้นก็ปูที่นอนและใส่ปลอกหมอน พวกนี้ก็เป็นของแพง เลยเอามาจากบ้าน แล้วผมก็พบว่าห้องนี้ยังขาดอะไรไปหลายอย่างทีเดียว ที่สำคัญก็คือโต๊ะสำหรับวางของ เพราะตอนนี้ของไม่มีที่วางเลย ต้องวางกับพื้นห้องซึ่งเกะกะ

เรื่องเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องเรือนแถวนี้หาได้ไม่ยาก เพราะตั้งแต่ซอยลาดพร้าว ๒๕ เป็นต้นไปจนถึงซอย ๓๕ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามด้านซอยคู่มีแต่ร้านเฟอร์นิเจอร์ ย่านนี้เป็นย่านการค้าเครื่องเรือนมานานแล้ว ในยุคนั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แถวนี้ขายดีมาก แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคต้มยำกุ้ง ย่านนี้ก็ดูซบเซา และเพิ่งกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปีสองปีนี้เอง เพราะตั้งแต่มีคอนโดมิเนียมมาต้องอยู่แถวนี้ ทำให้กิจการของร้านเฟอร์นิเจอร์ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ผมเดินออกไปยังปากซอยเพื่อหาซื้อโต๊ะหรือชั้นวางของ หลังจากเลือกอยู่นาน ในที่สุดก็ได้โต๊ะที่ขนาดพอเหมาะ ถูกใจ จึงเอาขึ้นรถสามล้อกลับมา

แม้วันนี้จะเป็นวันอันเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เป็วันที่ผมภูมิใจ เพราะผมได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ

- - -

เมื่อกลับมาที่หน้าตึก หลังจากที่เอาโต๊ะวางของลงจากรถ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นั่นคือ โต๊ะตัวนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร คนเพียงคนเดียวไม่น่าจะยกขึ้นไปได้ ยิ่งห้องของผมอยู่ถึงชั้น ๔ อีกด้วย ครั้นจะหาคนช่วยยกก็ยังไม่รู้จักใครสักคน

ยืนเก้ๆกังๆอยู่สักครู่ ก็เลยเดินเข้าไปในตึก กะว่าจะหาตัวแม่บ้าน ให้แม่บ้านนี่แหละช่วย พอเดินเข้าไป ยังไม่ทันจะพบแม่บ้าน ผมก็พบกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะวัยเดียวกับผม ผิวสีน้ำตาล หน้าตาเรียกคมเข้ม สมส่วน จะเรียกว่าหล่อก็น่าจะได้

“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ” วัยรุ่นคนนั้นถามผม น้ำเสียงไพเราะเสียด้วย

“เอ้อ” ผมยังตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร “หาแม่บ้านน่ะครับ”

“พี่พรออกไปข้างนอก มีอะไรให้ช่วยก่อนไหมครับ” นอกจากน้ำเสียงไพเราะแล้ว วาจายังสุภาพอีกด้วย

“เอ้อ...” ผมอึกอัก “ว่าจะขอให้พี่พรช่วยผมยกโต๊ะขึ้นไปที่ห้องหน่อยน่ะ คนเดียวยกไม่ไหว”

“อ๋อ นายเป็นคนเช่าในตึกเหรอ” วัยรุ่นนั้นหัวเราะ เปลี่ยนท่าทีไปในทันที “เราอุตส่าห์เก๊กซะ นึกว่ามาติดต่อเช่าห้อง มาๆ เดี๋ยวเราช่วยนายเอง”


<ภาพนี้ถ่ายจากปากซอยลาดพร้าว ๒๕ ตั้งแต่ซอยลาดพร้าว ๒๕ เป็นต้นไปจนถึงซอย ๓๕ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามด้านซอยคู่มีแต่ร้านเฟอร์นิเจอร์ ย่านนี้เป็นย่านการค้าเครื่องเรือนมานานแล้ว ในยุคนั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แถวนี้ขายดีมาก แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคต้มยำกุ้ง ย่านนี้ก็ดูซบเซา และเพิ่งกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปีสองปีนี้เอง เพราะตั้งแต่มีคอนโดมิเนียมมาต้องอยู่แถวนี้ ทำให้กิจการของร้านเฟอร์นิเจอร์ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา>

26 comments:

nai said...

มาซักที่ครับ
นัย

Anonymous said...

(^_^)ที่2 กิ๊กๆยังไม่ถึงตอนเฉลยว่าผมเดาถูกรึปล่าว แต่สงสัยลุงอูจะงานเข้าซะแล้วกับลูกเจ้าของห้องพัก ผมหมายถึงคงได้ช่วยกันติวสอบนะครับอย่าคิดลึกน่า ลุงอูลองกินข้าวเหนียวลาบหมูที่เซเว่นดูซิครับอร่อยดีผมลองกินเมื่อเย็นครับ ขอให้กินสุกี้มีความสุขน้าค้าบบ

naja said...

สงสัยงานพี่อูจะเจอเด็กใหม่ อิอิ

Anonymous said...

คนที่ 4 ก็ยังดี กะแล้ว ไม่วานก็ต้องวันนี้

แบงค์ครับ

InDy said...

ตอนนี้รอนาน แต่คุ้มที่รอครับ

Choo said...

อ้าว...ไหงเคยบอกว่าไม่มีชื่อในหนังสือรุ่น เป็นพวกตกสำรวจ กลีบมาเรียน รร.ข้างไนติ้งเกลอีกจนได้ แสดงว่าต้องมีเหตุการณ์ทำให้ต้องไปจบ กนศ. หรือเปล่าครับ

อ่านตอนนี้แล้วรักพี่เอ๊ดขึ้นมาเลย

เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วนะครับนายอู

ขอบคุณที่มาอัพต่อให้ เป็นกำลังใจครับ

ชู

Anonymous said...

มาแล้วครับ
แว๊บๆ มารับอาอูกันเถอะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

สรุปว่าอาอูของผมจะำำำได้กิ๊กใหม่แล้วเหรอ....

หลาน Arus ของอาอู

yo408 said...

ที่9
ในที่สุดก็ได้กลับกรุงเทพฯแล้ว

Anonymous said...

หะๆๆๆๆ

ไม่มีคำบรรยาย เพราะสิ่งที่ผมคิด หลายๆคนพูดไปแล้ว

หุหุ มาเป็นกำลังใจครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

ถูกต้องนะครับ ผมเดาว่าจะต้องได้กลับมาเรียนที่กรุงเทพอีก ฝันเป็นจริงแล้วนะ
ments42

Anonymous said...

(^_^)ช่วงนี้กลับเร็วหน่อยตังหมดอดเที่ยวแถมอาม่าไม่ให้สกา 555++ ลุงอูกินเจกับเขารึปล่าวครับ ผมไม่ได้กินแต่ก็เหมือนกินล่ะเพราะกับข้าวที่บ้าน ลุงเขากิ้กเยอะจังตอนนี้มีให้เลือกกี่คนแล้วครับ
1.ตี๋
2.น้องบอย
3.เวช
4.มอน
5.ลูกชายเจ้าของห้อง
ผมว่าไม่2ก็5ฟันธงแต่ผมว่า5มากกว่าใช่ม้าลุงมาต่อด่วนนะค้าบ

Anonymous said...

รักใหม่หรือเปล่า
อุอุ
จะมีฉากอีโรติคไหมเนี่ย

thom

Anonymous said...

ลูกชายเจ้าของหอคนนี้เป็นคนน้องครับ ชื่อแป๋ง คนพี่ชื่อป๋อง คนน้องน่ารัก มีเขี้ยวกับลักยิ้มด้วย คนพี่หน้าตากวนๆคล้ายจิ๊กโก๋

ที่หลานที่หนึ่งทายมาน่ะ ตัวเลือกยังไม่ครบ ที่จริงยังมีนักเรียนมัธยมในหอนี้อยู่อีกหลายคน ที่น่ารักก็มี

อาไม่ได้กินเจครับ กินอาหารเจตามช่วงเทศกาลแพงไปหน่อย อาชอบขวางโลกก็เลยไม่ได้กิน แต่ปกติก็กินเนื้อสัตว์น้อยอยู่แล้ว

arus กับหลานๆต่างก็ทายว่าอามีกิ๊ก งั้นคอยดูกันต่อไป ชีวิตตอนอยู่หอที่นี่ได้ประสบการณ์อะไรมาเยอะเหมือนกัน

ตอน ๒๔ นี้พิมพ์ไปก็ง่วงไป หลับคาคีย์บอร์ดอีกด้วย อาจสั้นไปหน่อย แต่จะพยายามมาโพสต์ต่อเร็วๆนี้ครับ

อู

ปล ที่สองกิ๊กๆทายอะไรอาเอาไว้น่ะ ลืมไปแล้วครับ เลยเฉลยไม่ถูก ช่วยทบทวนความจำให้หน่อย

Anonymous said...

มีคนมาทำให้อาอูไม่เครียดแล้ววว

Choo said...

แล้วอูเหมาทั้ง ป๋อง ทั้ง แป๋ง เลยหรือครับ 555+

ชู

Nai said...

ลืมแล้วไยเจ้าเอย ก่อนเราเคยสัญญา จะรักกันไว้ให้มั่น
แต่ก่อนจะจากกันนั้น โปรดได้ฟัง ฉันสักบ้างเป็นไร
ฟังนะฟังฉันก่อน โปรดอย่าได้ร้างรอน อ้อนวอนด้วยหัวใจ
เธอรักเขา(แล้ว)ใช่ไหม ขวัญใจ ตอบฉันหน่อยคนดี

เวลาไม่ถึง 2 ปี จะมีกิ๊กซะแล้ว น่ะ อู

ขำชำ นัย

Anonymous said...

เพลงนี้ขอมอบให้พี่ชายที่แสนดี (พี่เอ๊ด)

เมฆดูสวยงาม เมื่อยามมองฟ้า ฟ้าดูกว้างใหญ่เหมือนเก่า
เมื่อยังเล็กแหงนดูมือไขว่คว้าเอา สูงจังอยากตัวโตสูง
จ้องมองแสนนาน พี่ชายคงเห็นยิ้มเดินมาใกล้แล้วอุ้ม
ขี่คอจนเกือบสูงทัน จ้องมองบนฟ้านั่น
เอื้อมมือถึงจันทร์ จะเอาเป็นของเรา

ครั้งโดนเขารังแก ร้องงอแงร้องไห้
พี่คนนี้ยังคอยคุ้มครองคุ้มภัย น้องเอยอย่ากลัวใครเขา
สองพี่น้องเดินไป น้องตามพี่ชาย จับมือจูงน้องไป
มองฟ้าอันกว้างใหญ่ ฟ้าคงไกลไป ขี่คอพี่สูงเอง

ครั้งโดนเขารังแก ร้องงอแงร้องไห้
พี่คนนี้ยังคอยคุ้มครองคุ้มภัย น้องเอยอย่ากลัวใครเขา
สองพี่น้องเดินไป น้องตามพี่ชาย จับมือจูงน้องไป
มองฟ้าอันกว้างใหญ่ ฟ้าคงไกลไป ขี่คอพี่สูงเอง

จวบจนฉันโต พี่ยังคงรักและคอยเป็นห่วงแสนห่วง
เมื่อผิดหวังให้กำลังใจทั้งดวง น้องเอยอย่ากลัวใครเขา
เมื่อยามท้อใจ จ้องมองบนฟ้านึกตอนเป็นเด็กเล็กนั่น
ขี่คอจนเกือบสูงทัน เอื้อมมือให้ถึงจันทร์
บอกเอาไว้นาน พี่ชายที่แสนดี

Anonymous said...

(^_^)ที่1อ้าวลุงลืมซะแล้วเหรอก็ผมทายว่าที่มาอยู่หอแถวลาดพร้าวก็เพราะลุงนัยไงโหไม่มาเฉลยกลัวไม่ถูกลอตเตอรี่ล่ะมั้งครับหุหุ ผมล้อเล่นน่าไม่ถูกก็ไม่เป็นไรก็ขอให้ลุงถูกรางวัลที่1เลยนะครับ แต่มีข้อแม้ผมอยากฟังประสบการณ์มากมายในหอที่ลุงบอกเร็วๆอะครับ พรุ่นี้เจอกันน้า
^
^
พี่เม้นบนแต่งเก่งนะ

Anonymous said...

ข้างบนเป็นเพลง "พี่ชายที่แสนดี" ของรุ้งอ้วน รวิววรณ จินดา ไพเราะ ความหมายกินใจมาก ไม่ได้ฟังมานานแล้ว

Anonymous said...

สวัสดีคับคุณพี่คุณลุงอู คุณลุงทั้งหลาย เเละผู้อาวุโส
ผมชื่อนนท์นะคับ ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้มานานมากเลยคับ เเต่ไม่เคยได้เม้นเเละขอบคุณหรือเเสดงความเห็นเลย ขอโทดด้วยนะคับ พอดีว่าพักนี้ชีวิตมันน่าเบื่อเลยเซ็งจิต จากที่อ่านนิยายของลุงอูมาทุกภาค บางภาคทำให้ผมร้องไห้เพราะเนื้อหาซึ้งกินใจมาก บางเรื่องถึงกับเก็บไปฝันถึงความทรงจำในวัยเด็ก เเบบที่คุรลุงอูเล่ามาในนิยาย ผมรู้สึกว่า อยากจะมีความรักเเบบนิยายของคุณลุงอูมาก เเต่ไม่เคยมี เรื่องทั้งหมด ทุกภาค เหมือนเป็นความทรงจำดีๆของคุณลุงอู หรือเปล่าคับ มันมีทั้งความประทับใจ เสียใจ มิตรภาพ ความพยายามต่างๆ ผมเริ่มรู้เเละเข้าใจคาเเรลคเตอร์ของตัวละครต่างๆบ้าง ผมเจอบล๊อกของคุณลุงอูเพราะผม เซิดอินเตอร์เน็ต เเล้วเจอเนื้อหาของภาคเเรก เลยคลิกมาอ่านตอนนั้นคุณลุงอูเขียนมาหลายตอนเเรก อ่านผ่านหลังๆ อ่านตดตามตลอดอ่านจนจบทุกตอน พอหลังๆที่คุณลุงยังไม่อัพตอนต่อไป ผมก็เปิดอ่านตอนเดิมๆตอนไหนประทับใจ ก็อ่านบ่อยๆจนพ่อดุ เพราะผมนั่งอ่านจนดึกเรียกว่าติดมากกว่าหนังสือเรียน ผมว่าอูในเรื่องเป้นเด็กที่เข้มเเข็งเเละอ่อนเเอ หรือสองบุคลิก อูมนเรื่องอ่อนเเอเเละใจโลเล เพราะไม่สามารถปกป้องเเละดูเเลนัยคนที่เค้ารักได้ อูมีความเศร้าเเต่ไม่ค่อยได้เเสดงให้ใครเห้น จนคนอาจมองว่าอูเก็บกด เเต่อูที่จริงเเล้วเป็นคนที่อบอุ่น เเบบว่าผมอยากจะอยู่ใกล้เพราอู มีความโรเเมนติก เเละความรักที่มีต่อคนอื่น จนเเบบว่าผมอยากจะมีเเฟนเป็นเเบบอูมาก
นัย เป้นเด็กที่เจอเเต่ความขัดเเย้ง เเตกเเยก เเละขาดความอบอุ่น
ในความคิดผม นัยต้องการคนดูเเลเเละประคับประคอง นัยเป็นคนที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม นั่นคืออูนั่นเอง นัยเสียสละในเรื่องที่เสียได้ นัยไม่เคยโกดใครเเละใจดี เเม้จะเจ็บหรือทุกในมักจะยิ้มเเย้มเเละสดใสได้ เเต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นมีความเจ็บปวดซ่อนไว้ในใจ รอวันที่ใครสักคนมาปลดปล่อยมัน จนนัยสามารถจะยิ้มเเละหัวเราได้เต็มปาก ชัช ตัวละครหลักในภคเเรกๆ ชายหนุ่มที่มาดกวนเเต่เเฝงด้วยความขี้งอน ขี้น้อยใจ ผมรักชัชเวลาที่ชัชงอนเเละร้องไห้กับอูตอนที่อูจะย้ายโรงเรียน ชัชบอกความใจใจทุกอย่าง ทำให้ผมรู้ว่า คนเราไม่ได้เป้นอย่างที่เห้น อูก้ไม่เคยรู้ว่าชัชรักอูมากกว่าความเป็นเพื่อน ชัชเป้นคนปากไม่ตรงกับใจในสายตาผมเเต่เป็นคนที่ มีความอ่อนเเอเรื่องการคิดน้อย เเละน้อยใจ จึงได้เก็บไว้เเละเเสดงความกวนๆออกมาเพื่อปิดบังความขี้น้อยใจไว้ เหมือนนัย ที่ปิดเอาความเศร้าไว้ มีเเต่การให้ ไม่ขัดใจใคร ส่วนอู เท่าที่ดูอูทำได้ทุกอย่างเพื่อนัยคนที่อูรัก จนถึงกับบางครั้งทำเพราะขาดสติ หัวรั้น อูน่าจะดื้อพอควรในสายตาผม

เล่ามาเยอะ ผมประทับใจฉากเศร้าๆหรือตอนที่ชัชร้องไห้กับอู ตอนที่นัยโดนซ้อในห้องน้ำ
เเตอนอื่นๆที่ผมอ่านเเล้วนั่งร้องไห้คนเดียวหน้าคอม เรื่องนี้ตรงกับผมมาก พูดเเล้วอดน้ำตาไหลไม่ได้ ไม่รู้นะคับว่า เรื่องนี้จะตรงกับชีวิตใครหลายๆคนหรือเปล่า
เเต่ผมว่าตรงกับผมมาก เพราะผมก็ผ่านวัยเด็กมานานเเล้ว บางครั้งอ่านเเล้วเอาไปฝัน ฝันถึงอุนัยเเละชัช เพื่อนที่รักกัน ขอบคุณ คุณลุงอูที่นำเรื่องราวเเบบนี้มาให้ผมเเละทุกๆคนได้อ่าน ขอให้คุณลุงนำมาลงอีกเยอะๆนะคับ ให้คุรลุงมีความสุข สุขภาพดีนะคับ

คุณลุงอูเกิดพ.ศ.ไหนคับจะได้เรียกถูก
ประมาณพ.ศ. 2505 ได้ไหมคับ
หรือก่อนนั้น เพราะเท่าที่ดูน่าจะสมัยเดียวกับพ่อผม ยังไงตอนเเรกมีคำพูดมากมายเเต่พอจะพิมเเล้วมันนึกไม่ออก ตอนนี้ผมยังไม่เคยเจอรักเเท้ หรือรักเเบบอูในนิยายนี้เลย บางครั้งน้อยใจตัวเองที่เป็นเเบบนี้
อยากมีรักอยากมีคนมาดูเเลประคับประคองบ้าง เหมือนนัยที่มีอูคอยดูเเลเเละให้ความอบอุ่นเเละความรัก เเต่ยังไงชีวติก็เดินต่อไป

ขอเเนะนำตัวอีกครั้งนะคับ
ชื่อ นนท์นะคับ
อายุ16ปีคับ
เรียนปี1เเล้วคับ
ติดตามอ่านนิยายของลุงอูมานานเเล้วคับ เเละส่งให้เพื่อนๆผมเข้ามาอ่านด้วย
เพราะคุณลุงอูเขียนนิยายเเบบมีชีวิต คืออ่านเเล้วรู้สึกได้เหมือนว่า
เราอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆด้วย รู้สึกประทับใจมาก คับ สุดท้าย ขอบคุณคุณลุงอู ที่นำเรื่องราวดีๆมาเเบ่งปันนะคับ
อาจพิมผิดพิมตกหล่นขออภัยนะคับเเป้นพิมพัง กดไม่ได้เว้นวรรคไม่ได้ อ่านยากขอโทดด้วยคับ

Anonymous said...

อ่านแล้วยิ้มเลย ดีใจจังมีคนรักลุงอูเพิ่มขึ้นอีก
แต่ทำไมให้ลุงอูหง่อมขนาดนั้นละ
แค่ 2514 ก็พอครับ 2505 ไม่ไหวครับ

แอบแซวหลานคนใหม่ ^_^

Anonymous said...

ผมก็เหมือนคนข้างบนนั่นแหละครับ อ่านมานานแต่ไม่เคยเม้นซักที อ่านเพราะเราชอบ เหตุการณ์มันก็คล้ายๆชีวิตเรา จนบางครั้งเราก็ลืมไปว่ามันเป็นนิยายอย่างที่คุณอูบอก แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับ มันต้องมีจริงบ้างแลหะน๊า

คุณอูดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าแม่ผมอยู่ปี สอง ปี งั้นเรียกอาอูดีกว่านะครับ

อูในเรื่องกำลังจะมีกิ๊กอ่าาาา ถ้านัยรู้คงเสียใจแย่ อิอิ ถ้าเป็นผมนะ ผมจะให้นัยกลับมาแล้วเปิดศึกชิงอูซะเลย เหอๆๆๆ คงมันส์น่าดู

แต่อาอูก็เขียนซะหักมุมอยู่เรื่อย เดาทางไม่ออกครับ แหะๆๆๆ แต่ป๋องนี่เท่าที่เล่ามาก็มีเค้านัยน๊า คงแทนได้ซักระยะ อิอิ

Anonymous said...

สวัสดียามเช้าคับ อืม เท่าที่ดูเรียกลุงไม่ได้เเล้ว
เพราะคุณอู อ่อนกว่าพ่อเเม่ประมาณ10ปีได้ เรียกอาอูละกันนะคับ


นนท์

พี said...

มารายงานตัวแล้วครับ.....

มีน้องใหม่มารายงานตัวเพิ่มอีกแล้ว ร้องหาความรักด้วยแบบอาอูด้วย ไม่ต้องตามหาหรอกครับ เดี๋ยวความรักก็เพรียกหาเราเอง ขอให้เราเปิดใจไว้ ก็จะเจอเอง แต่ก็ต้องเตรียมใจไว้สำหรับความผิดหวังไว้บ้าง เพราะมีรักก็ย่อมมีทุกข์ เพียงแต่ว่าคนไหนสมหวังก็มีความสุขมากกว่าเศร้า แต่ถ้าใครผิดหวังก็เศร้ามากกว่า แต่อย่างน้อยการที่เราได้รักใครสักคนก็มีความสุขแล้วนะ

อ่านตอนนี้แล้วมีความสุขขึ้นเยอะเลย เมื่อเทียบกับ4-5ตอนที่แล้ว ได้เห็นอูมีความพยายามและมีความสุขที่ได้ทำสำเร็จที่สามารถย้ายกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯได้ แต่ยังไม่แน่เลยว่าจะได้เรียนที่เก่าหรือเปล่า เพราะเห็นเคยบอกไว้ว่า ตกรุ่น แต่อย่างน้อยการได้มาอยู่หอคงทำให้อูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และมีประสบกาม เอ้ย...ประสบการณ์แบบรักๆใคร่ๆ มาให้พวกเราได้อ่านกันบ้าง หงอยมานานแล้วนะ...อูน้อย

อืม...ใครอ่านช่วงนี้ของอูแล้ว ก็เก็บไว้เป็นประสบการณ์ของตัวเองด้วยนะ ไม่ว่าจะในฐานะพ่อ (เอ...จะมีใครที่อ่านเรื่องนี้ มีลูกหรือเปล่านี่) หรือในฐานะลูก จะตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ ให้คิดดีๆ เพราะอย่างที่คุณอูบอก เราอาจทำได้สำเร็จแต่ มันก็ทำร้ายจิตใจคนอื่นๆที่รักเราเช่นกัน

+ PEE +

Anonymous said...

ขอบคุณหลานๆที่เข้ามาทักทายและให้กำลังใจครับ

ใครกันหนอ อุตส่าห์ไปไล่เรียงหา พ.ศ. เกิดของผม

อู