Thursday, July 16, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 7

หลังเลิกเรียนของวันนั้น นอกจากยูรแล้วยังมีอีกหลายคนที่จะไปติวภาษาอังกฤษฟรี ของฟรีใครๆก็ชอบ ผมจึงขอตามไอ้ยูรและเพื่อนๆเพื่อไปติวฟรีภาษาอังกฤษด้วย โรงเรียนกวดวิชาของอาจารย์สงวนที่ยูรว่านั้นอยู่ใกล้ๆศาลาว่าการ กทม. ตรงเสาชิงช้า ชื่อจริงของโรงเรียนนี้คือโรงเรียนเสริมหลักสูตร

แม้ผมจะอยู่โรงเรียนนี้มาปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว แต่ชีวิตของผมก็วนเวียนอยู่กับสถานที่ซ้ำๆ อันได้แก่ บ้าน โรงเรียน และสยามสแควร์ แถวเสาชิงช้าและราชดำเนินนี่นานๆจะได้ผ่านมาสักที ส่วนโรงเรียนกวดวิชาแถวราชดำเนินนั้นไม่เคยไปมาก่อน ดังนั้นไปกับเพื่อนๆน่าจะอุ่นใจกว่า ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ อีกทั้งยังไม่เหงาอีกด้วย

เราเดินไปขึ้นรถเมล์สาย ๑๒ แถวๆหน้ากรมที่ดิน เมื่อถึงหน้าศาลาว่าการ กทม ก็ลงจากรถ และเดินเข้าไปในซอยอีกเล็กน้อย โรงเรียนเสริมหลักสูตรเป็นตึกแถวหลายคูหา ภายในอัดแน่นไปด้วยเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆที่มารอติวฟรี และที่นี่เองที่ผมได้พบกับไอ้กี้รวมทั้งกลุ่มของไอ้เฉา ไอ้เฉาหัวเราะชอบใจเมื่อรู้ว่าอาจารย์ฝึกสอนหัวเสียที่นักเรียนหายตัวไปอีก

“เฮ้ย มึงมาด้วยเรอะ” ไอ้กี้ถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ทำไมวะ กูมาไม่ได้หรือไง” ผมถามกวน

“ก็ไม่ใช่มาไม่ได้หรอก แต่ก็เห็นมึงขี้เกียจๆ ไม่นึกว่ามึงจะสนใจมาติว” กี้พูดพลางหัวเราะร่วน

ผมอึ้ง พูดไม่ออก โห นี่มันดูถูกกูขนาดนี้เลยหรือนี่

พวกเราที่อยู่ห้องเดียวกันก็มาจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน รอกันอยู่นานเพื่อรับบัตรที่นั่ง หลังจากที่รับบัตรที่นั่งจากโต๊ะประชาสัมพันธ์แล้วผมก็ตามเพื่อนๆขึ้นไปชั้นบน

ชั้นบนของโรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้เป็นตึกแถวหลายๆห้องที่นำมาทุบฝาให้ทะลุถึงกันแล้วกั้นห้องเสียใหม่ให้เป็นห้องเรียน ห้องเรียนมีอยู่หลายห้อง ห้องที่ผมเข้าไปเรียนนั้นเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ ภายในไม่มีโต๊ะเรียน มีแต่เก้าอี้เลกเชอร์เรียงรายอัดกันแน่นจนเดินแทบไม่ได้ ที่เพดานมีโทรทัศน์ห้อยลงมาเป็นระยะๆ ขนาดของห้องที่ว่าใหญ่นั้นก็ดูเล็กไปถนัดเมื่อมีนักเรียนเข้ามานั่ง เพราะนั่งเรียนที่มาติวนั้นมีจำนวนมาก นั่งเบียดเสียดกันจนแทบขยับไม่ได้ ห้องเรียนห้องนั้นไม่รู้ว่าจุนักเรียนเข้าไปกี่ร้อยคน เรียกว่าใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างเต็มที่

“สงสัยต้องขี่คอกันเรียนแน่เลย” ผมบ่นกับยูร ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเหยียบย่างเข้ามาในโรงเรียนกวดวิชา อะไรๆจึงดูแปลกใหม่ไปเสียหมด

“ที่อื่นก็ยังงี้แหละ พอมีรอบตัวฟรีก็จะแห่กันมา” ยูรอธิบาย

โรงเรียนของอาจารย์สงวนแห่งนี้เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ สอนตั้งแต่ภาษาอังกฤษสำหรับสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทมาจนถึงติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยและติวเพื่อเพิ่มเกรดสำหรับชั้นมัธยม โรงเรียนนี้เปิดมานานกว่าสิบปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักศึกษามากกว่าในหมู่นักเรียน

แต่เดิมนั้นหลักสูตรติวเอนทรานซ์ของอาจารย์สงวนยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไร แต่มาในปีหนึ่ง ข้อสอบเอนทรานซ์ในภาคการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ หรือว่า reading comprehension เกิดออกเรื่องเดียวกับที่อาจารย์สงวนติวเอาไว้ในปีนั้น เป็นเรื่องแผ่นดินไหว ตั้งแต่นั้นมา หลักสูตรติวเอนทรานซ์ภาษาอังกฤษของอาจารย์สงวนก็ดังระเบิดในหมู่นักเรียน

สำหรับการติวฟรีในวันนี้เป็นกลยุทธ์ในการแนะนำหลักสูตรนั่นเอง คือให้มาทดลองเรียนก่อน ถ้าประทับใจก็มาสมัครเรียน สัปดาห์ที่แล้วที่มีติวฟิสิกส์ฟรีก็เป็นลักษณะนี้เช่นกัน คือเป็นการทดลองเรียนนั่นเอง

อาจารย์สงวนในยุคนั้นเป็นชายในวัยประมาณสามสิบกว่า ไม่น่าจะถึงสี่สิบปี บุคลิกคล่องแคล่ว มีลีลาการสอนที่ฟังไปได้เรื่อยๆไม่เบื่อ พูดไปแล้วก็ย้อนมาทวนของเก่าตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย มีเรื่องเฮฮาเล่าประกอบ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ กล่าวได้ว่ามีเอกลักษณ์ในการสอน ซึ่งแตกต่างจากการเรียนในโรงเรียนค่อนข้างมาก

การสอนในวันนั้นกว่าจะได้เริ่มสอนจริงๆก็ประมาณห้าโมงเย็นเพราะว่าเด็กนักเรียนเยอะมาก มัวแต่ชุลมุนกันอยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ พอถึงห้าโมงครึ่งก็ได้เวลาที่ผมจะต้องกลับบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกจากห้องเรียนได้อย่างไรเพราะว่านักเรียนนั่งติดกันพรืดไปหมด นอกจากจะต้องบุกฝ่าออกไปซึ่งก็จะเป็นการรบกวนการสอน เพราะอาจารย์สงวนพูดแบบนอนสต็อป ไม่มีหยุดพักเลย

ซวยแล้วกู ผมนึกในใจ วันนี้เห็นจะต้องกลับบ้านค่ำแน่ จะโทรไปบอกที่บ้านก่อนก็ไม่มีโอกาส วันนี้กลับไปคงต้องโดนดุแน่

กว่าชั้นเรียนจะเลิกก็เกือบหนึ่งทุ่ม เมื่อเลิกแล้วผมรีบไปโทรศัพท์บอกที่บ้าน จากนั้นก็รีบขึ้นรถเมล์กลับบ้านทันที โชคดีที่ตรงถนนดินสอ ข้างๆศาลาว่าการ กทม มีรถเมล์สาย ๙๖ ซึ่งผ่านบ้านผมพอดี ทำให้ประหยัดเวลาไปได้บ้าง

ผมรู้สึกหิวแต่ก็ไม่กล้าแวะกินเพราะกลัวจะเสียเวลา จึงต้องแขวนท้องมาตลอดทางจนถึงบ้าน ผมกลับถึงบ้านราวสองทุ่มกว่า ก็โดนดุนิดหน่อยตามธรรมเนียม แต่ไม่มาก เพราะระยะหลายปีมานี้ผมกลับบ้านช้าแทบจะนับครั้งได้ คุณลุงคุณป้าจึงเชื่อว่าผมไม่มีนิสัยเถลไถล แต่สิ่งที่คุณลุงคุณป้าไม่เคยรู้ก็คือ ผมไปเถลไถลในวันเสาร์แทนซึ่งมีเวลาเถลไถลได้มากกว่า

อันที่จริงหลังจากที่เอ๊ดย้ายออกไป ภาระงานบ้านของผมก็มากขึ้น แม้จะหลายเดือนแล้วก็ตามที แต่ผมก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ วันหยุดมีเวลาว่างน้อยลง งานบางอย่างยังทำได้ไม่เรียบร้อยเท่าเอ๊ด อย่างเช่นงานรีดผ้า ล้างจาน ฯลฯ บางทีคุณป้าก็บ่นๆเอาเหมือนกัน

ตั้งแต่เอ๊ดไม่อยู่ ผมก็ได้ครอบครองห้องนอนแต่เพียงผู้เดียว ผมย้ายมานั่งทำงานที่โต๊ะของเอ๊ดซึ่งอยู่ริมหน้าต่างแทนโต๊ะตัวเดิมของผม เพราะที่ริมหน้าต่างบรรยากาศดีกว่า เวลาที่ผมชอบมากที่สุดก็คือยามดึก ผมชอบใช้เวลาไปกับการปล่อยอารมณ์คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย

อย่างเช่นคืนนี้ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบในเวลาใกล้เที่ยงคืน ผมปิดไฟในห้อง นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในความมืด อาศัยเพียงแสงจากไฟส่องทางในซอยที่สาดลอดเข้ามา ผมนั่งดูกล่องใส่ทิชชู่รูปหมา แม้มันจะตั้งอยู่บนโต๊ะเป็นประจำมานานหลายปีแล้วก็ตาม แต่บ่อยครั้งที่ผมมองข้ามมันไปและลืมนึกถึงความเป็นมาของมัน

ผมมองกล่องใส่ทิชชู่รูปหมาในความมืด หวนนึกถึงเพื่อนในวัยประถม แม้ตอนชั้น ป.๖ จะมีเรื่องที่ไม่น่าจดจำอยู่มาก แต่ตอน ป.๕ นั้นมีแต่เรื่องดีๆในชีวิต มันเต็มไปด้วยความฝันอันสดสวยของชีวิตที่ยังไม่เดียงสาต่อโลก...

ผมหวนนึกถึงคำพูดของไอ้กี้ตอนที่ไปติวภาษาอังกฤษ และผมก็นึกถึงไอ้นัย... ป่านนี้ไอ้นัยไปอยู่ที่ไหนหนอ ผมอาจจะขี้เกียจจริงๆในสายตาของไอ้กี้ก็ได้ นี่ถ้าไอ้นัยอยู่ด้วย ผมคงมีกำลังใจที่จะเรียนมากกว่านี้

- - -

เช้าวันถัดมา

คาบเรียนในตอนเช้าเป็นวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์พิกุลเช่นเคย ขณะที่เรียน ผมอดนึกถึงลีลาการสอนของอาจารย์สงวนไม่ได้

สมาธิในการเรียนของผมต้องถูกรบกวนเมื่อกลุ่มของเวชและเกรียงนั่งคุยกันและด่ากันไปมา เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆกับพวกมันต่างก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากห้ามปรามเพราะไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ แม้แต่อาจารย์พิกุลเองก็พยายามเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เพราะไม่อยากอารมณ์เสีย

พวกเวชคุยกันโขมงได้เพียงพักเดียว อาจารย์พิกุลก็เอาหูไปนาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

“นี่ พวกเธอ คุยอะไรกัน ครูสอนอยู่ทำไมเอาแต่คุยกัน” อาจารย์พิกุลพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่เมื่อผมดูสีหน้าอาจารย์ก็รู้ว่าอาจารย์กำลังข่มอารมณ์อย่างเต็มที่

“กำลังคุยกันเรื่องวิชาการครับ” เวชแหกปากตอบเสียงดัง

“หา วิชาการเหรอ วิชาอะไร ไหนว่ามาซิ” อาจารย์พิกุลถามอย่างระมัดระวัง อาจารย์เคยเสียท่าไอ้เวชมาแล้ว คงจะไม่อยากพลาดซ้ำสอง

“พอดีผมไปอ่านเรื่องสุขภาพในหนังสือพิมพ์ เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาบอกเพื่อนๆครับ” เวชพูด

“ว่า...” อาจารย์พิกุลเร่งให้เวชพูด

“คือหมอบอกว่าคนอ้วนมีโอกาสหัวใจวายตายมากกว่าคนทั่วไปน่ะครับ” เวชพูดเสียงลั่น

แทนที่พวกนักเรียนในห้องจะฮากับคำตอบของเวช ห้องเรียนทั้งห้องกลับเงียบกริบลงในทันทีทันใด ความเงียบนั้นเป็นความเงียบที่ผิดปกติ อุปมาเหมือนกับชายทะเลที่เงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงคลื่นซัดชายหาด เพราะคลื่นนั้นหนีออกไปจากชายหาดไกลโข

และทันใดนั้นเอง ชายหาดที่แห้งผากและเงียบสงัดก็ถูกโหมกระหน่ำด้วยสึนามิอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว!

อาจารย์พิกุลถึงกับร้องกรี๊ด และหลังจากนั้น อาจารย์ก็ระเบิดความอัดอั้นตันใจในการสอนออกมาเป็นเวลานาน นักเรียนทุกคนนั่งก้มหน้างียบกริบ ยกเว้นเวช หลังจากที่อาจารย์พรั่งพรูความอัดอั้นตันใจออกมาได้สักพักจากนั้นก็เดินออกจากห้องไปและไม่กลับมาสอนอีกเลยจนหมดคาบ

ปัญหาระหว่างอาจารย์และศิษย์ในที่สุดก็บานปลายออกไป ไม่ใช่เพียงแต่คู่ของเวช แต่ยังมีคู่อื่นอีกด้วย ในตอนบ่าย อาจารย์วารี อาจารย์ประจำชั้น ถึงกับต้องขอเวลาจากอาจารย์วิชาอื่นเพื่อเข้ามาคุยกับพวกเรา

“พวกเธอรู้กันหรือเปล่าว่าครูได้รับเสียงตำหนิติเตียนจากอาจารย์วิชาอื่นถึงเรื่องของพวกเธอกันมาหลายคนแล้ว” อาจารย์วารีเกริ่น สีหน้าของอาจารย์เคร่มขรึม แต่น้ำเสียงของอาจารย์ยังนุ่มนวล ไม่มีแววโกรธเคืองหรือข่มอารมณ์แม้แต่น้อย

“...” พวกนักเรียนก้มหน้านิ่ง

“อาจารย์พละก็มารายงานว่าพวกเธอไม่สนใจเรียน หนีเรียนกันไปหลายคน อาจารย์วิชาอื่นๆก็บ่นกันว่าพวกเธอไม่ตั้งใจเรียน ชอบเอาหนังสือวิชาอื่นมาอ่านเวลาอาจารย์สอน” อาจารย์หยุดหายใจนิดหนึ่ง “และล่าสุด อาจารย์พิกุลก็มาบอกครูว่าเห็นจะสอนพวกเธอไม่ไหวแล้ว”

“...” พวกนักเรียนเงียบกริบ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ

“ผมเองครับ ที่ไปต่อล้อต่อเถียงกับอาจารย์” เวชสารภาพ แต่สีหน้าไม่มีแววสำนึกเลยสักนิด ดูเหมือนมันกำลังคิดว่านี่เป็นวีรกรรมมากกว่า

“แต่เท่าที่รู้ เวชไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับอาจารย์พิกุลนี่ ครูอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เธอจะเล่ามาก็ได้นะ ครูจะได้รู้ข้อเท็จจริง” อาจารย์วารีพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและมีท่าทีที่เป็นมิตร แม้ในเวลานี้ อาจารย์ก็ยังเปิดโอกาสให้เวชอธิบาย

“เอ้อ ผมล้อเลียนอาจารย์น่ะครับ” เวชสารภาพเสียงอ่อย น่าแปลกที่เวชแม้ปกติจะก้าวร้าว แต่กับอาจารย์วารี เวชไม่เคยแสดงท่าทีก้าวร้าวกับอาจารย์เลย

อาจารย์วารีถอนหายใจอย่างหนักใจ “เรื่องมันบานปลายแล้วนะเวช ครูอาจจะต้องเชิญผู้ปกครองของเธอมาคุย...”

“เชิญมาได้เลยครับอาจารย์” เวชตอบ ฟังไม่ออกเลยว่านี่เป็นการท้าทายหรือเปล่า

“แล้วยังมีพวกที่หนีเรียนที่ครูต้องสะสางอีก” อาจารย์วารีถอนหายใจอีก

“ครูเป็นครูประจำชั้นของพวกเธอนะ หากพวกเธอมีอะไรครูยินดีช่วยทุกเรื่อง หากมีอะไรหนักใจหรือมีอะไรไม่สบายใจ ขอให้เธอมาบอกครู ครูจะพยายามหาทางช่วย อย่าไปคิดเองทำอะไรเอง บางทีเรื่องมันบานปลายไปแล้วแก้ไขได้ยาก ผลเสียก็ตกแก่พวกเธอเองนั่นแหละ” อาจารย์วารีพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

“มีอะไรขอให้บอกครูดีกว่านะ ไม่ว่าเรื่องอะไร ครูจะพยายามช่วย” อาจารย์ย้ำ

“ยกเว้นเรื่องเงิน...” เวชต่อท้ายเบาๆ แม้บรรยากาศจะไม่อำนวย แต่มันก็อดปากเสียไม่ได้

“ไม่มียกเว้น” อาจารย์วารีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม้แต่เธอติดขัดเรื่องการเงินก็ปรึกษาครูได้ ครูตัวคนเดียว ลูกก็ไม่มี เงินเดือนข้าราชการครูแม้ไม่มาก แต่ครูไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไร เงินเก็บครูพอมี หน้าที่ของครูคือส่งพวกเธอให้ถึงฝั่ง... ถึงฝั่งแห่งความสำเร็จของพวกเธอ แม้ครูจะเป็นเพียงครูมัธยม แต่ถ้าพวกเธอต้องการให้ครูไปส่งให้ถึงฝั่งที่ไกลกว่านั้นครูก็ยินดี ครูส่งลูกศิษย์เรียนจนจบปริญญามาแล้วหลายคน ที่เซ็นค้ำประกันให้เรียนแพทย์ก็หลายคน”

สิ้นเสียงอาจารย์วารี นักเรียนทั้งห้องรวมทั้งเวชก็ก้มหน้าเงียบ เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ผมต้องจำไปจนชั่วชีวิต แม้แต่เวชเองก็ยังยอมรับนับถืออาจารย์วารี แม้อาจารย์จะตัวเล็ก แต่หัวใจของอาจารย์นั้นยิ่งใหญ่

“ผมผิดเองครับ อาจารย์ไม่ต้องลำบากใจ เชิญผู้ปกครองมาเถอะครับ” เวชพูดเสียงแผ่วเบา

หลังจากนั้น พวกเราก็ถูกอาจารย์วารีอบรมอีกสักครู่ และในที่สุด อาจารย์วารีก็จำต้องเชิญผู้ปกครองของเวชมาพบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้



<หนังสือรวมข้อสอบเอนทรานซ์หลาย พ.ศ. หนึ่งในหนังสือประกอบในหลักสูตรติวเอนทรานซ์ภาษาอังกฤษของอาจารย์สงวนในยุคนั้น ค่าเล่าเรียนหลักสูตรหนึ่งดูเหมือนจะประมาณสองพันบาท แถมหนังสือมาหนึ่งตะกร้าใหญ่ๆ อ่านกันจนอ่านไม่ไหว>

ฟังเพลง คนข้างเคียง ผลงานยุคแรกๆของชมพู ฟรุตตี้


<ชมพู ฟรุตตี้ เป็นหนึ่งในนักร้องที่โด่งดังในยุค 80 เป็นหนึ่งในนักร้องไม่กี่คนที่มีพรสวรรค์ในการแต่งเพลงเองด้วย เพลงที่แต่งในยุคหลังของชมพูส่วนใหญ่เราคุ้นเคยกันดี มักเป็นเพลงประกอบละครย้อนยุค เช่น เพลงประกอบละครอาญารัก คู่กรรม สายโลหิต รัตนโกสินทร์ ฯลฯ >

20 comments:

Anonymous said...

โห อาอูค้าบบ หายไปไหนมาเนี่ยย คุณลุงคุณพี่เค้ารอกันตั้งนานแน่ะ

ผมฮาจานพิกุลจัง 55 แต่ผมประทับใจอาจารย์วารีมากคับ ไม่ค่อยเหนคนที่จะทุ่มเท แล้วก้อพร้อมและรักที่จะช่วยเหลือลูกศิษย์ได้ขนาดนี้ ผมว่าอาจารย์วารีเปนครูที่น่าชื่นชมมากๆคนหนึ่งทีเดียว เปนครูที่เยี่ยมมากครับ พี่ IZ บอกว่ารอให้จบตรีก่อนเลยหรอคับ -0- แหม่ ถ้าจะอีกนาน ถ้าเชื่อพี่ได้ดีจิงงั้นผมเชื่อละกาน

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

naja said...

พูดถึงอาจารย์สงวนแล้วเนี่ย จำได้ว่าเคยไปเรียนตรงเสาชิงช้า ตอนจะสอบโทฟุลครับ

อ่านเรื่องอาจารย์วารี และคำพูดของอาจารย์ แล้วแอบน้ำตาคลอนิดหน่อย คิดถึงอาจารย์ของตัวเอง อาจารย์ที่เป็นครูจริงๆ สมัยมัธยม ที่ห่วงใยลูกศิษย์ด้วยความปราถนาดีต่อลิงทโมนอย่างพวกเรา

yo408 said...

ที่3.
กวดวิชาเหมือนกัน อัดแน่นเหมือนกัน แต่เป็นเคมีอาจารย์สุธน แกเพิ่งย้ายมาเปิดแถวปิ่นเกล้า กับภริยาแกคือพี่ป๊อก พี่ป๊อกเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพี่สาว และอาจารย์สุธนเคยสอนพี่สาวสมัยมัธยม เลยได้อภิสิทธิ์สมัครเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นได้ แถมได้บุ๊คที่นั่งแถวหน้าอีกต่างหาก แต่พี่ป๊อกก็จากแกไปในเวลา5-6ปีที่ผ่านมา ยังคิดถึงพี่ป๊อกที่สวย ใจดี ฉลาด ดูแลเด็กทุกคนแบบจำได้หมดว่าเด็กคนนี้ใครเรียนชั้นไหน พ่อแม่เป็นใครเป็นมายังไง

Anonymous said...

น้องทะเลมาคนแรกลยนะครับ
ประทับใจอ.วารีมากๆครับ
จะหาครูแบบนี้ได้สักกี่คน
จิตวิญณาญของความเป็นครูเปี่ยมล้นครับ
ผมก็อยากเป็นครูครับไปสอนม.ปลายดีกว่า
จะได้สอนน้องทะเล 555
ขอบคุณพี่อูนะที่เอาประสบการณ์ดีๆมาเล่าให้เราฟังกัน

IZ สักวันฉันจะโต

Anonymous said...

อือม์ภาคนี้อูเปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่สนุกไปวันๆ ก่อเรื่อง แล้วก็เซ็กซ์ (ไม่ได้ว่านะ อิอิ) กลายเป็นมีสาระมากขึ้น มีเรื่องซึ้งๆด้วย ชอบครูวารีจัง

อ่านเรื่องของอูแล้วเหมือนได้ติดตามชีวิตของเด็กคนหนึ่งอย่างใกล้ชิด และเป็นชีวิตที่มีหลายๆมิติ ชอบครับ และจะติดตามต่อไป

Anonymous said...

ชีวิตนี้คงอดแรกแล้วมั้งเนี่ย T-T

มีไข้ ไม่เป็นหวัด
เตรียมติวหนังสือให้เพื่อนห้าวิชา

อยากดู IMax Trnsformer II
อยากดู IMax Harry Potter VI

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ชีวิตนี้คงอดแรกแล้วมั้งเนี่ย T-T

มีไข้ ไม่เป็นหวัด
เตรียมติวหนังสือให้เพื่อนห้าวิชา

อยากดู IMax Trnsformer II
อยากดู IMax Harry Potter VI

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

การที่จะตัดสินใจว่าใครเป็น"ครู"หรือไม่ ไม่ได้ดูแค่อาชีพสอนหนังสือ แต่การเป็นครูต้องวัดที่จิตวิญญาณ ตอนที่เรายังเป็นนักเรียนอยู่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงได้เข้าใจความหมาย จริงๆ เราก็มีครูที่กราบไหว้ได้สนิทใจไม่น้อยเลย

เมื่อซัก 2ปีก่อน มีโอกาสได้เข้าไปช่วยงาน "มุทิตาจิต" เป็นงานที่จัดเพื่อระลึกถึงอาจารย์(ครู)ที่เกษียญอายุราชการในปีนั้น โดยมีธรรมเนียมให้นักเรียนที่จบไปแล้ว 20ปีเป็นแม่งาน เช่น จัดงานปี 50 ก็ให้นักเรียนเก่าที่จบ ม.6 ปี 30 เป็นรุ่นที่จัดงาน ส่วนใหญ่ครูที่เกษียญเป็นครูที่สอนเรามาทั้งนั้นเลย การได้ไปกราบครูเก่าๆ ของเราตอนเราก็อายุไม่น้อย โดยเฉพาะครูคนที่เราศรัทธาด้วยแล้ว เป็นความประทับใจ มัน"อิ่ม" บอกไม่ถูก

ถ้าน้องๆ คนใดมีโอกาส ขอบอกว่าอย่าพลาดงานนี้ของโรงเรียนเป็นอันขาด เพราะเป็นโอกาสที่เราได้แสดงความกตัญญู จะได้เจอเรื่องประทับใจมากมาย บอกได้เลยว่าหายเหนื่อย จะเป็นเรื่องดีๆ ของชีวิตอีกวันหนึ่งเลย เท่าที่ถามเพื่อนๆ เกือบทุกโรงเรียนก็จะมีงานลักษณะนี้กัน

ถ้า รร.ในจินตนาการของน้องอู มีงานแบบนี้ อย่าพลาดนะครับ ดีไม่ดีอาจเจอนัยในงานนี้ก็ได้นะ

ขอบคุณมากๆ ที่อูเขียนถึงมุมของครู คิดได้ไงเนี้ย

เยี่ยมครับ
ชู

ยุ่น said...

อ่านตอนนี้แล้ว เจอคำ "ไอ้นัย"
แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกสั่นไหว ใจหวิวๆ

คิดถึงนัยจังเลย
โปรดกลับมาอีกครั้ง เถอะนะ นัย

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ -- คิดถึงนัยเหลือเกิน

Anonymous said...

หลาน Arus ของอาอู
อยากได้ที่หนึ่งหรอ ยากมากครับ
ปล่อยให้น้องทะเลเค้าไปก่อนนะครับ
ไว้หาโอกาสเหมาะๆ เฉียดเอาที่หนึ่งให้ได้
ลุงชูมาแล้วเย้ๆๆ
น้องอารัสก็มาแล้ว ดาวเด่นมารายงานตัวกันแล้ว
ขาดแต่พี่อูของเราที่ยังไม่มา post reply

IZ อยากครูสอนหนังสือน้องทะเล

Anonymous said...

พี่ arus ค้ายย ผมขอโทดน้าา เดะคราวหน้าผมให้พี่ที่หนึ่งเลยเอ้า แต่พี่ต้องแย่งกะคนอื่นเองนา แต่ถ้าผมเข้ามาคนแรกผมไม่เอาที่ 1 ละกัน โอเคนะ ให้พี่บ้างๆ

พี่ IZ มาสมัครเปนครูสอนที่ รร. ผมสิครับ แต่ทำไมพี่ถึงอยากมาเปนครูสอนผมอ่ะ - -?

อาอูหายไปไหนคร้าบ คนอื่นรอกานยุนา สงสัยอาอูจะยุ่งแหะ ยังไงก้อตามพี่ๆอาๆลุงๆรักษาสุขภาพกันดีๆหน่อยนะค้าบ เดะจะเปนหวัดกันไปซะหมด ผมก้อเปน วันนี้เค้าสั่งให้กลับบ้านเลย ไม่ต้องเรียน เย้~~

Sea~~!!

Anonymous said...

หายไวๆนะน้องทะเล ถ้าไข้ขึ้นสูงนะ
ต้องไปหาหมอทันทีนะ
รร.น้องทะเล รร.อะไรหว่า
พี่ก็อำ ขำ ขำ ไปแบบนั้นแหละ
ให้พี่ไปสอนที่ รร.ของทะเล คงไม่ไหวอ่ะ
กลัวทะเลดื้อสอนแล้วไม่เชื่อฟัง
ว่าแต่พี่อูหายไปจริงๆ

พี่อูครับตอบหน่อย


IZ อยากไปเกาะเสม็ด

Anonymous said...

ช่วงนี้ทำงานไม่ทันครับ วันๆนั่งจ้องจอจนตาแฉะ วันก่อนพอโพสต์เสร็จก็ต้องรีบปิดเครื่องเลยเพราะมึนและปวดตา เลยไม่ได้แวะเข้ามาคุยอะไรมาก งานยังยุ่งอีกสักระยะหนึ่งครับ

arus ไม่ต้องท้อใจไป โบราณว่าคนเราชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ช่วงหนึ่งหลานได้ที่หนึ่งบ่อยๆ ช่วงหนึ่งที่หนึ่งก็ได้บ่อยๆ มาช่วงนี้หลานทะเลได้ติดๆกันอย่างน่าแปลกใจ ก็ปล่อยเขาไปก่อน อีกหน่อยก็มีวันของเราอีก ดีใจที่หลานสุขภาพดีขึ้นแล้ว

อาแว่บไปดูหนังหม้อแปลงมาแล้ว (เห็นหลายคนเรียกแบบนั้น) หนังมันวูบๆวาบๆ อย่านั่งดูใกล้ะจะตาลาย ต้องนั่งดูไกลๆ ช่วงนี้คนโล่งดี คงกลัวติดหวัดกัน แฮรี่ยังไม่ได้ดูแต่พระเอกโตขึ้นเยอะเลย เค้าหน้าเปลี่ยนไปมาก

IZ จะไปสอนหลานทะเลหรือครับ ถ้ายังไม่มีใบประกอบฯต้องไปเรียนวิชาชีพครูก่อนอีกหนึ่งปี ลงทุนเวลาหน่อย แล้วก็ฝากหลานคนนี้ด้วย ได้ข่าวว่าชอบโดดเรียน ยิ่งตอนนี้ป่วยอาอูเลยเป็นห่วง

ครูวารีแม้เป็นตัวละคร แต่จิตวิญญาณของครูวารีมีอยู่จริง ในช่วงที่ผมเรียนมัธยม ยุคนั้นมีอาจารย์ทยอยเกษียณอายุหลายคนทีเดียว หลังจากที่อาจารย์เหล่านี้เกษียณไป ได้อาจารย์ใหม่เป็นอาจารย์หนุ่มๆสาวๆ ผมได้เห็นความแตกต่างๆอะไรหลายๆอย่างจากอาจารย์ทั้งสองรุ่น แต่โลกเปลี่ยนไป ชีวิตก็เปลี่ยนไป จะชอบหรือไม่ก็คงไปเปลี่ยนแปลงสภาพความจริงไม่ได้

ที่จริงตอนที่ผมเรียน ม.ปลายนั้น การค้ำประกันลูกศิษย์เริ่มมีความเสี่ยงแล้ว เพราะเกิดกรณีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไปค้ำประกันลูกศิษย์เพื่อขอทุนไปเรียนต่างประเทศ แล้วลูกศิษย์ไม่ยอมกลับมาอีกเลย อาจารย์ต้องหางานพิเศษทำเพื่อชดใช้แทนลูกศิษย์หนี้เป็นหลักล้าน หลังจากนั้นมาก็มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนต่อมาไม่ค่อยมีใครกล้าค้ำประกันใคร

ขอบคุณสำหรับคำชมและคำแนะนำของพี่ชูครับ ผมจะหาโอกาสแวะไปซอยข้างไนติงเกลดูโรงเรียนเก่าของผมบ้าง แต่ผมเชื่อว่าหนึ่งในบรรดาครูของพี่ก็ต้องมีครูวารีอยู่ด้วยเป็นแน่

พูดถึงนัย ก็เป็นดังที่เคยเกริ่นไว้ ว่าภาคนี้ไม่มีนัยแล้วละครับ แต่มีเรื่องที่ผมเองก็คาดไม่ถึง เพราะเดิมทีคิดว่าภาคสามคงไม่ได้รับความสนใจเท่าไรนัก เพราะว่าไม่มีนัยแล้ว แต่เมื่อไปดูเคาน์เตอร์ปรากฏว่าคนเข้ามาดูมากกว่าภาคสองเสียอีก อย่างเมื่อวานก็ทำลายสถิติ มีคนเข้ามา 691 คน ตอนเขียนภาคสองมีคนเข้าเฉลี่ยวันละสามร้อยกว่าคน

แต่ในตอนนั้น แม้แต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ผมมักเชื่ออยู่เสมอว่าผมยังมีวาสนาอยู่กับนัย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเหมือนกันครับ

อู
อู

Anonymous said...

ผมก็เซื่อว่า อูกะนัย ยังมีวาสนาฅ่อกัน เพราะเวลาผ่านมานานกว่า 20 ปี อูก็ยังระลีกถีงนัยอยู่ตลอดและซัดเจนอย่างมากในความทรงจำ จริงๆนัยมันอยู่กับอูตลอดเวลานั้นแหละ และก็เซื่ออีกว่านัยก็ยังระลีกถีงอูอยู่ตลอดเซ่นกัน. ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน มิตรภาพและความรัก ยังคงอยู่กับเราตลอดไป คุณค่าอยู่ที่การได้รักมิใซ่หรือ เป็นกำลังใจให้อูและทุกคนที่มีความรัก. ซู

Anonymous said...

ใช่ครับพี่ arus อาอูพูดถูก ผมก้อคิดยังงั้นครับ ซักวันจะมีวันของเราเอง เดะคราวหน้าถ้าผมมาคนแรกผมยกให้พี่นะ

ว่าแต่อาอูครับ ผมไม่เหนจะโดดเรียนบ่อยเลยนา ออกจาเปนเดกดี 55 ไมมองผมในแง่ลบกันจัง พี่ IZ กัวผมดื้อ อาอูบอกว่าผมชอบโดดเรียน ผมออกจาเด็กดีครับ 55ฃ

ผมชอบคำพูดของลุงชูจังครับ "ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน มิตรภาพและความรัก ยังคงอยู่กับเราตลอดไป คุณค่าอยู่ที่การได้รักมิใซ่หรือ" ใช่ครับ ถูกต้องที่สุด ผมชอบมากจิงๆ

แล้วพี่ที่หนึ่งหายไปไหนครับเนี่ย หรือว่าไม่สบายซะแล้ว ทุกคนเค้าเปนห่วงนะ

Sea~~!!

Anonymous said...

พี่อูครับ ถ้าให้ผมไปเรียนเอาใบประกอบวิชาชีพครูอีกเนี่ยะ ตายกันพอดีคับ นี่ผมเรียนมาราธอนมากแล้วครับ
เรียนมาไม่หยุดจนจบเอกเนี่ยะ ถ้าขืนเรียนอีกไม่ไหวแล้ว กลัวจะช็อกตายซะก่อน ส่วนเรื่องน้องทะเลเป็นเด็กดีเนี่ยะ สงสัยจะเป็นเด็กดีที่เสียแล้วหรือป่าว

IZ

Anonymous said...

แสบได้ใจจิงๆ เืพื่อนพี่อู
สงสารอาจารย์เลย แต่ถ้าเป็นผมไอ่เด็กคนนี้ถูกผมพาไปห้องปกครองแล้ว หุหุ

ยังไม่รู้ว่าพี่อูจะปลูกต้นรักใหม่กะใครป่าวเนี่ย
^^sky^^

Anonymous said...

มารอตอนต่อไป วันนี้ไม่อัพเหรอคับ ชอบไอ้น้องบอยจัง สงสัยว่าต่อไปคุณอูมีใจให้น้องบอยแน่เลย ลองเดาดูเล่นๆ

wan

Anonymous said...

ไม่ต้องรีบก็ได้คร๊าบ คุณอู

เหนื่อยนักก็พักบ้าง สุขภาพสำคัญสำหรับทุกคน

ยิ่งช่วงนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

Anonymous said...

ชอบที่อูบอกว่า
"ชีวิตก็เปลี่ยนไป จะชอบหรือไม่ก็คงไปเปลี่ยนแปลงสภาพความจริงไม่ได้"
พอช่วยเจือจางอารมณ์ ผมตอนนี้ได้

t1000