Wednesday, July 8, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 5

กศน นั้นย่อมาจากการศึกษานอกโรงเรียน เป็นช่องทางการศึกษาของผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียน บางทีก็เรียกว่าศึกษาผู้ใหญ่ หลักสูตรของ กศน นั้นมีทั้งหลักสูตรประถมและมัธยม สำหรับหลักสูตรมัธยมนั้นก็มีทั้งหลักสูตรเพื่อการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และหลักสูตรเพื่อการอาชีพ ซึ่งเนื้อหาวิชาก็จะแตกต่างกันออกไป วิธีการเรียนนั้นก็มีความยืดหยุ่นมาก ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียนที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียนสามารถเลือกเรียนได้เหมาะกับสภาพของตน เช่น ผู้ที่ทำงานแล้ว ผู้ที่อยู่ห่างไกล หรือมีความจำเป็นใดๆก็ตามที่ไม่สามารถเข้าไปเรียนในระบบโรงเรียนได้ ฯลฯ โดยวิธีการเรียนนั้นก็มีทั้งการเรียนแบบชั้นเรียน ถ้าเป็นแบบนี้จะเรียนภาคค่ำ หรือไม่อย่างนั้นก็ใช้วิธีเรียนทางไกล ซึ่งเป็นการเรียนจากสื่อที่ทาง กศน ผลิตขึ้น ทั้งตำรา รายการวิทยุ และรายการโทรทัศน์

วิธีการเรียนอีกประเภทหนึ่งก็คือการเรียนด้วยตนเอง พูดง่ายๆก็คือไปศึกษามาจากที่ไหน อย่างไร ก็ได้ ขอให้สอบผ่านก็แล้วกัน ช่องทางนี้เองเป็นช่องโหว่ที่นักเรียนในระบบโรงเรียนมาเรียน กศน โดยซื้อหนังสือมาดูเองที่บ้าน จากนั้นไปสอบเทียบ เมื่อได้วุฒิมัธยมปลายแล้วก็นำไปใช้สอบเอนทรานซ์ ซึ่งการเรียน กศน นั้นเราสามารถเร่งให้จบภายในหนึ่งปีหรือสองปีก็ได้ แล้วแต่การวางแผนการดูหนังสือและการสอบของตนเอง

การที่นักเรียนในระบบโรงเรียนใช้วิธีสอบเทียบนี้เป็นปัญหาให้ถกเถียงมาโดยตลอด เพราะทุกปีจะมีนักเรียนในระบบโรงเรียนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๔ หรือ ม.๕ สอบเทียบได้ รวมทั้งสอบเอนทรานซ์ได้ด้วย แต่อาจได้คณะที่ไม่ถูกใจนัก ก็พากันสละสิทธิ์ หรือไม่อย่างนั้นก็ไปเรียนในมหาวิทยาลัยหนึ่งปีก่อนแล้วออกมาสอบเอนทรานซ์ใหม่ ทำให้นักเรียนที่จบ ม.๖ ตามปกติบางคนต้องถูกรุ่นน้องแย่งที่นั่ง ทำให้ต้องพลาดโอกาสเรียนอย่างที่ควรจะได้ไปอย่างน่าเสียดาย หรือถ้าแย่หน่อยก็อาจถูกรุ่นน้องเบียดที่ไปจนกลายเป็นสอบไม่ติดเลยก็เป็นได้

ที่ไอ้กี้พูดว่านักเรียนครึ่งค่อนห้องต่างก็พากันเตรียมสอบเทียบนั้นไม่ใช่เรื่องเกินความจริง เพราะเมื่อผมลองสังเกตดูก็พบว่ามีเพื่อนๆหลายคนซุ่มอ่านหนังสือเรียนล้ำหน้าไปกว่าเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียนจริงๆ

- - -

ในห้องเรียนวิชาฟิสิกส์ นับเป็นโชคดีที่โต๊ะเรียนกลุ่มของผมอยู่ติดกับโต๊ะเรียนกลุ่มของเชาวน์หรือไอ้เฉา เพราะว่ากลุ่มนี้ขยันเรียนและเกาะกลุ่มกันดี การที่ได้นั่งโต๊ะติดกันทำให้ผมได้ยินการพูดคุยของเชาวน์และเพื่อนในกลุ่ม ทำให้ผมรู้ข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวกับการเรียนในชั้น ม.๔ ไม่น้อย นอกจากนี้ ตำแหน่งที่ผมนั่งยังหันหน้าเข้าหามอน อดีตนายนพมาศอีกด้วย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ว่าผมชอบดูใบหน้าของมอน มันน่ารักอย่างบอกไม่ถูก

ดังที่ได้เคยเล่าไปแล้วว่าโต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ของกลุ่มผมนั้นประกอบด้วยผม กี้ แมน นน และยูร รวม ๕ คน แมนและนนนั้นเวลาอยู่ในห้องเรียนปกติก็นั่งโต๊ะติดกันด้วย เป็นคนเฮฮาอารมณ์ดีทั้งคู่ สองคนนี้ยิ่งนานก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น เวลาไปไหนมักไปด้วยกันแบบปาท่องโก๋ เพื่อนๆมักเรียกคู่หูคู่นี้ว่า ‘แบล็กแอนด์ไวต์’ อันเป็นชื่อเดียวกับวิสกี้ เพราะสองคนนี้สีผิวตัดกันอย่างรุนแรง แมนผิวขาวเหลืองแบบลูกจีน ส่วนนนนั้นผิวคล้ำแบบสำลีเม็ดใน นานวันเข้า พอสนิทกันมากขึ้น ไอ้คู่นี้มักทำอะไรประหลาดๆอยู่เสมอ

“พวกมึงจะยุกยิกทำเหี้ยอะไรวะ” ไอ้กี้โวยวายใส่คู่หูขาวดำในชั่วโมงฟิสิกส์ เพราะมันเล่นอะไรกันกิ๊กกั๊กๆจนไอ้กี้รำคาญ

ไอ้สองตัวนี่หยุดกิ๊กกั๊กไปชั่วครู่ แล้วก็ทำอะไรยุกยิกอยู่ใต้โต๊ะ จากนั้นก็หัวเราะกิ๊กกั๊กกันอีก

“ไอ้ห่านี่ พวกมึงจะอุบาทว์กันก็อย่ากวนกูสิวะ รำคาญโว้ย” ไอ้กี้ดุอีก ไอ้สองตัวนั่นก็เงียบเสียงลงไปอีกครั้ง

ผมเอะใจกับคำพูดของไอ้กี้ และเริ่มสังเกตว่าไอ้คู่หูสองคนนี่มันเล่นอะไรกัน ทีแรกนึกว่ามันแย่งของอะไรกันใต้โต๊ะ แต่ที่ไหนได้ มันไม่ได้แย่งของกัน แต่มันกำลังแย่งกันจับท่อนเนื้อของกันและกันอยู่ จับไปก็หัวเราะกันไป

“โอ๊ย รำคาญพวกแม่งฉิบหาย” ไอ้กี้บ่นอุบอิบ ขนาดด่าแล้วยังไม่รู้สึก แม้แต่ไอ้กี้เองก็จนปัญญา

“เฮ้ย มันเล่นอะไรกันวะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจเพราะจากตำแหน่งที่ผมนั่งอยู่มองไม่เห็นว่ามันทำอะไรกันใต้โต๊ะ แต่จากกิริยาท่าทางก็พอเดาได้

“แม่งเล่นอุบาทว์ จับควยกันเล่นทั้งวัน” ไอ้กี้พูด แล้วมันก็อดหัวเราะไม่ได้ “โคตรวิปริตเลยไอ้ห่าสองตัวนี่”

ผมรู้สึกแปลกใจและทึ่งกับแมนและนน เพราะคู่นี้ใจกล้ามากทีเดียว ขนาดนั่งล้วงควักเป้ากางเกงกันโดยไม่อายสายตาเพื่อนๆ ส่วนเพื่อนๆก็เห็นเป็นเรื่องตลกไป แม้แต่ไอ้กี้เองก็ดูเหมือนจะเห็นเป็นเรื่องตลก เพราะแม้มันด่าแต่ก็เป็นการด่าไปหัวเราะไป

การเล่นกันของแมนและนนทำให้ผมอดนึกถึงเรื่องเก่าๆไม่ได้ หลายปีก่อน ผมกับไอ้นัย ไอ้ชัช และเพื่อนคนอื่นๆก็เล่นกันแบบนี้ ทุกคนก็เห็นเป็นเรื่องเล่นขำๆเหมือนกัน แต่ในวันนี้ ในวันที่เราเติบโตขึ้น แม้เพื่อนๆหลายคนจะขำ แต่ก็ยังมีคำว่า ‘วิปริต อุบาทว์’ อยู่ในคำพูดด้วย ไม่แน่ว่าพวกเพื่อนๆอาจจะหัวเราะเหมือนเวลาที่ดูละครสัตว์หรือเหมือนเวลาที่ดูละครตลกที่เอาปมด้อยของมนุษย์มาล้อเลียนก็เป็นได้

ทางด้านโต๊ะกลุ่มไอ้เฉา แก๊งนี้นั่งอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้น เมื่อมีการทดลองให้ทำก็พยายามทำการทดลองให้เสร็จโดยเร็ว จากนั้นก็นั่งทำโจทย์จากคู่มือติวหรือไม่ก็นั่งอธิบายการคำนวณให้ฟังกันในกลุ่มของตน

ทางด้านสองนักเรียนเก่ง พันและโชคนั้น โต๊ะของพันทำงานกันอย่างครึกครื้น เพราะว่าพันใจดี มีอะไรก็แบ่งให้เพื่อนๆในกลุ่มดู หรือบางทีก็อธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟัง แต่ทางด้านโชคนั้นกลับเป็นตรงกันข้าม โชคเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ถ้างานของตนเองไม่เสร็จก็จะยังไม่ยอมละงานมาเพื่อช่วยกลุ่มในขณะที่เพื่อนส่วนใหญ่จะต้องละงานของตนเองไว้ก่อนเพื่อมาทำงานของกลุ่มให้เสร็จ นอกจากนี้ โชคยังไม่ค่อยยอมให้ใครยืมสมุดจดงานหรือการบ้านไปดู ถ้าเพื่อนมาขอดูก็มักปฏิเสธโดยหาข้ออ้างสารพัด แต่บางทีปฏิเสธไม่ได้จริงๆก็จะให้ยืมแต่รีบขอคืนโดยเร็ว

ส่วนกลุ่มของเวชเป็นกลุ่มที่สร้างความรำคาญให้แก่พวกเพื่อนๆได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย มีทั้งแซวอาจารย์ แซวเพื่อนๆ และแซวกันเองในกลุ่ม จะพูดหรือทำอะไรแต่ละทีต้องส่งเสียงเอะอะโวยวาย ทุกคนรำคาญแต่ก็ไม่มีใครกล้าออกหน้าว่าอะไร คงจะถือคติอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เพราะโวยไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ซ้ำหากถูกไอ้พวกนี้เขม่นและแกล้งเอาจะยิ่งมีปัญหา

เวลาเรียนในห้องเรียนที่ตึก ม.๔ ผมและไอ้ยูรจะได้รับผลกระทบจากกลุ่มไอ้เวชมากที่สุด เพราะมันนั่งติดกับผมและยูรนั่นเอง เวลาไอ้เวชกับพวกของมันแหกปากกันที ผมถึงกับเรียนไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว

- - -

“เอ้า ซ้อมกันเองไปก่อนนะ เดี๋ยวครูมา ขอไปคุยกับอาจารย์นิเทศก์หน่อย” อาจารย์ฝึกสอนวิชาพลศึกษาพูดกับนักเรียนห้องผมในชั่วโมงพลศึกษา เทอมนี้ชั่วโมงพลศึกษาถูกจัดให้อยู่เป็นวิชาสุดท้ายของวัน เรียนเสร็จก็กลับบ้านไปเลย ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าเรียนเวลาเช้าหรือกลางวัน เมื่อเหงื่อออกแล้วก็จะเหนอะหนะไปทั้งวัน

หลังจากที่อาจารย์ฝึกสอนลับตาไปจากโรงยิมฯ พวกนักเรียนก็ทยอยหายตัวกันไปด้วย เริ่มจากกลุ่มของเวชก่อน ไอ้พวกนี้มันคงหนีไปเที่ยว หลังจากนั้นก็เป็นกลุ่มของเชาวน์

“เฮ้ย พวกกูไปก่อนนะ มึงเฝ้าโรงยิมไปละกัน” เชาวน์หักไปบอกกับพันอย่างอารมณ์ดี จากนั้นกลุ่มโต๊ะวิทยาศาสตร์ของไอ้เชาวน์ทั้งกลุ่มก็หายตัวไปจากโรงยิมฯ

“เฮ้ย กูไปด้วย” พันพูด จากนั้นก็คว้ากระเป๋านักเรียนตามออกไปบ้าง

เพียงครู่เดียว นักเรียนในโรงยิมก็หายไปเกือบครึ่งห้อง ผมเห็นไอ้กี้กับไอ้ขาวดำคว้ากระเป๋าเตรียมจะออกไปด้วยเช่นกัน ผมก็รีบเข้าไปถามมัน

“เฮ้ย นี่มันไปไหนกันหมดวะ” ผมถามไอ้แมน ถามไอ้นี่ดีกว่า ไอ้กี้มันปากไม่ค่อยดี ถ้าถามมันคงโดนมันด่าอีก

“ไปเรียนกวดฟิสิกส์โว้ย วันนี้เปิดรอบเรียนฟรี ไปเร็วหน่อยก็ดี ไปหลังไม่มีที่นั่ง อยู่นี่ไม่มีอะไรแล้วนี่หว่า” แมนตอบ ว่าแล้วก็รีบเดินจากไป

ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีหลังจากอาจารย์ฝึกสอนเดินออกไป นักเรียนกว่าครึ่งห้องก็หายตัวตามไปด้วย สำหรับผมนั้นที่จริงก็ขี้เกียจอยู่เรียนเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี จึงทนเล่นอยู่ในโรงยิมต่อไป

หลังจากนั้นราวสิบห้านาที อาจารย์ฝึกสอนก็กลับมาเข้าในโรงยิมฯ คราวนี้ไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับอาจารย์พลศึกษาตัวจริง

“เฮ้ย มันหายไปไหนกันหมดวะเนี่ย” อาจารย์พลศึกษาอุทาน ส่วนอาจารย์ฝึกสอนหน้าจ๋อย เพราะการที่นักเรียนหนีเรียนไปกว่าครึ่งห้องย่อมต้องถือเป็นความบกพร่องของผู้สอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

- - -

วันรุ่งขึ้น

วิชาแรกของวันนั้นเป็นวิชาคณิตศาสตร์ อาจารย์พิกุล อาจารย์คณิตศาสตร์ของพวกเราพาร่างอันอ้วนใหญ่เดินเข้ามาในห้อง

“เป็นไงกัน พวกเธอ เมื่อวานไปสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ อาจารย์พละกลับไปโวยวายลั่นไปทั้งห้องพักครู” อาจารย์พิกุลทักทายอย่างยิ้มแย้ม ที่จริงอาจารย์คงรู้มาแล้วว่านักเรียนห้องนี้สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ เพียงแต่อยากฟังจากปากของพวกเราเท่านั้นเอง

“...” ไม่มีใครกล้าตอบ

“เอ้า กล้าหนีเรียน แต่พอถามกลับไม่กล้าตอบ” อาจารย์พูดยิ้มๆ “เฮ้อ พวกเธอนี่ก็จริงๆเลย เรียนมาได้เดือนกว่าๆก็ออกฤทธิ์กันแล้ว”

“เมื่อวานอาจารย์ไม่สอนน่ะครับ ผมเห็นว่าอาจารย์หายไปนาน นึกว่าไม่มาแล้ว ก็เลยกลับกัน” เวชตอบสวนด้วยเสียงอันดัง ไม่ค่อยมีหางเสียงเท่าไรนัก

อาจารย์พิกุลหยุดยิ้มทันที เท่าที่ผมสังเกต เวชดูจะไม่ค่อยชอบอาจารย์พิกุลสักเท่าไร จะเห็นได้จากการที่มันชอบต่อล้อต่อเถียงกับอาจารย์พิกุลเป็นพิเศษ

“เธอแน่ใจเหรอว่าที่พูดน่ะเป็นความจริง ที่ว่าอาจารย์ไม่สอนน่ะ” อาจารย์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเคร่งขรึมทันทีเมื่อพูดกับเวช

“จริงสิครับ” เวชตอบ แล้วก็พูดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ อาจารย์ทราบไหมครับว่าวันนี้เป็นวันอะไร”

อาจารย์พิกุลขมวดคิ้ว นิ่งนึก แล้วสั่นหัว “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษนี่ วันอะไรล่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย”

“วันลดความอ้วนแห่งชาติครับ” เวชพูดไปหัวเราะไป

นักเรียนฮาครืน เท่านั้นเอง อาจารย์พิกุลก็ถึงกับหมดความอดทน เทศนาสั่งสอนเวชถึงเรื่องสัมมาคารวะเสียยาวเหยียด เวชนั่นอมยิ้ม ไม่สะทกสะท้าน จนอาจารย์พิกุลเหนื่อย

“โอ๊ย ครูไม่อยากยุ่งกับเธอแล้ว เรียนต่อกันดีกว่า” อาจารย์พิกุลตัดบทเอาดื้อๆอย่างอ่อนใจ

เป็นอันว่าการเรียนคณิตศาสตร์ในเช้าวันนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด อาจารย์ก็อารมณ์ไม่ดี นักเรียนก็อึดอัด คงมีแต่เวชเท่านั้นที่นั่งทำหน้าทะเล้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


<แบบเรียนวิชาฟิสิกส์ในยุคที่ผมเรียน ตามหลักสูตรมัธยมปลายในสมัยนั้น ฟิสิกส์จะเรียนเทอมละ ๑ เล่ม รวมทั้งหมด ๖ เทอม ไม่มีแบ่งเป็นพื้นฐานและเพิ่มเติมแบบในปัจจุบัน ทำให้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ซ้ำซ้อน และประหยัดเวลากว่า วิชาวิทยาศาสตร์อื่นๆก็เช่นกัน แบบเรียนที่ใช้ปกติจะใช้แบบเรียนของ สสวท ซึ่งนักเรียนโปรแกรมวิทย์-คณิตทั่วประเทศจะเรียนเหมือนกันหมด ในภาพเป็นแบบเรียนฟิสิกส์ ม.๔ เทอม ๑>


<เนื้อในของแบบเรียนวิชาฟิสิกส์ ม.๔ เทอม ๑ เป็นที่น่าแปลกใจว่าตอนอยู่ชั้นประถม แบบเรียนยังมีสีสันสดใส น่าอ่าน แต่พอยิ่งโตขึ้นสีก็ยิ่งหายไป จนถึงชั้นมัธยมปลาย แบบเรียนวิชาต่างๆก็เหลือแต่สีขาวดำ>

18 comments:

Anonymous said...

การศึกษาด้วยตัวเอง น่าเรียนมากๆครับ - -
เสียอย่างเดียวคือไม่ได้เจอเพื่อนๆ แต่ผมอยากให้ไปโรงเรียนโดยที่ได้เล่นกับเพื่อน แต่ไม่ต้องเรียนอ่ะ 55

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

Anonymous said...

ได้หลายทีติดกันแล้วนะหลาทะเลน จะทำแฮตทริกเหรอ

อาอู

Bomb_Boy said...

คิดถึงจังครับ ไม่ได้เข้ามาตั้งหลายวัน พึ่งจะกลับมาวันนี้เอง เห็นมั้ยครับว่าใจรักขนาดไหน มาถึงก็ต้องเปิดมาที่คุณอูก่อนเลย

yo408 said...

ที่3.
เฮ้ ตกใจเลยนะเนี่ย เนี่ยะแหละหนังสือที่ผมเรียน หน้าปกยังงี้เลย เป็นเล่มที่เกลียดมาก เพราะมาจากสายศิลป์ ไม่รู้เรื่อง รวมทั้งต้องเรียนกับพวกห้อง3 คณิต-อุตสาหกรรม พวกที่จะไปทางสายวิศวกรรม ยิ่งน่ารำคาญเข้าไปใหญ่
คณิตอุตสาหกรรม เรียนด้วยกันแค่เล่มแรก จากนั้นก็ไม่ได้เรียนด้วยกันละ

Anonymous said...

มารายงานตัวครับอาอู!!

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

นึกถึงฟิสิกซ์เซ็นเตอร์แถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อ.สกล พันธะเคมี แถวซังฮี้ ภาษาอังกฤษที่ home of english แถวเฉลิมไทยเก่า คณิตศาสตร์แถวๆ ราชดำเนินใน จำชื่อไม่ได้ เรียนพิเศษกันหูดับตับไหม้ เหมือนกันหมดไม่ว่ายุคไหนๆ เลย แต่พอไปเรียนก็ไปคุยกัน ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเหมือนเดิม เพื่อนๆ ก็มองสาวๆ ต่างสถาบันกัน ขึ้หลีกันถ่วนหน้า เพราะที่โรงเรียนเป็นชายล้วน ผมก็ร่วมวงขี้หลีกับเขาด้วย ตอนนั้นเรียกคนขี้หลีว่า พวกหูดำ ไม่รู้สมัยนี้เรียกว่าอะไร หลานๆ ช่วยบอกด้วย

ว่าแต่ภาค 3นี้ วิชาการมากเลยนะครับน้องอู ไม่ค่อยออกแนวลามก อนาจารเท่าไร แต่ก็ดีครับเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ชีวิตไม่ได้มีมุมเดียว ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "ผิดตรงไหน ก็แค่ตั้งใจเรียน" ดีไหมครับ 555 ขำขำ

ล้อเล่นครับ คิดว่าเดี๋ยวอูก็คงมีอะไรเด็ดๆ เล่าให้ฟัง

จะติดตามต่อไปครับ
ชู

Anonymous said...

แบบเรียนนี้ 20 กว่าปีแล้วมังครับ ไม่นึกว่าจะได้เห็นอีก ดูจากในรูปสภาพยังดีอยู่เลย

Anonymous said...

ผมเกลี๊ยดเกลียดฟิสิกส์ เกลียดมากๆเลย - -
ไม่รุเรียนไปทำไม โตขึ้นก้อลืมหมดและ ผมก้อเรียนพิเศษนะคับ 55 สมัยนี้ต้อง "อุ๊แลนด์" ตึกจานอุ๊อ่ะคับ แถวๆพญาไท ลุงชูคับ ไม่รุเรียกยังไงกานเหมือนกัน แต่ผมเรียก "พวกหน้าหม้อ" อ่ะคับ 55

Sea~~!!

Anonymous said...

มีเด็กมัธยมโดดเรียนอีกแล้วอ่ะ อิอิ

Anonymous said...

ที1 ของปี(^_^) กิ้กๆ ผมตั้งใจเรียนนะครับลุง วิชาโปรดคือคาบว่าง รองมาคือพละ รองมาคือไม่สอน555+ ข่าวล่าเห็นว่าจะปิดรร.กวดวิชา2สัปดาห์เพื่อป้องกันหวัดระบาดครับสงสัยต้องมีชดเชยกันรอบเที่ยงคืนซะมั้ง บึ้ย ลุงชูถามถึงฉากกึ้ยๆแล้วนะครับ ผมทายว่ากิ้กต้องเป็นแมน นน หรือ นายนพมาศ รึว่าน้องม.2 หุหุ

Anonymous said...

มีคนเกลียดฟิสิกส์เยอะแฮะ

ตำราสมัยก่อนความต่อเนื่องจะมีมากกว่าครับ เดี๋ยวนี้หลักสูตรม.ปลายค่อนข้างยืดหยุ่นมาก จนกลายเป็นลักลั่นกัน ปัญหาเรื่องตำราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นักเรียนได้รับความรู้ไม่เท่ากันในแต่ละโรงเรียน

ภาพที่เอามานี้เป็นแบบเรียนที่ผมซื้อตอนอยู่มหาวิทยาลัยครับ เอาไว้สอนพิเศษ เป็นแบบเรียนตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย ๒๕๒๔ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓) แต่ฉบับที่ผมเรียนคือฉบับตามหลักสูตรมัยธมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๒๔ ไม่มีวงเล็บต่อท้าย ตำรารุ่นพี่ชูนั่นแหละครับ แต่หายไปหมดแล้ว ฉบับนี้ก็ถือได้ว่าอยู่ในยุคเดียวกัน เพราะห่างกันเพียงสองสามปีเท่านั้น

ตอนเริ่มต้นนี้อาจจะมีวิชาการเยอะหน่อย เพราะเป็นำไปตามสภาพชีวิตในช่วงนั้นครับๆ เพราะเป็นช่วงที่กระตือรือร้น เริ่มปรับตัวกลับเป็นปกติได้ อีกอย่าง หลานๆในนี้เรียนมัธยมหลายคน อยากเขียนให้หลานๆอ่านด้วยละครับ เอาใจหลาน จะได้เห็นความเมหือนและความแตกต่างของเด็กเมื่อยี่สิบปีก่อนกับยุคนี้

ชีวิตคนเราก็มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ที่ผมพยายามถ่ายทอดอกมา ไม่ได้อยากให้เห็นชีวิตแต่เพียงด้านเดียว ทั้งอูและนัยต่างก็มีด้านมืดในจิตใจตามวิสัยปุถุชน ก็พยายามสะท้อนออกมาทั้งสองด้าน เพราะอูและนัยไม่ใช่พระเอก แต่เป็นชีวิตที่มีเลือดเนื้อและวิญญาณเหมือนเช่นคนทั่วไป ทำเรื่องทั้งผิดและถูกปะปนกันไปครับ

หน้าหม้อสมัยโน้นก็มีใช้กันแล้วหลานทะเล หูดำนี่ไม่คุ้นครับ แต่ "แซ่หลี ขี้หลี" ที่พี่ว่าผมก็ใช้

อ.อุ๊ตอนยุคอาอยู่ ม.ปลายนั้นเพิ่งเริ่มตั้งตัวครับ ไปเปิดสำนักตรงเซ็นทรัลลาดพร้าว ต่อมาอีกหลายปี สิบกว่าปีได้ ก็ย้ายไปเปิดที่แถววัดไผ่ตัน สะพานควาย ตอนเปิดรับสมัครคอร์สใหม่ ตำรวจต้องส่งกำลังมาเฝ้า เพราะชาวบ้านโทรไปแจ้ง นึกว่าเกิดจลาจล

อู

Anonymous said...

อ้าว มาต่อท้ายหลานที่หนึ่งเสียได้

ตอนนั้นชอบดูมอนนายนพมาศ แล้วก็เอ็นดูไอ้น้องบอย แต่หลานจะเดาถูกหรือไม่ต้องตามอ่านครับ

วิชาโปรดของหลานนี่ไม่ไหวเลยนะ ทำไมเหมือนกับของทะเลได้ก็ไม่รู้ แต่รุตคงไม่ชอบแบบนี้

Anonymous said...

(-_^)เปลี่ยนก็ได้ครับ ชอบฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต อังกฤษ ศาสนา สุขศึกษา ภาษาไทย เพี้ยงสอบซัมขอผ่านหมดน่าค้าบบ

naja said...

เรียนพิเศษเหมือนกันเลย

เรียนตั้งแต่ home ที่ถนนราชดำเนิน
ฟิสิกส์เซ็นเตอร์

เรียนสานวิทย์ แต่ไปเอนท์สายศิลป์ ไปเรียนกับอาจารย์ปิงที่ดาวองซ์ สมัยนั้นยังแต่งเป็นผู้ชายอยู่เลยครับ

แต่ชอบสุดคือเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่อ,เสาวนิตย์ ตรงสยาม นักเรียนหน้าตาดีๆไปกันเยอะมาก

Anonymous said...

อาอูสอนพิเศษด้วยหรอเนี่ย ยอดครับยอด
พี่ที่1สุดยอด ใจตรงกันเลย 55 ชอบวิชาคาบว่างๆ แต่ไอไม่สอนนี่ท่าจะยากครับ คุณครูท่านขยันเสียจิง ถ้าคาบไหนว่างคุณท่านก้อจะลันล้ามาเสียบทันที เด็กเซง!!

Sea~~!!

Anonymous said...

ตอนที่ 5 ผมมารายงานตัวช้าไปหน่อยครับ
ว่าแต่เรื่องเรียนพิเศษเนี่ยะไม่ค่อยคุ้นครับ
แต่ก็เห็นเพื่อนๆที่ รร.ไปเรียนกัน
สมัยนั้นมีเลข อ.สกล แถวราชดำเนินดัง
แอพพลายฟิสิกส์ อ.ช่วง
เคมี อ.สุธน แล้วก็พันธะเคมี
ชีวะ อ.กัลยา
อะไรทำนองนี้อ่ะครับ
ผมไม่ค่อยได้เรียนหรอกครับ ขี้เกียจไปเรียนพิเศษ
อยู่บ้านอ่านหนังสือเอาเองดีกว่า

IZ

Anonymous said...

อาจารย์ไม่ยุ เด็กร่าเริงครับ 55
ไม่ต้องห่วง ผมทำงานเสดแล้ว ไม่ได้โดดมานะ อิอิ(หรือโดดหว่า - -')

Sea~~!!

Anonymous said...

น้องทะเลเรียนที่ไหน
ต้องการครูสอนพิเศษส่วนตัวม่ะ
>_<'

IZ