Saturday, July 4, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 4

ห้องเรียนวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเรา เพราะในยุคของผม ชั้นมัธยมต้นพวกเราเรียนวิทยาศาสตร์โดยแทบไม่มีกิจกรรมที่เป็นการทดลองใดๆ แต่พอขึ้นมาอยู่ในชั้น ม.ปลาย การเรียนวิทยาศาสตร์ของพวกเราต้องมีกิจกรรมการทดลองควบคู่ไปด้วยเสมอ

หลักสูตรมัธยมปลายสมัยที่ผมเรียนนั้นเป็นหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๒๔ ซึ่งจะมีกลุ่มวิชาบังคับ ได้แก่ ภาษาไทย สังคม พลานามัย วิทยาศาสตร์ และพื้นฐานวิชาอาชีพ แล้วก็มีวิชาเลือกเสรีในกลุ่มภาษา กลุ่มสังคมศึกษา กลุ่มพัฒนาบุคลิกภาพ (พลานามัย ศิลปศึกษา) กลุ่มวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และกลุ่มการงานและอาชีพ แต่ในการจัดการเรียนการสอนจริงๆแล้วก็จะจัดมาให้เป็นแบบเกือบสำเร็จรูป กล่าวคือ จัดหลักสูตรมาให้เป็นแบบแพกเกจ เหลือวิชาเลือกเสรีที่นักเรียนเลือกได้โดยอิสระจริงๆเพียงนิดๆหน่อยๆ หากจะนำมาเทียบกับหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุธศักราช ๒๕๔๔ ที่แบ่งวิชาเรียนออกเป็น ๘ กลุ่มสาระวิชาก็นับว่ามีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรมวิทย์-คณิต ที่เราเรียนกันจะมีหลักสูตรเกือบสำเร็จรูปอยู่แล้ว คือ ต้องเรียนกลุ่มวิชาบังคับ ส่วนวิชาเลือกเสรีก็ต้องบังคับให้เลือกกลุ่มวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เท่านั้น จะไปเลือกกลุ่มอื่นไม่ได้ กับวิชาเลือกเสรีที่นักเรียนเลือกได้เองตามอัธยาศัยอีกนิดหน่อย เช่น ภาษาต่างประเทศที่สอง เป็นต้น

สำหรับการเรียนในกลุ่มคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา นักเรียนโปรแกรมวิทย์-คณิตต้องเรียนทั้งหมด ๖ ภาค ในหนึ่งภาคก็จะมีแบบเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิชาละหนึ่งเล่มไปเลย ไม่มีแยกเป็นพื้นฐานกับเพิ่มเติมดังแบบเรียนในหลักสูตร พ.ศ. ๒๕๔๔

ห้องเรียนวิทยาศาสตร์อยู่อีกตึกหนึ่ง ห้องเรียนมีขนาดพอๆกับห้องรียนปกติ แต่บรรยากศแตกต่างกันมาก โต๊ะเรียนไม่ได้เป็นโต๊ะเดี่ยว โต๊ะเรียนในห้องวิทยาศาสตร์เป็นโต๊ะขนาดใหญ่ ขาเป็นเหล็กแต่หน้าโต๊ะเป็นไม้อัดปูโฟไมก้า คล้ายโต๊ะในโรงอาหาร โต๊ะตัวหนึ่งนั่งได้เต็มที่ ๖ คน แต่มักจะนั่งกันโต๊ะละ ๕ คน เก้าอี้เรียนก็เป็นเก้าอี้กลมไม่มีพนัก เวลาเรียนบางคนก็ต้องนั่งตะแคงเรียนเนื่องจากการนั่งล้อมโต๊ะทำให้นักเรียนไม่ได้หันหน้าเข้าหากระดานดำทุกคน ถ้าต้องนั่งจดกระดานดำนานๆก็เอี้ยวตัวจนเมื่อยอยู่เหมือนกัน

ห้องเรียนฟิสิกส์ก็จะมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับวิชาฟิสิกส์วางเรียงรายอยู่รอบห้อง อาทิ ลูกตุ้ม ปริซึม จานหมุน มัลติมิเตอร์ ฯลฯ ห้องเรียนเคมีก็จะมีขวดสารเคมีต่างๆ ตะเกียงแอลกอฮอล์ บีกเกอร์ ขวดชมพู่ หลอดทดลอง กับภาพตารางธาตุ ฯลฯ ส่วนห้องเรียนชีววิทยาก็จะมีกล้องจุลทรรศน์ ตู้ปลา และขวดโหลภายในเลี้ยงสาหร่ายเอาไว้ ฯลฯ

สำหรับวิชาฟิสิกส์นั้น การเรียนในบทแรกๆจะเกี่ยวกับเลขนัยสำคัญและการวัด จากนั้นก็จะเป็นเรื่องความเร็ว การทดลองแรกๆในวิชาฟิสิกส์ได้แก่การทดลองวัดอัตราเร็วของรถโดยใช้รถเด็กเล่นคันเล็กๆ ด้านหน้ารถมีเชือกผูก ปลายเชือกอีกด้านเป็นตุ้มน้ำหนัก ตรงท้ายจะห้อยแถบกระดาษยาวเฟื้อยเอาไว้คล้ายหางว่าว แถบกระดาษนี้จะลอดผ่านเครื่องเคาะจังหวะ พอนักเรียนทดลองโดยการปล่อยลูกตุ้มให้หล่นจากโต๊ะ ลูกตุ้มจะลากรถไป เครื่องเคาะจังหวะก็จะตอกจุดบนแถบกระดาษ เราก็เอาระยะทางระหว่างจุดบนแถบกระดาษนั้นมาหาอัตราเร็วของรถได้ คนที่เคยทดลองก็จะนึกภาพตามออก แต่ถ้าไม่เคยทดลองอาจจะนึกภาพได้ยาก ต้องไปเห็นการทดลองจริงๆจึงจะเข้าใจ มันเป็นการทดลองแรกๆในชีวิตการเรียนมัธยมปลายสายวิทย์ ดังนั้นแม้จะผ่านเวลามานานปีแล้วแต่ก็ยังพอจะจำได้อยู่

สำหรับวิชาเคมี การเรียนในชั่วโมงแรกๆจะเกี่ยวกับตารางธาตุ อาจารย์ก็จะให้นักเรียนทดลองเกี่ยวกับคุณสมบัติของสาร โดยเอาการบูรมาให้ทดลองละลายดู การบูรเป็นผงสีขาว หน้าตาคล้ายๆผงชูรส ปรากฏว่าใช้น้ำก็ไม่ละลาย ใช้น้ำมันก็ไม่ละลาย แต่เมื่อเอาผงอีกชนิดหนึ่งมาผสมเข้าด้วยกันกกับการบูร กลับกลายเป็นว่าผงทั้งสองชนิดรวมกันกลายเป็นของเหลว แถมบีกเกอร์ที่ใส่ผงสองชนิดนี้อยู่ก็เย็นตัวลงจนรู้สึกได้ ของเหลวที่เกิดขึ้นนี้มีกลิ่นหอมชวนดม

“ผงที่เอามาใส่ทีหลังนี้คือพิมพ์เสน” อาจารย์วิชาอธิบาย “การบูรกับพิมเสนเมื่อรวมตัวกันจะเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน ทำให้กลายเป็นของเหลวและอุณหภูมิลดลง”

วิชาที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับการเรียนวิทยาศาสตร์ในช่วงแรกๆน่าจะเป็นวิชาชีววิทยา ในบทต้นๆเราเรียนเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่ การสังเกตและตั้งคำถาม การรวบรวมข้อมูล การตั้งสมมติฐาน การทำการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน การวิเคราะห์ผลการทดลองและการสรุปผล อาจารย์จะเอาฟางข้าวมาให้พวกเราจัดการต้ม แบ่งกลุ่มกันทำ โต๊ะใครโต๊ะมัน เมื่อต้มเสร็จก็จดลักษณะเอาของของเหลวที่ต้มได้เอาไว้ จากนั้นนำของเหลวไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ แล้วเก็บใส่ขวดโหลคลุมด้วยผ้าขาวบาง ไม่ต้องปิดฝา จากนั้นทิ้งไว้สามวัน การเรียนครั้งต่อไปก็มาดูอีกครั้ง โดยเอาน้ำต้มฟางข้าวในขวดโหลมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อีกครั้ง

พวกนักเรียนฮือฮาด้วยความตื่นเต้น เพราะภาพที่เห็นในกล้องจุลทรรศน์พบสิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้ายรองเท้าแตะ มีอยู่เป็นจำนวนมากเต้นดุ๊กดิ๊กอยู่

ช่วงนั้นอาจารย์จะหลบออกไปข้างนอกสักครู่ ปล่อยให้พวกเราอภิปรายกันว่าควรจะตั้งสมมติฐานอย่างไร และจะทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไปอย่างไร พวกเราก็คุยกันและดูกล้องจุลทรรศน์กันไปเพลินๆ

“เฮ้ย โต๊ะไอ้เวชแม่งมีตัวแปลกๆโว้ย” เสียงใครก็ไม่รู้ที่ดูกล้องจุลทรรศน์ที่โต๊ะเวชเอะอะขึ้น เวชและกลุ่มเด็กเกรวมตัวกันอยู่เป็นโต๊ะเดียวกัน

พวกนักเรียนก็ฮือกันเข้าไปดู ผมก็เข้าไปมะรุมมะตุ้มดูด้วยเช่นกันเพราะอยากเห็นของแปลก ภาพที่ผมเห็นในกล้องจุลทรรศน์เป็นตัวลูกอ๊อดจำนวนมากมายดิ้นไปดิ้นมาอยู่

“เฮ้ย เอาไปให้อาจารย์ดูดีกว่า ของแม่งไม่เหมือนชาวบ้านว่ะ” ใครอีกคนพูดขึ้น

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องให้อาจารย์ดู” ไอ้เวชห้ามเพื่อนๆ “นี่ลูกๆกูเอง แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ไอ้เหี้ยเวชแม่งเอาน้ำว่าวมาส่อง ฮ่าๆ” ไอ้เกรียงเฉลยพร้อมทั้งหัวเราะร่า พร้อมทั้งดึงถ้วยกระดาษใบเล็กๆออกมาจากใต้โต๊ะ คาดว่าภายในถ้วยกระดาษนี้คงบรรจุลูกๆของไอ้เวชอีกเป็นจำนวนมาก พวกเพื่อนๆเฮกันใหญ่

“มิน่า กูว่ากูได้กลิ่นคาวๆตอนส่อง” ไอ้กี้พูดเสียงดังตามนิสัยชอบเอะอะของมัน

เรื่องน้ำว่าวกับกล้องจุลทรรศน์ก็คงเป็นเรื่องเฮฮาที่นักเรียนหลายๆคนคงเคยผ่านมาเช่นกัน มุขนี้ไม่ใช่มุขใหม่ เล่นกันมาตั้งแต่รุ่นพี่ๆแล้ว และยังคงเล่นต่อมาได้ทุกรุ่น

- - -

นโยบายไม่คละชั้นเรียนใหม่สำหรับนักเรียนมัธยมปลายก็เพื่อให้นักเรียนมีความสนิทสนมกันและสามารถเกาะกลุ่มกันได้ สามารถช่วยเหลือพึ่งพากันในการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์นั้นถ้าอยู่ในห้องเรียนปกติน่าจะทำให้เกิดการเกาะกลุ่มกันได้ยาก แต่การเรียนในห้องเรียนวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มกันโดยปริยาย เพราะโต๊ะหนึ่งจะมี ๕-๖ คน เวลาทำกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดจะต้องช่วยกันทำงาน อภิปราย และเขียนรายงาน ใหม่ๆก็นั่งกันมั่วๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่พอเรียนไปได้สองสามสัปดาห์ก็เกิดการสลับที่นั่ง ใครถูกอัธยาศัยกันก็นั่งด้วยกัน และค่อยๆก่อตัวเป็นกลุ่มขึ้นเองตามธรรมชาติ

คนที่ใครๆอยากเข้าไปอยู่ในกลุ่มด้วยก็ได้แก่พันและโชค ทั้งคู่เป็นนักเรียนที่ได้ที่หนึ่งมาจากห้องอื่น พันนั้นได้เคยกล่าวถึงไปบ้างแล้ว ส่วนอีกคนที่ยังไม่ได้พูดถึงก็คือโชค

โชคนั้นมีนิสัยแปลกๆ เป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร เวลาเรียนหรือทำงานจะเอาจริงเอาจังมาก ไม่ชอบให้ใครไปรบกวน ในห้องวิทยาศาสตร์ พันกับโชคนั่งกันคนละโต๊ะ ซึ่งก็ไม่แน่ใจแหมือนกันว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นไปตามสุภาษิตที่ว่าเสือสองตัวย่อมไม่อยู่ในถ้ำเดียวกัน โชคนั่งจับกลุ่มรวมกับเด็กเก่งระดับรองๆลงมา ส่วนพันนั้นกลับไปจับกลุ่มร่วมโต๊ะกับพวกเด็กนักเรียนปานกลาง

อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มของไอ้เฉา ไอ้เฉานี้ชื่อเชาวน์แต่เพื่อนๆมักไม่เรียกเชาวน์ นิยมเรียกว่าเฉามากกว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้เกรดเป็นเลขตัวเดียวมาจากระดับมัธยม แม้ไม่ใช่ที่หนึ่ง แต่กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันได้เหนียวแน่นที่สุดในเวลาต่อมา

นอกเหนือจากกลุ่มที่กล่าวมาแล้ว ที่เหลือก็เป็นกลุ่มของนักเรียนปานกลางและอ่อนที่จับกลุ่มคละเคล้ากันไป ไม่ค่อยมีอะไรที่น่ากล่าวถึงมากนัก

ตัวผมนั้นก็อยากอยู่โต๊ะเดียวพันเหมือนกัน เพราะนั่งกับคนเก่งนิสัยดีคงพอพึ่งพาอาศัยได้บ้าง แต่ก็ไม่มีโชคดีขนาดนั้น โต๊ะของผมนั้นประกอบด้วยไอ้กี้ ผม ยูร แมน และนน

ทั้งห้าคนนี้เหตุที่มาจับกลุ่มร่วมโต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ด้วยกันก็เพราะเวลาอยู่ในห้องเรียนปกตินั่งติดๆกันนั่นเอง ไอ้กี้นั่งติดกับผม ที่นั่งถัดจากไอ้กี้ไปเป็นคู่ของแมนและนน ส่วนยูรนั้นเป็นนักเรียนที่นั่งข้างหน้าผม ไอ้กี้กับแมนเป็นเด็กเรียนเก่ง ส่วนนนกับยูรก็ใช้ได้ ผมเองนั้นดูเหมือนคนที่เกรดตอนมัธยมต้นด้อยที่สุดในโต๊ะ

- - -

เดือนมิถุนายน

หลังจากที่เรียนมาได้ประมาณหนึ่งเดือน เพื่อนๆก็เริ่มสนิทกัน การปรับตัวเข้ากับการเรียนในระดับมัธยมปลายของทุกคนก็ค่อยๆเข้าที่เข้าทาง สำหรับผมนั้น บรรยากาศของการเรียนและการแข่งขันทำให้ผมพลอยกระตือรือร้นไปด้วย ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเรียนชั้น ม.๓ มาก บรรยากาศมีส่วนช่วยได้มากจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมีนิสัยเฉื่อย ขี้เกียจ กินแรงเพื่อน และใจลอยอยู่บ้าง ยังไม่หายไปเสียหมดทีเดียว

หลายๆคนเริ่มวางแผนการเรียนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการสอบเอนทรานซ์ ส่วนผมนั้นยังไม่ค่อยได้วางแผนอะไร คงเรียนไปเรื่อยๆ แต่ก็ติดตามสถานการณ์จากเพื่อนๆเสมอว่าใครทำอะไรไปบ้าง

หลังจากที่เรียนมาได้เดือนกว่า นอกจากโปรแกรมการเรียนวิทย์-คณิต ศิลป์คำนวณ และศิลป์ภาษาแล้ว ยังมีโปรแกรมการเรียนอีกโปรแกรมหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน

ในชั่วโมงเรียนสังคมศึกษา ผมเห็นไอ้กี้ไม่สนใจเรียน มันกางหนังสือแบบเรียนอยู่บนโต๊ะ แต่ที่ใต้โต๊ะมันกางหนังสืออีกเล่มหนึ่งและกำลังอ่านอยู่อย่างจดจ่อ

“เฮ้ย อ่านอะไรวะ หนังสือโป๊เหรอ” ผมหันไปถามมัน

“โป๊พ่อมึงดิ” ไอ้กี้หันมาด่า ผมไม่ค่อยชอบปากมันเลย แต่ก็ต้องทนเพราะว่านั่งโต๊ะติดกันและผมยังต้องพึ่งมันอยู่

“แล้วหนังสืออะไรล่ะ” ผมถามอีก

ไอ้กี้พลิกหนังสือให้ดูหน้าปก มันเป็นหนังสือติวฟิสิกส์ ม.๔ เทอมปลาย มันไม่ใช่แบบเรียนของ สสวท แต่เป็นหนังสือประเภทติวเข้มของสำนักพิมพ์เอกชนแห่งหนึ่ง

“มึงจะอ่านไปทำไมวะ เทอมหนึ่งยังเรียนไม่หมดเลย” ผมถามด้วยความสงสัย

“มึงนี่ควายจริงๆ หน้าบ้านมึงมีภูเขาหรือเปล่าวะ” ไอ้กี้ด่าผมอีก แล้วก็หัวเราะ

“ไอ้เหี้ย กูไม่ได้อยู่หลังเขาโว้ย” ผมด่ามันกลับให้บ้างเพราะรู้สึกเคือง

“อ้อ นึกว่ามึงจะแปลไม่ออกเสียอีก” ไอ้กี้หัวเราะอีก

“ตกลงมึงจะบอกหรือไม่บอกวะ” ผมชักโมโห

“เค้าอ่านกันครึ่งค่อนห้อง มึงไปอยู่ที่ไหนมาวะถึงได้ไม่รู้เรื่อง ก็ไอ้พวกที่จะสอบเอนทรานซ์ปีหน้ามันก็ต้องเรียนปีนี้ให้ได้ ๓ เล่ม แล้วปีหน้าอีก ๓ เล่มโว้ย” ไอ้กี้อธิบาย

“แล้วมึงจะสอบเอนทรานซ์ได้ไงวะ ในเมื่อไม่จบ ม.๖” ผมยังสงสัย

“โหย แม่งโคตรควายเลย” ไอ้กี้หัวเราะ แล้วด่าผมอีก ผมรู้สึกอยากชกหน้ามันจริงๆ จากการเรียนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าเพื่อนๆร่วมโต๊ะวิทยาศาสตร์มักมองผมเป็นตัวตลก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าที่เป็นเช่นนี้สาเหตุมาจากผมเป็นคนที่มีผลการเรียนจากชั้น ม.ต้นด้อยที่สุดในกลุ่ม หรือว่าเป็นเพราะการนิสัยที่ต้องการพึ่งพิงคนอื่นของผมกันแน่ที่ทำให้ผมถูกเพื่อนๆดูแคลน

หลังจากที่ถูกมันหลอกด่าไปหลายประโยค ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่า นอกจากแผนการเรียนปกติทั้ง ๓ โปรแกรมแล้ว ยังมีแผนการเรียนที่ไม่อยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนอยู่อีกหนึ่งแผน นั่นก็คือ โปรแกรมการเรียนให้จบมัธยมปลายภายใน ๒ ปีด้วยการสอบเทียบหรือที่เรียกว่าสอบ กศน นั่นเอง


<ดาราและนายแบบวัยรุ่นอีกคนหนึ่งซึ่งโด่งดังในยุคเดียวกับอธิป ทองจินดา นั่นก็คือ ต้อม พลวัฒน์ มนูประเสริฐ ภาพนี้เป็นนิตยสารที่ออกในปี ๒๕๒๘>


<โฆษณาเอเวอร์เซ้นส์โคโลญชุดนี้โด่งดังมากในยุคนั้น เพราะนายแบบหล่อและน่ารักถูกใจสาวๆมาก รุ่นเดียวกับเพ็ญ พิสุทธ์>


<หลังจากห่างหายไปจากงานละครนานหลายปี จนผมเกือบจะลืมพี่ต้อมไปแล้ว ในที่สุดพี่ต้อมก็กลับมาแสดงละครอีกครั้งในราวปี ๒๕๔๗ ภาพนี้เป็นภาพในยุคปัจจุบัน>

13 comments:

Anonymous said...

เย้ๆ ที่ 1 อีกครั้ง ตะกี้มาเม้นแต่ทำไมกดเม้นไม่ได้อ่าคับ - -

Anonymous said...

^
^
^
ต่อจากข้างบนคับ เขียนไม่หมด พอดีกดไปโดน
โต๊ะเรียนอาอูเหมือนของ รร. ผมเลยอ่ะ 55 แต่เค้าให้จับกลุ่มกันเองแล้วยุด้วยกันตลอดทั้งเทอมเลย กลุ่มละ4คนคับ เพิ่งรุนะเนี่ยว่าเรียนจบม.ปลายภายใน 2 ปีได้ด้วย ยุคผมไม่มีซะแล้ว(หรือมีหว่า)- -

ปล.ขอบคุณอาอูครับที่มาเขียนต่อให้

Anonymous said...

ที่สอง

เคยเห็นพี่ต้อมแสดงแล้ว
ก็ยังดูดีสำหรับคนอายุเท่านี้

เห็นรูปวงบอยสเก๊าท์ในตอนปัจจุบัน

เวลาช่างทำร้ายคนนัก

thom

yo408 said...

ที่3
ตอนผมเรียนม.ปลาย ไม่ค่อยได้ทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ เพราะงบประมาณโรงเรียนไม่มี แถมยังไม่ได้เลือกเรียนอะไรด้วย เลือกได้แค่ชมรมต่างๆซึ่งเป็นกิจกรรมเสริม ประเมินผลแค่ผ่านกับไม่ผ่าน

Anonymous said...

โรงเรียนพี่อูดูครบครันดี ของผมครูสอนยังไม่พอเลย ต้องวิ่งกันหัวหมุน

พี่ต้อมนี่เคยเห็นในเรื่องบางรักซอย 9 น่ารักดี หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย แต่ถ้าเล่นละครแล้วใส่แว่นจะดูแก่ ได้ข่าวว่าจนบัดนี้ก็ยังโสดอยู่ สนใจจัง อิอิ

Anonymous said...

ที่6(^_^) อรุณสวัสดิ์ครับหยุดยาวลุงอูไปทำบุญที่ไหนรึเปล่า เมื่อคืนท้องเสียมีไข้ด้วยนึกว่าจะโดนซะแล้วหวัด2009แต่เช้านี้ดีแล้วสงสัยเป็นเพราะไอติมกะทิลูกชิด ข้าวเหนียว สัปปะรด2ถ้วยนั้นแหงเลยเดี๋วต้องเช็คกับเพื่อนซะหน่อย
http://www.nationchannel.com/home_bak/panda_live.php
หลินหุ่ยมันเล่นกับลูกมันตลอดเลยอยากไปดูตัวเป็นๆจังลุงอูเคยไปดูรึยังครับ
เพื่อนลุงเขาผลิตอสุจิในห้องเรียนเลยรึครับช่างกล้าจริง อยากอ่าต่อซะแล้วขออีกนะครับขอบคู้นนนครับ

Anonymous said...

มาแล้วครับ
สวัสดีครับอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

มารายงานตอนที่ 4 ครับ
IZ

หลาน arus ของอาอูคนเดียวเลยเหรอ

Anonymous said...

อูเค้าหวงหลานคนนี้อ่ะนะ ^-^

Anonymous said...

ขอพักหมองหน่อย(^_^)พวกคุณลุงชู ลุงกรุงไทย ลุงกระถาง ลุงสกายฯยังไม่มาสงสัยไปเที่ยวทำบุญกันหมด ลุงอูก็ด้วย
รูปมีลายเซ็นด้วยสงสัยดาราคนโปรดของลุงไปเจอตัวจริงมาแล้วใช่ม่าครับ หุหุ

Anonymous said...

มีแซวด้วย เป็นห่วงหลานๆทุกคนแหละครับ

ไม่ได้หยุดยาวครับ หยุดแค่วันอังคาร ไปไหนไม่ได้เลย ไม่ได้ทำบุญอะไร แค่งดเว้นทำบาปเท่านั้น

หลานที่หกกินจนพุงกาง ท้องเสียดีขึ้นหรือยัง ถ้ายัง ให้ไปกินไอติมอย่างเดิมต่ออีก ๓ ถ้วย ใช้พิษข่มพิษ

เพื่อลุงไม่ได้ผลิตในห้องหรอก ไปผลิตในห้องน้ำใกล้ๆนั่นแหละ

ตอนนี้สอบ กศน ก็ยังมีอยู่ แต่เด็ก ม.ปลายจะยังทำให้จบใน ๒ ปีด้วยการสอบ กศน ได้หรือเปล่านี่ไม่แน่ใจครับ ที่จริงระบบการสอบแอดมิชชันน่าจะไม่เอื้อให้ไปสอบด้วย สอบกันจนหัวโตพอดี

โยด็รู้ว่าสมัยก่ิอนการทดลองไม่สำคัญ ขอให้สอบเอนทรานซ์ได้เป็นพอ ไม่ได้ทดลองบ้างก็ไม่เป็นไรครับ โรงเรียนที่มีทดลองเด็กก็หนีเรียน

อู

Anonymous said...

จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายนี่
ที่ไม่ได้เรียน ม.ปลาย อดส่องลูกๆเลย
ห้าห้า
แต่น่าสนุกดีน่ะคับ
^^sky^^

Anonymous said...

หวัดดีครับทุกคน ได้อ่านการเรียน มอปลาย ที่ลุงอูเล่า แล้วนึกถึงตอนเรียน อูเก็บรายละเอียดได้ดีมากๆ ผมก็ไปสอบเทียบ กศน มาเหมือนกัน มี 10-12 ซุดวิซาไม่แน่ใจ ม4 เก็บไป8 ที่เหลือเก็บตอน ม5 ส่วนเรื่องลูกๆ เหมือนกันเลย อาจอยู่รุ่นเดียวกับลุงอู ต่างกันที่อาจารย์มาขอไปออกงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ประจำปีของ รร. ฌลยได้โซว์ลูกทั้ง รร.เลย. แต่ไม่ใซ่ลุงนะคับ ว่าแต่ลุงๆ อาๆ คนอื่นของหลานๆ มีประสบการณ์อย่างไร เล่าให้ฟังกันบ้างนะคับ อย่ามัวแต่จะอ่านเรื่องน้องอูอย่างเดียวคับ 555. ว่าแต่น้องอูอย่าลืมมาเล่าต่อไวๆ นะ รออยู่คับ..........ซู