Sunday, August 24, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 18

หลังจากที่ผมช่วยไอ้นัยเช็ดน้ำว่าวที่เลอะตามตัว และแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แม้ในห้องน้ำจะคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว แต่ผมก็ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆระเหยออกมาจากตัวของไอ้นัย ผมอดนึกแปลกใจไม่ได้ นี่เป็นเวลาเย็นแล้ว กลิ่นสบู่อะไรจะหอมติดตัวได้นานขนาดนั้น ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าแท้ที่จริงมันคือกลิ่นจากตัวของไอ้นัยมากกว่า ก่อนออกจากห้องน้ำ ผมอดไม่ได้ที่ต้องเอาจมูกไปถูไถตามหลังใบหู แก้ม และต้นคอของไอ้นัยเบาๆ

“ฮิฮิ จั๊กกระจี๋” ไอ้นัยหัวเราะกิ๊กกั๊ก

“แก้มมึงหอมจัง” ผมเอาจมูกไล้วนไปมาบนแก้มของไอ้นัย ค่อยๆเริ่มเรียนรู้ว่ากลิ่นนั้นก็สามารถสร้างความรัญจวนใจได้ “อยากดมทั้งวันจังเลย” ผมกระซิบบอกมันเบาๆ

ไอ้นัยผลักใบหน้าผมออกเบาๆ “เดี๋ยวก็กลับบ้านช้าหรอก”

จริงสินะ พอพูดถึงกลับบ้าน ผมนึกขึ้นได้ว่าผมต้องรีบกลับให้ถึงบ้านก่อนหกโมงเย็น!!!

ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบห้าโมงครึ่งแล้ว เราสองคนรีบทยอยกันออกจากห้องน้ำ จากนั้นผมก็วิ่งอ้าวนำหน้าเพื่อออกจากโรงเรียนไปยังป้ายรถเมล์ ไอ้นัยซึ่งไม่ต้องรีบร้อนที่จะกลับบ้านนักก็ต้องวิ่งไปกับผมด้วย

“ทำไมกูต้องรีบด้วยวะเนี่ย” ไอ้นัยถามขึ้นมาเมื่อมันวิ่งไล่มาจนทันผม

ผมเอามือตบหัวมันเบาๆทั้งที่ยังวิ่งอยู่ “อย่าพูดมาก รีบวิ่งเข้า”

- - -

วันนั้นผมกลับถึงบ้านเวลาประมาณ ๑๗.๕๐ น. ทันแบบเฉียดฉิว แต่ก็ต้องวิ่งจนเหนื่อย

เมื่อเข้ามาในบ้าน พบว่าคุณป้ากำลังเตรียมอยู่ในครัว ผมรีบล้างมือและเข้าไปช่วยงานในครัวทันที ที่จริงงานก็ไม่มีอะไรหรอก เพราะว่ามีเอ๊ดค่อยช่วยอยู่แล้ว แต่พ่อกับแม่กำชับไว้ว่ามาอาศัยบ้านคนอื่นก็อย่าขี้เกียจ ช่วยงานอะไรได้ก็ต้องช่วย ไม่อย่างนั้นจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งเรื่องอยู่ไม่ได้นี่เองที่ผมกลัวที่สุด ดังนั้นถึงแม้จะขี้เกียจแต่ก็ต้องทำเป็นขยันเข้าไว้

งานครัวที่ผมมีส่วนได้ช่วยก็คือการยกจานอาหารออกมาตั้งที่โต๊ะอาหาร

บรรยากาศการกินอาหารในวันเปิดภาคเรียนวันแรกนั้นค่อนข้างอบอุ่น คุณลุงคุณป้าซักถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนในวันแรกของผมอย่างสนใจ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเองกับเจ้าบ้านผู้อาวุโสคู่นี้มากขึ้นอีกเล็กน้อย และผมก็มีหวังว่าต่อไปอะไรๆคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ

- - -

วันรุ่งขึ้น เมื่อผมไปถึงท่ารถหน้าปากซอยในตอนเช้า ผมก็พบว่าไอ้นัยยืนรออยู่แล้วเหมือนเมื่อวาน ... จากนั้นเราก็เดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน

การเรียนในวันที่สองของเราต่างไปจากวันแรกมาก เพราะวันนี้เริ่มต้นการเรียนการสอนอย่างจริงจัง อาจารย์ทุกคนสอนด้วยความตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่นักเรียนแต่ละคนก็เริ่มสนทนาผูกมิตรกันมากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อวาน โดยเฉพาะเมื่อหมดคาบและอาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว ห้องเรียนอันเงียบสงบก็จะแปรสภาพไปเป็นตลาดทันที

หลังจากที่มีการสลับตำแหน่งกันไปเมื่อวาน วันนี้ที่นั่งของแต่ละคนลงตัวหมดแล้ว ผมเริ่มสังเกตเพื่อนร่วมชั้นมากขึ้น มีเพื่อนๆที่ผมอยากกล่าวถึงในตอนนี้อยู่หลายคน คือ...

เมื่อหันหน้าเข้าหากระดานดำ คนที่นั่งหลังสุดแถวซ้ายชื่อดิษฐ์ คนนี้รูปร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬา ผิวสีน้ำผึ้งแบบไอ้นัย หล่อแบบไทยๆ

เล็ก นั่งอยู่หน้าดิษฐ์ ตัวสูง หน้าตาแปลกๆ น่ารักปนตลก

สิน นั่งอยู่หน้าเล็ก รูปร่างสันทัด ตัวหนาๆ ผิวคล้ำ หุ่นคล้ายๆไอ้ชิดสมัย ป.๖ โรงเรียนเก่า

พงศ์ ตัวสูงอยู่เหมือนกัน ลักษณะพิเศษคือปากกว้าง

มาทางด้านแถวขวาสุดบ้าง คนที่นั่งหลังสุดเป็นนักเรียนร่างใหญ่ ผิวขาวแบบลูกคนจีน ชื่อจิ

ถัดมาตรงกลางๆแถว ชื่อพจน์ คนนี้ท่าทางสุขุม พูดน้อย ใส่แว่นกรอบทอง หน้าตาน่ารักดี

ชาติ นั่งหน้าพจน์ คนนี้ผอมๆ สูงปานกลาง ผิวขาวเหลือง บุคลิกเงียบๆเหมือนกัน

นก นั่งอยู่หน้าสุดด้านขวา ตัวเล็กมาก หน้าตายังเด็กอยู่เลย เหมือนเด็ก ป.๖ มากกว่า เสียงก็ยังแหลมๆเหมือนเสียงเด็ก ถ้าดูตามใบหน้า นกน่าจะเป็นน้องเล็กสุดในห้อง

ส่วนที่อยู่แถวกลางๆห้อง มีบางคนที่น่ากล่าวถึงก็คือ

ใหญ่ หน้าตาตี๋ขนานแท้ ใส่แว่น ผิวขาว ตัวผอม นั่งอยู่ห่างจากผมไม่มากนัก รูปร่างเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย

ถัดขึ้นไปอีกหน่อยเป็นอ้วน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันมาก ตัวอ้วนกลม คล้ายๆโดราเอมอน หน้าตาตี๋ขนานแท้เช่นกัน คนนี้ชอบแซวเพื่อน และชอบส่งเสียงดังโวยวาย

- - -

การเรียนตลอดสัปดาห์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่น นักเรียนแต่ละคนต่างก็เริ่มมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน สังเกตได้จากตอนเปิดเรียนวันแรก สรรพนามที่ใช้กันก็มักเป็นคุณ-ผม หรือเรากับนาย แต่พอมาถึงตอนปลายสัปดาห์ นักเรียนในห้องส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนสรรพนามไปเป็นกูมึงกันหมด

เมื่อสนิทสนมคุ้นเคยกัน แต่ละคนก็ค่อยๆเริ่มเผยนิสัยที่แท้จริงของตนออกมา บางคนขี้บ่น บางคนโวยวาย บางคนเงียบขรึม บางคนร่าเริงชอบแกล้งเพื่อน บางคนก็ท่าทางออกเกเรหน่อยๆ

พงศ์ก็ค่อยๆเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา จากเดิมที่เคร่งขรึม กลายเป็นกระตุ้งกระติ้ง พูดจาจีบปากจีบคอ สรรพนามที่พงศ์ใช้กับเพื่อนๆคือชั้น-เธอ

“โอ๊ย รำคาญอีตุ๊ดปากกว้างนี่เหลือเกิน” เสียงใครคนหนึ่งเอะอะขึ้นในช่วงเปลี่ยนคาบ เพราะรู้สึกรำคาญความดัดจริตของไอ้พงศ์เต็มที เพื่อนๆฮากันครืน ส่วนพงศ์นั่งหน้างุ้มเมื่อโดนด่า ซึ่งต่อมา พงศ์ก็ได้รับฉายาใหม่ว่าอีตุ๊ดปากกว้าง หรือ อีพงษ์ปากกว้าง

คำว่าตุ๊ดนี้เป็นศัพท์ใหม่ในสมัยนั้น แต่ก่อนตอนอยู่โรงเรียนเก่า ผมยังไม่รู้จักคำนี้เลย มีแต่คำว่ากะเทย เริ่มได้ยินคำว่าตุ๊ดก็จากเพื่อนที่นี่นั่นเอง แต่ถึงแม้จะเพิ่งเคยได้ยิน แต่ผมก็พอเดาออกว่ามันหมายถึงอะไร

คำว่าตุ๊ดนี้ผมมารู้ทีหลัง ว่ามีที่มามาจากภาพยนตร์ฝรั่งที่ฉายในเมืองไทยตอนผมอยู่ราวๆ ป.๔ หรือ ป.๕ ชื่อเรื่องว่า ทู้ตซี่ (Toosie) นำแสดงโดยดัสติน ฮอฟแมน เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่ทะเลาะกับแฟนสาวจนถึงขั้นแยกทางกัน ทั้งคู่มีอาชีพนักแสดง ต่อมาฝ่ายชายอยากคืนดี แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมคืนดีด้วย ฝ่ายชายจึงปลอมตัวเป็นหญิงแล้วหาทางเข้าไปชิดใกล้ฝ่ายหญิง โดยที่แฟนสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนสาวคนสนิทของเธอคือแฟนหนุ่มนั่นเอง

หลังจากเรื่องนี้เข้าฉายเมืองไทยแล้วนำมาฉายซ้ำทางทีวี ศัพท์คำว่าตุ๊ดก็เริ่มใช้กันและเป็นที่นิยมใช้เรื่อยมาจนทุกวันนี้


<ประตูห้องเรียน เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ ไม่ใช้ลูกบิดประตูเพราะเป็นบานประตูรุ่นเก่า การล็อคห้องทำได้โดยการคล้องแม่กุญแจ>

9 comments:

Anonymous said...

มารายงานตัวครับ

หลาน Arus

Anonymous said...

ผมจำได้ว่าโหนกเรียนห้องเดียวกะอูไม่เห็นพูดถึงเลย
เอผมจำผิดไปเหรอป่าวนิ๊
5555
ขอบคุณมากนะคับอู
ไม่พูดมากแระ
กลัวอูจะรำคานคับ
เคทีบี

Anonymous said...

ยังติดตามอยู่ครับ
สนุกมากอ่านแล้วคิดถึงเพื่อนจัง
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องดีๆ
กุ๊ก

Anonymous said...

ที่ไม่ได้พูดถึงโหนกเพราะว่าพูดถึงไปแล้ว เลยไม่ได้พูดซ้ำ ต่อไปโหนกจะมีบทบาทเยอะครับ

เพื่อนหลายๆคนเมื่อโตแล้ว มีเส้นทางชีวิตที่นึกไม่ถึงเลยทีเดียว คอยอ่านต่อไปเรื่อยๆนะครับ

อู

Anonymous said...

โหนกนั้นผมว่าแปลก ๆน่ะ ถ้าไม่ทำให้ความสัมพันธ์
อูกะนัยเปลี่ยนไป ก็ต้องทำให้อูตัดสินใจทำอะไร
บางอย่าง ที่มีผลจนถึงทุกวันนี้.. เห่อ ๆ อันนี้เดาๆเอาน่ะคับ พอจะเข้าเค้าบ้างไหมละ

อ่านแล้วคิดถึงสมัยมอต้นคับ

ไม่มีเพื่อนคนใหนทีอูเห็นแล้วรู้สึกอยาก เหมือนที่
ทำกะนัยบ้างเหรอ

ความรู้ใหม่น่ะเนี้ย เรื่องที่มาของ toosie อ่ะ
ผมคงไม่ทันคับ จำความได้ตอนปอห้าปอหก บิ๊กซีนีมา
โปรแกรมเพชรนี่ เอเอี่ยนคับ ง่วงก็ง่วง แม่ก็ตะโกน
ด่าไล่ไปนอน แต่อยากดูเอาไปโม้กะเพื่อนอ่ะคับ
เพราะตอนนั้นไม่มีโรงหนังดีๆเลย โรงหนังที่ไม่ดี
ก็ใช่ว่าจะได้ไปดูกันง่ายๆ

ลูกพี่ลูกน้องผมคนหนึ่งก็มีกลิ่นตัวที่หอมเหมือนกันคับ
แต่จะหอมเหมือนแป้งหอมมากกว่า
ถ้าเวลาปกติหอมอ่อนๆ รัญจวนใจจริงๆ
ถ้าเวลาเหงื่อออกเยอะๆ จะกลิ่นแรง
ก็คือหอมละคับแต่เรารู้ว่าเป็นกลิ่นเปรี้ยวของเค้า
แต่พอผมไปเรียนต่างอำเภอตอนมอสี่
ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลยไม่รู้โตมายังหอมอยู่หรือป่าว

ขออภัยพูดมาก และพิมพ์เยอะ ไปหน่อย

T1000

Anonymous said...

T1000คับ
ผมว่าบางครั้งถ้ามีคนคุยกะอูยาวๆมั่งก้อดีนะครับ
ทำให้อูได้อ่านและรู้ว่าคนอ่านนอกจากอ่านแล้วยังคิด
กับเรื่องที่อ่ายยังงัย มีการเดาเหตุการต่อไปข้างหน้าบ้าง
ก้อดีคับ อูจะได้เพลินว่าผู้อ่านมึตวามคิดและจินตนาการอย่างรัยกะเรื่องที่อ่าน
ผมเองเวลาอ่านหรือเม้นต์เรื่องผมก้อคิดเอาว่าขณะนี้
เรื่องที่อูกำลังเล่านั้นเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันของเวลานั้นๆ
ทำให้การคอมเม้นต์หรือพูดถึงเรื่องราวที่อูเล่าเหมือนกับว่าเราอยู่ในเวลาขณะนั้นด้วย
เหมือนกับว่าเราอายุเท่ากะนัยและอูในขณะนั้น
มันก้อสนุกดี
การเม้นต์ยาวๆ ก้อเป็นการทำให้อูได้อ่านความเห็นของเราด้วยตอยแทนอูให้ได้เพลินไปกับความคิดของเราด้วย ถ้อนทีถ้อยอาศัย ก้อทำให้เราอ่านสนุกไปอีกแบบและเหมือนกับได้เป็นกันเองกะอูไปด้วย
อย่างนี้ดีแล้วครับ
คราวหน้าก้อตอบยาวๆดิคับ สนุกดี
หลานๆหลายคนก้อน่ารักคับเข้ามาอ้อนอาอูให้เลี้ยวไอติมมั่ง เข้ามารายงานตัวมั่ง ก้อเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้อาอูมีกำลังใจที่จะเขียนเล่าให้
หลานๆ
พี่ๆ
อาๆ
ลุงๆ
ตาๆ
ปู่ๆ
ทวดๆ
ปู่ทวด
เหลนๆ
ได้อ่านกันสนุกๆ
55555
สนุกดีนะครับ
คลายเครียดดีคับ
KทีB

Anonymous said...

ครับ ว่างๆก็มาคุยกัน

ผมอ่านคอมเม้นต์ที่เพื่อนๆพยายามคาดการณ์เหตุการณ์ในตอนต่อๆไปก็สนุกดีเหมือนกันครับ คอยลุ้นว่าจะคาดกันใกล้เคียงไหม

เรื่อง toosie นั้นตอนเด็กก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน มาดูเอาทีหลังครับ

ที่จริงคำว่าถั่วดำเก่ากว่าตุ๊ดอีกนะครับ มีมาแต่ 2478 ส่วนตุ๋ยเป็นศัพท์ยุคใหม่ มีเมื่อประมาณ 2541

อู

Anonymous said...

แล้วทำไมเค้าถึงเรียกถั่วดำละคับ?

โทษทีครับไม่ได้เข้ามานาน งานยุ่งมากกกเลย ต้องมาตามเก๋บเนี่ยคับ -_-"

Eiky Tian said...

หวัดดี ค้าบ พี่ อู

ชอบเรื่องนี้มาก ทำให้คิดถึงตอนเรียนอยู่ประถมจะขึ้นมัธยม ติดตามอยู่นะค้าบบ