Saturday, August 2, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 15

“นายชื่ออะไรน่ะ” วิชัยถาม

“ชื่ออู ชื่อเล่นนายล่ะ” ผมถาม เพราะยังไม่รู้ชื่อเล่นเลย รู้แต่ชื่อวิชัย

“ชื่อเล่นมีแต่เป็นชื่อจีนน่ะ เพื่อนๆเรียกกันแต่วิชัย” วิชัยตอบ เหตุผลออกจะแปลกๆอยู่ ที่โรงเรียนเก่าของผม เพื่อนทุกคนมีชื่อเล่นให้เรียกกันทั้งนั้น บางคนเพื่อนๆก็ไม่เรียกชื่อเล่นจริงๆ แต่กลับไปเอาชื่อพ่อชื่อแม่มาเรียกแทนก็มี แต่เราไม่เคยเรียกเพื่อนคนไหนด้วยชื่อจริงกัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเอาชื่อจริงมาตัดให้สั้นลงเหลือพยางค์เดียว แล้วใช้เรียกกัน แต่นี่จะให้เรียกชื่อจริงทั้งดุ้น

เอาก็เอา วิชัยก็วิชัย และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนๆทุกคนก็เรียกมันว่าวิชัยเต็มยศมาตลอด

“แล้วนายล่ะ ชื่อเล่นว่าอะไรล่ะ” ผมหันไปถามวีกิจ เพื่อนคนที่นั่งด้านซ้ายของผมบ้าง

“ชื่อเล่นไม่ค่อยเพราะน่ะ เอาไว้เรียกเฉพาะที่บ้าน เรียกเราวีกิจก็ได้” วีกิจบอก

ไม่น่าได้ที่นั่งตรงนี้เลยเรา ผมคิดในใจ เพราะเริ่มรู้สึกว่าเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งด้านซ้ายและขวาของผมนั้นไม่ค่อยปกตินัก คนอะไรวะ ไม่มีชื่อเล่นให้เรียก ให้เรียกชื่อจริงเต็มๆ เหตุผลฟังไม่ขึ้นเอาเลย

เป็นอันว่าผมและเพื่อนๆก็เรียกวีกิจว่าวีกิจมาตลอดเช่นกัน และในห้องก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่เพื่อนๆเรียกมันด้วยชื่อเต็ม ผมโชคดีขนาดไหนที่ได้มานั่งระหว่างไอ้สองคนนี้ แถมไอ้วีกิจนี่ยังอ่อนหวาน สงสัยจะเป็นกะเทยอีกด้วย

หลังจากที่พวกเราจัดที่นั่งกันเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ประพิมพ์ก็เริ่มแนะนำตัวแก่พวกเรา จากนั้นก็ให้พวกเราแนะนำตัวกันทีละคน ส่วนใหญ่ก็ให้เล่าความเป็นมาคร่าวๆ ว่าชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ฝันอยากทำอาชีพอะไร อะไรทำนองนี้ แต่ไม่ต้องบอกว่าที่บ้านทำอะไร หรือว่าจบชั้นประถมมาจากที่ไหน เหตุผลที่ไม่ต้องแนะนำเรื่องที่บ้านหรือว่าจบมาจากที่ไหน ผมมาคิดสันนิษฐานเอาเองทีหลัง อาจเป็นเพราะว่าอาจารย์ไม่ต้องการให้เกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำกันด้านฐานะก็เป็นได้ เพราะนักเรียนที่นี่มาจากกลุ่มสังคมที่มีฐานะทางครอบครัวแตกต่างกันค่อนข้างมาก

ผมตั้งใจฟังการแนะนำตัวของเพื่อนๆ เพราะอยากจะรู้ว่าแต่ละคนเป็นคน ผมพบว่าเพื่อร่วมห้องของผมมีความหลากหลายค่อนข้างมาก บางคนขาวตี๋ ตาตี่เหลือเพียงเส้นเดียว บางคนตัวดำ บางคนผอมบาง ตัวนิดเดียว บางคนตัวหนาล่ำบึก และที่สำคัญ มีคนหน้าตาดีๆ น่ารักอยู่หลายคน

ผมเริ่มสังเกตพบความเปลี่ยนแปลงของตนเอง นั่นคือ แต่ก่อนนั้นผมไม่เคยสนใจว่าเพื่อนคนไหนหน้าตาดีหรือไม่ เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ตอนนี้ผมกลับเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าเพื่อนคนไหนหน้าตาดีบ้าง

เพื่อนคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับผมนั้นชื่อโหนก มันตัวเล็กหน่อย เลยได้นั่งอยู่เกือบๆข้างหน้าชั้น ไอ้คนนี้หน้าตาก็ยังงั้นๆ แต่มีลักษณะเด่นคือหัวโหนก คือไม่ใช่หัวทุย แต่ว่าโหนกออกมาเลย ชื่อโหนกของมันก็คงมาจากจุดเด่นที่หัวของมันนั่นเอง

หลังจากแนะนำตัวกันจนหมด อาจารย์ประพิมพ์ก็แนะนำเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของที่นี่ เรื่องระเบียบวินัย แล้วก็จดตารางสอน กว่าจะเสร็จเรื่องทั้งหลายก็พักเที่ยงพอดี

“เฮิ้ว...พักเสียที” วีกิจหาวเสียงดังพอให้ผมได้ยิน “ง่วงจะแย่อยู่แล้ว” มันพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” ผมถามไปยังงั้นเอง ที่จริงไม่ได้คิดว่ามันอดนอนหรอก นึกว่ามันคงขี้เกียจมากกว่า

“ตื่นเช้าน่ะ บ้านเราอยู่ไกล แต่ก่อนบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน เดินไปก็ถึงแล้ว เลยไม่ค่อนได้ตื่นแต่เช้า” วีกิจอธิบายเสียงอ่อนเสียงหวาน “วันนี้ออกจากบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ชักรถเลย” พูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ภาษาอะไรของมันอีกแล้ววะเนี่ย พระอาทิตย์ชักรถนี่จำได้เลาๆว่าอยู่ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ เคยเรียนตอนประถม แต่ไม่นึกว่าจะมีใครเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน

มาถึงตอนนี้ ผมนึกได้แล้วว่าไอ้วีกิจนี่มันไม่ได้มีบุคลิกเหมือนกะเทยหรอกครับ แต่ว่ามันเหมือนพระเอกลิเกมากกว่า เวลาพูดจาก็กระเดียดไปทางบทเจรจาแบบลิเก สงสัยที่บ้านมันคงเป็นคณะลิเกแน่เลย ไม่อย่างนั้นจะติดบุคลิกแบบลิเกมาตั้งแต่ ม.๑ ได้ยังไง

“โอ พระเชษฐาทรงตื่นเช้านัก” วิชัยชะโงกหัวมาคุยกับวีกิจบ้าง

วีกิจเมื่อได้ฟังคำถามก็ยิ้มแป้น “แล้วพระอนุชาล่ะ บ้านอยู่ไกลไหม” มันถามกลับ

จากนั้นทั้งสองก็คุยกันด้วยภาษาลิเก เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆรอบข้างอย่างสนุกสนาน

สรุปแล้ว ในที่สุดผมก็รู้ความจริงว่า ไอ้วิชัยนั้นหน้ามันเหมือนไร้อารมณ์แบบนั้นเอง แต่นิสัยที่แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและมีมุขเยอะมาก ปกติจะพูดน้อย แต่พูดแต่ละทีมักทำให้เพื่อนๆได้ฮา แล้วไอ้วิชัยนี่มันก็เป็นคู่กัดที่คอยแหย่ กัด รับส่งมุขกับวีกิจอยู่ตลอดปีจนพวกเราจบ ม.๑

หลังจากที่ไอ้สองคนนี่ปล่อยมุขแหย่กัน ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกๆ เพราะนึกว่านั่งเรียนอยู่กับเด็กเพี้ยนๆสองคน อีกอย่าง ผมเริ่มค่อยๆเรียนรู้แล้วว่าสังคมที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนเก่าค่อนข้างมาก ผมคงต้องปรับตัวอีกเยอะ

ช่างมันเถอะ ไปหาไอ้นัยดีกว่า ผมนึกในใจ เมื่ออาจารย์ประพิมพ์เลิกชั้นเพื่อให้นักเรียนพักเที่ยง ผมก็เดินไปยังห้องเรียนของไอ้นัยทันที

“อู โรงอาหารไปทางโน้น” เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งเรียกผมจากข้างหลัง

ผมหันไปมองหาเจ้าของเสียง ... โหนกนั่นเอง

“เปล่า ยังไม่ได้ไปโรงอาหาร จะไปหาเพื่อน” ผมตอบ “เรามีเพื่อนมาจากโรงเรียนเก่าอีกคนหนึ่ง นายเห็นคงนึกออก มันเรียนอยู่ห้องเจ็ด”

“ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า” โหนกชวน

“ไปดิ แต่เดี๋ยวไปตามพื่อนก่อน แล้วไปกินข้าวด้วยกัน” พูดตอบ

ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นตึกไปเพื่อไปยังห้องของไอ้นัย

เมื่อผมเดินไปถึงหน้าห้องเจ็ด อาจารย์ประจำชั้นเพิ่งจะปล่อยพักพอดี นักเรียนเดินกรูกันออกจากห้องเพื่อจะไปยังโรงอาหาร ผมกับโหนกยืนรออยู่หน้าห้องสักครู่ก็เห็นไอ้นัยเดินออกมา

เมื่อไอ้นัยเห็นหน้าโหนก มันก็ทำหน้างงๆ คล้ายกับว่าโหนกมาอยู่นี่ได้ไง

“นี่โหนก อยู่ห้อง ป.๖/๙ ไง” ผมแนะนำ

ไอ้นัยยิ้มแล้วทักทายโหนก “หวัดดีเพื่อน จำหน้าได้แหละ แต่ไม่รู้จักชื่อ”

ดูท่าทางโหนกไม่ค่อยสนใจไอ้นัยเท่าไร เมื่อทักทายกันแล้วก็พยายามเร่งรัดผมให้ไปกินอาหาร

“ไปกินข้าวกัน ดีเหมือนกัน ศิษย์เก่าได้มาเรียนที่เดียวกันอีก” ผมพูด

จากนั้นเราสามคนก็เดินไปยังโรงอาหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตึกเรียนของเราเท่าไร

โรงอาหารในยามเที่ยงแออัดไปด้วยนักเรียนทุกชั้นปี มันแน่นมากจนแทบหาที่นั่งไม่ได้ ผมกับไอ้นัยซื้อของกินที่แผงอาหารเดียวกัน แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามโต๊ะเพื่อหาที่ว่างที่พอจะนั่งได้สองคน ส่วนโหนกนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้สังเกต


<ตึกเรียนของผมเป็นอาคารเก่าแก่ทรงโรมัน ปีกหนึ่งใช้เป็นหอประชุม อีกปีกหนึ่งใช้เป็นห้องเรียน ส่วนตึกที่เห็นทอดขวางด้านหลังเป็นตึกที่ไอ้นัยเรียน>

7 comments:

Anonymous said...

เม้นคนแรกอีกและ ลุงอูนี่เล่าได้หนุกดีครับ โรงอาหารของลุงนี่ จะเหมือนของเราไหมเนี่ย หุหุ

Anonymous said...

ใช่ครับ อูเล่าได้สนุกและน่าติดตามครับ ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมนะครับ
กร ครับ

Anonymous said...

รัก เคารพ และคิดถึง

หลาน Arus ที่รอลุงจ่ายค่าไอติมให้

Anonymous said...

สวัสดีครับ คุณอู ผมก็เป็นคนนึงที่ติดตามเรื่อง
ของคุณอูมา อ่านแล้วเหมือนกับกำลงอ่านนิยาย
ชีวิตเรื่องนึงเลย ผมขอเป็นกำลังใจให้ละกันนะครับ
ขอให้คุณอูมีความสุขมากๆนะครับ

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับคำชมและกำลังใจครับ

ไปติดหนี้ค่าไอติมหลาน Arus เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ให้ลุงกร หรือลุง KTB จ่ายให้เอาไหมครับ (ถือโอกาสยัดเยียดความเป็นคุณลุงให้เพื่อนๆคนอื่นเสียเลย)

อู

Anonymous said...

อุอุ
เป็นลุงก็ต้องเลี้ยงหลานยังไงครับ

รัก และคิดถึงเสมอ

หลาน Arus

Anonymous said...

ดีครับคุณอู พอดีคอมเสีย
แต่ก็รีบกลับมาอ่านเลยครับ

ชีวิตเริ่มสนุกอีกแล้วน่ะครับ

แต่ช่วนนั้นได้จดหมายถึงชัดบ้างไหม
เล่าให้ฟังด้วยน่ะ

ทีหนึ่งพัน
ปล.ชอบชัด