“พี่อู บอยเมื่อยอะ” ไอ้บอยบ่นเบาๆ
ผมหันไปมองมัน เห็นใบหน้าของบอยยู่ยี่ คงจะเมื่อยจริงๆ “พี่ก็เมื่อย ทนเอาหน่อย ใกล้แสดงแล้วมั้ง”
“พี่อูพูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ” บอยบ่นอีก
“อะไรกัน แค่นี้ก็ไม่มีความอดทน” ผมตำหนิมัน “พี่ยังไม่บ่นเลย”
“ก็พี่อูเป็นคนอยากดูนี่นา ถึงเมื่อยก็ไม่กล้าบ่น” บอยรู้ทันผม
ที่จริงผมก็เมื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะบ่นก็เสียเชิง แต่โชคยังดีที่หลังจากนั้นไม่นาน การแสดงพลุก็เริ่มขึ้น
การแสดงพลุในครั้งนั้นยิ่งใหญ่และงดงามเป็นพิเศษจริงๆ พลุแต่ละชุดสวยงามสะดุดตา ผมมักคอยสังเกตพลุสีน้ำเงินและสีม่วงเป็นพิเศษเพราะได้ยินมาว่าเป็นสีที่ทำได้ยาก เสียงพลุดังกึกก้อง สะเก็ดไฟของพลุที่แตกระเบิดในอากาศแตกกระจายเต็มท้องฟ้า ระหว่างที่ชมพลุ ผมกุมมือบอยอีกเป็นระยะซึ่งบอยก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร คงปล่อยให้ผมกุมมือแต่โดยดี จนการแสดงจบ ผู้คนก็ค่อยๆทยอยออกจากสนามม้า เราสองยืนรออยู่สักครู่เพราะว่าฝูงชนบริเวณใกล้ๆเรายังไม่ขยับ เราก็เลยขยับเดินไม่ได้
“มันดูใกล้เกินไปว่ะ เห็นแต่สะเก็ดไฟบานเต็มไปหมด เมื่อยคออีกต่างหาก” ผมอดบ่นไม่ได้ เพราะถ้าดูในสนามม้าก็เหมือนกับยืนดูอยู่ใต้พลุ ภาพที่เห็นก็จะเป็นแบบหนึ่ง เหมือนยืนอยู่ใต้ดอกเห็ด แต่ถ้าดูในระยะที่ไกลออกไปก็จะทำให้เห็นรูปทรงต่างๆของพลุที่แตกระเบิด เหมือนกับการดูดอกเห็ดบานจากระยะห่างๆ ผมว่าถ้าดูจากระยะไกลน่าจะสวยกว่ามากทีเดียว
“เฮอะ” ไอ้น้องบอยแค่นเสียง ทำหน้าเซ็งๆ “บอยบอกพี่อูแล้วว่าให้ดูอยู่ข้างนอก เห็นไหม ไม่เชื่อบอย นึกว่าเป็นพี่แล้วต้องทำอะไรถูกเสมอเหรอ”
ผมหันไปมองมัน บอยตัวเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย หูของมันอยู่ที่ระดับปากของผมพอดีผมจึงเป่าลมหายใจเข้าไปในหูของมัน
“อึ๊อ จั๊กกระจี๋” บอยหัวเราะเสียงดัง
“อย่าเอะอะดิ อายคนอื่นเค้า” ผมดุมัน “ขี้บ่นจริงเลย เออ พี่ผิดเอง ทีหลังพี่เชื่อนายก็ได้ พอใจหรือยัง”
บอยยิ้มอย่างพออกพอใจ “พูดงี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
เมื่อขามาตอนที่มาดูพลุว่าลำบากแล้ว ตอนขากลับยิ่งลำบากกว่า รถเมล์แน่นจนจอดรับผู้โดยสารไม่ได้ แท็กซี่ สามล้อมีเท่าไรก็ถูกคนแย่งกันเรียกไปจนหมด ผู้ชมส่วนใหญ่ต้องเดินออกไปไกลๆเพื่อไปขึ้นรถยังบริเวณอื่น ผมกับบอยต้องเดินจากสนามม้านางเลิ้งไปทางสะพานยมราชและข้ามแยกไปอีก กว่าจะได้ขึ้นรถก็แถวๆหน้าโรงหนังโคลีเซี่ยม โรงหนังแห่งนี้ปัจจุบันถูกรื้อไปนานแล้วและกลายเป็นจุดขึ้นทางด่วน หลังจากที่ผมรอจนบอยขึ้นรถเมล์ไปแล้วจึงเดินย้อนมาขึ้นสาย ๘ เพื่อกลับหอพักบ้าง
- - -
“เฮ้ อู แม่นายโทรมาตอนหัวค่ำแน่ะ” เสียงแป๋งทักเมื่อผมเดินเข้าไปในหอพัก วันนี้ผมเองก็รู้สึกเมื่อยอยู่เหมือนกัน จึงไม่ทันสังเกตเห็นแป๋งที่นั่งเฝ้าอยู่ชั้นล่าง
“เออ ขอบใจแป๋ง” ผมตอบ
หมู่นี้ผมไม่ค่อยได้เจอแป๋งเลย เห็นใบหน้าทะเล้นของแป๋งแล้วก็อดนึกถึงฉากเสียวที่เคยมีกับแป๋งไม่ได้ อยากจะถามมันเหมือนกันว่าทำไมหมู่นี้ไม่เห็นแวะไปที่ห้องผมบ้าง แต่ก็ไม่กล้าถาม
“กลับดึกทุกคืนเลยนะ” แป๋งพูดอีก
“ทำไมนายรู้วะ เราไม่ยักเห็นนายเลย” ผมสงสัย
“ก็เราเฝ้าข้างล่างตอนหัวค่ำ แล้วขึ้นนอนก่อนนายกลับ นายก็ไม่เห็นดิ” แป๋งตอบ
หลังจากที่ผมกลับถึงห้องพักก็ได้ยินเสียงแป๋งเรียกผมทางอินเตอร์คอม เสียงดังลั่นไปทั่วทั้งชั้น ๔
“เด็กชายอู มีโทรศัพท์”
ผมนึกด่าไอ้แป๋งในใจที่มันแกล้งเรียกผม จากนั้นวางเป้และรีบลงไปข้างล่างเพื่อรับโทรศัพท์ ผู้ที่โทรมาจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากแม่นั่นเอง
“อู ทำไมเดี๋ยวนี้เป็นยังงี้ล่ะ ตั้งแต่มาอยู่หอพัก กลับดึกทุกวัน แม่โทรมาไม่ค่อยเจออูเลย ให้โทรกลับก็ไม่โทร” เมื่อผมรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงแม่ต่อว่ามาเป็นชุด
“แม่เป็นไงบ้างอะ สบายดี” ผมเฉไปพูดเรื่องอื่น
“จะสบายได้ไง ก็เป็นห่วงอูนี่แหละ อูไปอยู่ไหนมาถึงได้กลับดึกทุกวัน” เสียงแม่ย้ำคำถามเดิม
ผมอึกอัก นึกว่าจะตอบยังไงดี
“ก็... เอ้อ กลับมาที่ห้องเร็วมันก็เหงาน่ะแม่ อูเลยอยู่ทำกิจกรรมที่โรงเรียน” ผมพูดจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง กิจกรรมที่โรงเรียนน่ะไม่ใช่ แต่ว่าเป็นกิจกรรมใกล้ๆโรงเรียนเสียมากกว่า
“กิจกรรมอะไรเลิกดึกๆดื่นๆ” แม่ยังไม่ค่อยเชื่อ
“ก็ไม่ได้เลิกดึกหรอกแม่ ค่ำๆก็กลับแล้ว แต่ว่ากว่าจะนั่งรถ กว่าจะกินข้าว ก็เลยเข้ามาช้า บางวันอูเหนื่อยก็เลยไม่ได้โทรกลับไปหาแม่” ผมเฉไฉไปเรื่อย
แม่ยังบ่นผมอีกหลายกระบุง พฤติกรรมของผมทำให้แม่อดเป็นห่วงไม่ได้ เดิมทีแม่ก็ห่วงอยู่แล้วเพราะว่าผมเคยอยู่กับผู้ใหญ่มาตลอด พอมาอยู่อย่างอิสระแล้วติดต่อผมได้ยากก็ยิ่งรู้สึกห่วงมากยิ่งขึ้น
“อู ทำไมไม่โทรคุยกับป๊าเค้าบ้าง” แม่เปลี่ยนเรื่องหลังจากที่ได้บ่นมาพอสมควร
“ก็ป๊าไม่คุยกับอูเองนี่นา” ผมตอบ
ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมาอยู่กรุงเทพฯในครั้งหลังนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่มีการคุยกันแม่จะเป็นคนโทรมาหา พ่อไม่เคยโทรมาเลย ส่วนผมเองนั้นที่ไม่โทรกลับไปที่บ้านคงเป็นเพราะเกรงว่าพ่อจะรับสาย เพราะลึกๆแล้วผมยังรู้สึกน้อยใจที่ถูกพ่อไล่ออกจากบ้านอยู่ อยากจะให้พ่อโอ๋บ้างแต่พ่อก็ใจแข็ง ยิ่งนาน ความน้อยใจก็ทวีมากขึ้น
“อูพูดแบบนี้ได้ไง ยังไงอูก็เป็นลูกนะ ตอนโมโหเค้าอาจจะว่าอู แต่ใจป๊าก็ยังรักลูกอยู่ ทุกวันนี้ป๊าก็ยังส่งเสียอูทุกอย่าง ไม่ได้ปล่อยให้ไปลำบาก อูทำแบบนี้ไม่ถูกนะ” แม่ตำหนิผมซ้ำ
เราคุยกันอีกสักพัก ส่วนใหญ่เป็นผมโดนแม่ตำหนิ ความสนุกสนานจากการชมพลุหายไปจนหมด เหลือไว้แต่ความเซ็ง
“โดนดุละสิ” แป๋งพูดยิ้มๆหลังจากผมวางสาย
“เซ็งว่ะ” ผมอดหลุดปากบ่นให้แป๋งฟังไม่ได้ “บ่นจนหูชาเลย”
“แม่เราก็แบบนี้แหละ ขี้บ่นชะมัด” แป๋งแอบนินทาแม่ “ขึ้นชื่อว่าแม่คงเหมือนกันทั้งโลกมั้ง”
- - -
หลังจากที่ได้รับการเตือนสติจากอาจารย์วารี ประกอบกับการแสดงอารมณ์อันรุนแรงของเวชทำให้ผมค่อยๆได้คิดขึ้นมาว่าชีวิตที่คลุกคลีอยู่กับแก๊งของเวชและพวกอาจไม่ใช่ชีวิตที่เหมาะกับผมนัก ถ้าผมจะทำเกรดในเทอมนี้ให้ได้เกิน ๒.๕ ตามที่ได้รับปากไว้กับอาจารย์ผมคงต้องพยายามอย่างมาก
ประกอบกับถูกแม่ตำหนิ ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านมา
หลังจากนั้นมา ผมก็พยายามถอยห่างจากกลุ่มของเวชและพยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่เรื่องราวมักไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะว่าหลังจากเกิดคดีโต๊ะสนุ้กขึ้นมา เกรียงและพวกที่เหลือกลับยอมรับผมมากขึ้น บางครั้งก็ชวนผมไปเล่นสนุ้กโดยที่ผมไม่ได้ขอไปเลย ทำให้ผมลำบากใจ เพราะหากปฏิเสธไปทุกครั้งก็อาจทำให้เวชและเกรียงคิดไปว่าผมรังเกียจกลุ่มมันไปเสียแล้ว ปัญหาก็อาจตามมาอีกได้ ผมจึงใช้วิธีผ่อนหนักเป็นเบา โดยยังไปเล่นสนุ้กกับเวชและพวกบ้างในบางครั้ง แต่ก็น้อยลงกว่าแต่ก่อน โดยบางครั้งผมก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องการอ่านหนังสือและทำการบ้านเนื่องจากสัญญากับอาจารย์วารีเอาไว้ว่าจะต้องทำเกรดให้ดีขึ้นให้ได้
ผมกลับหอพักเร็วขึ้นเพื่อทำการบ้าน ผมเปลี่ยนจากการลอกการบ้านมาเป็นพยายามทำการบ้านเองเพราะถ้าไม่ทำการบ้านเองบ้างก็คงไม่เข้าใจเนื้อหา ถึงเวลาสอบก็คงทำข้อสอบไม่ได้ ดังนั้นในช่วงหลังผมจึงไม่ค่อยได้ขอต้นฉบับการบ้านจากเวชมาลอกอีก ส่วนเวชและพวกนั้นผมไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงนัก แต่ที่ว่าไม่ค่อยเห็นนี่อาจเป็นเพราะผมไม่ได้สนใจสังเกตก็เป็นได้
ผมใช้เวลากับเวชและพวกน้อยลง แต่กลับใช้เวลาขลุกกับบอยมากขึ้น ยิ่งนานเราก็ยิ่งสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งติดไอ้บอย ส่วนบอยเองก็ติดผมมากขึ้นเช่นกัน...
- - -
ปลายเดือนธันวาคม ก่อนวันคริสต์มาสเล็กน้อย
ชีวิตของผมในช่วงนี้ดูจะค่อยๆลงตัวขึ้นทีละน้อย บทพิสูจน์ว่าผมมีพัฒนาการขึ้นมาบ้างหรือไม่ก็อยู่ที่การสอบกลางภาคนี่เอง
สอบกลางภาคใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ วัน แม้ผมจะยังไม่พร้อมอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าพอมีความรู้ติดอยู่ในสมองบ้าง แตกต่างจากเมื่อก่อนที่เข้าห้องสอบด้วยสมองและหัวใจที่ว่างเปล่า
ห้องเรียนถูกจัดให้กลายเป็นห้องสอบ ความแตกต่างระหว่างห้องเรียนกับห้องสอบก็คือ ห้องเรียนตั้งโต๊ะเรียนติดกันเป็นคู่ๆ ส่วนห้องสอบตั้งโต๊ะห่างกันเป็นแถวตอนเรียงเดี่ยว นอกจากนี้ ที่นั่งของนักเรียนถูกสลับใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนลอกคำตอบกัน
การสอบผ่านมาแล้วสองวัน ผมทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะทำคะแนนได้ดีกว่าเมื่อเทอมที่แล้ว ในวันที่สองนี้มีสอบวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับผมเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ต้น แม้จะพยายามแต่ก็ยังรู้สึกว่าทำได้ไม่ค่อยดี เวชก็โวยวายว่าข้อสอบยาก ส่วนเกรียงนั้นถึงกับเอะอะเพราะว่าทำไม่ได้เอาเลย
จนมาถึงการสอบในวันที่สาม วันนี้ก็มีวิชายากอีกหนึ่งวิชา นั่นคือ ฟิสิกส์ สอบเป็นวิชาแรกเสียด้วย เช้านี้ในหัวผมมีแต่กลศาสตร์ แตกแรง ตรีโกณ ฯลฯ นั่งท่องสูตรจนดึกดื่น ไม่รู้ว่าเช้านี้จะทำข้อสอบได้ไหม
“น้องอู” ไอ้เกรียงเดินมาโอบไหล่ผมขณะที่เรายืนรออยู่ที่หน้าห้องสอบเพื่อเตรียมตัวสอบในวิชาแรก เสียงของเกรียงฟังดูนุ่มนวล เป็นมิตรกว่าทุกวัน “เมื่อวานพี่ก็ตายห่าไปวิชาหนึ่งแล้ว วิชาแม่งนี้ยากฉิบหาย เรามาร่วมมือกันดีกว่านะน้อง”
“ร่วมมือยังไงเหรอ” ผมถามอย่างงงๆ
“ก็ทำสอบเป็นทีมสิวะ” เกรียงพูดหน้าตาเฉย “ช่วยๆกัน ถ้าได้ไม่ถึง ๒.๕ ละก็ตายห่าแน่ เวลาฝิ่นผ่านมาทางมึง ได้ข้อไหนช่วยเขียนคำตอบลงไปด้วย ทำแบบนี้เราจะสอบได้กันหมด เข้าใจไหมน้อง”
ความหมายของเกรียงก็คือจะให้ผมอยู่ในขบวนการส่งฝิ่นนั่นเอง ดูท่าพวกที่อยู่ในแก๊งสนุ้กเกอร์คงตกลงใจว่าจะร่วมมือกันทั้งหมด
ผมไม่ตอบอะไร จากนั้นเมื่อถึงเวลาก็เดินเข้าห้องสอบไป
ที่นั่งสอบของผม เวช และเกรียง แม้ไม่อยู่ติดกันแต่ก็ห่างกันเพียงสองสามโต๊ะ เวชอยู่หน้าผม ส่วนเกรียงอยู่เฉียงไปทางด้านซ้ายมือของผม ข้อสอบวิชาฟิสิกส์นี่ยากจริงๆในความคิดของผม แม้จะยาก แต่ผมก็ต้องพยายาม
เมื่อทำข้อสอบไปได้สักชั่วโมง ผมก็รู้สึกว่ามีกระดาษชิ้นเล็กๆตกลงมาบนโต๊ะสอบของผม
มันเป็นกระดาษที่พับทบกันหลายทบ เพื่อนข้างหน้าเป็นผู้โยนมาให้ เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆก็เห็นเวชที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมไปสองสามโต๊ะแอบหันมาหลิ่วตาให้ ครั้นเมื่อมองไปทางซ้ายมือถัดไปสองสามโต๊ะก็เห็นไอ้เกรียงกำลังหลิ่วตาให้ผมเช่นกัน
ไม่ต้องคลี่กระดาษบนโต๊ะดูผมก็รู้ว่ามันคืออะไร ผมมองกระดาษชิ้นนั้นพร้อมกับหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต...
ไอ้ตี๋ถูกนักสืบจิวางแผนจนจับขโมยได้ ในขณะที่ตี๋ถูกสังคมเพื่อนๆประนามเพราะขโมยเงินเพื่อน แต่จิที่ขายหนังสือโป๊ะและส่งฝิ่นในตอนสอบกลับได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ผมมีความรู้สึกฝังใจกับความอยุติธรรมในครั้งนั้นมาตลอด ดังนั้น แม้ว่าผมจะดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือทำตัวไม่ดีในหลายๆเรื่องโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับเรื่องส่งฝิ่นนั้นผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อีกประการ ถ้าถูกจับได้ผมต้องสอบตกในวิชานั้น ดีไม่ดีอาจถูกพักการเรียน อนาคตของผมคงต้องดับวูบลงไป
ผมตัดสินใจโยนกระดาษชิ้นนั้นลงกับพื้นห้องให้ไกลจากบริเวณโต๊ะของผมทันที กระดาษไปตกอยู่ที่ข้างโต๊ะของไอ้คนที่ส่งมาให้ผมนั่นเอง ทีแรกไอ้คนข้างหน้าไม่รู้อะไรก็ปล่อยให้กระดาษตกอยู่ที่พื้น แต่เมื่อมันสังเกตเห็นเข้ามันก็รีบเอาเท้าเขี่ยมาใต้โต๊ะและเหยียบเอาไว้ทันทีเพราะเกรงอาจารย์จะเดินมาเห็นเข้า
“ไอ้อู” ผมได้ยินเสียงแว่วๆมาเข้าหู ชรอยจะเป็นเสียงของไอ้เกรียง แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบไปเรื่อยๆ
- - -
เมื่อหมดเวลาสอบวิชาฟิสิกส์ ผมส่งกระดาษคำตอบเกือบเป็นคนสุดท้ายเพราะว่าทำไม่ทัน ทันทีที่ผมเดินออกมาหน้าห้อง ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรมาค้ำคอผมและดันผมจนเซไปติดกำแพงห้องทันที

<ภาพซ้าย โรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยม ตั้งอยู่ใกล้สะพานยมราช โรงภาพยนตร์เก่าแก่แห่งนี้เคยฉายทั้งหนังไทยและหนังเทศ ต่อมาเลิกกิจการไป และถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางด่วนในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ภาพขวาเป็นภาพที่ตั้งเดิมของโรงภาพยนตร์ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดขึ้นทางด่วน>