ปริญญ์เป็นเด็กหน้าตี๋ แต่ตี๋แบบไม่ค่อยหล่อ ตัวไม่สูงไม่เตี้ย นั่งอยู่ในช่วงกลางๆห้อง ผมแข็งชี้เด่เหมือนขนเม่น แขนซ้ายของปริญญ์ลีบเล็ก ใช้งานไม่ค่อยได้ ชื่อเล่นของปริญญ์ชื่อว่าตี๋ แต่ไม่ค่อยมีใครเรียก เพื่อนๆส่วนใหญ่เรียกมันว่า ไอ้ลีบ
ปริญญ์เป็นเด็กแข็งๆ คือนิสัยออกจะแข็งบ้างนิดหน่อย กวนๆ แต่ไม่ถึงกับก้าวร้าวหรือว่าเกเร ส่วนใหญ่เพื่อนๆเรียกมันว่าไอ้ลีบ มีเพื่อนไม่กี่คนในห้องที่เรียกมันว่าตี๋ คนหนึ่งในนั้นก็คือผม เพราะผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ควรเอาความพิการของคนอื่นมาล้อเลียน แต่เด็กก็คือเด็ก บางครั้งผมก็เผลอเรียกมันว่าไอ้ลีบด้วยความคะนองปากบ้างเหมือนกัน
ในช่วงบ่ายวันศุกร์ อาจารย์ประจำชั้นของเราเข้ามาเพื่อดำเนินการเลือกหัวหน้าห้อง ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มา อาจารย์ยังไม่ได้เลือกตั้งหัวหน้าห้อง เพราะเห็นว่าพวกเรายังไม่รู้จักกัน จึงปล่อยให้พวกเราทำความคุ้นเคยกันก่อน แล้วจึงมาเลือกกันในวันศุกร์
คนที่ถูกเพื่อนๆเสนอชื่อมี 3 คน คนแรกคือดิษฐ์ ดิษฐ์เป็นคนที่ค่อนข้างป๊อบในหมู่เพื่อนฝูง ทั้งรูปหล่อ หุ่นดี อีกทั้งนิสัยร่างเริง ค่อนข้างสมบูรณ์พร้อมในสายตาของเพื่อนๆ
คนที่สองคือพจน์ แม้ไอ้พจน์จะเป็นคนเงียบๆ คุยน้อย แต่ก็ดูมีมาดแบบเด็กเรียนเก่ง ดังนั้นจึงได้ใจเพื่อนฝูงไปพอสมควร
“เสนอกันแค่นี้เองเหรอ” อาจารย์ประพิมพ์พูด หลังจากที่เพื่อนๆเสนอชื่อกันแค่สองคน “เสนอกันมาอีก ให้มันคึกคัก สมกับเป็นประชาธิปไตยหน่อย”
“ผมขอเสนอพงศ์ครับ” อ้วนจอมซ่าส่งเพื่อนเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าชั้นบ้าง
“ว้าย จะบ้าเหรอ ชั้นไม่เอานะยะ แกอยากเสนอก็เสนอตัวเองดิ” ไอ้พงศ์เผลอร้องออกมา
“นี่ นายพงศ์ พูดจาให้มันดัดจริตน้อยๆหน่อย ครูหมั่นไส้เธอจัง” อาจารย์ประพิมพ์พูดแบบขำๆ เรียกเสียงฮาได้ลั่นห้อง
หลังจากที่ไม่มีใครเสนอชื่อเพิ่มแล้ว อาจารย์ประพิมพ์ก็ให้ทุกคนเขียนชื่อคนที่ตนต้องการเลือกเพียงคนเดียว ลงในกระดาษชิ้นเล็กๆ ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง ผู้ที่คะแนนรองลงมาจะได้เป็นรองหัวหน้าห้อง
ผลการเลือกตั้ง ดิษฐ์ได้คะแนนนำแบบหลุดลุ่ย ส่วนพงศ์นั้นได้คะแนนมาเพียงสามสี่คะแนนเท่านั้น ดังนั้น เป็นอันว่าดิษฐ์ได้เป็นหัวหน้าห้อง ส่วนพจน์เป็นรองหัวหน้าห้อง
งานชิ้นแรกของหัวหน้าห้อง ที่อาจารย์ประจำชั้นมอบหมายให้ทำก็คือ เป็นคนดำเนินการสั่งซื้อชุดพลศึกษา
ชุดพลศึกษาที่ว่าก็คือเสื้อยืดซึ่งมีตราโรงเรียน และกางเกงขาสั้นผ้าร่ม แบบกางเกงบอล ใช้สำหรับใส่ในวิชาพลศึกษาซึ่งมีเรียนสัปดาห์ละครั้ง ดิษฐ์กับพจน์ต้องเป็นคนรวบรวมจำนวน ขนาดเสื้อและกางเกงของแต่ละคน และเงิน เพื่อสั่งซื้อ และต้องรวบรวมให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันศุกร์นั้นเลย
- - -
สัปดาห์แรกในโรงเรียนใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี ผมไปกลับพร้อมกับไอ้นัยทุกวัน แต่หลังจากที่ไปหาไอ้ชัชในวันก่อนแล้ว ผมกับไอ้นัยก็ยังไม่ได้ไปหามันอีก เพราะเกรงว่าจะกลับบ้านไม่ทันหกโมงเย็น
ส่วนเวลาพักเที่ยงนั้น ผมกับไอ้นัยจะไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน โดยมีโหนกเข้ามาร่วมด้วย แต่ที่จริงเรื่องกินข้าวนั้น กินหรือไม่กินด้วยกันก็ไม่ค่อยแตกต่างอะไรนัก เพราะเวลาที่ใช้อยู่ในโรงอาหารเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากความแออัด หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้วก็แยกย้ายกันไป หลังอาหารเที่ยง บางวันผมก็ไปนั่งคุยเล่นกับเพื่อนในห้อง บางวันก็ไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดกับไอ้นัย ส่วนโหนกนั้นก็มักคอยตามผมอยู่เสมอ
วันหยุดสุดสัปดาห์ ผมใช้เวลาหมดไปกับการช่วยทำงานบ้าน และทำการบ้าน แต่มันก็ยังมีเวลาเหลือ ซึ่งไม่รู้ว่าจะฆ่าเวลาอย่างไรดี แต่ก่อนผมเบื่อการบ้านมาก แต่ตอนนี้ กลับรู้สึกดีกับมัน เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้ผมผ่านเวลาไปได้ วันหยุดเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเซ็ง ต่างจากตอนอยู่หอลิบลับ
- - -
ในสัปดาห์ที่สองของการเรียน เราเริ่มมีการเรียนวิชาพลศึกษากัน สัปดาห์ที่แล้วเป็นเพียงการแนะนำ แต่ไม่มีการเรียน เพราะยังไม่มีชุดพลศึกษา
วิชาพลศึกษาของห้องเราเป็นวันอังคาร ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ดิษฐ์ไปรับชุดมา ดังนั้นก็หมายความว่าได้มาแล้วก็ใส่เลย ไม่ต้องซักเสียก่อนแต่อย่างใด
วิชาพลศึกษาเรียนกันในโรงยิม ซึ่งเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ น่าจะเก่าแก่พอๆกันกับตึกเรียนของผม วันนั้น อาจารย์พลศึกษาเดินมารับพวกถึงที่ห้อง
“วันนี้ครูมาพาพวกเธอไป ต่อไปหัวหน้าชั้นตั้งแถวแล้วเดินกันไปเองนะ” อาจารย์พูด “เอ้า เปลี่ยนชุดได้ จะได้ไปกันเสียที”
“เปลี่ยนยังไงฮะอาจารย์” ไอ้พงศ์จีบปากจีบคอถาม
“ก็ถอดชุดนักเรียนออก แล้วใส่ชุดพละไง” อาจารย์บอก
“ว้าย โป๊แย่” ไอ้พงศ์ปากกว้างโวย เพื่อนๆฮากันครืน
อาจารย์มองไอ้พงศ์ด้วยความหมั่นไส้
“ก็ปิดประตู แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้ชายด้วยกันจะอายทำห่าอะไร” อาจารย์พูด ครูพละก็ยังงี้แหละ พูดจาง่ายๆ แบบธรรมชาติ ไม่ต้องระวังคำพูดนัก
“ก็มันไม่ใช่ผู้ชายนี่ครับอาจารย์” ไอ้อ้วนพูดเสียงดัง เพื่อนๆฮากันอีก ส่วนไอ้พงศ์ทำปากหมุบหมิบ อ่านปากคล้ายกับกำลังพูดว่าเสือก
หลังจากนั้นพวกเราก็ปิดประตูห้องเรียน แต่ละคนถอดชุดนักเรียนออก เหลือแต่กางเกงใน แล้วเปลี่ยนเป็นชุดพลศึกษา ผมลอบชำเลืองสายตาไปยังส่วนกลางลำตัวของเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ใส่กางเกงในแอ๊ปเปิ้ลกัน เพราะช่วงนั้นยังนิยมกันอยู่ กางเกงในที่ทอแบบรัดรูป ช่วยขับเน้นให้เห็นท่อนลำของเพื่อนแต่ละคนได้ชัดเจนขึ้น
คนที่ผมสนใจเหลือบมองก็คือดิษฐ์ แต่ไม่กล้าชำเลืองมาก เพราะกลัวเพื่อนๆสังเกตพบ ดิษฐ์มีเรือนร่างที่สมส่วน มีกล้ามพองาม เหมือนพวกเด็กที่เล่นกีฬา และที่สำคัญ เป้ากางเกงในที่ผมแลเห็นนั้นตุงออกมามาก
เพียงแว่บเดียว ผมก็ต้องรีบละสายตาออกมา หนึ่งนั้นกลัวเพื่อนเห็น สองนั้นผมรู้สึกว่าท่อนลำของผมเริ่มขยายตัว ขืนดูต่อไป มันคงโด่ออกมาตุงกางเกงผ้าร่มที่ใส่อยู่เป็นแน่
วิชาพลศึกษาในเทอมนั้น เราเรียนยิมนาสติกกัน เมื่อเราเดินไปเข้าไปในโรงยิม ก็พบว่ามุมหนึ่งของโรงยิมมีเบาะขนาดใหญ่ปูต่อกันอยู่นับสิบชิ้น มุมนี้เป็นที่เรียนยิมนาสติกของพวกเรา รวมทั้งเป็นที่เรียนยูโดของมัธยมปลายด้วย ส่วนมุมอื่นๆในโรงยิมนั้นก็ใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมกีฬาอย่างอื่น เช่น บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล ฯลฯ
ชั่วโมงแรกในโรงยิม เราเรียนกันเพียงแค่การอบอุ่นร่างกาย หลังจากนั้น เราก็กลับมาเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนที่ห้องอีก ซึ่งผมก็อาศัยเวลาอันน้อยนิด สำรวจเรือนร่างของเพื่อนๆอีกเช่นเคย

<หน้าต่างของอาคารที่ผมเรียนอยู่ บานหน้าต่างเป็นไม้หนา มีขนาดใหญ่ เวลาเปิดหน้าต่างใช้ระบบตะขอสับแบบดั้งเดิม>