และแน่นอน เรื่องเซ็กซ์นั้นไม่ต้องนับ เพราะว่ามันเยอะจนไม่ได้นับ เราเล่นประตูหลังกันได้เพียงสองวันแรกเท่านั้น ส่วนที่เหลือหลังจากนั้นก็ผลัดกันใช้มือและปาก เพราะว่าแสบก้นจนทนไม่ไหว มีเลือดออกกันทั้งคู่ ไอ้นัยยังอาจจะทนไหว เพราะผมทำมันเบาๆ แต่ผมนั้นทนรับไอ้นัยอีกไม่ไหวแล้ว
เรามีเซ็กซ์กันในช่วงนั้นเยอะมาก วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง เท่าที่จะมีอารมณ์ จนวันสุดท้าย เราก็ได้แค่นั่งเล่นกันเฉยๆ เพราะว่าจู๋บวมและถลอกกันทั้งสองคน ของผมนั้นพอเวลาแข็งตัวจะรู้สึกแสบทั้งข้างนอกและข้างใน ใส่กางเกงในก็ไม่ได้เพราะว่าเมื่อโดนกางเกงในรัดแล้วจะเจ็บ
ปิดเทอมปีนั้นนับว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผมอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งผมยังจดจำมันได้อย่างตราตรึง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ปิดเทอมตอน ป.๖ ต่างจากปิดเทอมตอน ป.๕ อยู่บ้าง ตรงที่ไม่มีไอ้ชัช อีกอย่าง ในแง่ความรู้สึกลึกๆแล้วมันก็มีความแตกต่างกันอยู่ ปีที่แล้วเรายังเป็นเด็กที่โลกมีแต่ความบริสุทธิ์ สดใส แต่มาในปีนี้ เราได้เรียนรู้ถึงความทุกข์ ความกังวล ความไม่สมหวังในชีวิต อันทำให้ผมมองโลกแตกต่างไปจากเมื่อปีที่แล้ว
ห้าวันผ่านไป ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องจากกัน พ่อพาไอ้นัยกลับกรุงเทพฯโดยมีผมนั่งติดรถไปด้วย พ่อเข้ากรุงเทพฯในครั้งนี้นอกจากจะมาส่งไอ้นัยแล้ว ยังจะมารับเอ๊ดซึ่งสอบเสร็จและปิดเทอมแล้วกลับบ้านไปด้วย
เราไปส่งไอ้นัยกันก่อน ผมพาไอ้นัยไปส่งจนถึงปากประตูบ้าน
“เปิดเทอมเจอกัน” ไอ้นัยบอก พลางจับมือผมบีบแน่น น้อยครั้งนักที่มันจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่วันนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้น
“แล้วกูจะเขียนจดหมายถึงมึง” ผมบอก พลางบีบมือมันแน่นเช่นกัน เรื่องความรู้สึกนั้นไม่ต้องพูดถึง เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านตอนปิดเทอม ผมจะรู้สึกสบายและอยากให้ปิดเทอมนานๆ เพราะถึงอย่างไรอยู่บ้านก็สบายกว่าอยู่ที่หอโรงเรียนประจำ แต่ปีนี้ เป็นปีที่ผมเร่งวันเร่งคืน อยากให้ถึงวันเปิดเทอมเร็วๆ เพราะนอกจากจะได้เจอไอ้นัยแล้ว ผมยังจะได้เจอเพื่อนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น
หลังจากที่ไอ้นัยกลับไปแล้ว ผมก็ใช้เวลาในวันปิดเทอมส่วนหนึ่งหมดไปกับการเขียนจดหมาย เขียนถึงไอ้นัยกับไอ้ชัชนั่นแหละครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีอะไรทำ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดถึงเพื่อน ผมยังมีความรู้สึกผิดกับไอ้ชัชอยู่ จึงเขียนจดหมายไปหามันค่อนข้างถี่ เล่าโน่นเล่านี่ให้มันฟัง มันเองก็ตอบมาเพียงนิดๆหน่อยๆเหมือนเคย แต่ถึงกระนั้นผมก็รู้ว่ามันชอบและดีใจที่ผมเขียนไป บางครั้งผมก็ขอพ่อโทรศัพท์ไปหามันบ้าง มันก็คุยจ้อไม่หยุด แถมด้วยการพูดจาแบบยียวนกวนประสาทเช่นเดิม
ผมใช้เวลาอยู่ที่บ้านจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นก็มีเรื่องต้องขึ้นล่องกรุงเทพฯ โรงเรียนจะเปิดเทอมในตอนกลางเดือนพฤษภาคม ดังนั้น ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทั้งพ่อ แม่ เอ๊ด และผมมีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่างเกี่ยวกับปีการศึกษาใหม่ ตั้งแต่การมอบตัวและลงทะเบียนเรียน ซื้อหนังสือเรียน ซื้อชุดนักเรียนใหม่ ฯลฯ
การเปลี่ยนจากนักเรียนโรงเรียนเอกชนมาเป็นนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลนั้น ทำให้การเตรียมตัวของผมแตกต่างไปจากปีก่อนๆ อย่างเรื่องเสื้อผ้า เสื้อนักเรียนนั้นต้องไปปักหน้าอกแบบใหม่ ที่โรงเรียนเก่านั้นต้องปักชื่อย่อของโรงเรียนพร้อมรหัสประจำตัวนักเรียนด้วยสีแดง ส่วนที่โรงเรียนใหม่นี้ปักเพียงแค่ชื่อย่อของโรงเรียนเท่านั้น และเป็นสีน้ำเงิน
กางเกงก็ต้องไปซื้อใหม่ เพราะว่าเปลี่ยนจากสีน้ำเงินมาเป็นสีดำ แต่เรื่องชุดนักเรียนนั้น ถึงอยู่โรงเรียนเดิมก็ต้องซื้อใหม่ทั้งหมดอยู่ดี เพราะตัวผมสูงขึ้น ชุดนักเรียนเก่าใส่ไม่ค่อยพอดีแล้ว
ส่วนเข็มขัดนั้นเดิมนั้นเป็นเข็มขัดหนังสีดำ หัวเข็มขัดเป็นตราโรงเรียน หัวเข็มขัดอันหนึ่งก็เป็นร้อยบาท แต่ที่โรงเรียนรัฐนี่ใช้เข็มขัดหนังสีดำ หัวเข็มขัดทองเหลืองธรรมดา หาซื้อได้ทั่วไป ทั้งเส้นไม่กี่สิบบาท
เรื่องเสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆนี่เอง ทำให้แม่ต้องเข้ากรุงเทพฯมาด้วย เพราะว่าพ่อเลือกซื้อไม่เป็น ต้องให้แม่เป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นพ่อเป็นคนจัดการ เรื่องอื่นๆที่ว่านั้นมีตั้งแต่มอบตัว ลงทะเบียนเรียน ซื้อหนังสือเรียน รวมทั้งพาผมไปรู้จักกับเพื่อนของพ่อที่เอ๊ดมาพักอาศัยอยู่ด้วย เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะต้องมาพักอยู่ที่นี่
เรื่องการย้ายโรงเรียนของผมเป็นเรื่องที่พ่อค่อนข้างหนักใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องโรงเรียน แต่อยู่ที่เรื่องที่พัก ในระหว่างปิดเทอม บางครั้งพ่อก็ยังบ่นถึงเรื่องการที่ผมย้ายโรงเรียนอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าอยู่ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องมาย้ายโรงเรียนให้ยุ่งยาก ซึ่งผมเองตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าการที่พ่อฝากเอ๊ดเอาไว้คนหนึ่งแล้ว การฝากผมให้พักอยู่ด้วยอีกสักคนมันจะยุ่งยากตรงไหน ก็เป็นความคิดตามประสาเด็กนั่นแหละครับ
“อู มาอยู่นี่แล้วต้องทำตัวดีๆนะ ไม่อย่างนั้นเอ๊ดจะเดือดร้อนไปด้วย” เอ๊ดพูดกับผมเกี่ยวกับที่พักใหม่ของผมในกรุงเทพฯ ขณะที่เราเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในตอนต้นเดือนพฤษภาคม
“แล้วที่อูทำตัวอย่างนี้มันไม่ดีพอเหรอ” ผมต่อปากต่อคำกับเอ๊ด
เอ๊ดอึ้งไป
“ลุงกับป้าเค้าเป็นคนเจ้าระเบียบน่ะอู” แม่ช่วยพูด
“แล้วทำไมเอ๊ดอยู่ได้ละครับ เอ๊ดอยู่ได้ อูก็ต้องอยู่ได้” ผมยังไม่เข้าใจ
พ่อทำปากจึ๊กจั๊ก คล้ายกับไม่ค่อยสบอารมณ์กับคำพูดของผม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้แม่พูดต่อไป
“อยู่น่ะอยู่ได้ แต่อยากให้อูทำตัวให้เรียบร้อยกว่านี้ ต้องทำตัวแบบพี่เค้า ถึงจะอยู่ได้อย่างสบายใจ” แม่พูด
ตอนนี้ผมยิ่งเริ่มไม่เข้าใจ ว่าความประพฤติของผมไม่เรียบร้อย และแตกต่างจากเอ๊ดตรงไหน แต่วันเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อปีที่แล้ว ได้ทำให้ผมเติบโตขึ้น ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าที่บ้านใหม่ของผมนี้ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ แม้ผมจะยังไม่เข้าใจก็ตาม

<ที่ริมบึงอันสุขสงบ ทิวทัศย์งดงามราวกับภาพวาด>