Wednesday, December 15, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 17

ที่หน้าคณะศิลปศาสตร์

คณะศิลปศาสตร์ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัยซึ่งปกติผมไม่ค่อยได้เคยเดินผ่านนัก คณะนี้ก็คล้ายๆกับคณะเทคโนที่ผมเรียนอยู่ คือเป็นคณะที่แยกออกมาตั้งใหม่ในช่วงเวลาใกล้ๆกันกับคณะเทคโน แต่คณะนี้ต่างออกไปตรงที่ได้พื้นที่ใหม่ในการตั้งคณะ ดังนั้นตึกของคณะศิลปกรรมจึงเป็นตึกที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทำให้รู้สึกว่าใหม่ ทันสมัย และน่าเรียน แต่จะว่าไปก็ขาดบรรยากาศขลังๆแบบที่มีอยู่ในอาคารรุ่นเก่า

“พี่ครับ ผมมาหาพี่เหล่งปีสามครับ” ผมเอ่ยปากทักทายหนุ่มนักศึกษารุ่นพี่ผมยาวสยายแถมยังหยิกหยอยสไตล์ติสต์คนหนึ่ง

“เรียนแผนกไหนละน้อง ที่นี่มีตั้งหลายแผนก แต่ละแผนกก็อยู่กันคนละชั้น” ติสต์หนุ่มผมหยอยถามกลับ

เออ นั่นสินะ อยู่แผนกอะไรก็ไม่รู้ ผมก็ลืมถาม พี่เหล่งก็ไม่ได้บอก บอกเพียงแต่ว่าหลังจากงานน้องใหม่ให้มาหาที่คณะ จะพาไปเลี้ยงรับน้อง ผมก็ผัดผ่อนกับตนเองเรื่อยมาเพราะติดโน่นติดนี่มาตลอด จนสอบกลางภาคเสร็จแล้วนั่นแหละจึงได้มาหาในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง เดิมทีคิดว่าคณะศิลปกรรมก็คือพวกที่เรียนปั้นๆวาดๆ คล้ายกับเพาะช่างที่อยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนเก่าของผม ไม่ได้คิดว่าจะมีการแบ่งออกเป็นหลายแผนก

“ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่เหล่งเป็นพี่รหัสผมน่ะครับ เคยเจอกันหนเดียวเองตอนงานรับน้อง” ผมอธิบาย

แม้รุ่นพี่ติสต์คนนี้จะดูหลุดโลกอยู่บ้างแต่นิสัยกลับน่ารัก เมื่อรู้ว่าผมมาหาพี่รหัสก็ช่วยผมหาด้วยการเดินไปถามคนนั้นคนนี้ให้ จนท้ายที่สุดก็พาผมมาอยู่ที่หน้าห้องพักนักศึกษาสาขาดนตรีสากล ชั้นนั้นทั้งชั้นมีแต่ห้องซ้อมดนตรี บางห้องมีเสียงไวโอลินลอดออกมา บางห้องก็มีเสียงเครื่องเป่า บางห้องก็มีเสียงเปียโน

“เอ้า ห้องนี้แหละ” พี่ติสต์พูดกับผม ห้องพักนักศึกษาเปิดประตูค้างเอาไว้ เมื่อผมชะโงกเข้าไปมองในห้องก็เห็นพี่เหล่งกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ในห้องพัก ผมไม่ลืมที่จะขอบคุณพี่ติสต์จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนั้น

เมื่อพี่เหล่งเห็นผมก็จำผมได้และทักทายด้วยความดีใจ

“ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ล่ะอู พี่คอยอยู่หลายสัปดาห์แล้ว” แม้พี่เหล่งจะดีใจแต่ก็ยังอดพูดเป็นเชิงตัดพ้อไม่ได้

“ช่วงก่อนกิจกรรมเยอะน่ะครับ เลยไม่ได้มาหาพี่” ผมตอบ นึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำให้พี่รหัสต้องคอยอยู่เป็นเวลานาน “ขอโทษครับ”

พี่เหล่งบอกว่าไม่เป็นไรจากนั้นก็พาผมลงไปที่ซุ้มขายขนมและเครื่องดื่มที่อยู่ใต้ตึก ตอนนั้นใกล้เวลาเย็นแล้ว ม้าหินแถวซุ้มจึงว่างโล่ง เราสองคนสั่งน้ำปั่นกันคนละแก้วจากนั้นก็มานั่งคุยกัน

“วันนี้กินน้ำปั่นไปก่อนก็แล้วกัน วันไหนอูว่างก็นัดกันแล้วพี่จะพาไปเลี้ยงที่สยามสแควร์” พี่เหล่งบอก สาวศิลปกรรมผู้นี้มีน้ำใจกับน้องรหัสมากถึงขนาดจะพาไปเลี้ยงที่สยามสแควร์เลยทีเดียว

“แค่นี้ก็ถือว่าเลี้ยงแล้วละครับพี่ ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก” ผมตอบ

“ไม่ได้สิ น้องรหัสทั้งคน จะเลี้ยงแค่น้ำปั่นได้ไง” พี่เหล่งยืนกราน จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “อ้อ อูสอบมิดเทอมเสร็จหรือยัง แล้วเป็นไงบ้าง”

ช่วงที่สอบกลางภาคก็สอบกันทั้งมหาวิทยาลัย พี่เหล่งถามคงอยากรู้ว่าน้องรหัสคนนี้ใส่ใจการเรียนขนาดไหนนั่นเอง

“แย่ พี่” ผมตอบตามตรง “ต้นเทอมเอาแต่เล่น ทำสอบไม่ค่อยได้เลยครับ”

“ปีหนึ่งก็ยังงี้แหละ” พี่เหล่งปลอบใจ “เข้ามาใหม่ๆก็เอาแต่สนุก เมื่อจะสอบจึงค่อยได้คิด รอดูผลสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หลังจากที่แนะนำตัวกันโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าพี่เหล่งนั้นเรียนในสาขาดนตรีสากล ผมคิดว่าคณะนี้มีแต่เรียนจิตรกรรมกับประติมากรรมเสียอีก ที่แท้ยังมีดนตรีไทยและดนตรีสากลอีกด้วย แถมเครื่องดนตรีที่พี่เหล่งถนัดก็คือเปียโน

“พี่เล่นเปียโนเหรอครับ” ผมกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ผมก็เคยเรียนมา”

เมื่อเราเล่นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันก็ดูเหมือนกับว่าเรายิ่งสนิทสนมและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ผมเล่าให้ฟังว่าเคยเรียนเปียโนตอนอยู่มัธยมจากนั้นก็หยุดเรียนไป พี่เหล่งก็เล่าให้ฟังว่าเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กโดยไปเรียนที่บ้านของครูดนตรีเป็นการส่วนตัว ไม่ได้เรียนในโรงเรียนดนตรี รวมทั้งที่บ้านก็มีเปียโนด้วย เรียนมาหลายปีจนรู้สึกชอบ เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงเลือกเรียนต่อทางสายดนตรี

“วันหลังผมแอบมาเล่นเปียโนที่นี่บ้างได้ไหมครับ” ผมถามเล่นๆ

“ถ้าตอนเย็นๆว่างก็ลองมาดูสิ” พี่เหล่งตอบ “ถ้าพี่อยู่และมีเปียโนว่างจะมาเล่นบ้างก็ได้ พี่จะแบ่งคิวซ้อมของพี่ให้อูเล่น”

ความจริงใจของพี่รหัสคนนี้ทำให้ผมรู้สึกประทับใจมาก หลังจากที่คุยกันอีกสักพัก จนได้เวลาเย็นเราสองคนจึงแยกย้าย ก่อนกลับพี่เหล่งให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผมด้วย

“ว่างก็มาหาพี่อีกนะ จะมาวันไหนโทรมาบอกล่วงหน้า แล้วไปหาอะไรกินที่สยามสแควร์กัน” พี่เหล่งกำชับ

กว่าที่ผมจะแยกจากพี่เหล่งก็เป็นเวลาเย็นแล้ว พี่เหล่งกลับขึ้นไปที่ห้องพักนักศึกษาส่วนผมก็เดินทางกลับหอพัก พร้อมกับนึกดีใจที่ผมได้พี่เหล่งเป็นพี่รหัส ท่าทางจะเอาใจใส่ดูแลน้องรหัสดี ไม่แน่ว่าต่อไปผมอาจมีโอกาสได้มาจิ้มเปียโนเล่นที่นี่บ้าง หลังจากที่หยุดเรียนเปียโนไปเมื่อตอนมัธยมปลายแล้วผมก็ยังคิดถึงวันเวลาเมื่อตอนที่ไปเรียนดนตรีอยู่เสมอ สำหรับผมแล้วชอบการเรียนดนตรีอยู่ไม่น้อยเลย ศิลปะและดนตรีการดูเหมือนจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจได้อย่างที่พูดกันจริงๆ

ผมเดินลัดสนามหญ้าขนาดใหญ่เพื่อไปยังประตูทางออกของมหาวิทยาลัย สนามหญ้าผืนนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้จะเดินลัดผ่านก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อย ปกติยามเย็นที่สนามหญ้านี้มักมีนักศึกษามาซ้อมฟุตบอลกัน การเดินลัดสนามมักต้องคอยระวังลูกฟุตบอลหลงพุ่งเข้าใส่ แต่ในวันนี้เกลับเงียบสงัด ทั้งสนามมีผมแต่เพียงคนเดียว

ผมเดินช้าๆ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป หลังจากที่การสอบกลางภาคเสร็จสิ้นลง พวกนักศึกษาปีหนึ่งก็เกิดความระส่ำระสายเนื่องจากข้อสอบกลางภาคที่ผ่านมานั้นยากมาก ต่างก็หนาวๆร้อนๆกับผลสอบที่จะออกมาในไม่ช้านี้ นักศึกษาบ่นว่าข้อสอบยาก อาจารย์ก็บ่นว่านักศึกษาเอาแต่เล่น ไม่ตั้งใจเรียน สำหรับผมนั้นก็ทำข้อสอบไม่ค่อยได้เช่นกัน ทำให้รู้สึกกังวลอยู่บ้าง ประกอบกับเหตุการณ์ที่ได้พบน้องบอยที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ยิ่งทำให้รู้สึกเซ็งอย่างมาก

ผลจากการพบกับบอยในครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มคิดถึงเรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะหายจากความผิดปกติทางเพศนี้ได้ แต่ก่อนนั้นผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนยังเด็กอยู่ ไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้น หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าไม่มีทางรักษาก็ได้ แต่มาในตอนนี้... ยิ่งนานผมก็ยิ่งคับข้องใจกับความรักที่ผิดปกติของตนเองและความรู้สึกที่อยากเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

หลังจากการสอบกลางภาคผ่านไป ผมพยายามแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามหลีกห่างจากชาญ มันเบื่อๆอย่างไรก็ไม่รู้ แต่การแยกตัวออกจากเพื่อนๆก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่เข้ามาเป็นนักศึกษาได้ครึ่งเทอม ชีวิตก็เริ่มลงตัวและเข้ารูปเข้ารอยมากยิ่งขึ้น เรื่องที่เคยเป็นสีสันก็กลับกลายเป็นของเสมือนกิจวัตร ชีวิตในตอนนี้ก็มีเพียงเวลาเรียนกับยามว่างในตอนพักเที่ยงกับตอนหลังเลิกเรียน โดยเฉพาะหลังเลิกเรียน ชาญยังชอบไปไหนมาไหนกับผมเสมอ หากจะหลบหน้าชาญก็มีแต่ต้องกลับหอพัก แต่การกลับหอพักเร็วก็น่าเบื่อเนื่องจากเมื่อกลับไปแล้วก็ต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆแต่เพียงคนเดียว

- - -

ตึกกิจกรรมนักศึกษา

“โอย แค่เดินขึ้นตึกก็เหนื่อยแล้ว” ชาญบ่นอุบขณะที่เดินตามผมขึ้นบันไดมายังชั้นสี่ของตึก

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ได้” ผมบ่นใส่มันบ้าง “อยากมาเอง ไม่ต้องมาบ่นเลย”

ตึกกิจกรรมนักศึกษานี้เป็นตึกสี่ชั้นเก่าๆในคณะเทคโน ตึกนี้ค่อนข้างจับฉ่าย ชั้นล่างเป็นที่ทำงานของฝ่ายอาคารสถานที่ของคณะ ชั้นสองเป็นที่ทำการสโมสรนักศึกษาของคณะหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าห้องสโม ชั้นสามกับชั้นสี่เป็นห้องเรียนเก่าๆที่อยู่รวมกับห้องชมรมต่างๆ

ชมรมในสังกัดคณะเทคโนมีไม่มาก มีเพียง ๔ ชมรม คือชมรมธรรม ชมรมกีฬาและเชียร์ ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทหรือที่เรียกสั้นๆว่าชมรมค่าย และชมรมวิชาการ ชมรมธรรมกับชมรมกีฬาและเชียร์อยู่ที่ชั้นสาม ส่วนชมรมค่ายกับชมรมวิชาการอยู่ที่ชั้นสี่

ผมพยายามหาทางสลัดให้หลุดจากชาญโดยที่ไม่ต้องกลับหอพักเร็วนัก คิดไปคิดมาก็มาคิดถึงชมรมต่างๆขึ้นมา งานกิจกรรมชมรมเป็นงานที่ผมเคยทำมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น จะว่าไปผมก็เป็นเด็กกิจกรรมเก่าเหมือนกัน กลับมาลองทำอีกครั้งก็ดีเหมือนกัน อาจเป็นทางออกสำหรับผมก็ได้

ตึกนี้เป็นตึกที่ผมมาไม่บ่อยนักเนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้เวลาอยู่ที่กลุ่มเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มาวันนี้ผมอยากลองทำกิจกรรมดูบ้าง ก่อนที่ผมจะมาถึงชั้นสี่นี้ผมแวะไปที่ชั้นสามมาแล้ว ห้องแรกที่ผมเข้าไปเยี่ยมชมก็คือชมรมธรรม

“สวัสดีค่า... ยินดีต้อนรับค่า...” นักศึกษาสาวชั้นปีอะไรก็ไม่รู้มาต้อนรับผมและชาญด้วยการยกมือไหว้พร้อมกับทักทาย เสียงยานคางของเธอถ้าหากไม่เห็นหน้าผู้พูดผมคงนึกว่าเธอกินหมากกินพลูอยู่

ผมรีบรับไหว้แทบไม่ทันด้วยความรู้สึกแปลกใจ อยู่ดีๆมาไหว้ผมทำไมกัน ผมพยายามมองลอดเข้าไป เห็นภายในห้องมีนักศึกษานั่งพับเพียบคุยกันอยู่หลายคน บางคนก็ใส่ชุดขาวแบบนุ่งขาวห่มขาว

“มาหาครายหรือเปล่าค้า” เสียงยานคางนั้นถามอีก

“แหะ เปล่าคร้าบ ม่ายด้ายมาหาคราย” ผมพยายามตอบด้วยจังหวะการพูดแบบเดียวกับเธอเพื่อให้เกิดความกลมกลืน “เพียงแต่อยากมาเยี่ยมชมโชมโรมต่างๆ อยากทามกิจกามน่าคร้าบ”

“ที่นี่เราก็มีการตักบาตรตอนเช้าเป็นปราจาม เอ๊ย เป็นประจำ และก็มีกิจกรรมไปวัด ทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอค่า” หญิงสาวชักมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดี พยายามปรับสำเนียงที่เนิบนาบให้เร็วยิ่งขึ้น

“ตักบาตรแล้วไม่บาปเหรอ” ชาญถามบ้าง

เธอทำสีหน้างงๆ ผมเองก็งงเช่นกัน

“ตักบาตรสิได้บุญ โดยเฉพาะตักบาตรกับอริยสงฆ์ยิ่งได้บุญมากมายมหาศาล แล้วจะบาปได้ยังไง” เธอถาม

“เป็นฆราวาสไปตักเอาข้าวปลาอาหารออกจากบาตรพระก็บาปน่ะดิ ต้องใส่บาตรสิถึงจะได้บุญ” ชาญตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมฟังแล้วแทบขำกลิ้ง

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ผมแวะมาชมใหม่อีกทีดีกว่า” ผมตัดบทพลางฉุดชาญออกมาจากหน้าห้องชมรมธรรม

“อ้าว ไม่คุยต่อล่ะ” ชาญหัวเราะ “กำลังคุยสนุกเชียว คุยกับยัยคนนี้ถ้าอัดเทปไปด้วยคงเปลืองเทปน่าดู”

“ไอ้เวร นายเห็นหน้าเค้าหรือเปล่า หน้าเปลี่ยนสีเลย ดูเหมือนจะมีควันออกทางรูหูด้วย ไม่รีบออกมามีหวังโดนยำตีน” ผมหัวเราะบ้าง

“ก็นายกวนก่อนนี่หว่า เราก็เลยกวนบ้าง” ชาญตอบ “แต่ที่จริงก็น่าแหย่ดีเหมือนกันนะ”

หลังจากแวะที่ชมรมธรรม ห้องกิจกรรมอีกห้องหนึ่งที่อยู่ในชั้นเดียวกันคือชมรมกีฬาและเชียร์ แม้ว่าชาญจะเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลให้ทีมของคณะแต่ก็ไม่ค่อยได้มาที่ชมรมนี้ เห็นภายในห้องมีนักศึกษาชายหญิงหลายคนกำลังร่ายรำลีลาเชียร์ลีดเดอร์อยู่

“ไปดูชั้นสี่กันดีกว่า” ผมชวน

จากนั้นเราก็เดินขึ้นมาที่ชั้นสี่ ที่ชั้นสี่มีห้องชมรมค่ายอาสาและชมรมวิชาการตั้งอยู่ใกล้ๆกัน

“แหวะ วิชาการน่าเบื่อ” ชาญบ่นอีก “ไปดูชมรมค่ายดีกว่า”

เมื่อรู้ว่าชาญไม่ชอบชมรมนี้ผมก็รีบเดินเข้าไปทันที

“เอาน่า แวะดูชมรมวิชาการกันก่อน” ผมพูด

ชมรมทั้งสี่นี้มีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือต่างก็เป็นชมรมผู้ดีเก่า พื้นห้องของชมรมปูด้วยเสื่อน้ำมัน เมื่อจะเข้าห้องต้องถอดรองเท้าวางเอาไว้ที่หน้าห้อง เมื่อผมไปถึงหน้าห้องชมรมวิชาการผมก็ถอดรองเท้าวางไว้ที่หน้าห้องและเดินเข้าไปทันที

ชมรมวิชาการวางผังห้องไว้ค่อนข้างลึกลับพอสมควร ในชมรมแบ่งออกเป็นห้องชั้นนอกกับห้องชั้นใน เมื่อยืนอยู่หน้าประตูชมรมจะเห็นเพียงห้องชั้นนอกซึ่งมีลักษณะแคบเล็ก มีโต๊ะทำงานกับกองเอกสารรกระเกะระกะไปหมด เหมือนกับเป็นชมรมเล็กๆ เมื่อเข้าไปแล้วจึงจะเห็นว่าประตูเชื่อมกับห้องชั้นในอีกทีหนึ่ง แม้ผมจะไม่เห็นสภาพของห้องชั้นในแต่ก็ได้ยินเสียงกีตาร์และเสียงร้องเพลงลอดออกมา...

รุ่นพี่ชายคนหนึ่งเดิมออกจากห้องชั้นในมาต้อนรับผมพลางยืนขวางประตูเข้าห้องชั้นในเอาไว้

“ว่าไงครับน้อง” รุ่นพี่ทักทายเป็นเชิงถามว่ามาทำไม ช่วงเปิดโลกกิจกรรมผ่านพ้นไปนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าผมจะมาสมัครทำกิจกรรมในตอนนี้

“สนใจอยากทำกิจกรรมครับพี่ ที่นี่มีอะไรให้ช่วยทำบ้างไหม” ผมเข้าประเด็น

“แล้วน้องสองคนทำอะไรได้บ้างล่ะ” รุ่นพี่ถามกลับ

“แบกหาม ใช้แรงงาน งานจีบี” ชาญตอบแทน วันนี้ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน เกรียนมาตั้งแต่ขึ้นตึกแล้ว สงสัยกินยาผิดหรือไม่ก็คงกินอาหารผิดสำแดง

“ยังไม่รู้ว่างานที่นี่เป็นงานแบบไหนเลยครับ” ผมตอบ “แต่ความสามารถผมก็แค่ทั่วๆไปครับ อะไรที่คนอื่นทำได้ผมก็พอทำได้”

“แล้วทำไมอยากมาทำงานชมรมเอาตอนนี้ล่ะ” รุ่นพี่ชวนคุยต่อ ผมรู้สึกราวกับว่าการสมัครทำงานกับชมรมนี้ต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์ก่อนยังไงยังงั้นเลย

“ช่วงก่อนก็มีกิจกรรมน้องใหม่ค่อนข้างมาก แล้วก็กิจกรรมที่กลุ่มด้วย เลยยังหาโอกาสไม่ได้ครับพี่ ตอนนี้สอบเสร็จ อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาทำงานชมรมดูบ้าง ตอนเรียนมัธยมผมก็เคยทำงานกิจกรรมชมรมมาก่อน” ผมพยายามอธิบายเหตุผลพร้อมทั้งแนะนำตนเองไปในตัว

“อ้อ เคยทำกิจกรรมมาก่อนเหรอ ดีๆๆ” รุ่นพี่ชม

หลังจากนั้นเราก็แนะนำตัวกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อพี่หมู อยู่ชั้นปีสาม

“งั้นเข้ามาดูข้างในกัน” พี่หมูซึ่งมีร่างกายผ่ายผอม หัวโตและใส่แว่น ชวนเราเข้าไปชมห้องชั้นใน

เมื่อเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเสียงกีตาร์ลอยออกมาจึงได้เข้าใจว่าทำไมพี่หมูจึงได้ชวนพูดคุยและซักถามอะไรหลายต่อหลายอย่าง ทั้งนี้เพราะภายในห้องเป็นห้องขนาดใหญ่ ค่อนข้างโล่ง ข้าวของและโต๊ะวางเรียงรายรอบตัวห้องแต่ไม่มีใครนั่งทำงานที่โต๊ะ ตรงกลางเว้นเป็นพื้นที่ว่างเอาไว้ มีรุ่นพี่ชายสองคนกำลังนอนเหยียดยาวหลับอย่างสบายใจอยู่ ที่ว่างที่ห่างออกไปมีรุ่นพี่ชายอีกสองคนกำลังเล่นกีตาร์คู่กันอยู่ มีนักศึกษาทั้งชายและหญิงหลายคนกำลังนั่งล้อมวงฟังและร้องเพลงคลออยู่ บรรยากาศดูสนุกสนานและเป็นกันเอง น่าจะเป็นชมรมสันทนาการมากกว่าที่จะเป็นชมรมวิชาการ

“เวลาพักผ่อนน่ะน้อง” พี่หมูพูดแบบเขินๆเป็นการออกตัวหลังจากที่พาพวกเราเข้ามาในห้อง “ใครมาติดต่อธุระเห็นเข้าอายเค้าตายเลย”

ผมหัวเราะ พร้อมกับสังเกตไปรอบๆห้อง เห็นบนโต๊ะทำงานที่เรียงรายอยู่รอบห้องนั้นมีเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพีซีวางตั้งอยู่โดยไม่มีใครใช้ถึงสองเครื่อง บรรยากาศอันสบายๆและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมใฝ่ฝันอยากเล่นมานานทำให้ผมรู้สึกถูกใจชมรมนี้มากถึงมากที่สุด

“เอ้า เฮ้ย พวกเรา มีน้องปีหนึ่งมาสมัครเข้าชมรม ต้อนรับน้องด้วย” พี่หมูผู้ผ่ายผอมพูดเสียงดัง

“เอ๊า ประธานชมรมก็ต้อนรับไปสิ” คนที่เล่นกีตาร์พูด “ให้น้องๆมาร้องเพลงด้วยกันกับเราก็ได้”

ผมจึงถึงบางอ้อว่าพี่หมูนั้นก็คือประธานชมรมนั่นเอง ดูหุ่นแล้วไม่ค่อยให้ที่จะเเป็นประธานชมรมเท่าไรนัก แต่คนเราก็ไม่อาจตัดสินกันที่ภายนอก หุ่นไม่ให้แต่ใจอาจจะรักก็ได้

เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนเข้ามาในห้อง พวกที่นั่งล้อมวงกันร้องเพลงอยู่ก็หันมามอง สองคนในจำนวนหลายคนที่นั่งอยู่นั้นผมกับชาญรู้จักดีเสียด้วย นั่นคือเพ็ญกับเจตนั่นเอง




<ราชประสงค์เมื่อเป็นดาวน์ทาวน์ยุคแรก

หลังจากที่ย่านราชประสงค์ถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งธุรกิจและศูนย์กลางแฟชั่นและความบันเทิง วังบูรพาก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง ราชประสงค์รุ่งเรืองในยุคแรกอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ ต้นๆ อันเป็นยุคของศูนย์การค้าราชประสงค์ ทั้งฝั่งศูนย์การค้าราชประสงค์ (เซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน) และฝั่งถนนเกษร (เกษาพลาซ่าในปัจจุบัน) เป็นศูนย์รวมของธุรกิจการค้า มีสำนักงานสายการบิน เสื้อผ้าแฟชั่น ร้านอาหารแบบฝรั่ง ร้านหนังสือ ร้านขายของเล่นแบบไฮโซ เช่น เครื่องบินบังคับด้วยวิทยุ ดิสโก้เธค คลับ ฯลฯ อีกทั้งด้านตรงข้ามยังเป็นโรงแรมใหญ่ที่มีชื่อเสียงในอดีต นั่นคือ โรงแรมเอราวัณ ต่อจากนั้นราชประสงค์ก็เข้าสู่ยุครุ่งเรืองเต็มที่ในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เนื่องจากมีห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นมาเปิดกิจการในฝั่งศูนย์การค้าราชประสงค์

ภาพชุดนี้ทั้งสองภาพเป็นย่านราชประสงค์ ถ่ายจากสี่แยกราชประสงค์มองไปทางประตูน้ำ ภาพบนเป็นราชประสงค์ในยุคแรก ถนนราชดำริในยุคนั้นเป็นถนนหกช่องทางจราจร มีเกาะกลางถนนอีกด้วย ความเก่าของภาพสังเกตได้จากรถเมล์และรถยนต์ในภาพ อาคารส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์สี่ชั้น ซ้ายมือที่เห็นป้าย POLA เป็นร้านขายเครื่องสำอางโพลาซึ่งโด่งดังมากในยุคนั้น ป้ายโฆษณาในภาพสังเกตว่ามีสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ดีดีทีตราหัวไก่ และนาฬิการาโด ห้างไทยได้มารูจะอยู่หลังอาคารพาณิชย์ด้านซ้ายมืออีกทีหนึ่ง

ราชประสงค์ในยุคแรกนี้เติบโตและเข้าสู่ยุคร่วงโรยในเวลาเพียงไม่กี่ปีเนื่องจากพื้นที่ย่านปทุมวันถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์การค้าใหม่ในชื่อศูนย์การค้าปทุมวัน (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสยามสแควร์)

ภาพล่างเป็นภาพราชประสงค์ในยุคปัจจุบัน ถ่ายภาพจากตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน เห็นตึกโรงแรมอินทราที่อยู่ไกลออกไปเช่นเดียวกัน>



<ห้างไทยไดมารู ห้างนี้ในตอนแรกอยู่ในฝั่งศูนย์การค้าราชประสงค์ (เซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน) มีบันไดเลื่อนตัวแรกไทย ชั้นล่างกับชั้นที่สองเป็นห้างสรรพสินค้า ชั้นที่ ๓ ไม่แน่ใจว่าเป็นห้างด้วยหรือไม่ ส่วนชั้นที่ ๔ เป็นภัตตาคาร และย่านศูนย์การค้านี้หากเดินลึกเข้าไปอีก ข้างในจะเป็นโรงเรียนช่างฝีมืออินทราชัย มีทั้งช่างก่อสร้างและช่างฝีมือ ในส่วนช่างก่อสร้างนั้นเรื่องการสร้างวีรกรรมก็มีมาแต่ยุคนั้น ต่อมาโรงเรียนช่างฝีมือก็ย้ายออกไป ฝ่ายช่างก่อสร้างกลายไปเป็นเทคนิคดอนเมือง ส่วนช่างฝีมือกลายเป็นพาณิชยการอินทราชัย>


<บันไดเลื่อนตัวแรกซึ่งห้างไทยไดมารูนำมาใช้เป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าเพราะเป็นของแปลกใหม่ในยุคนั้น ส่วนลิฟต์ไม่ใช่ของแปลกเนื่องจากลิฟต์มีใช้กันมานานแล้ว>

14 comments:

  1. วันนี้มาแปลก โพสต์กลางสัปดาห์เลย...

    แต่ดีครับชอบ +++

    ตอนนี้ ไม่มีประเด็น เลย เราเกริ่น เพื่อ ต่อ
    ประเด็นอะไรต่อนะ 2 สาวนั่นรึปล่าว

    จีบสาว...?

    *** PEE ***

    ReplyDelete
  2. ไม่นึกว่าจะมาวันนี้เหมือนกัน

    ReplyDelete
  3. โอ่ว....มาเร็วกว่าที่คิดมากๆ ไม่น่าเชื่อ แต่ดีครับ ผมชอบ ไม่ต้องรอนาน

    ว่าแต่เมื่อไหร่นะจะมีฉากหวานๆกับเค้ามั่งเนี่ย...พี่อู!!!!

    ReplyDelete
  4. จองที่สามครับผม

    กัน

    ReplyDelete
  5. เนื่องจากในระยะหลังนี้เว็บบล็อกมีปัญหาในการเขียนคอมเมนต์ กล่าวคือ บางคอมเมนต์จะถูกลบไปเองในภายหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ

    ดังนั้นหากต้องการเขียนคอมเมนต์ โปรดเลือก Choose an identity เป็น Google account จะปลอดภัยจากการโดนลบ แต่หากเลือกเป็นอย่างอื่นยังมีโอกาสโดนลบอยู่ บางครั้งก็โดนลบ บางครั้งก็ไม่โดน ไม่แน่นอน

    ใครที่คอมเมนต์แล้วปรากฏว่าต่อมาคอมเมนต์ถูกลบไปก็อย่าเพิ่งเคืองผมเพราะว่าผมไม่ได้ทำ เว็บบล็อกมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ เม้นเอาใหม่ก็แล้วกัน

    อู

    ReplyDelete
  6. กะลังลุ้นว่าตอนนี้พี่อูปูทางไปเพื่ออะไรต่อ


    ...


    ...OaH...

    ReplyDelete
  7. เม้นท์แล้วและโดนลบไปเรียบร้อยแล้วค่ะ..!!
    เห็นอูเตือนอยู่นะ แต่วิญญาณเด็กดื้อเข้าสิงเพราะคราวก่อนรอดคราวนี้เลยโดนของจริงเลย ให้เม้นท์ใหม่เหรอคะ..ปลาทอง10ตัวมันว่ายวนชนกันอยู่ในหัวเลยจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนเขียนไว้ไงบ้าง แต่โดยรวมบอกว่าอูเหมาะจะอยู่ค่ายอาสาฯมากกว่า การได้พบเห็นทุกข์ของผู้อื่นที่หนักหนาจะทำให้กังวลเรื่องของตัวเองน้อยลง แต่เหมือนกับว่าตอนจบของเรื่องตอนนี้อูจะลงเอยที่ค่ายวิชาการ อ่านไปทายไปผิดบ้างถูกบ้างสนุกดี..

    คนลาดพร้าว

    ReplyDelete
  8. จริงๆ ต้องได้ที่สาม แต่เพื่อนมาบ้าน มาทำรายงาน
    กว่าจะได้อ่าน และตอบ T-T

    หลาน Arus ของอาอู

    ReplyDelete
  9. สรุปก็คือกำลังจะมีแฟนสินะครับ "ป้าเพ็ญ"
    นี่เกริ่นไว้นานมาแล้ว คงเป็นเขาสินะครับ

    หลาน Arus ของอาอู

    ReplyDelete
  10. ชอบๆ ครับ เมื่อก่อนชอบอ่านตอนคุณอูเล่าเรื่องอีโรติก แต่ตอนนี้ชอบอ่าน เพราะเหมือนอ่านหนังสือเล่าความหลังเลย

    ReplyDelete
  11. เด็กหลัง ร.ร.December 19, 2010 at 8:05 PM

    กิจกรรมตอนปีหนึ่งนี่เยอะจริงๆครับ เป็นปีที่น่าจะสนุกที่สุดในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย แต่พอผ่านปีหนึ่งไปแล้ว ชีวิตการเรียนดูจริงจังมากๆ คงเป็นช่วงที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

    อ่านเรื่องของอูแล้วระลึกถึงความหลังได้ดีจริงๆครับ ยังเป็นกำลังใจให้นะครับ

    ReplyDelete
  12. บางครั้งการสูญเสียเพื่อนและมิตรภาพที่ดีไป
    เกิดขึ้นจากการคิดเอง เออเอง ของเราเป็นส่วนใหญ่

    บางเรื่องก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เรานึกเราคิด
    การจะตีตัวออกห่างจากชาญ น่าจะเกิดจากความดี
    หรือไม่ดีของชาญนะอู

    อย่าให้สังคมตีกรอบเราจนกลัวไปหมดแบบนี้เลย

    เอาใจช่วยนายอูอยู่นะ

    ชู

    ReplyDelete
  13. )^_^(ที่1 2 Merry Christmasครับคุณลุงซานต้าอูและพี่ๆด้วยนะครับ เทศกาลแห่งความสุขแต่มีสอบทุกที เดือนหน้ายังมีเขาชนไก่รออยู่อีกจะต้องแก้ผ้าอาบน้ำแว้ว
    ^
    ^
    ใช่ๆผมก็ว่าแบบลุงชู ชาญคงเสียใจแน่เลย

    จากหล่อห้อง...เหลนน้องบอยหุหุ

    ReplyDelete
  14. สุขสันต์วันคริสต์มาสแก่หลานเช่นกันครับ เอาใจช่วยให้ผ่านเขาชนไก่ไปได้ด้วยดี อย่าอ้วนกลับมาเชียวล่ะ

    ReplyDelete