Monday, November 21, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 53

บ่ายวันเสาร์ ที่วัดสระเกษ

หลังจากที่ผมสอนพิเศษป้อมเสร็จก็รีบเดินทางมาที่ห้างมาบุญครองตามที่ได้นัดกับจุ๋มเอาไว้ เมื่อพบจุ๋มแล้วเราก็นั่งรถเมล์สาย ๔๗ โดยขึ้นที่ฝั่งมาบุญครอง เพื่อไปยังงานภูเขาทองที่วัดสระเกษ

เมื่อเราไปถึงที่บริเวณงานเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ บรรยากาศร้อนอบอ้าว ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แม้จะยังไม่ถึงช่วงกลางคืนแต่คนที่มาเที่ยวงานก็คึกคักพอสมควร คงเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อีกทั้งเป็นวันลอยกระทงด้วย

“โห คนเยอะแยะ ยังกับงานวัดเลย” จุ๋มอุทานเมื่อต้องเบียดฝ่าผู้คนตั้งแต่ที่ป้ายรถเมล์ไปจนถึงหน้าทางเข้างาน

“ก็งานวัดน่ะสิ” ผมหัวเราะ จุ๋มก็พลอยหัวเราะขำไปด้วย

เราสองคนเดินเข้าไปในงานภูเขาทอง บรรยากาศภายในงานภูเขาทองในวันลอยกระทงแปลกตาออกไปจากที่เคยมาครั้งก่อน เมื่อสามปีก่อนผมมาตอนค่ำ ผู้คนคึกคัก อากาศไม่ถึงกับร้อนอบอ้าว แต่ครั้งนี้มาตอนกลางวัน ผู้คนแม้คึกคักแต่ก็ยังไม่มากเท่ากับตอนกลางคืน อีกทั้งบรรยากาศค่อนข้างอบอ้าว

“ของขายเยอะแยะไปหมดเลย” จุ๋มอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อได้เห็นร้านรวงที่มีของขายมากมายหลายร้อยร้านเรียงรายตลอดทางเดิน

จุ๋มเดินเบียดผู้คน ดูร้านนั้นร้านนี้ด้วยความสนใจ ผมเหม่อมองดูจุ๋มที่กำลังสาละวนกับการดูของ เมื่อครั้งก่อนที่ผมมาเที่ยวงานภูเขาทอง บอยตื่นเต้นกับบรรยากาศแบบงานวัดเช่นกัน ส่วนใหญ่บอยดูร้านขายของกินในขณะที่จุ๋มมักเลือกดูร้านที่ขายของจุกจิกน่ารัก ตัวงานออกร้านแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแต่ความรู้สึกของผมกลับแตกต่างออกไปจากการมาในครั้งก่อน

ป่านนี้ไอ้บอยกำลังทำอะไรอยู่นะ ผมรำพึงอยู่ในใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกหม่นหมองไปวูบหนึ่ง ที่จริงไม่ควรชวนจุ๋มมาที่งานภูเขาทองนี่เลย มาแล้วรู้สึกแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ที่ตัดสินใจชวนมาเพราะรู้สึกเห็นใจจุ๋ม ภาระในครอบครัวคงทำให้จุ๋มมีช่วงเวลาที่สนุกสนานรื่นเริงอยู่น้อย เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือผมรู้จักที่เที่ยวไม่มากนัก ไม่มาที่นี่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะไปที่ไหนดี

“จุ๋มไม่ซื้ออะไรเลยเหรอ เห็นแวะดูโน่นดูนี่ตั้งนาน สุดท้ายก็เดินออกมา” ผมถามจุ๋มหลังจากที่เราเดินในงานไปได้สักพักหนึ่ง อดแปลกใจไม่ได้ที่จุ๋มไม่ได้ซื้ออะไรเลย

“ไม่ซื้อหรอกพี่อู รกบ้าน แค่นี้ก็เก็บกวาดไม่ไหวอยู่แล้ว” จุ๋มส่ายหน้า “แค่ดูก็พอแล้ว”

เราเดินดูของไปอีกสักพักก็ผ่านแผงที่ขายไหมสวรรค์ ของโปรดในวัยเด็กของผม ครั้งก่อนที่มางานนี้ผมแวะซื้อไหมสวรรค์มากินกับบอย บอยชอบกินขนม มันเดินซื้อขนมไปเรื่อยๆขณะที่ผมคอยเดินจ่ายเงินตามหลังมัน แต่ไหมสวรรค์นี้เป็นของหวานที่ผมเลือกซื้อเอง ซื้อแล้วก็มาแบ่งกันกินกับบอย

“พี่อูคอยเดี๋ยวนะ” ได้ยินจุ๋มเรียก จากนั้นจุ๋มก็เดินไปที่แผงที่ขายไหมสวรรค์

ผมเห็นจุ๋มซื้อไหมสวรรค์ อดคิดไม่ได้ว่าเห็นจุ๋มเดินดูแต่ของสวยๆงามๆแต่ไม่ซื้ออะไร สุดท้ายกลายเป็นซื้อขนมหวาน พร้อมกับรู้สึกแปลกใจที่จุ๋มก็ชอบของกินขนมเด็กๆเช่นเดียวกับผม

จุ๋มเดินกลับมาพร้อมกับส่งไหมสวรรค์ในมือให้แก่ผม

“อะ จุ๋มเลี้ยงพี่อู” จุ๋มพูด

“จุ๋มอยากกินก็กินสิ จะมาให้พี่ทำไม” ผมตอบ

“นี่จุ๋มซื้อให้พี่อู รู้ว่าพี่อูชอบกิน” จุ๋มพูด

“จุ๋มรู้ได้ยังไงว่าพี่ชอบกิน” ผมรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของจุ๋ม ที่แท้จุ๋มไม่ได้ชอบกินแต่รู้ว่าผมชอบ ผมจำได้ว่าไม่เคยเล่าให้จุ๋มฟังเลยว่าผมชอบกินไหมสวรรค์

“ก็พี่อูมองไหมสวรรค์ตั้งนาน ไม่รู้ก็แย่แล้ว” จุ๋มตอบพลางหัวเราะ “ไหมสวรรค์นี่จุ๋มเลี้ยงพี่อู ถือเป็นคำขอบคุณที่พาจุ๋มมาเที่ยวงานนี้”

ผมรับไหมสวรรค์มาจากจุ๋มด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก แม้แต่บอยก็ยังไม่รู้ใจผมเช่นนี้ คนที่รู้ใจผมเช่นนี้เคยมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น...

ผมพยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก ผมไม่อยากให้เรื่องในอดีตมาเหนี่ยวรั้งชีวิตของผมไว้

“ขอบคุณมาก แต่กินคนเดียวไม่อร่อย เอามาแบ่งกันกินดีกว่า” ผมพูด พลางกินไหมสวรรค์ไปก้อนหนึ่ง จากนั้นส่งก้านไม้ที่ยังมีไหมสวรรค์เสียบอยู่อีกสองก้อนส่งให้จุ๋ม จุ๋มรับไปและกินอีกก้อนหนึ่ง จากนั้นก็ส่งไม้คืนให้ผม

“ก้อนนี้ให้พี่อู พี่อูชอบก็ให้พี่อูกินเยอะกว่า” จุ๋มพูด “ชิ้นสุดท้ายได้แฟนสวยด้วย”

ผมหัวเราะ ผมรับไหมสวรรค์ก้อนสุดท้ายมากินโดยไม่เกรงใจ

“แล้วถ้าจุ๋มกินก้อนสุดท้ายล่ะ” ผมแกล้งถาม

“ก็ได้แฟนหล่อน่ะสิ” จุ๋มตอบ

“ในเมื่อจุ๋มไม่ได้กินชิ้นสุดท้าย แสดงว่า... ฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะขำ แกล้งทำเสียงล้อเลียน

จุ๋มทำหน้าแบบคิดได้

“อุ๊ย ไม่หล่อก็ไม่เป็นไรหรอกพี่อู จุ๋มทนได้” จุ๋มหัวเราะขำบ้าง

“เคยนั่งชิงช้าสวรรค์ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องสนทนา ผมถามจุ๋มในขณะที่เราเดินผ่านบริเวณที่เป็นเครื่องเล่น ชิงช้าสวรรค์ที่นี่มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็น่าจะเป็นเครื่องเล่นที่มีความสูงมากที่สุดในงาน

“ทำไมจะไม่เคย ตอนเด็กๆเคยไปเล่นชิงช้าสวรรค์ที่เขาดินกับพ่อ” จุ๋มพูด หางเสียงของจุ๋มหม่นไปนิดหนึ่งเมื่อพูดถึงพ่อ

“งั้นไปนั่งเล่นอีกสักครั้งเป็นไง” ผมชวน พลางเดินนำหน้าจุ๋มไปทางชิงช้าสวรรค์ “จะได้ชมวิวจากที่สูงด้วย”

งานภูเขาทองครั้งที่แล้วผมไม่มีโอกาสเล่นชิงช้าสวรรค์เพราะไม่อยากเสียเวลารอคิวเล่น แต่ในครั้งนี้มีคนเล่นไม่มาก สามารถขึ้นไปได้เลย ผมกับจุ๋มจึงจ่ายค่าเล่นและขึ้นไปนั่งในกระเช้า

เพียงครู่เดียวชิงช้าสวรรค์ก็เริ่มเดินเครื่อง กงล้อยักษ์เริ่มหมุน เราเริ่มลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเราลอยขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของกงล้อ จากจุดนั้นเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามเย็นในที่ไกลตาออกไป

“เป็นไงบ้าง คล้ายที่เขาดินบ้างไหม” ผมถาม

จุ๋มพยักหน้า

“ชิงช้าสวรรค์ที่เขาดินสูงกว่านี้ แต่นี่ก็เห็นได้ไกลเหมือนกัน” จุ๋มพูด

“เดี๋ยวขึ้นไปบนภูเขาทองจะเห็นได้ไกลกว่านี้อีก เห็นได้ถึงฝั่งธนฯเลยแหละ” ผมบอก

ที่นั่งของชิงช้าสวรรค์แม้ว่านั่งได้สองคนแต่ก็แคบเล็ก เราจึงต้องนั่งชิดกัน ผมเรียนในโรงเรียนชายล้วนมาโดยตลอด ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยแม้จะมีเพื่อนหญิงและเคยนั่งเรียนเบียดกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งใกล้ชิดกับหญิงสาวแบบสองต่อสองเช่นนี้ กลิ่นแป้งอ่อนๆทำให้ผมรู้สึกใจเต้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมตื่นเต้นอะไร

กงล้อหมุนรอบแล้วรอบเล่า ผมเห็นจุ๋มนั่งเงียบไป สายตาเหม่อเหมือนกับใจลอย ตัวผมเองก็คิดอะไรต่ออะไรเตลิดเปิดเปิง

“ดูวิวเพลินหรือว่าคิดอะไรอยู่” ผมถาม ทำลายความเงียบที่ปกคลุมเราสองคนมาชั่วขณะหนึ่ง

“ชิงช้าสวรรค์นี่ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานะ” จุ๋มพูดช้าๆ “มีขึ้น มีลง มีจุดสูงสุด มีจุดต่ำสุด และก็มีวนเวียนมาซ้ำที่เดิม ไม่ไปถึงไหน”

ผมนั่งนิ่ง ชิงช้าสวรรค์ที่หมุนวนทำให้ผมกำลังคิดเช่นนี้อยู่พอดีเหมือนกัน จุ๋มพูดราวกับมีเวทมนตร์ที่สามารถถ่ายทอดความในใจของผมออกมา

“แต่มันก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวนะ” ผมแย้ง “เพราะว่าเรากำหนดชีวิตของเราเองได้... อย่างน้อยก็ได้ส่วนหนึ่งละ... เราต้องพยายามให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้วนอยู่ที่เดิมอย่างนี้”

ผมจินตนาการถึงภาพห้องนอนทึมๆ คนป่วยแรมปี และหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่ นอกห้องมีหญิงวัยกลางคนจู้จี้ขี้บ่นกับวัยรุ่นชายเกเรกำลังทะเลาะกันอยู่ ชีวิตเช่นนี้คงซ้ำซากอยู่ในสีอันหม่นทึม ที่ผมสามารถทำได้ก็คงเพียงแต่ให้กำลังใจและแต้มสีสันเล็กๆน้อยๆลงในชีวิตของเธอ...

“ฮื่อ มันก็ใช่แหละพี่อู” สาวน้อยพยักหน้าเห็นด้วย แต่น้ำเสียงที่พูดเหมือนกับยังไม่ค่อยแน่ใจนัก “ต้องพยายาม...”

- - -

หลังจากที่ลงจากชิงช้าสวรรค์ เราก็รีบเดินขึ้นบนภูเขาทอง ทิวทัศน์ข้างบนภูเขาทองเห็นได้กว้างไกลกว่าบนชิงช้าสวรรค์มาก แต่เราไม่มีโอกาสชื่นชมได้นานนักเนื่องจากต้องรีบกลับ ผมกับจุ๋มเดินอยู่ในงานภูเขาทองจนถึงประมาณห้าโมงเย็น ตอนขากลับเราก็ยืนรอรถเมล์สาย ๘ อยู่ที่หน้าวัดสระเกษนั่นเอง การจราจรหน้าวัดติดขัด เมื่อรถสาย ๘ มาถึงคนก็ลงจากรถกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รถมีที่นั่งว่างมากมาย

“เป็นไง สนุกไหม” ผมถามจุ๋มขณะที่เราขึ้นรถและนั่งเรียบร้อยแล้ว

“สนุกมากพี่อู” จุ๋มตอบ หากไม่นับช่วงเวลาสองสามช่วงที่จุ๋มเหม่อลอย เวลาส่วนใหญ่จุ๋มก็ดูสนุกสนานจริงๆ “แล้วพี่อูล่ะ”

“สนุกสิ นานๆได้มาเที่ยวงานวัดสักที” ผมตอบ “แต่เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย จุ๋มเลยเดินไม่ทั่วงาน”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่อู แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว” จุ๋มปลอบใจผม “เดินนานๆก็เมื่อย ยังดีที่ขึ้นรถแล้วได้นั่ง ไม่งั้นหากต้องยืนอีกคงเมื่อยตายเลย” จุ๋มหัวเราะ

“เมื่อก่อนพี่นั่งรถเมล์สายนี้ไปกลับทุกวัน ขึ้นรถสายนี้อยู่หลายปีเลย ขากลับมักได้นั่งเพราะขึ้นต้นสาย” ผมอดเล่าเรื่องตอนที่เรียนชั้นมัธยมไม่ได้

“แล้วพี่แกล้งนั่งหลับบ้างหรือเปล่า” จุ๋มถามหน้าตาย

“อะไรนะ” ผมได้ยินไม่ถนัด

“ก็ผู้ชายบางคนชอบแกล้งนั่งหลับ จะได้ไม่ต้องลุกให้คนอื่นนั่งไง” จุ๋มหัวเราะ

“แหะๆ จุ๋มถามอะไรยังงั้น” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองเสียงอ่อยไปหน่อย

“อะอะ ไม่ถามก็ได้ รักษาหน้าพี่อูหน่อย” จุ๋มหัวเราะอีก

“ร้ายนักนะ รู้ยังงี้ไม่พามาเที่ยวหรอก” ผมบ่น

- - -

“โอ๊ย พี่อูสั่งการบ้านเยอะจัง ชั่วโมงเดียวทำไม่หมดหรอก” ป้อมร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้ง ฟังยังไงก็ไม่เหมือนกำลังโวยวาย เพราะเสียงน่ารักดี

วันนั้นผมสอนบทเรียนป้อมเสร็จในตอน ๑๑ โมง จากนั้นให้โจทย์ป้อมไปหลายข้อโดยกำหนดให้เสร็จในตอนเที่ยง ที่ต้องให้เสร็จทันเที่ยงเพราะว่าหากไม่เสร็จผมก็ต้องอยู่คุมป้อมต่อในช่วงบ่ายด้วย

“โอ๊ย” ผมแกล้งโวยกลับบ้าง “น้องป้อมจะอู้ไปถึงไหน ไม่กี่ข้อแค่นี้เอง”

“ฮึ ให้เยอะแยะยังบอกว่าให้ไม่กี่ข้อ สงสัยพี่อูอ่อนคำนวณ” ป้อมย้อนผม

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องทำให้เสร็จภายในเที่ยง” ผมเผด็จการเอาดื้อๆ

“ไม่เอาๆ” ป้อมส่ายหัวดิก “เก็บไว้ทำต่อตอนบ่าย พี่อูก็อยู่เป็นเพื่อนป้อมด้วย”

“ไม่เอา” ผมส่ายหัวบ้าง “ตอนบ่ายพี่จะไปเที่ยว”

“พี่อูจะไปเที่ยวไหน” ป้อมถาม พร้อมกับทำตาโต

“ไม่บอก” ผมตอบ ที่จริงผมพูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดจะไปเที่ยวที่ไหนเลย หากเสร็จจากการสอนป้อมก็คงกลับหอพักไปซักผ้า

“น่า บอกหน่อยน่า” ป้อมอ้อน

“ไม่ได้ไปที่ไหนหรอก” ผมตอบใหม่

“ไม่เชื่อ” ป้อมทำเสียงฮึดฮัด “หลอกอีกแล้ว”

“ไม่ได้ไปไหนจริงๆ เมื่อกี้พี่แกล้งตอบไปยังงั้นเอง” ผมพูด

“จริงนะ” ป้อมคาดคั้น

“จริงดิ” ผมยืนยัน

“ถ้างั้น เพื่อพิสูจน์ความจริง พี่อูอยู่ทำการบ้านเป็นเพื่อนป้อมต่อในตอนบ่ายนะ ถ้าไม่ยอมอยู่แสดงว่าพี่อูโกหกป้อม” ป้อมพูด พลางหัวเราะแบบผู้มีชัย

ผมอึ้ง นึกไม่ถึงว่าจะเสียท่าเด็กมัธยมเช่นป้อม ป้อมพูดหลอกล่อผมจนตกหลุมโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ...” ผมนึกหาวิธีดิ้นขึ้นจากหลุม

“น่า นะ นะ” ป้อมใช้ไม้นวมตามมา “อยู่เป็นเพื่อนป้อมหน่อยนะ ทำคนเดียวแล้วเซ็ง”

“นี่ถ้าเราเข้าห้องสอบพี่มิต้องไปสอบด้วยหรือไง” ผมถาม

“ได้ก็ดีเหมือนกัน” ป้อมพูดพลางทำสีหน้ากวน จากนั้นก็อ้อนต่อ “นะ พี่อู นะ”

“ก็ได้ๆ” ผมยอมแพ้ ในที่สุดก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนป้อมในตอนบ่ายอีกจนได้

เรากินอาหารเที่ยงด้วยกัน ขณะที่กินอยู่ป้อมก็ถามผมว่า

“พี่อู ตกลงพี่อูป่วยเป็นอะไร”

ถามเรื่องนี้อีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรจริงๆ

“เอ่อ...” ผมพูดต่อไม่ออก “ป้อมอย่าเพิ่งซักพี่เลย เอาไว้ถึงเวลาพี่จะบอกป้อมเองนั่นแหละ”

“แล้วทำไมบอกป้อมตอนนี้ไม่ได้ล่ะ” ป้อมพยายามคาดคั้น

“เฮ้อ...” ผมถอนใจ “พี่ไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ เอาไว้เมื่อถึงเวลาพี่จะบอกป้อมน่า อย่าเพิ่งเร่งพี่นักสิ”

“แล้วเมื่อไรจะถึงเวลาล่ะ” ป้อมคาดคั้นต่ออีก

“พี่ก็ยังไม่รู้” ผมส่ายหน้า พลางพูดกับป้อมด้วยท่าทีจริงจัง “คนเราต่างก็มีความลับคับใจ มีความลำบากใจที่ไม่เหมือนกัน... ตอนนี้พี่ลำบากใจที่จะบอกป้อม ป้อมอย่าเพิ่งคาดคั้นได้ไหม”

ป้อมไม่พูดอะไรต่อ แสดงว่ายอมฟังผม แต่ยังมีท่าทีฮึดฮัดนิดหน่อย ป้อมน่ารักตรงที่เป็นเด็กว่าง่ายนี่เอง

หลังจากกินอาหารเสร็จผมก็นั่งเป็นเพื่อนป้อมทำโจทย์คณิตศาสตร์ต่อ ทำไปได้ไม่นาน ป้อมก็หมุนปากกาอีก

“เฮ้อ เบื่อคณิตศาสตร์แล้วพี่อู เรียนอย่างอื่นกันบ้างดีกว่า” ป้อมบ่นพลางวางปากกาในมือลง

“พูดตลกไปได้ พี่มาสอนคณิตศาสตร์ก็ต้องสอนคณิตศาสตร์สิ” ผมตอบ แต่แล้วก็อดถามไม่ได้ “ป้อมอยากเรียนอะไรล่ะ”

“ภาษาอังกฤษก็ได้” ป้อมรีบตอบ “ป้อมได้เกรดไม่ค่อยดี ติวภาษาอังกฤษให้ป้อมบ้างดีกว่า ตอนเช้าเรียนคณิตศาสตร์ก็ได้ แล้วตอนบ่ายก็เรียนภาษาอังกฤษกัน”

ไอเดียบรรเจิดขึ้นมาเชียว ผมคิดในใจ ใครจะไปสอนไหว เหนื่อยตายพอดี

“ไม่ไหว แค่นี้พี่ก็เหนื่อยแล้ว” ผมปฏิเสธ “คุณพ่อป้อมไม่ได้สั่งให้พี่สอนด้วย พี่จะสอนได้ยังไง”

“ทำได้แต่คณิตศาสตร์แล้วภาษาอังกฤษทำไม่ได้ แล้วจะเอ็นทรานซ์เข้าวิศวะได้เหรอ” ป้อมพยายามยกเหตุผลมาโน้มน้าว

“มันก็ใช่” ผมตอบ “ถ้าป้อมอยากเรียนภาษาอังกฤษก็ให้คุณพ่อหาคนมาสอนสิ”

“ไม่เอา ป้อมอยากให้พี่อูสอน” ป้อมเริ่มงอแงอีก

“ม่ายหวาย” ผมลากเสียงยาว พร้อมกับส่ายหน้า

เกรดวิชาภาษาอังกฤษของผมใช้ได้มาตลอด ตอนสอบเอนทรานซ์ก็ทำได้ หากจะติวป้อมก็คิดว่าผมพอทำได้ แต่หากมองในแง่ธุรกิจแล้วเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มที่จะทำ ปกติในการสอนพิเศษ ผู้ที่สอนควรมีนักเรียนหลายๆคนจะได้คุ้มกับการเตรียมสอน เพราะว่าสอนกี่คนก็ใช้เวลาเตรียมการสอนเท่ากัน ผมสอนป้อมเพียงคนเดียว แค่เรื่องเตรียมการสอนคณิตศาสตร์ก็ถือว่าไม่ค่อยคุ้มแล้ว หากยังต้องสอนภาษาอังกฤษด้วยก็จะกลายเป็นสองวิชาแต่มีผู้เรียนคนเดียว ตลอดทั้งสัปดาห์ผมคงไม่เป็นอันทำอะไรเพราะมัวแต่เตรียมการสอน

“พี่อูใจร้าย” ป้อมต่อว่าผมด้วยเสียงแผ่วเบา

ป้อมทำหน้าจ๋อยสนิท ดูป้อมผิดหวังมาก จนผมอดสงสารไม่ได้ เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจู่ๆก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“เอายังงี้” ผมพยายามผ่อนหนักเป็นเบา “ป้อมไปถามคุณพ่อดูก่อนก็แล้วกัน พี่จะสอนอะไรต้องให้คุณพ่ออนุญาตก่อน”

“จริงนะ” ป้อมเปลี่ยนจากจ๋อยเป็นยิ้มออก “ได้ ป้อมจะขอพ่อดู”




<“ชิงช้าสวรรค์นี่ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานะ” จุ๋มพูดช้าๆ “มีขึ้น มีลง มีจุดสูงสุด มีจุดต่ำสุด และก็มีวนเวียนมาซ้ำที่เดิม ไม่ไปถึงไหน”>

Monday, November 14, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 52

ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนั้นผมไปติวให้ป้อมเกือบทุกวัน จนในตอนเย็นวันหนึ่ง พ่อของป้อมกลับจากทำงานมาถึงบ้านก็เรียกผมไปพบในห้อง

“อาต้องขอบใจอูมากที่ช่วยติวให้ป้อมเต็มที่” พ่อของป้อมอารัมภบท

“เป็นเพราะป้อมยอมคุยหรอกครับ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไงเหมือนกัน” ผมตอบ

“อาก็แปลกใจเหมือนกันที่ป้อมเข้ากับอูได้ดี กับครูสอนพิเศษคนอื่นๆป้อมไม่ค่อยยอมพูด” พ่อของป้อมตั้งข้อสังเกต พร้อมกับหยิบซองจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งยื่นให้ผม “นี่เป็นค่าสอนในช่วงปิดเทอมของอูนะ”

ผมเห็นซองมีความหนา แสดงว่าในนั้นคงใส่ธนบัตรอยู่หลายใบ ผมลังเล อยากได้ก็อยากได้ แต่ในที่สุดก็ตัดใจไม่ยื่นมือออกไปรับซองฉบับนั้น

ผมมองเงินซองนั้น ในใจคิดเตลิดไปไกล เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก เวลาไปเที่ยวเล่นที่บ้านเพื่อนคนไหนก็ได้กินอาหารกินขนม แม้แต่ไปซื้อของที่ร้านค้าเจ้าของร้านยังหยิบขนมให้ฟรีๆ ในตอนนั้นชีวิตในชนบทยังมีน้ำใจและเอื้ออาทรแก่กันอยู่มาก แต่ในปัจจุบัน วิถีชีวิตแบบคนเมืองขยายตัวเข้าไปในชนบท ระบบเศรษฐกิจแบบใช้เงินตราทำให้ทุกอย่างกลายเป็นของที่มีราคาไปหมดเพื่อความสะดวกในการซื้อขายแลกเปลี่ยน แม้แต่น้ำใจและความเชื่อถือก็ยังสามารถตีเป็นราคาได้

ผมนึกถึงการไปออกค่ายที่เพิ่งผ่านมา สังคมในช่วงที่ไปออกค่ายนั้นผมไม่ได้ใช้เงินเลย ชีวิตเหมือนอยู่ในระบบเศรษฐกิจอีกแบบหนึ่ง ทุกสิ่งมีค่าแต่ทว่าไม่มีราคา... คิดแล้วสะท้อนใจว่าในโลกอันกว้างใหญ่ยังเหลือพื้นที่สำหรับเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตราอยู่อีกเท่าใด

“ไม่ต้องหรอกครับคุณอา ช่วงนี้ผมแค่ติวของเก่า ไม่ได้สอนอะไรใหม่” ผมพูด กับซองซองนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับมีราคาอย่างไรก็ไม่รู้... มีราคาแต่ราคานี้ก็ได้ทำลายคุณค่าและความภูมิใจในตนเองลงไป...
พ่อของป้อมไม่ได้หดมือกลับ แต่กลับถือซองนั้นค้างเอาไว้

“รับไว้เถอะ อูตั้งใจสอนน้อง มาสอนเกือบทุกวัน ต้องเหนื่อย ต้องกินต้องใช้ ต้องเดินทาง มันเป็นสิ่งที่อูสมควรได้” พ่อของป้อมพูด

“เกรดวิชาคณิตศาสตร์ของป้อมในเทอมที่แล้วไม่ค่อยดี... เอ้อ... ไม่ใช่ครับ คือหมายถึงว่าแสดงว่าผมยังสอนได้ไม่ค่อยดี ผมคิดว่าผมควรต้องรับผิดชอบครับ การมาทบทวนให้ในช่วงปิดเทอมนี้ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผม ถ้ารับค่าสอนซ้ำอีกผมคงไม่สบายใจ เอาไว้เปิดเทอมแล้วสอนเรื่องใหม่คุณอาค่อยคิดค่าสอนให้ดีกว่าครับ ช่วงนี้ผมปิดเทอม ว่างๆอยู่แล้ว คุณอาจัดอาหารเที่ยงให้ทุกวัน ผมก็มีค่าใช้จ่ายแค่ค่ารถซึ่งก็นิดหน่อยเท่านั้นเอง” ผมปฏิเสธอีก

เมื่อของป้อมเห็นว่าผมไม่ยอมรับก็ไม่ยืนกรานอีก ตอนนั้นวิธีคิดของผมอาจจะยังเด็กเกินไป คิดเพียงแต่ว่าคุณค่าบางอย่างไม่ควรถูกตีเป็นราคา แต่หากมองย้อนกลับไป หากพ่อของป้อมไม่เสนอค่าสอนให้ ผมอาจมองว่าพ่อของป้อมเอาเปรียบก็เป็นได้

- - -

เดือนพฤศจิกายน

ดินฟ้าอากาศวันเปิดเทอมในภาคเรียนที่สองไม่สดใสนัก ท้องฟ้าครึ้ม อากาศเริ่มเย็นลง อันเป็นลักษณะของปลายฝนต้นหนาว

สภาพภายในคณะตอนปิดเทอมกับตอนเปิดเทอมแตกต่างกันลิบ ช่วงปิดเทอมที่ผมมาทำงานที่ชมรม บรรยากาศในคณะเงียบเหงา ถนนในคณะโล่งแทบไม่มีนักศึกษาเดิน จะมีก็เพียงอาจารย์กับ รปภ. ส่วนตามม้านั่งใต้ตึกก็มีนักศึกษาอยู่น้อยมาก พวกที่มาคือมานั่งทำรายงานกลุ่มที่ยังคั่งค้างอยู่ หรือนัดนักเรียนมัธยมมาสอนพิเศษ ส่วนตอนเปิดเทอมนั้นบนถนนและตามใต้ตึกคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา

หลังจากที่ไม่ได้เจอกับเพื่อนๆในแผนกมาพักหนึ่ง เมื่อเปิดเทอมพวกเราก็มีเรื่องคุยกันมากเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่ก็คุยกันเรื่องเกรด ผลการเรียนในเทอมหนึ่งที่ผ่านมาเกรดเฉลี่ยของผมแม้ได้ไม่ถึง ๓ แต่ก็เกือบๆ แม้ว่าเกรดเฉลี่ยก็ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่หากเทียบกับเพื่อนๆในแผนกเกรดของผมจัดว่าอยู่ปลายแถว ตอนปลายเทอมที่แล้วมัวแต่ไปวุ่นวายกับเรื่องขอหนังสือมาจัดห้องสมุดจนเสียการเรียนไปบ้าง แต่ได้ขนาดนี้ผมก็พอใจแล้ว

เปิดเทอมใหม่ในครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไปบ้าง ผมรู้ว่าตนเองมักจับตามองคู่หนุ่มสาวที่เดินด้วยกันหรือมีความใกล้ชิดกัน เห็นแล้วก็จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย ตั้งคำถามกับตนเองว่าคู่นี้เป็นแฟนกันหรือเปล่า ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพฤติกรรมนี้ของผมเกิดจากอะไร แต่ผลจากการที่จับตาสังเกตคู่หนุ่มสาวเป็นพิเศษนี่เองทำให้ผมสังเกตพบว่าพี่อี๊ดรุ่นพี่หนุ่มเมโทรกับพิมพ์เพื่อนร่วมรุ่นขาเที่ยวของผมนั้นมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ โดยสังเกตจากกิริยาของทั้งสองขณะที่เราอยู่ด้วยกันในห้องพักแผนก

เอ... คู่นี้จะชอบกันหรือเปล่าหว่า ผมอดจินตนาการไปไกลไม่ได้

“พี่อี๊ด คืนนี้พาไปเที่ยวฉลองเปิดเทอมกันหน่อย” พิมพ์พูด พลางหันมามองพวกเราสามสี่คนที่เป็นขาเที่ยวในกลุ่ม “พวกเรา ไปด้วยกันนะ”

“จะไปไหนล่ะ” พี่อี๊ดไม่ปฎิเสธ ถามกลับแบบนี้แสดงว่าคงอยากไปเหมือนกัน

“ไปคาราโอเกะ ดีมั้ย” พิมพ์เสนอ

“เฮ้ย ไม่เอา ชั้นร้องเพลงไม่เป็น” เพื่อนในกลุ่มค้าน

“เออ ไปก็ดีเหมือนกัน พูดแล้วชักอยากร้องเพลง” พี่อี๊ดสนับสนุน พลางพูดต่อพร้อมกับหัวเราะเสียงกวน “พวกที่บอกร้องไม่เป็นนี่ไปแล้วเห็นติดไมค์ยังกับมือทากาวทุกราย เฮอะๆๆ”

“ไปด้วยกันนะไอ้อู” พิมพ์หันมาชวนผม พิมพ์นั้นเวลาไปไหนมักไม่ลืมผม ชอบชวนผมไปด้วยเสมอ

“เอ้อ... เอ้อ... คืนนี้ไม่ว่าง” ผมตอบ ที่จริงก็คือแม้ว่าผมจะชอบฟังเพลงแต่ผมร้องเพลงไม่เป็นและไม่ได้สนใจร้องเพลงมาก่อนเนื่องจากเสียงเลวร้ายมาก แต่จะบอกว่าร้องเพลงไม่เป็นก็โดนพี่อี๊ดดักคอเอาไว้ก่อนแล้ว จึงเลี่ยงไปบอกว่าไม่ว่างแทน

“ไอ้บ้า ไม่ต้องมาแก้ตัว กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน จะไม่ว่างได้ยังไง แล้ววันนี้วันศุกร์ด้วย พรุ่งนี้ไม่มีเรียน จะตื่นสายยังไงก็ได้” พิมพ์หัวเราะ แล้วพูดแบบรวดรัด “เป็นอันว่าเธอตอบตกลงนะ”

ส่วนเพื่อนคนอื่นๆนั้นไม่มีปัญหา ต่างเล่นตัวกันพอเป็นพิธี สุดท้ายก็ตกลงไปกันหมด

- - -

บ่ายวันนั้นเอง หลังจากที่จบการเรียนในคาบสุดท้าย ผมก็เดินข้ามคณะไปยังคณะศิลปกรรม เพิ่งจะย่างก้าวเข้าไปในพื้นที่ของคณะศิลปกรรม ผมก็พบกับพี่เหล่งทันที

“สวัสดีครับพี่” ผมทักทาย นึกด่าตัวเองในใจว่าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าเห็นพี่เหล่งก่อนหน้านี้จะได้หลบเสีย

“หวัดดีอู” พี่เหล่งทักทายด้วยความดีใจ “เปิดเทอมวันแรกก็มาหาพี่เลยนะ”

“แหะ... ครับ พี่” ผมอึกอัก

“เอ๊ะ นี่เรามาหาพี่หรือเปล่านี่” พี่เหล่งถาม

ทำไมพี่เหล่งสงสัยหว่า เพิ่งคุยกันประโยคเดียวเองก็รู้ทันผมเสียแล้ว

“ก็... ก็... มาหาพี่นั่นแหละครับ” ผมยังปากแข็ง

พี่เหล่งมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม

“ยังงั้นดีเลย พี่กำลังหิว เราไปหาอะไรกินที่เวิลด์เทรดกันดีกว่า” พี่เหล่งพูด

“เฮ้ย ไม่ได้พี่” ผมอุทาน

“ทำไมจะไม่ได้” พี่เหล่งทำหน้าแบบว่าคราวนี้แกเสร็จฉันแน่

“เอ่อ... ผม... ผมจะแวะมาหาจุ๋มด้วยน่ะครับ” ผมกลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาในทันใด

“พูดมาแค่นี้ก็หมดเรื่อง” พี่เหล่งหัวเราะ “เดี๋ยวนี้ไม่สนใจพี่เหล่งแล้วนะ ชวนไปกินก็ไม่ไป”

“แหะ... สนใจสิครับ พี่รหัสทั้งคนจะไม่สนใจได้ยังไง แต่ว่า... แต่ว่า...” ผมคิดคำแก้ตัวไม่ออก

“เออๆๆ พี่เข้าใจแล้ว” พี่เหล่งหยุดแกล้งผม “พี่ล้อเล่นน่ะ อูไปเถอะ วันนี้พี่ยังไม่ชวนหรอก”

“ครับ ขอบคุณ” ผมโล่งอก แต่ยังถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “ไม่โกรธนะพี่”

“เออน่า... บอกแล้วว่าพี่ล้อเล่น จะไปหาจุ๋มก็รีบไปเถอะ” พี่เหล่งหัวเราะขำอีก เมื่อเห็นพี่เหล่งหัวเราะผมก็แน่ใจได้ว่าพี่เหล่งไม่ได้โกรธจริงๆ

ผมเดินเข้าไปในคณะ ขึ้นบนตึกเรียนไปยังห้องที่จุ๋มใช้ซ้อมดนตรีหลังเลิกเรียน เมื่อเดินถึงหน้าห้องก็ได้ยินเสียงไวโอลินกับเปียโนเล่นคลอกันลอยออกมา เพียงฟังแนวเปียโนก็จำได้ทันทีว่าเป็นเพลง Imagine ของจอห์น เลนนอน

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ฟังเพลงด้วยความรู้สึกที่เลื่อนลอย เพลงนี้ผมก็เคยหัดเล่นเหมือนกัน ไม่ได้เล่นเสียนานจนแทบจะลืมไปแล้ว... แต่ยังจำท่วงทำนองอันไพเราะและเนื้อเพลงอันกินใจได้

You may say that I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope some day you'll join us
And the world will be as one

ใช่สินะ ผมเองก็เป็นนักฝันเหมือนกัน... ผมตามหาความฝันที่ยิ่งนานก็ยิ่งเลือนลางและยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก...

เสียงเพลงหยุดลงแล้ว เพลงจบลง แต่การตามหาความฝันของผมยังไม่จบ ผมยังต้องเดินทางต่อไป...

ผมเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง เมื่อจุ๋มเห็นผมผมก็ผละออกมายืนรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้องเหมือนเช่นเคย

“หวัดดีพี่อู” จุ๋มเดินออกมาและทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เทอมใหม่เป็นไงบ้าง” ผมถาม

“ก็ยังงั้นๆแหละพี่ เหมือนเดิม” จุ๋มตอบ “แล้วพี่อูล่ะ เป็นไง”

“เปิดเทอมมาเพื่อนก็ชวนเที่ยวเลย คืนนี้จะไปร้องคาราโอเกะกัน” ผมตอบ

“โห... คงสนุกนะ” จุ๋มทำเสียงตื่นเต้น “จุ๋มไม่เคยไปเลย”

“พี่ก็ไม่เคยไปเหมือนกัน” ผมตอบ รู้สึกผิดในใจนิดๆที่ผมได้เที่ยวสนุกส่วนจุ๋มไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ผมจินตนาการเห็นภาพบ้านที่กว้างใหญ่แต่รกรุงรัง ห้องนอนมืดๆ รกๆ มีชายคนหนึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียงและจุ๋มกำลังฉีดยาให้ที่หน้าท้อง...

“พี่อู พี่อู... เอ๊า เรียกไม่ขานเสียอีก” ได้ยินเสียงจุ๋มเรียก

“คือยังงี้...” ผมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “จุ๋มเคยไปเที่ยวงานลอยกระทงไหม”

“เคยไปลอยกระทงตอนเด็กๆ ไปกับพ่อน่ะ” จุ๋มตอบ

“พี่หมายถึงงานเทศกาลลอยกระทง... แบบงานวัดน่ะ เคยไปไหม” ผมถามใหม่

“ไม่เคยหรอก” จุ๋มสายหน้า “เคยแต่ไปลอยกระทงในแม่น้ำเฉยๆ”

“พรุ่งนี้วันลอยกระทงพอดี คืนพรุ่งนี้ไปเที่ยวงานภูเขาทองกันไหม ก็เป็นงานวัดน่ะ จัดทุกปีในช่วงลอยกระทง” ผมชวน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันลอยกระทง ยามกะทันหันนึกที่เที่ยวเหมาะๆไม่ออก นึกได้แต่สถานที่ที่เคยไปมา งานภูเขาทองที่วัดสระเกษก็สนุกพอใช้ได้ จุ๋มน่าจะชอบ แม้จุ๋มจะดูหน้าตายิ้มแย้ม อีกทั้งยังมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวจุ๋มทำให้ผมคิดว่าจุ๋มคงไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตเท่าไรนัก ถ้าผมจะทำอะไรที่ช่วยให้จุ๋มมีความสุขขึ้นมาได้บ้างแม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ผมก็อยากทำ

“ไปได้ยังไง แม่ไม่ให้ไปเที่ยวไหนตอนกลางคืน แล้วก็ต้องกลับไปฉีดยาให้พ่อด้วยแหละ” จุ๋มพูด “ว่าแต่งานมีที่ไหนล่ะพี่อู”

“วัดสระเกษ แถวๆหัวถนนราชดำเนินไง” ผมตอบ แล้วพยายามโน้มน้าว “กลางคืนออกไม่ได้ ไปตอนกลางวันก็ได้ งานออกร้านตอนบ่ายๆเย็นๆก็เริ่มแล้ว ตอนบ่ายแก่ๆเราก็ไปเดินสักชั่วโมงสองชั่วโมงพอให้ได้บรรยากาศงานเทศกาล แล้วก็กลับบ้าน ใช้เวลาไม่มาก จุ๋มไปได้น่า”

จุ๋มนิ่งคิดอยู่นาน

“ไม่ต้องลังเลแล้ว ความลังเลเป็นบ่อเกิดของความไม่แน่นอน” ผมยกสำนวนของนักขายยาเร่มาใช้ “ไปเถอะ กลับถึงบ้านไม่เกินหกโมงเย็นแน่นอน”

“สำนวนอะไรของพี่อูน่ะ” จุ๋มหัวเราะ “ลองดูก็ได้ค่ะ ไปก็ไป”

ผมคำนวณเวลาดู พรุ่งนี้ต้องสอนป้อม กว่าจะเสร็จก็เที่ยง หากมีสอนติดพันก็อาจจะเลยไปถึงบ่ายโมง จึงนัดกับจุ๋มว่าเจอกันที่มาบุญครองเวลาบ่ายสามโมง จากนั้นจึงค่อยนั่งรถสาย ๔๗ จากหน้ามาบุญครองไปลงที่หน้าวัดสระเกษ

- - -

“นี่ ป้อม ตั้งใจทำหน่อยสิ ยุกยิกอยู่นั่นแหละ” ผมดุป้อมเมื่อเห็นป้อมนั่งหมุนปากกาบนปลายนิ้วอยู่เป็นนานสองนาน เมื่อป้อมนั่งหมุนปากกาก็เป็นอันรู้กันว่าป้อมคิดไม่ออก

การสอนในวันนี้เป็นเนื้อหาของ ม.๔ เทอมสอง ผมพยายามติวของเก่าให้ป้อมจนเสร็จทันภายในปลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อขึ้นเรื่องใหม่ป้อมก็ติดคิดไม่ออกอีก วันนั้นผมสอนป้อมไปก็รู้สึกง่วงนิดหน่อยเหมือนกันเพราะว่าเมื่อคืนไปร้องคาราโอเกะอยู่จนดึก อีกทั้งวันนี้อยากจะสอนให้เสร็จโดยเร็ว จะได้ไม่ผิดนัดกับจุ๋ม

“เมื่อยแล้วพี่อู” ป้อมบ่น “วันนี้หัวไม่แล่นเลย”

ผมเอาปากกาเคาะหัวป้อมเบาๆ

“เอ้า เคาะขี้เลื่อยออกมาให้แล้ว หัวแล่นแล้ว ทำต่อได้” ผมพูด

“ในหัวป้อมเต็มไปด้วยรอยหยัก มีขี้เลื่อยที่ไหน” ป้อมเถียง พลางวางปากกาในมือลงและยื่นมือขวามาให้ผม “ป้อมเขียนจนเมื่อยแล้ว นวดมือให้ป้อมหน่อยดิ”

“พี่มาสอนพิเศษให้เรานะ ไม่ใช่หมอนวดประจำตัว” ผมหัวเราะ ในระยะหลังป้อมงอแงกับผมบ่อยๆ แต่ว่างอแงไม่มาก พอขำๆ ไม่ถึงกับดื้อรั้น สุดท้ายก็เชื่อฟังผม ดังนั้นการงอแงของป้อมจึงไม่ได้น่ารำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับทำให้ป้อมดูเป็นเด็กๆ น่ารักดี

“นั่นแหละ อะไรก็ช่าง ถ้าไม่นวดป้อมทำต่อไม่ไหว เมื่อยมากเลย” ป้อมพยายามที่จะถือไพ่เหนือกว่าผม

“เฮ้อ ยุ่งจริง เด็กคนนี้” ผมแกล้งบ่น แต่ก็นวดมือให้ตามที่ป้อมต้องการ

การที่ได้สัมผัสมือของป้อมทำให้ความคิดของผมเตลิดเปิดเปิง... ป้อมเรียน ม.๔ ป่านนี้บอยก็เรียนอยู่ ม.๕ แล้ว มือของป้อมนุ่ม เนียน และเรียบลื่น อันเป็นลักษณะของเด็กที่เรียนอย่างเดียว ไม่ได้ทำงานบ้าน ส่วนมือของบอยไม่นุ่มเนียนเท่าไรนัก ฝ่ามือของบอยมีรอยด้านเพราะบอยทำงานบ้านและโหนรถเมล์ ป่านนี้ไอ้น้องบอยเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้... ผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง

“เวลาไปโรงเรียน ที่บ้านไปรับไปส่งล่ะสิ” ผมพูดในขณะที่นวดมือให้ป้อม “คุณชายจริงๆเลย”

“ทำไมพี่อูรู้ล่ะ” ป้อมถาม

“ไม่ยาก ก็มือนิ่มซะขนาดนี้ ไม่มีรอยด้านเลย แสดงว่าไม่ได้ทำงานบ้าน ไม่ได้โหนรถเมล์ด้วย ก็แสดงว่ามีรถรับส่ง” ผมเฉลย

“โห พี่อูฉลาดจัง” ป้อมชม “มีลูกขอ... โอ๊ย”

ก่อนที่ป้อมจะพูดจบ ผมก็หยิกมือของป้อมเสียก่อน

“นี่แน่ะ พูดมากนัก” ผมหัวเราะ แล้วปล่อยมือป้อม “พอแล้ว เรียนกันต่อ”

ป้อมหัวเราะขำไปด้วยที่ผมรู้ทัน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำโจทย์ต่อไป ป้อมคงไม่รู้ว่าผมนวดมือให้ป้อมเพียงครู่เดียวก็ต้องรีบหยุดเพราะเกรงว่าจะฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้



<คาราโอเกะ ธุรกิจคาราโอเกะนั้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นและเริ่มบูมในราวยุค พ.ศ. ๒๕๒๐ หลังจากนั้นก็แพร่ลายไปในประเทศต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย โดยยุคแรกของร้านคาราโอเกะในประเทศไทยนั้นจะอยู่แถวซอยธนิยะ สีลม และถนนสุขุมวิท เพื่อบริการชาวญี่ปุ่นในไทยเป็นหลัก ต่อมาร้านคาราโอเกะก็แพร่หลายมากยิ่งขึ้น มีทั้งชาวญี่ปุ่น ชาวไทย และชาติอื่นๆมาเที่ยว ชาติที่นิยมร้องคาราโอเกะรองจากญี่ปุ่นได้แก่ชาวไต้หวัน ในยุคแรกๆชาวไทยส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ฟังมากกว่า การร้องคาราโอเกะในยุคแรกยังเป็นระบบม้วนเทป โดยเป็นม้วนเทปที่บันทึกเสียงดนตรีเอาไว้โดยไม่มีเสียงร้อง ไม่มีภาพ การร้องก็ไม่มีห้องส่วนตัว แขกที่มาเที่ยวจะนั่งตามโต๊ะคล้ายร้านอาหาร แต่ละโต๊ะจะมีสมุดรวมเนื้อเพลงให้ โต๊ะใดที่ต้องการร้องเพลงอะไรก็ให้เขียนบอกผู้ควบคุม ผู้ควบคุมจะเป็นคนจัดคิวร้องเพลงให้ เมื่อถึงคิวของโต๊ะใดก็จะขึ้นป้ายบอก แล้วคนในโต๊ะนั้นก็รับไมโครโฟนไปร้อง ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จึงเข้าสู่ยุคของคาราโอเกะที่เป็นเลเซอร์ดิสก์ สามารถฉายภาพและเนื้อเพลงขึ้นจอได้ด้วย และก็เป็นช่วงเดียวกับที่ร้านคาราโอเกะเริ่มแพร่หลายในหมู่ชาวไทยและชาวไทยเริ่มนิยมร้องคาราโอเกะมากขึ้น คนหนุ่มสาวก็นิยมร้อง มีร้านคาราโอเกะเปิดกระจายไปในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ฯลฯ ร้านคาราโอเกะและเทคโนโลยีด้านเครื่องคาราโอเกะพัฒนาไปเรื่อยๆ จนต่อมามีเครื่องเล่นวีซีดีคาราโอเกะ และร้านคาราโอเกะที่จัดห้องร้องเพลงเป็นส่วนตัวสำหรับหมู่คณะ รวมทั้งหลังปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ก็เข้าสู่ยุคตู้คาราโอเกะที่เป็นตู้เล็กๆ ตั้งอยู่ตามศูนย์การค้า ที่เด็กวัยรุ่นชอบไปนั่งเบียดกันอยู่ในตู้พร้อมทั้งหยอดเหรียญเพื่อร้องเพลง ในภาพ ภาพบนเป็นตู้คาราโอเกะในญี่ปุ่นในยุคแรก เป็นตู้ที่ให้ความบันเทิงแบบส่วนตัว ส่วนภาพล่างเรียกตู้คาราโอเกะเหมือนกันแต่เป็นตู้คาราโอเกะในยุคหลัง สภาพคล้ายตู้เสื้อผ้า หากเบียดเสียดกันจริงๆก็เข้าไปได้หลายคน นิยมติดตั้งตามศูนย์การค้า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น>

Friday, November 4, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 51

เราสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจุ๋มก็เริ่มเล่าเรื่องของตนเอง

“ครอบครัวของจุ๋มมีกันอยู่ สี่คน จุ๋มยังมีน้องชายอีกคนหนึ่ง อ่อนกว่าจุ๋มสองปี” จุ๋มพูดช้าๆเหมือนกับกำลังใช้ความคิด “นี่จุ๋มไม่ได้นินทาแม่นะ แต่ว่า... แม่เป็นคนที่... เอ้อ... เจ้าระเบียบ เข้มงวด ค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย เอาแต่ทำงาน ชีวิตมีแต่ที่ทำงานกับที่บ้าน ไม่ชอบไปเที่ยวที่ไหน ส่วนพ่อนั้นเป็นตรงกันข้าม พ่อเป็นคนง่ายๆ มองโลกในแง่ดี อารมณ์ดี ชอบคบเพื่อนฝูง มักไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่นอกบ้านเสมอ...”

ผมฟังด้วยความแปลกใจ พ่อกับแม่ของจุ๋มมีนิสัยแตกต่างกันมาก ราวกับสีขาวกับสีดำ ไม่รู้ว่าคนสองคนที่นิสัยตรงกันข้ามเช่นนี้แต่งงานกันได้ยังไงเหมือนกัน

“จุ๋มเรียนในโรงเรียนเอกชนตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนชั้น ม.ต้น ก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ จุ๋มคิดว่าอยู่โรงเรียนประจำก็ดีเหมือนกันเพราะว่าตอนนั้นเบื่อที่บ้านมาก ถ้าอยู่บ้านจุ๋มกับน้องก็ต้องโดนแม่ดุโน่น ตินี่ เสมอ อย่าว่าแต่จุ๋มกับน้องเลย พ่อเองก็โดนแม่บ่นเป็นประจำ

“อยู่ที่โรงเรียนประจำสนุก มีเพื่อนเยอะ จะเซ็งก็ตอนกลับมาอยู่ที่บ้านวันเสาร์อาทิตย์นี่แหละ แต่จุ๋มก็พยายามหาเรื่องออกนอกบ้านในวันหยุดเสมอ ส่วนน้องชายของจุ๋มนั้นเรียนโรงเรียนไปกลับ ต้องเจอแม่บ่นทุกวัน วันหยุดน้องก็อยู่ไม่ติดบ้านเหมือนกัน ส่วนพ่อนั้นไม่ต้องพูดถึง ออกไปเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำอยู่แล้ว”

ผมคิดในใจว่าบ้านนี้แปลกๆ สามพ่อลูกอยู่ไม่ติดบ้านกันสักคน นึกภาพแม่ของจุ๋มไม่ออกว่าจู้จี้เจ้าระเบียบเพียงใด

“ตอนที่จุ๋มอยู่ชั้น ม.๔ พ่อเริ่มมีอาการหลงๆลืมๆ ลืมนั่นลืมนี่บ่อยๆ ทีแรกก็ยังไม่มีใครสงสัยอะไร แต่ต่อมาตอนที่จุ๋มเรียนอยู่ชั้น ม.๕ พ่อเริ่มมีอาการหลงลืมมากขึ้น ขนาดที่ว่าเมื่อพ่อถามอะไรใครก็จะถามคำถามนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะลืมว่าเมื่อกี้ถามไปแล้วและได้คำตอบไปแล้ว จากคนที่อารมณ์ดีกลายเป็นคนที่อารมณ์เสียง่าย หากใครขัดใจหรือทำอะไรไม่ได้ดังใจจะโกรธ ฉุนเฉียว ในที่สุดแม่ก็พาพ่อไปหาหมอ จึงได้รู้ว่าพ่อเป็นโรคสมองเสื่อม”

โรคสมองเสื่อมก็คืออัลไซเมอร์นั่นเอง แต่ในตอนนั้นโรคนี้ยังไม่ดัง ศัพท์คำว่าอัลไซเมอร์ก็ยังไม่รู้จักกันกว้างขวางเช่นทุกวันนี้ คนทั่วไปมักรู้จักกันในชื่อโรคสมองเสื่อม

“หมอบอกว่าพ่อเริ่มเป็นโรคนี้เร็วมาก โรคนี้มักเกิดในคนสูงอายุ แต่ตอนนั้นพ่ออายุราวๆ ๕๕-๕๖ ปีเท่านั้นเอง การไปหาหมอในครั้งนั้นทำให้พ่อต้องตรวจร่างกายและก็ทำให้รู้ว่าพ่อเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงอีกด้วย”

“แย่จัง ตรวจทีนึงก็พบหลายโรคเลย” ผมพูด ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมเหมือนกันเพราะไม่เคยได้ยินใครพูดถึง รู้แต่ว่าคนที่สูงอายุมากๆคุณตาคุณยายก็มักหลงๆลืมๆ อันถือเป็นเรื่องปกติตามวัย

“หมอบอกว่าหากอาการของพ่อพัฒนาไปเร็วแบบนี้ อีกไม่นาน... เพียงไม่กี่ปี พ่อจะจำใครไม่ได้เลย... จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง” จุ๋มพูด น้ำเสียงของจุ๋มยิ่งช้าลงและฟังดูเศร้าสร้อย

ผมนั่งนิ่ง อาการของโรคสมองเสื่อมฟังแล้วน่ากลัว นี่ไม่ใช่เพียงแค่คนสูงอายุหลงๆลืมๆ แต่ถึงขนาดจำตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว

“แล้วรักษาได้ไหม” ผมถาม

“โรคนี้มีสาเหตุจากอะไรยังไม่รู้เลย อย่าว่าแต่จะรักษา” จุ๋มส่ายหน้า “เมื่อรู้ถึงความรุนแรงของโรค ทุกคนในบ้านตกใจกันหมด พ่อเองก็ทำใจไม่ได้ หมอแนะนำว่าให้พยายามฝึกคิด ฝึกทบทวนความจำ เพื่อชะลออาการของโรคให้ช้าลง แต่ก็แค่ช้าลงเท่านั้น... ถึงยังไงก็ไม่มีทางยับยั้งมันได้

“อาการของพ่อไปเร็วมากจริงๆ ตอนที่จุ๋มอยู่ ม.๖ พ่อก็แทบจำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ตอบสนองกับคนรอบข้าง ไม่พูดจา ไม่ยิ้ม จากคนที่เคยอารมณ์ดีกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร บางทีก็ออกจากบ้านไปโดยไม่มีใครรู้ เดินเรื่อยเปื่อยไม่ดูทาง ไม่ดูรถ ดีที่ตามเจอได้ทุกครั้งและยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ จนในที่สุดก็ต้องเฝ้ากันตลอดเวลา ไม่ให้พ่อออกไปไหน

“จุ๋มต้องย้ายจากโรงเรียนประจำมาเรียนในโรงเรียนไปกลับเพื่อช่วยแม่กับน้องดูแลพ่อ ตอนนั้นที่บ้านต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยดูแลทำความสะอาดบ้านด้วยเพราะการดูแลพ่อเพิ่มภาระขึ้นอีกมาก แต่แม่บ้านที่จ้างมาแต่ละคนทำได้ไม่นานก็ลาออกเพราะไม่มีใครทนความจู้จี้ของแม่ได้... เปลี่ยนหลายคนแล้วก็ไม่มีใครอยู่ได้ ในที่สุดก็เลยต้องช่วยดูแลพ่อและทำงานบ้านกันเอง”

ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมคิด

“แล้วตอนนี้คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง” ผมถาม

“พ่อจำใครไม่ได้แล้ว กินข้าวก็ไม่กินเอง ต้องมีคนป้อนให้จึงจะกิน การขับถ่ายก็... เอ้อ... ก็ไม่ควบคุม พ่อไม่ค่อยเคลื่อนไหวแล้ว ดูไปคล้ายกับพ่อติดอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง” จุ๋มอธิบาย “ทุกวันนี้พ่อต้องฉีดอินซูลินเพื่อคุมเบาหวานด้วย ยาฉีดนี่ต้องตรงเวลาตามตารางเลย พวกเราก็ต้องจัดเวลาผลัดเวรกันฉีด ยาคุมความดันก็ต้องกิน

“ตอนนี้บ้านแทบไม่เป็นบ้านแล้ว เดิมแม่เป็นคนเครียดอยู่แล้วก็ยิ่งเครียดหนัก สงสารน้องจุ๋ม ทะเลาะกับแม่บ่อยมาก ช่วงหลังนี่นิสัยน้องเปลี่ยนไปเลย จากเด็กที่เคยเรียบร้อยกลายเป็นเด็กก้าวร้าว ที่เคยเรียนดีก็แย่ลง บางทีมันก็เผลอเล่าออกมาว่ามันหนีโรงเรียนไปมั่วสุมตามลานสเก็ตกับเพื่อนๆ แต่เรื่องนี้แม่ยังไม่รู้... และบางทีน้องก็เบี้ยว ไม่ยอมกลับมาฉีดยาให้พ่อ จุ๋มเลยต้องรีบกลับบ้านอยู่เสมอ”

ผมถอนใจ รู้สึกเห็นใจจุ๋มพร้อมๆกับเป็นห่วงน้องชายจุ๋มขึ้นมา ผมเข้าใจดีว่าสภาพเช่นนั้นเป็นอย่างไร

“แล้วที่จุ๋มบอกว่ามีอดีตที่อยากแก้ไขคือเรื่องอะไรล่ะ” ผมถาม

“การเห็นคนที่เรารัก... และคนที่รักเรา... ค่อยๆเปลี่ยนเป็นไม่รู้จักเรา และในที่สุดก็ลืมเราไปโดยสิ้นเชิง มันเจ็บปวดมากนะพี่อู... ทุกๆวันที่จุ๋มเห็นพ่อค่อยๆลืมเราไป... มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะเทียบกับอะไร... จุ๋มเสียใจที่ไปอยู่ในโรงเรียนประจำอยู่หลายปี กลับมาก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน จุ๋มรู้สึกว่าเวลาช่วงนั้นมีค่ามาก แต่จุ๋มก็ปล่อยให้มันเสียไป” จุ๋มพูดแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเครือ

“จุ๋มอยากมีเวลาอยู่กับพ่อมากกว่านี้... ถ้าตอนนั้นจุ๋มมีเวลาให้พ่อมากกว่านี้ มีความทรงจำกับพ่อมากกว่านี้...” น้ำตาของจุ๋มก็ไหลออกมาคลอเบ้า น้ำเสียงก็กลายเป็นปนสะอื้น จุ๋มรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา

นี่มันโทษตัวเองชัดๆ ผมคิด น้ำตาของจุ๋มทำให้ผมมือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก จะพูดปลอบใจก็พูดไม่ถูก จึงได้แต่นิ่ง

เราสองนั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดจุ๋มก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาอีกครั้ง และดูเหมือนความทุกข์และเหนื่อยล้าของจุ๋มจะถูกปาดทิ้งไปด้วย เพราะจุ๋มกลับมามีท่าทีกระฉับกระเฉงอีกครั้งหนึ่ง

“จุ๋มต้องกลับแล้วล่ะพี่อู” จุ๋มพูดพลางหยิบกระเป๋าและลุกขึ้นจากโต๊ะ “คราวนี้พี่อูก็รู้เรื่องหมดแล้วนะ... จุ๋มไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพื่อนๆก็ไม่รู้ เพราะเล่าไปก็เหมือนนินทาแม่ตัวเอง...”

“ขอบใจมากที่จุ๋มไว้ใจพี่...” ผมพูดจากใจจริง

ผมเดินไปกับจุ๋มเดินลงจากศูนย์อาหาร เมื่อถึงป้ายรถเมล์ จุ๋มขึ้นรถไปก่อน ส่วนผมรอขึ้น ปอ.๒ ตามปกติ ขณะที่ผมอยู่ในรถ ความคิดของผมล่องลอยไปไกล รู้สึกเศร้าไปกับชะตาชีวิตของจุ๋ม ประสบการณ์ชีวิตของจุ๋มน่าเห็นใจมาก ผมพยายามจินตนาการภาพครอบครัวของจุ๋มว่าดำเนินชีวิตกันอย่างไร พ่อของจุ๋มอยู่อย่างไร พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกของจุ๋ม ที่ต้องเห็นผู้ที่ตนเองรักค่อยๆสูญเสียความทรงจำทั้งมวลไปทีละน้อย แม้ผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างถ่องแท้แต่ก็รู้ว่ามันต้องเป็นความทุกข์ใจอันยิ่งใหญ่ น่าแปลกที่จุ๋มยังมีสุขภาพจิตที่ดีและยังมองโลกในแง่ดีอยู่ได้ เธอมีหัวใจที่แกร่งอย่างที่ผมคาดไม่ถึง...

- - -

“พี่อู พักกินข้าวก่อน ป้อมหิวแล้ว” ป้อมวางปากกาในมือลงพร้อมกับบิดขี้เกียจ “เมื่อยด้วย”

“เดี๋ยวก่อน ทำข้อนี้ให้เสร็จเสียก่อน” ผมพูด “ยังไม่ทันจะเที่ยงเลย อย่าเพิ่งหิว”

“ไม่เอา จะกินข้าวแล้ว” ป้อมสะบัดหัวพร้อมกับพูดด้วยเสียงงุ้งงิ้ง

“แน่ะ ตีรวนอีกนะเรา” ผมหัวเราะ “นะนะนะ น้องป้อมคนดี ทำข้อนี้ให้จบก่อน”

ป้อมไม่ตอบ แต่บิดขี้เกียจอีกครั้งพร้อมกับหยิบปากกาขึ้นมาเขียนยุกยิกลงในกระดาษ สักพักหนึ่งก็วางปากกาลงอีก

“อะ เสร็จแล้ว” ป้อมพูด

“ไป คราวนี้เชิญคุณชายไปกินข้าวได้” ผมพูดพลางหัวเราะ

เราสองคนลุกขึ้นและเดินไปที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ในอีกห้องหนึ่ง บนโต๊ะมีข้าวผัดสองจานมีฝาชีครอบเอาไว้วางรออยู่แล้ว

หลังจากที่กลับมาจากออกค่ายและกลับมาสอนพิเศษป้อมอีกครั้งหนึ่ง ผมวางแผนการติวป้อมโดยพยายามทบทวนคณิตศาสตร์ ม. ๔ เทอมหนึ่งทั้งหมดให้เสร็จภายในช่วงปิดเทอมเพื่อว่าเมื่อเปิดเทอมแล้วจะได้พร้อมที่จะเรียนเนื้อหาของเทอมปลายได้ แต่เนื่องจากป้อมยังทำโจทย์ไม่ค่อยได้ ผมจึงพยายามให้ป้อมทำโจทย์ให้มาก การทบทวนและทำโจทย์จึงใช้เวลาไม่น้อย

ป้อมตั้งใจเรียนขึ้นมาก อีกทั้งพยายามพูดคุยกับผมมากขึ้นตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ ตอนแรกผมก็รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับน้ำเสียงงุ้งงิ้งของป้อมเท่าไรนัก แต่ไม่นานผมก็เริ่มคุ้นและกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของป้อมเหมือนเด็ก ฟังแล้วน่ารักดี

เมื่อผมให้การบ้านป้อม ป้อมมักไม่ค่อยอยากทำและอ้างว่าติดปัญหาแล้วไม่รู้จะถามใคร ป้อมชอบให้ผมอยู่เป็นเพื่อนขณะทำการบ้านเสมอ ในที่สุด ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนั้นเอง ผมก็ต้องเดินทางมาบ้านป้อมแทบทุกวัน ทั้งสอนและคุมให้ป้อมทำการบ้านตั้งแต่เช้ายันบ่าย หลายวันผ่านไป ความสนิทสนมคุ้นเคยของเราก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่เมื่อเทอมที่แล้วเราเรียนกันมาทั้งเทอมแต่กลับไม่รู้สึกว่าคุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย

และในที่สุดผมก็ได้รู้ความจริงที่ผมคาดไม่ถึงว่าป้อมนั้นช่างพูดเหลือเกิน!

“พี่อูไปออกค่ายทำอะไรบ้างฮะ” ป้อมชวนคุยระหว่างที่เรากินอาหารเที่ยงด้วยกัน

“ก็ช่วยสร้างโรงเรียนน่ะ ทำทุกอย่าง เลื่อยไม้ ตอกตะปู ผสมปูน ทาสี แบกของ...” ผมตอบ

“ทำไม่เป็นสักอย่าง” ป้อมพูดดัก

“ใครบอกล่ะ ทำได้ทุกอย่างต่างหาก” ผมหัวเราะกับมุขของป้อม

“ป้อมก็เคยไปออกค่ายลูกเสือ ตอน ม.๓ ไปอยู่ที่ค่ายศรีราชาตั้งหลายวัน โห ที่นั่นนะ กว้างมากกกกกกก...” ป้อมเล่าอย่างออกรส “ตอนทำอาหารต้องก่อกองไฟเอง ต้องเอาไม้มาสีกันให้เกิดความร้อนแล้วกลายเป็นเปลวไฟ”

“แบบมนุษย์หินฟลินต์สโตนเลยนะ” ผมพูด

“ช่าย นั่นแหละ แต่จุดกันไม่ติดสักคน ในที่สุดก็ใช้ไฟแช็ก ฮ่าๆๆ” ป้อมหัวเราะสนุก

“แล้วพกไฟแช็กไปทำไม” ผมถาม

“ป้อมไม่ได้พก คนอื่นพกไป บางคนมันก็สูบบุหรี่” ป้อมตอบ

“ไป ได้เวลาเรียนต่อแล้ว” ผมพูดกับป้อมหลังจากที่เหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้อง

“เดี๋ยว ป้อมยังเล่าไม่จบเลย” ป้อมทักท้วง “ฟังป้อมเล่าก่อนสิ”

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าป้อมจะช่างพูดขนาดนี้” ผมแกล้งดุ “ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวก็ทวนไม่ทันก่อนเปิดเทอมหรอก”

ป้อมทำหน้าเขินผสมจ๋อยเมื่อโดนผมดุว่าช่างพูด ผมฉุกคิดว่ามันอาจเป็นคำพูดที่ทำให้ป้อมรู้สึกอายในปมของตนเอง

“อะ อะ เล่าให้จบก็ได้ ที่จริงพี่ก็อยากฟังแหละ แค่กลัวทวนไม่ทันเท่านั้นเอง” ผมรีบเปลี่ยนท่าที

ป้อมจึงเล่าเรื่องการไปค่ายลูกเสืออย่างออกรสโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพราะเมื่อจบเรื่องหนึ่งก็ต่อไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง จนผมต้องเร่งรัดป้อมอีกครั้ง

“พี่อู ป้อมถามอะไรหน่อย” ป้อมพูด

“จะถามอะไรล่ะ ว่ามาสิ” ผมตอบ

“พี่อูเป็นอะไรเหรอ” ป้อมถาม

“เป็นอะไร” ผมทวนคำอย่างงุนงง “ หมายความว่ายังไง”

“พี่อูป่วยเป็นอะไรฮะ” ป้อมถามอีก “ที่เคยบอกป้อมว่าพี่อูก็ผิดปกติเหมือนกัน”

ผมจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้ป้อมให้ความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกับผมคงเป็นเพราะรู้สึกว่าเราสองคนเป็นพวกเดียวกันนั่นเอง แต่ความผิดปกติของผมนั้นคงสุดที่ป้อมจะคาดเดาได้

“เอ้อ อย่าให้เล่าเลย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง “พี่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย”

“ทีป้อมมีอะไรยังเล่าให้พี่อูฟังจนหมด” ป้อมทำหน้าเสียใจ “บอกป้อมไม่ได้เหรอ”

“เอ้อ...” ผมรู้สึกอึดอัด ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของป้อม แต่ผมคงบอกป้อมไม่ได้หรอกว่าผมไม่ใช่ ‘พวกเดียวกัน’ กับป้อมในความหมายของป้อม “เอาไว้พี่เล่าให้ฟังทีหลังได้ไหม พี่ไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย ขอเวลาพี่สักนิดหนึ่ง”

ป้อมพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่เร่งเร้าผมอีก

“เราไปเรียนต่อกันเถอะ เลยบ่ายโมงมาโขแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนประเด็น




<ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นในกรุงเทพฯ เริ่มต้นในราวปลายเดือนตุลาคมและท่วมขังอยู่เป็นเวลานาน ในภาพนี้ ภาพบนเป็นห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวที่ถูกน้ำท่วมในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ส่วนภาพล่าง เป็นภาพถนนพหลโยธินหน้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวในอีก ๒๘ ปีต่อมา ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลายคนถึงกับเรียกเหตุการณ์ในครั้งหลังนี้ว่าเป็นมหาอุทกภัย>