Monday, May 30, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 34

ปลายเดือนมกราคม

วันนั้นผมตื่นในราวตีสอง ที่ต้องตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันก็เนื่องจากวันนี้ผมต้องเดินทางไปเข้าค่ายฝึก รด. ที่เขาชนไก่ เวลานัดรวมพลคือตีห้า ที่หน้ากรมการรักษาดินแดน แถวหน้าวังสราญรมย์ สนามหลวง ที่จริงผมตื่นตีสามก็ยังทันแต่เนื่องจากเมื่อผมตื่นมาแล้วในตอนตีสองผมก็ไม่กล้านอนต่ออีกเพราะเกรงว่าจะหลับเพลิน

เมื่อตื่นมาแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ผมจึงทบทวนข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องนำไปด้วยอีกครั้งเพื่อความไม่ประมาท ของที่ต้องนำไปด้วยก็มีชุดฝึกซึ่งใส่ติดตัวไป แต่ผมเอาเผื่อไปด้วยอีกหนึ่งชุด นอกจากนี้ยังต้องมีเสื้อยืด รด. สีเขียวสามตัว เอาไว้ผลัดเปลี่ยน กางเกงในผ้าฝ้ายตัวหนึ่งที่ใส่ติดตัวไป นอกนั้นเป็นกางเกงในกระดาษ ถุงเท้า ถุงเท้านี่เป็นถุงเท้าไนลอนธรรมดา ถุงเท้ากระดาษไม่มี ถ้ามีก็คงเอาไปแล้ว แล้วก็มีกระติกน้ำ เข็มขัดสนาม ไฟฉาย ขันน้ำ สบู่ แชมพู กระดาษชำระ และที่ขาดไม่ได้ก็คือผ้าสารพัดประโยชน์และช้อนกินอาหาร ช้อนนี่สำคัญมาก ต้องเอาไปเอง ส่วนผ้าสารพัดประโยชน์นั้นก็คือผ้าขาวม้านั่นเอง เอาไว้ผลัดเปลี่ยนตอนอาบน้ำ

โอย หนักแฮะ ผมยกเป้ที่จัดของเรียบร้อยแล้วขึ้นใส่หลังเพื่อทดลองน้ำหนักดู เป้ของผมแน่นและหนักไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมีการแบกเป้เดินไปไหนไกลๆหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจเอาชุด รด. สำรองออกเพื่อให้สัมภาระเบาขึ้น อุตส่าห์ไปขอพี่ชายหอบเอามาจากต่างจังหวัด ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไม่เอาไป

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและนั่งรอเวลาจนถึงประมาณตีสี่ ผมก็ออกเดินทางจากหอพักโดยนั่งแท็กซี่ไปยังกรมการรักษาดินแดนหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า กรม รด.

การจราจรตอนเช้ามืดไม่ติดขัดเลย ผมไปถึงหน้ากรม รด. ตั้งแต่ยังไม่ตีห้า แม้จะยังเช้าอยู่แต่ที่จุดรวมพลมี รด. หัวเกรียนรอกันอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว

ผลัดที่ผมเดินทางไปนี้เป็นผลัดที่รวมพวก รด. มหาวิทยาลัย คือพวกที่สอบเทียบแล้วเข้าเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ดูไปแล้วเห็นมีอยู่หลายสถาบัน

กว่าจะรวมพล จัดแถว ขานรายชื่อ และขึ้นรถได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ในที่สุดเวลาประมาณหกโมงเช้าขบวนรถก็ออกเดินทาง

รถบัสขบวนยาวพร้อมรถตำรวจนำหน้าพาเหล่า นศท. หรือว่านักศึกษาวิชาทหาร ออกจากจุดรวมพลที่หน้ากรมการรักษาดินแดนแถวสนามหลวง กว่าจะเดินทางจนถึงจุดหมายที่ค่ายฝึกเขาชนไก่ก็เป็นเวลาสายแล้ว

ผมเคยฟังรุ่นพี่เล่าเกี่ยวกับการมาฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ แต่ละคนก็มักแต่งแต้มระบายสีให้การฝึกดูน่ากลัวเพื่อจะได้ขู่รุ่นน้อง แต่แม้ว่าจะฟังเรื่องเล่าเขาชนไก่มาจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่ผมก็ยังวาดภาพเขาชนไก่ไม่ออกว่ามันมีสภาพเป็นเช่นไรกันแน่ ในยุคนั้นยังไม่มีกล้องมือถือ อีกทั้งกล้องถ่ายรูปก็ยังเป็นระบบใช้ฟิล์มอยู่ ดังนั้นการจะหาภาพถ่ายเกี่ยวกับการฝึกที่เขาชนไก่ดูจึงค่อนข้างยากเนื่องจากไม่มีใครอยากพกกล้องไปเนื่องจากกลัวกล้องพัง ผมเองฟังแต่เรื่องเล่าแต่ก็ไม่เคยได้เห็นภาพสักที

เขาชนไก่ที่ผมเห็นเบื้องหน้าด้วยตาของตนเองนั้นเป็นป่าที่แห้งแล้ง ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าและอากาศที่ร้อนอบอ้าว แม้มีต้นไม้ขึ้นแต่ก็หาความเขียวชอุ่มไม่ได้เลย ผมคิดในใจว่าที่นี่ถึงไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรมก็คงใกล้เคียง พวก รด. หัวเกรียนพอเห็นสภาพของค่ายฝึกเขาชนไก่ต่างก็ฮือฮาและวิจารณ์กันไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่มักพูดในทำนองว่าตายห่าแน่กู

พวกเราถูกสั่งให้ลงจากรถ จากนั้นก็มาตั้งแถวอยู่ที่ลานที่กว้างซึ่งทำเป็นปะรำพิธี เมื่อขานรายชื่อ นับจำนวนคนจนเรียบร้อยแล้วพิธีเปิดการฝึกก็เริ่มขึ้น เริ่มด้วยมีนายทหารมาให้โอวาท หลังจากที่ให้โอวาทแล้วก็มีการแนะนำเกี่ยวกับการฝึกและการใช้ชีวิตในค่ายฝึกตลอด ๕ วันก็เป็นอันเสร็จพิธี

หลังจากพิธีเปิดการฝึกเสร็จสิ้นลงถ้าจำไม่ผิดลำดับต่อมาดูเหมือนว่าจะเป็นการจัดแบ่งกองร้อย พวกเราที่มาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันได้อยู่กองร้อยเดียวกัน พวกเด็กสอบเทียบนี่มีมาจากหลายโรงเรียน แต่เมื่อมาเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้วก็อยู่ในกองร้อยเดียวกันหมด ส่วนกองร้อยอื่นๆก็เป็นนักศึกษาจากสถาบันอื่น

เมื่อแบ่งกองร้อยเสร็จพวกเราก็ได้รับแจกคูปองคนละหนึ่งปึกเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง คือการมาฝึกนี้ได้รับเบี้ยเลี้ยงด้วย คูปองปึกนี้รวมแล้วมูลค่าราวร้อยกว่าบาท จ่ายเบี้ยเลี้ยงล่วงหน้าห้าวันเลย ใครจะเอาไปแลกซื้ออะไรก็ได้ตามอัธยาศัยแต่ว่าใช้ได้เฉพาะร้านที่อยู่ในค่ายเขาชนไก่นี้เท่านั้น หากใช้ไม่หมดจะแลกกลับเป็นเงินไม่ได้

“แล้วมีที่ใช้คูปองตรงไหนวะ กูยังไม่เห็นร้านขายของเลย เห็นมีแต่ต้นไม้” ไอ้กี้บ่นอุบ “ร้อนชิบหาย ซื้อน้ำอัดลมหน่อยก็ดี”

หลังจากที่เรารอรับแจกคูปองอยู่นั้นก็มีครูฝึกมาตามหา นศท. รายหนึ่ง จากนั้นครูฝึกก็พา นศท. รายนั้นไปที่ตึกอำนวยการซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

“โอ้โฮ สำคัญนะเรา พ่อตามมาส่งถึงที่เลย” ครูฝึกพูดเสียงดังลั่นขณะที่พา รด. หัวเกรียนรายนั้นไป จึงทำให้พวกเราได้รู้ความจริงกันว่ามีผู้ปกครองบางรายเป็นห่วงลูกชายถึงขนาดขับรถตามมาส่งจนถึงเขาชนไก่ รวมทั้งยังสามารถขอพบได้ด้วยแสดงว่าผู้เป็นพ่อคงมีบารมีไม่น้อยเลยทีเดียว

เที่ยงวันนั้นเป็นมื้อแรกที่เราได้ลิ้มชิมรสชาติของข้าวแดง ในยุคนั้นข้าวแดงถือเป็นข้าวเกรดต่ำและมีราคาถูกเนื่องจากขัดสีเพียงครั้งเดียว ไม่ได้ขัดให้ขาว เนื้อข้าวเป็นสีออกแดงอมเหลือง มีกลิ่นแปลกๆคล้ายกลิ่นสาบหรือกลิ่นกระสอบ บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต่างไปจากกลิ่นข้าวขาว ใครจะคาดคิดว่าอีกยี่สิบปีต่อมาข้าวแดงเหล่านี้กลายเป็นข้าวที่มีราคาแพงกว่าข้าวขาวเสียอีกเพราะถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ

ข้าวแดงและกับข้าวสองสามอย่างถูกตักใส่ถาดหลุมแจกให้พวกเรากิน

“กินให้หมดนะ ห้ามเหลือทิ้ง ใครเหลือต้องถูกทำโทษ” ครูฝึกสำทับ

อาหาร รด. รสชาติไม่ค่อยได้เรื่องนักแต่ก็พอกินได้ ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้บอกว่าพอแหลกล่าย ผมเป็นคนที่กินไม่ยาก หากมีให้เลือกก็เลือกกิน หากไม่มีให้เลือกก็ไม่เลือก แล้วแต่สถานการณ์ มาที่นี่ไม่มีอะไรให้เลือกก็กินจนหมด ไอ้กี้แม้จะกินไปบ่นไปแต่ก็กินจนหมดเหมือนกัน แต่บางคนดูจะทนไม่ไหว กินได้หน่อยเดียวก็หยุดกินและยกให้เพื่อนที่ยังไม่อิ่มรับเหมากินต่อไปจนหมด

ฐานฝึกฐานแรกของกองร้อยเราที่ค่ายเขาชนไก่ในช่วงบ่ายเป็นการฝึกยิงปืน กองร้อยของเราถูกครูฝึกพาเดินฝ่าเปลวแดดไปตามถนนและป่าละเมาะไปจนถึงสนามฝึกยิงปืน หลังจากที่เรียนทฤษฎีและจับอาวุธปืนเอชเค ๓๓ ที่เป็นปืนเปล่ามานานหลายปี ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้จับเอชเค ๓๓ ที่บรรจุกระสุนพร้อมยิง

หลังจากที่ครูฝึกแนะนำวิธีการปฏิบัติแล้วพวกเราก็ทยอยกันเข้าไปฝึกยิงในสนามยิงปืน การฝึกยิงที่ฐานนี้มีสองท่า คือท่านั่งยิงกับนอนยิง แต่ละคนมีโควต้ากระสุนจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนจะสิบกว่าหรือยี่สิบนัดประมาณนี้ ยิงใส่เป้ากระดาษกันจนหูอื้อเพราะว่าเสียงปืนดังมาก เมื่อยิงจนครบแล้วก็เอาเป้ามานับรูกระสุนและคิดแต้ม

“ทำไมเป้าของกูมันเกลี้ยงนะวะ ลูกปืนมันหายไปไหนหมด” ผมบ่นอุบเมื่อเห็นเป้าของตนเองค่อนข้างเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด มีรูกระสุนเพียงไม่กี่รูเท่านั้น

“ทำไมรูกระสุนของกูมันเยอะนักวะ” ผมได้ยินเพื่อนที่นั่งยิงติดกันพูดพึมพำ

- - -

แม้การฝึกในวันแรกไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายนัก เป็นเพียงแค่การเดินไปที่สนามยิงปืน จากนั้นก็เดินกลับมาที่กองร้อย แต่ก็เป็นการเดินที่มีระยะไกลพอสมควร ประกอบกับอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้หลายคนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ความเย็นของปลายฤดูหนาวไม่ได้ช่วยอะไรเลย

หลังจากมาถึงที่ตั้งกองร้อย ครูฝึกก็เรียกกองร้อยของเรามารวมพลและอธิบายถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่ออยู่ในบริเวณที่พัก บริเวณที่พักนั้นเป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นไม่หนาแน่น มีแนวสำหรับให้ตั้งเต๊นท์ เนื่องจากเต๊นท์หนึ่งนอนได้สองคน ดังนั้นจึงต้องมีการจับคู่ว่าใครอยู่เต๊นท์เดียวกัน การจับคู่ก็ให้จับคู่กันเองจากนั้นก็ไปตั้งเต๊นท์ตามแนวเขตที่กำหนดเอาไว้ หากใครจับคู่ไม่ได้หรือไม่มีคู่ครูฝึกก็จะจัดคู่ให้

ผมพยายามเลี่ยงไปอยู่ห่างๆไอ้กี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจับคู่กับมัน ถ้าอยู่เต๊นท์เดียวกันคงไม่วายต้องทะเลาะกัน และผมก็คงต้องเป็นลูกไล่ให้มันบ่นมันด่าเหมือนเคย สู้จับคู่กับคนอื่นดีกว่า

เพื่อนร่วมเต๊นท์ของผมเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆตัวนั่นเอง ใครที่หาคู่ไม่ได้เพราะไม่มีใครเอาเมื่อได้มายืนใกล้ๆกันก็มักตกลงกันได้ง่าย

“นายชื่อไรน่ะ” ผมถามคนที่ยืนใกล้ๆ มันเป็นหนุ่มหน้าตี๋ ผอมๆ หัวโตๆ ใส่แว่นหนาเตอะ

หนุ่มแว่นแอ่นหน้าอกให้ผมดูป้ายชื่อของมัน “นี่ไงชื่อเรา”

“เออ รู้แล้ว” ผมแอบถอนหายใจ ที่จริงเราสองคนไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน ตอนเรียนที่ศูนย์ฝึกในกรุงเทพฯเราก็เรียนด้วยกันมาตลอด แต่ไม่ค่อยสนิทกันนักเนื่องจากอยู่คนละคณะกันและมาจากคนละโรงเรียนกัน ผมมักอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆที่สอบเทียบมาจากโรงเรียนเดียวกันมากกว่า “เราหมายถึงชื่อเล่นน่ะ ชื่อจริงของนายเรารู้ตั้งนานแล้ว”

“อ๋อ” มันลากเสียงยาว “ชื่อเคี้ยง นายชื่ออู เรารู้แล้วล่ะ ไม่ต้องบอกหรอก”

แน่ะ รู้จักชื่อของผมเสียด้วย สงสัยแอบชอบผมแน่ๆ ผมอดคิดไม่ได้

“ทำไมนายรู้ชื่อเล่นเราล่ะ” ผมถาม

“ก็...” เคี้ยงหัวเราะ “เราได้ยินเพื่อนเรียกนายว่าไอ้เหี้ยอู ไอ้เหี้ยอู เป็นประจำ ตลกดี ก็เลยจำได้”

ไอ้เวร ผมนึกด่าไอ้กี้อยู่ในใจ มีมันคนเดียวนี่แหละที่เรียกผมแบบนี้ เรียกเสียจนผมแอบดังเลย

“เออ นายไม่ต้องเรียกตามหรอกนะ เรียกเราอูก็พอ” ผมดักคอมันเอาไว้ก่อน “นายหาคู่เต๊นท์ได้หรือยังล่ะ เรายังหาไม่ได้เลย”

“ยังหาไม่ได้เหมือนกัน” เคี้ยงส่ายหัว “เพื่อนๆมันจับคู่กันได้ไปหมดแล้ว”

“งั้นเราก็อยู่เต๊นท์เดียวกัน” ผมสรุปเอาดื้อๆ ซึ่งเคี้ยงก็ไม่ขัด

เป็นอันว่าคู่เต๊นท์ของผมคือเคี้ยง เด็กแว่นหน้าตี๋ที่เรียนอยู่คณะเดียวกับไอ้ตี๋นั่นเอง

หลังจากได้คู่เต๊นท์แล้วครูฝึกก็อธิบายระเบียบเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในบริเวณที่พัก ที่นี่จะมีการแบ่งเวรกันเพื่อล้างจานอาหารที่กินเสร็จแล้ว มีระเบียบในเรื่องการอาบน้ำ รวมทั้งระบียบในการเข้าส้วม อยู่ที่นี่อะไรก็ต้องมีระเบียบขั้นตอนไปหมด

และที่เท่ที่สุดก็คือมีการแต่งตั้ง ผบ.ส้วมด้วย หน้าที่ของ ผบ.ส้วมก็คือคอยดูแลส้วมให้เรียบร้อย ส้วมเลอะ ส้วมแตก ส้วมราดไม่ลง ผบ.ส้วมต้องเป็นผู้จัดการ ผบ.ส้วมนี้จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ถูกทำโทษนั่นเอง

การอาบน้ำนั้นจะอาบตามใจไม่ได้ ครูฝึกจะเป็นผู้พาไปอาบ เมื่อชี้แจงเรื่องที่พักเสร็จครูฝึกก็ให้พวกเราไปตั้งเต๊นท์ จากนั้นเก็บสัมภาระ และผลัดผ้าเพื่อเตรียมไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ

การตั้งเต๊นท์นี่ต้องตั้งเอง ทางกองร้อยจัดเต๊นท์และอุปกรณ์มาให้ ผมกับเคี้ยงก็ช่วยกันตอกสมอบก ตั้งเสา จากนั้นก็ประกอบผ้าใบเต๊นท์ หลังจากทุลักทุเลกันอยู่ชั่วขณะเพราะทำไม่คลอ่ง ในที่สุดเราก็ตั้งเต๊นท์ได้จนสำเร็จ

เต๊นท์ที่พักเป็นกระโจมสามเหลี่ยม ข้างในไม่มีอะไรเลย แค่วางของและซุกหัวนอนได้เท่านั้น เมื่อวางของเสร็จก็ผลัดผ้าเป็นใส่กางเกงในและนุ่งผ้าขาวม้าอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ไปยืนรอเพื่ออาบน้ำ

ครูฝึกพาพวกเราไปยังโรงอาบน้ำที่อยู่ห่างจากบริเวณตั้งเต๊นท์ไม่ไกลนัก ทั้งโรงอาบน้ำและส้วมอยู่ใกล้กัน ตัวโรงอาบน้ำไม่ได้เป็นโรงเรือนอะไร เป็นลานดินที่มีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ความสูงของบ่อประมาณระดับเอว มีแฝกล้อมเอาไว้เป็นกำแพงเตี้ยๆ พูดง่ายๆก็คือต้องอาบน้ำกลางแจ้งนั่นเอง

ส่วนส้วมนั้นผมเห็นแล้วต้องแอบหนาว ส้วมเป็นลักษณะส้วมลำลอง ขุดหลุมเข้าแล้วเอาฐานส้วมซึมมาวาง จากนั้นเอาแฝกกับสังกะสีมากั้นเป็นผนังเตี้ยๆ ผนังส้วมสูงจากพื้นแค่ประมาณเข่าเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็เป็นส้วม รด. แล้ว

“เฮ้ย นั่งขี้ก็เห็นกันหมดเลยสิวะ” เคี้ยงพูดกับผมเบาๆเมื่อเห็นสภาพของส้วม รด. เรียงรายติดกันเป็นแถวยาว “แบบนี้ขี้ไม่ออกแน่เลย”

ครูฝึกจัดให้พวก รด. เข้าไปอาบน้ำทีละผลัด ผลัดหนึ่งประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องถอดผ้าขาวม้าแขวนเอาไว้และใส่แต่กางเกงในอาบเพราะหากผ้าขาวม้าเปียกจะไม่มีที่ตาก บางคนไม่ใส่กางเกงในอาบ แก้ผ้าอาบเลย มีอยู่คนสองคน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เพื่อนๆเฮกันใหญ่ เพราะเห็นหมดไม่มีอะไรปิดบัง

ครูฝึกก็จะเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้ตักน้ำ ปรี๊ดหนึ่งตัก อีกปริ๊ดหนึ่งราด อะไรประมาณนี้ แต่ละคนต้องพยายามอาบให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าครูฝึกจะเป่ากี่ปรี๊ดแล้วจะหยุด ใครที่เอาขันใบใหญ่มาก็ได้เปรียบเพราะเท่ากับว่าตักน้ำอาบได้มาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะรู้ตัวล่วงหน้าอยู่แล้วเพราะว่ารุ่นพี่เล่าให้ฟัง ดังนั้นแต่ละคนจึงมักเตรียมขันใบใหญ่ๆมากัน บางคนขนาดใหญ่เกือบเท่าบาตรพระก็มี

ผมก้มหน้าก้มตาอาบน้ำ ไม่กล้ามองไปรอบๆเนื่องจากเพื่อนที่หน้าตาดี หุ่นดีๆมีอยู่หลายคน แถมยังมีที่แก้ผ้าอาบน้ำอีก หากมองแล้วระงับใจไม่อยู่อาจมีเรื่องให้ต้องขายหน้าระหว่างอาบน้ำก็ได้

การอาบน้ำในวันแรกผ่านไปอย่างราบรื่น นศท. ไม่เกรียนครูฝึกก็เลยใจดี แต่ละคนได้อาบประมาณเจ็ดแปดขันซึ่งก็เพียงพอ หลังจากนั้นก็กลับมาแต่งตัวที่เต๊นท์ จากนั้นก็กินอาหารเย็น

เมื่อกินอาหารเย็นและล้างจานเสร็จ หลังจากนั้นก็เป็นเวลาอิสระ แม้จะเป็นเวลาอิสระแต่จะเดินเพ่นพ่านไม่ได้ ต้องอยู่แต่ภายในที่ตั้งกองร้อยเท่านั้น หากจะออกไปนอกกองร้อยต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหนกัน คงนั่งคุยกันที่บริเวณเต๊นท์

เวลาช่วงค่ำจนถึงสามทุ่มเป็นเวลาช่วงที่มีความสำคัญ เพราะเป็นเวลาที่พวกเราใช้ปลดทุกข์ หรือพูดง่ายๆก็คือเข้าส้วมนั่นเอง ช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ภายในกองร้อยยังเปิดไฟอยู่ ทำให้การเข้าส้วมสะดวก หากเข้าตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่เช้ามากๆและต้องพกไฟฉายฝ่าความมืดไปเข้าส้วมด้วย

สำหรับผมนั้นแม้จะปรับตัวไม่ยากนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่คุ้นเคยกับส้วม รด. ผนังเตี้ยแบบนี้ ทำให้ไม่อยากเข้าส้วม พร้อมกับคิดว่าจะทำสถิติอั้นให้ได้นานที่สุด หากอั้นเอาไว้จนกลับถึงกรุงเทพฯได้เลยก็ยิ่งดี

แต่โชคไม่เข้าข้างผม เพียงแค่คืนแรกผมก็รู้สึกปวดท้องเสียแล้ว ในที่สุดผมก็ต้องไปใช้บริการส้วม รด. แต่ว่ารอตอนดึกๆเสียก่อน กะว่าให้กองร้อยปิดไฟจากนั้นจึงค่อยไปเข้าส้วม เข้าส้วมมืดๆคนคงไม่เยอะอีกทั้งยังไม่เขินด้วย

ราวสี่ทุ่ม ผมถือไฟฉายเดินดุ่มไปที่ส้วม รด. ในความมืดผมเห็นแสงไฟวาบเหมือนกับแสงหิ่งห้อยที่บริเวณส้วม ทีแรกก็แปลกใจว่าแสงอะไร
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ผมปรับไฟฉายให้เป็นไฟหรี่และส่องต่ำๆเมื่อเดินเข้าไปใกล้บริเวณส้วม ในแสงสลัวผมเห็นคนยืนรออยู่หน้าส้วมหลายคน ช่องส้วมทุกช่องมีคนนั่งหน้าสลอนกันอยู่จนเต็มทุกช่อง แถมบางคนยังสูบบุหรี่เสียอีกด้วย แสงไฟเป็นจุดคล้ายหิ่งห้อยที่ผมเห็นจากระยะไกลนั้นก็คือแสงจากปลายมวนบุหรี่นั่นเอง

ผมเข้าคิวรอจนมีส้วมว่างจากนั้นก็เข้าไปบ้าง เมื่อเข้าไปอยู่ในส้วมผมจึงเข้าใจว่าทำไมถึงได้มีคนสูบบุหรี่ในส้วมกันหลายคน ที่แท้กลิ่นมันแรงเหลือจะทนนี่เอง




<เขาชนไก่ ทั้งร้อนและแล้ง>



<เต๊นท์ รด. เต๊นท์หนึ่งนอนได้สองคน มีแค่โครงและผ้าใบคลุม ตัวเต๊นท์ก็แคบและเล็ก หากสัมภาระเยอะก็กินที่เข้าไปครึ่งเต๊นท์แล้ว ใครที่ตัวสูงมากเวลานอนเท้าจะโผล่ออกมานอกเต๊นท์>



<โรงอาบน้ำ รด. ภาพนี้เป็นโรงอาบน้ำในยุคนี้ ทำเป็นโรงเรือนมีหลังคาคลุม แต่ในสมัยที่ผมไปฝึกนั้นเป็นอ่างอาบน้ำใหญ่กลางแจ้ง>



<ส้วม รด. ภาพถ่ายในสมัยนี้ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ผนังเป็นสังกะสีสูง สมัยก่อนเป็นสังกะสีหรือแฝกเตี้ยแค่เข่าเท่านั้น ใครที่หน้าด้านหน่อยก็นั่งส้วมไปสูบบุหรี่ไปพลางคุยกับเพื่อนที่นั่งห้องข้างๆไป คนที่หน้าบางต้องแอบมาเข้าตอนดึกๆหลังจากที่กองร้อยปิดไฟนอนกันไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตื่นมาเข้าตั้งแต่ตีสามหรือตีสี่ บางคนยอมอั้นตลอดห้าวันและกลับมาเข้าส้วมที่กรุงเทพฯก็มี>

Wednesday, May 25, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 33

ผมฟังแล้วถึงกับสะอึก ถ้ากำลังดื่มน้ำอยู่ก็คงสำลักออกมาทางจมูกแล้ว ผมรู้ดีว่าเพ็ญหมายถึงอะไร ผมนึกไม่ถึงเลยว่าเพ็ญจะเกิดความรู้สึกแบบนี้กับผมได้

“...”

โอ๊ย ทำไมต้องมาพูดเอาเวลานี้ด้วยนะ ผมพูดอะไรไม่ออก เพ็ญมองหน้าผม ใบหน้าของเพ็ญนองไปด้วยน้ำตา

“อู... อูคิดยังไงกับเรา” เพ็ญถาม

ผมรู้สึกหนักใจที่จะต้องตอบคำถามนี้ในเวลานี้ ผมยังไม่พร้อมที่จะตอบอะไร สมองยังตื้ออยู่

“เราว่าเรื่องสำคัญตอนนี้คือแจ้งความให้เสร็จก่อนดีกว่า แล้วเราจะได้รีบออกจากโรงพัก เรารู้ว่าเพ็ญมาเจอสภาพแบบนี้ก็คงตกใจและกลัวด้วย เรื่องอื่นเอาไว้เราค่อยมาคุยกันอีกทีดีไหม” ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามเอาดื้อๆ เฉไฉไปพูดเรื่องอื่นแทน

เพ็ญไม่พูดอะไรอีก หลังจากที่ได้สูดอากาศนอกโรงพักกันสักครู่ผมก็ชวนเพ็ญกลับเข้าไปนังโต๊ะที่รับแจ้งความอีกครั้งหนึ่ง ผมอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องราวระหว่างผมกับเพ็ญนั้นมีอะไรที่ไม่เหมือนคู่ชายหนุ่มหญิงสาวทั่วไปหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การไปดูหนังด้วยกันสองคนแล้ว แทนที่จะดูหนังโรแมนติกหรือหนังเบาๆกรุ๋มกระจิ๋มก็ได้ดูหนังบู๊ล้างผลาญเลือดท่วมจอ มาถึงตอนที่จะบอกความในใจแทนที่จะอยู่ในบรรยากาศหวานๆก็กลับมาบอกกันที่โรงพัก ดูแล้วไม่ค่อยปกติเอาเลย

หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงคิวแจ้งความของเพ็ญ หลังจากที่ร้อยเวรสอบปากคำเพ็ญและผมเรียบร้อยรับแจ้งความของเพ็ญในคดีลักทรัพย์ซึ่งไม่ใช่เรื่องของหายทั่วไป ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจว่ามันแตกต่างกันหรือไม่และอย่างไร รู้แต่ว่าเราต้องการหลักฐานจากโรงพักไปเพื่อนดำเนินการเรื่องเอกสารอื่นๆ กว่าจะเสร็จเรื่องก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม

“เดี๋ยวเพ็ญจะกลับยังไง ดึกขนาดนี้” ผมถามเพ็ญหลังจากที่เราออกจาโรงพักมา

“คงนั่งแท็กซี่ดีกว่า” เพ็ญตอบ

“ยังงั้นเรานั่งแท็กซี่ไปเป็นเพื่อน เพ็ญว่าดีไหม” ผมถาม ที่ผ่านมาเพ็ญไม่ค่อยพูดเรื่องที่พักของตนเองนัก ผมสามารถรู้สึกได้ว่าเพ็ญไม่ค่อยอยากให้ใครรู้จักที่พัก ดังนั้นผมจึงถามก่อนเพื่อความสบายใจของเพ็ญ

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวอูจะยิ่งกลับดึก” เพ็ญตอบ

“เรื่องเรากลับดึกน่ะไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็เข้าหอได้ เพ็ญนั่งแท็กซี่คนเดียวดึกๆ เอ้อ... เราว่าถ้ามีผู้ชายนั่งไปเป็นเพื่อนด้วยน่าจะดีกว่า เพ็ญอย่าเกรงใจ ถ้าเราแยกกันแล้วเพ็ญคิดเปลี่ยนใจก็ไม่ได้แล้วนะ” ตอนท้ายผมแอบขู่นิดๆ จะว่าขู่ก็ไม่เชิง สมัยนั้นผู้หญิงนั่งแท็กซี่คนเดียวยามดึกถือว่าไม่ค่อยปลอดภัยนัก ภัยจากแท็กซี่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ

คำขู่ของผมได้ผล เพ็ญเปลี่ยนใจทันที

“งั้นไปก็ไป” เพ็ญตอบ

ที่จริงผมก็กัดฟันพูดอยู่เหมือนกัน พรุ่งนี้ยังมีสอบอีก ถ้าเป็นยามปกติป่านนี้ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องไปนานแล้ว คืนนี้ว่าจะทวนอีกสักรอบก่อนสอบสงสัยคงทำไม่ได้แล้ว

ผมนั่งแท็กซี่ไปเป็นเพื่อนเพ็ญจนถึงที่พัก ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย เพ็ญคงมีความในใจอยู่ ส่วนผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวว่าเพ็ญจะวกเข้าเรื่องนั้นอีก

จนถึงที่พักของเพ็ญซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ระดับดีแห่งหนึ่ง เมื่อเพ็ญลงจากรถแล้วผมก็ไม่ได้ลงรถตามลงไปเพราะไม่อยากให้เพ็ญอึดอัดใจ ส่งกันแค่นี้ก็น่าจะปลอดภัยเพียงพอแล้ว

“เรากลับก่อนนะเพ็ญ” ผมพูดกับเพ็ญ “เดี๋ยวเรานั่งรถคนนี้กลับหอของเราไปเลยดีกว่า”

“อู...” เพ็ญก้มหน้ามาคุยกับผมที่หน้าต่างรถ “พรุ่งนี้หลังสอบมาหาเราหน่อยสิ”

เอาล่ะสิ อีกแล้ว ผมแอบหนาวอยู่ในใจ

“เอ้อ พักเที่ยงเราก็ไปที่ชมรมอยู่แล้ว ยังไงก็ได้เจอกัน” ผมกัดฟันพูด

“เจอกันที่อื่นดีกว่า อยากได้ที่คุยเงียบๆ เรามีเรื่องอยากพูดกับอู” เพ็ญพูด “ที่ใต้ตึกทะเบียนก็แล้วกัน”

ที่จริงตอนพักเที่ยงในมหาวิทยาลัยสถานที่ที่ไหนก็ไม่เงียบ แต่ที่ใต้ตึกหน่วยทะเบียนนั้นเงียบดีจริงๆเพราะในช่วงสอบไม่มีการลงทะเบียนอะไร ยากนักที่เพ็ญคิดออกมาได้ เป็นผมก็คิดไม่ออก

“ได้ๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ผมพูด จากนั้นรถแท็กซี่ก็เคลื่อนออกจากที่ไป...

- - -

วันต่อมา

หลังจากที่เมื่อคืนกลับถึงหอพักแล้วก็พยายามนั่งทำโจทย์แคลคูลัสต่อ แต่เมื่อนั่งทำไปได้สักพักก็รู้สึกว่าคิดอะไรไม่ออก ไม่สามารถจดจ่อสมาธิอยู่กับการคำนวณได้เลย จนในที่สุดก็ต้องเลิกล้มความพยายามและเข้านอน

เรื่องของเพ็ญวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ผมรู้ดีว่าพรุ่งนี้เพ็ญต้องการจะพูดเรื่องอะไร แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดกับเพ็ญว่าอย่างไรดี คำพูดของเพ็ญเมื่อตอนอยู่ที่โรงพักทำให้ผมต้องมาทบทวนตนเองว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเพ็ญกันแน่...

หลังจากที่การสอบวิชาแคลคูลัสเสร็จสิ้นลง ผมก็เดินไปยังตึกทะเบียน ตึกนี้เป็นตึกที่อยู่นอกคณะเทคโน ต้องเดินไปไกลพอสมควร

ที่ใต้ตึกทะเบียนมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับให้นักศึกษานั่งกรอกเอกสารอยู่หลายตัว สามารถใช้เป็นที่สนทนาได้เป็นอย่างดี วันนั้นที่ใต้ตึกเงียบสนิท เมื่อผมไปถึงก็พบว่าเพ็ญนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“เป็นไงบ้างเพ็ญ วันนี้เรียบร้อยดี” ผมทักทาย

“เรียบร้อย มาแต่เช้าไปวิ่งเรื่องบัตรนักศึกษา ในที่สุดก็เข้าสอบได้ ไม่มีปัญหาอะไร” เพ็ญตอบ

“...”

ทักทายกันได้แค่นั้นเราสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมอยากจะชวนเพ็ญคุยแต่ก็นึกคำพูดไม่ออก กลัวว่าเพ็ญจะวกมาพูดเรื่องความในใจอีก แม้ผมรู้ว่าวันนี้เพ็ญต้องการจะพูดเรื่องอะไรและผมก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังกลัวอยู่ดีเนื่องจากผมยังคิดคำตอบไม่ออก

บรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัด ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน ในที่สุดผมอดรนทนไม่ได้จึงพูดทำลายความเงียบขึ้น

“เพ็ญนัดเรามา เอ้อ... คงมีอะไรอยากคุยกับเรา” ผมตะกุกตะกัก ระวังการใช้คำพูดอย่างที่สุดเพราะกลัวว่าจะพูดอะไรผิดพลาด

เพ็ญพยักหน้าและพูดตรงเข้าประเด็นทันที

“เราอยากถามความรู้สึกของอูที่มีกับเราน่ะ”

“เพ็ญ... เพ็ญ... เพ็ญ...” จู่ๆผมก็กลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมา “เพ็ญก็เป็น เอ้อ... เพื่อนที่ดีของเรา ตอนทำงานที่ชมรม เราก็รู้สึกว่าทำงานเข้ากับเพ็ญได้ดี”

ผมตอบแบบถูไถ

“แล้วความรู้สึกด้านอื่นล่ะ” เพ็ญไม่ยอมปล่อยให้ผมเฉไฉ รุกถามเข้าประเด็นอีก

“หมายความว่า...” ผมแกล้งโง่ถ่วงเวลาอีก สมองก็พยายามใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะตอบว่าอย่างไรดี ที่จริงไม่ใช่ว่าผมเพิ่งมาคิดเอาตอนนี้ ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ต่างหาก

“เรารู้สึกว่าอูดีกับเราเป็นพิเศษ” เพ็ญพูดช้าๆ “เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้คิดอะไร คือคิดว่าอูเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง แต่หลังจากเรื่องาวต่างๆ อูให้กำลังใจเรา พยายามชวนเราไปทำงานที่ชมรมไม่ให้เราคิดมาก มันก็ช่วยได้จริงๆนะ”

เพ็ญหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใคร่ครวญคำพูดอยู่ จากนั้นก็พูดต่อ

“อูดีกับเรามาก จนตอนนี้เราไม่ได้คิดกับอูแค่เพื่อนแล้ว... เราอยากรู้... อยากรู้จากปากของอูเองว่าอูคิดยังไงกับเรา”

เมื่อเพ็ญถามอย่างจะแจ้งเช่นนี้ก็สุดที่ผมจะแกล้งโง่ต่อไปได้อีก ในที่สุดผมก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ผมไม่อยากเผชิญ

“เราทำงานด้วยกันมาตลอดหลายเดือน เพ็ญก็เป็นเพื่อนสนิทของเราคนนึงเลยล่ะ” ผมตอบ “จะเรียกว่าเป็นพื่อนสนิทที่สุดของเราในตอนนี้ก็ได้...”

ผมพูดได้เพียงนี้แล้วก็หยุด เพ็ญพยักหน้าให้ผมพูดต่อไปอีก

“ขอบคุณมากเลยที่เพ็ญรู้สึกดีกับเรามาก แต่... เอ้อ... เรายังต้องการเวลาอีกสักระยะหนึ่งที่จะคิดไปถึงขั้น เอ้อ... มากกว่าเพื่อนน่ะ” ผมตอบตะกุกตะกัก บรรยากาศในตอนนั้นน่าอึดอัดมาก มันเป็นการพูดที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้

“อู” เพ็ญอุทาน ดูเพ็ญผงะไปเล็กน้อยกับคำพูดของผม ผมไม่แน่ใจว่าเพ็ญแปลกใจหรือว่าตกใจกันแน่

“ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล อูมาเยี่ยมเราทุกวัน” เพ็ญพูด “เราประทับใจคำพูดของอูมาก คำพูดของอูทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมา อูบอกว่าที่ไม่ถามถึงอดีตของเราเพราะไม่สนใจ และอยากให้เรารู้ว่าปัจจุบันนั้นสำคัญที่สุด อูยังบอกอีกว่าให้เราก้าวข้ามอดีตและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เราคิดว่าอูจะเป็นคนที่มาช่วยให้เราก้าวข้ามอดีตไปให้ได้ รวมทั้งช่วยเราสร้างอดีตที่งดงามสำหรับอนาคตขึ้นมาเสียอีก”

ฉิบหายแล้ว ผมคร่ำครวญในใจ ในที่สุดคำพูดพระเอกก็ย้อนกลับมาเข้าตัวพระเอกทั้งหมดจนได้

เมื่อคืนผมคิดเรื่องนี้อยู่นาน ที่จริงผมตั้งใจจะเลิกเป็นเกย์และมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนสักคน การสานต่อความสัมพันธ์กับเพ็ญน่าจะเป็นเรื่องที่ดี น่าจะถือว่าส้มหล่นได้แฟนสำเร็จรูปโดยไม่ต้องไปออกแรงหาที่ไหนเลยก็ว่าได้ แต่พยายามคิดยังไง มองจากมุมไหน ผมก็ยังคิดกับเพ็ญได้เพียงแค่เพื่อน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเพ็ญดีเกินไปสำหรับผมก็ได้ เพ็ญดีพร้อมหมดทุกอย่าง เรียนก็เก่ง สวยก็สวย ฐานะก็ดี ส่วนผมนั้นแทบจะมีคุณสมบัติตรงกันข้าม ไม่มีอะไรที่ทัดเทียมเพ็ญได้เลย ผมมองไม่เห็นเลยว่าตนเองจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแฟนหรือเป็นที่พึ่งให้แก่เพ็ญได้อย่างไร

อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกที่ผมเคยมีกับไอ้นัยหรือแม้แต่กับไอ้บอยนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับเพ็ญเลย ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าผมต้องการเวลาอีกสักระยะหนึ่ง

“เอ้อ...” ผมติดอ่างอีก ในที่สุดหมองูก็ต้องตายเพราะงู พระเอกก็ต้องตายเพราะคำพูดของตนเอง “ที่เราพูดนั้น ก็... คือ... เรา... เราต้องการเวลาอีกสักหน่อยน่ะ ตอนนี้เราทุ่มเทกับการสอบเอนทรานซ์มาก เรายังไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย”

ผมอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย เพ็ญพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจความจำเป็นของผม

“ถ้าอย่างนั้นอูหมายความว่า...” เพ็ญพูดแบบปลายเปิดเป็นเชิงคำถาม

“ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร ไม่ใช่สิ คือเราหมายความยังงั้นจริงๆ เราอยากขอเวลาอีกหน่อย” ผมพยายามซื้อเวลา

“อย่างอย่างนั้น เรื่องที่เราอยากคุยกับอูก็คงมีแค่นี้แหละ” เพ็ญพูดทิ้งท้าย

- - -

ผมออกมาจากใต้ตึกทะเบียนแบบหายใจไม่ทั่วท้อง ผมถูกเพ็ญต้อนจนเข้ามุม ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางใด โชคดีที่เพ็ญหยุดคุยไปเองโดยไม่รุกเร้าต่อ ผมจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อเพ็ญรุกถามถึงความรู้สึกและผมก็ยังไม่มีคำตอบอะไรให้ ทางเดียวที่ผมจะทำได้หลังจากนั้นก็คือ

หนี!

หลังจากนั้นมาผมก็หนีหน้าเพ็ญมาโดยตลอด ผมไม่ขึ้นไปทำงานที่ชมรม ตอนเรียนก็พยายามหลบไม่ให้เรียนห้องเดียวกันกับเพ็ญ หากเลี่ยงไปเรียนห้องอื่นไม่ได้จริงๆก็พยายามเข้าเรียนช้าๆ เมื่อเข้าเรียนแล้วก็พยายามนั่งริมประตูเข้าไว้ เมื่อเลิกเรียนแล้วก็รีบหนีไปโดยเร็ว ตอนเที่ยงก็หลบไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดส่วนกลางแทน ทุกอย่างที่ผมทำลงไปนี้คงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ไม่มีคำตอบอะไรให้แก่เพ็ญ เมื่อตอบไม่ได้จึงไม่กล้าสู้หน้า

ผมวางแผนเอาไว้ว่าต้องพยายามหลบหน้าเพ็ญไปให้ได้จนถึงปลายเดือน เพราะเมื่อถึงช่วงปลายเดือนผมต้องไปเข้าค่าย รด. ที่เขาชนไก่ เมื่อกลับมาจากเขาชนไก่ก็เป็นช่วงปลายเทอมซึ่งหยุดกิจกรรมนักศึกษาทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวสอบ หลังจากนั้นอีกไม่นานก็จะเป็นช่วงหยุดดูหนังสือก่อนสอบปลายภาค ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องคอยหลบหน้าแล้วเพราะว่าเป็นช่วงที่เรามีโอกาสพบกันน้อยลงไปเองโดยปริยาย ส่วนเมื่อหลังสอบเสร็จก็เป็นการปิดภาคช่วงฤดูร้อน หากผมสอบติดได้เรียนที่ใหม่เราคงห่างกันไปเอง ช่วงเวลาที่เราไม่ได้พบกันเป็นเวลานานคงช่วยให้เพ็ญคลายความรู้สึกแบบนั้นกับผมลงไปได้ ส่วนช่วงนี้คงต้องทนอึดอัดใจไปก่อน

Sunday, May 15, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 32

จุดเปลี่ยนในการเลิกเป็นเกย์ของผมนั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ช่วงชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างหวือหวาฉับพลันแต่อย่างใด แต่เป็นขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไป มันเป็นความคิดที่มีอยู่นานแล้ว แต่เปรียบเหมือนน้ำที่มีตะกอนขุ่นฟุ้งกระจายอยู่ ต้องอาศัยเวลาในการตกตะกอนพอสมควร เมื่อคิดไปเรื่อยๆนานวันเข้าก็ตกตะกอนจนเห็นน้ำใสจนได้ เมื่อคิดตกแล้วก็ลงมือทำ

ชีวิตหลังจากที่เลิกเป็นเกย์ของผมก็คงไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในสายตาของเพื่อนๆ ผมยังคงไปเรียนและทำกิจกรรมเช่นเดิม ความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ที่วิธีคิดของผมเองมากกว่า ผมพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาว่าผมชอบผู้หญิง เมื่อก่อนชอบมองเพื่อนชายที่หน้าตาดี หรือเมื่อเดินไปไหนมาไหนก็มักสังเกตชายหน้าตาดี แต่เดี๋ยวนี้ผมพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ไปสนใจมองแบบนั้นอีก พยายามมองสาวๆแทน การละวางจากความคุ้นเคยเดิมๆนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ว่าทำยาก แต่ผมก็พยายามทำ

การเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์นับว่าช่วยผมได้มาก ประกอบกับหลังปีใหม่ไปแล้วจะมีการสอบกลางภาคอีกด้วย ดังนั้นตั้งแต่หลังวันคริสต์มาสเป็นต้นมาผมก็จดจ่ออยู่กับการเตรียมตัวสอบ ทำให้ผมไม่มีเวลาไปสนใจผู้อื่นไม่ว่าหญิงหรือชาย จึงทำให้ผมไม่ค่อยวอกแวกนัก

เรื่องการสอบกลางภาคสำหรับภาคปลายนั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่พอสมควรระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา ทางฝ่ายอาจารย์ต้องการจัดการสอบหลังปีใหม่ไปแล้วโดยให้เหตุผลว่านักศึกษาจะได้มีเวลาดูหนังสือในช่วงปีใหม่ ส่วนนักศึกษาพยายามขอให้มีการสอบก่อนปีใหม่เนื่องจากเมื่อสอบเสร็จแล้วจะได้ฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างสบายใจ แต่แล้วในที่สุดทางฝ่ายอาจารย์ก็เป็นผู้ชนะ นักศึกษาบ่นกันขรมและจำต้องงดเที่ยวในช่วงปีใหม่เพื่อเตรียมตัวสอบ

“แย่วุ้ย ปีใหม่หมดสนุกเลย” ผมเปรยขึ้นมาขณะที่นั่งคุยเล่นอยู่ในชมรม

“ใครไปทำให้นายหมดสนุกล่ะ” พี่ตั้วถาม

หลังจากที่ผมรู้สาเหตุที่พี่ตั้วมักหงุดหงิดใส่ผมนั้นก็เพราะว่าแอบชอบเพ็ญอยู่และเห็นว่าผมอาจเป็นก้างขวางคอ ผมก็พยายามอยู่ห่างๆเพ็ญหรือไม่แสดงอาการสนิทสนมกันจนเกินไปนักยามเมื่ออยู่ในชมรม โดยเฉพาะเมื่อตอนที่พี่ตั้วอยู่ในชมรมด้วย แต่ที่จริงแล้วก็ต้องถือว่าพี่ตั้วมีน้ำใจนักกีฬาและเป็นรุ่นพี่ที่น่านับถือทีเดียว เพราะว่าแค่หงุดหงิดใส่ผมแบบหลุดๆเหวี่ยงๆมาบ้างเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจงใจหาเรื่องหรือว่าพยายามกลั่นแกล้งผม ยามปกติก็คุยเล่นกันดี ดังนั้นผมจึงยังทำงานอยู่ในชมรมต่อไปได้ด้วยความสบายใจ เพียงแต่พยายามระวังและรักษาน้ำใจพี่ตั้วเอาไว้บ้างเท่านั้นเอง

“ก็เรื่องสอบน่ะสิครับ ปีใหม่ยังต้องมานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ เซ็งเลย” ผมตอบ

“นายก็อย่าอ่านสิวะ ใครบังคับให้นายอ่านล่ะ” พี่ตั้วกวน

ผมแอบด่าพี่ตั้วอยู่ในใจว่าทำไมถึงได้กวนโอ๊ยนัก พี่ตั้วเห็นผมเงียบไปจึงพูดต่อ

“ปีหนึ่งก็ยังงี้แหละ พวกอาจารย์ก็อยากเที่ยวปีใหม่เหมือนกัน เลยจัดสอบเอาไว้หลังปีใหม่”

“เกี่ยวกันเหรอพี่ ทำไมอาจารย์อยากฉลองปีใหม่แล้วต้องทำยังงั้น” ผมงง

“ก็ถ้าสอบก่อนปีใหม่ ช่วงปีใหม่อาจารย์ก็ต้องตรวจข้อสอบไง ไม่ตรวจก็พะวง เที่ยวไม่สนุก ถ้าตรวจก็ไม่ได้เที่ยว สรุปแล้วก็เลยจัดสอบหลังปีใหม่เสียเลย” พี่ตั้วเฉลย ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่นเหมือนกัน “ปีหนึ่งก็ทนไปก่อน เอาไว้นายพอนายเข้าแผนกแล้วเรื่องวันสอบนี่คุยกันได้เพราะเป็นวิชาของแต่ละแผนกจัดสอบกันเอง”

ใครจะไปอยู่ถึงตอนเข้าแผนก ปีหน้าผมก็หนีไปเรียนที่อื่นแล้ว ผมคิดในใจ จากนั้นก็หยิบเอาตำราแคลคูลัสขึ้นมาอ่าน

“เฮ้อ ฟิสิกส์ แคลคูลัส อ่านแล้วอยากจะบ้า” ผมบ่น ไม่รู้ว่าสองวิชานี้เทอมปลายนี้จะได้เกรดอะไร เนื้อหาในเทอมปลายนี้ยากกว่าเทอมแรกอีก คำนวณเยอะแยะไปหมด

“ช่วยติวให้เอามั้ย” เพ็ญพูดขึ้น

“เฮ้ย เอาดิๆ” ไอ้กี้กับเพื่อนอีกหลายคนรีบตอบ เป็นที่รู้กันว่าเพ็ญนั้นเก่งแคลคูลัสมาก หากได้เพ็ญช่วยติวให้คะแนนคงทำคะแนนได้เพิ่มอีกพอสมควรทีเดียว

คำพูดนั้นแม้จะปรารถนาดี แต่ผมฟังด้วยความรู้สึกแปลกๆ... เป็นความรู้สึกด้อยค่า... นี่ผมห่วยขนาดนั้นเลยเชียวหรือถึงต้องมีคนมาติวให้เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆจึงคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเพราะปกติผมกับเพ็ญก็สนิทสนิมกันดี การเกื้อกูลกันในระหว่างเพื่อนฝูงน่าจะถือเป็นเรื่องปกติ

“ลองนัดเวลากันดูสิ” เพ็ญพูด สายตาของเพ็ญไม่ได้มองดูไอ้กี้แต่จับจ้องมาที่ผม

“เอ้อ ไอ้กี้ มึงลองว่ามาสิ เอาที่ว่างตรงกันหลายๆคนนั่นแหละดี” ผมโบ้ยให้ไอ้กี้เป็นคนนัดแทน ไอ้กี้และเพื่อนคนอื่นๆได้ทีรีบนัดวันเวลาเพื่อให้เพ็ญติวให้ คงกลัวว่าเพ็ญอาจเปลี่ยนใจจึงรีบนัด เพ็ญมองหน้าผมนิดหนึ่งแต่ก็ตกลงนักหมายวันเวลากันจนเป็นที่เรียบร้อย

พวกปีหนึ่งในชมรมนัดติวกันเป็นวันศุกร์อันเป็นวันเรียนวันสุดท้ายก่อนหยุดปีใหม่นั่นเอง วันศุกร์นั้นเป็นวันที่การเรียนเนือยๆ แทบไม่ได้เรียนเลยด้วยซ้ำ วิชาบรรยายแม้ไม่งดและไม่มีใครโดดเรียนด้วย เพราะเป็นทีรู้กันว่าอาจารย์จะทบทวนและให้คำแนะนำนักศึกษาในการเตรียมตัวสอบกลางภาค หรือหากจะพูดกันตรงๆก็คือเป็นชั่วโมงบอกใบ้ข้อสอบนั่นเอง อาจารย์แต่ละวิชาจะแง้มๆแนวข้อสอบให้นักศึกษาไปเตรียมตัวสอบได้ง่ายขึ้น

หลังจากวิชาบรรยายในตอนเช้าวันศุกร์ บ่ายวันนั้นก็ว่างแล้ว ตอนเที่ยงที่ชมรมมีการฉลองเทศกาลปีใหม่กันนิดหน่อยโดยการยกขบวนกันไปกินอาหารที่สามย่าน วันนั้นเป็นวันที่นิสิตและนักศึกษาไปกินอาหารเที่ยงที่สามย่านฝั่งคณะบัญชีกันเป็นจำนวนมากเป็นพิเศษ กว่าจะหาร้านอาหารที่มีที่นั่งว่างได้ก็ต้องเดินวนกันหลายรอบ

ปีนั้นเป็นปีแรกที่ผมได้ฉลองปีใหม่ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัย เมื่อก่อนการฉลองปีใหม่เป็นเพียงการกินอาหารและสนุกสนานกันในห้องเรียน แต่ปีนี้ผมได้ไปกินในร้านอาหาร รูปแบบและบรรยากาศแตกต่างไปจากตอนที่เป็นนักเรียนมากทีเดียว แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าชอบบรรยากาศแบบไหนมากกว่า มันประทับใจกันไปคนละแบบ การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกไม่น้อยแต่บางครั้งก็อดรู้สึกเสียดายชีวิตในวัยเด็กไม่ได้เหมือนกัน

หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกปีหนึ่งก็กลับไปติวกันต่อที่ชมรมตามที่นัดหมายกันเอาไว้แล้ว ส่วนผมนั้นตัดสินใจไม่ไปติวด้วย เพ็ญมองหน้าผมด้วยความสงสัยเมื่อผมขอแยกตัวกลับไปก่อน

“เฮ้ย มึงจะรีบไปทำห่าที่ไหน ไปติวด้วยกันก่อน” ไอ้กี้ดึงมือผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ผมว่ามันไม่ได้ห่วงอะไรผมหรอก คงคิดจะแกล้งผมมากกว่า

“จะรีบบ้านโว้ย ปีใหม่ทั้งทีอยากมีเวลาอยู่บ้านเยอะหน่อย กลับตอนนี้รถไม่ค่อยติด” ผมอธิบาย

“กลับตอนเย็นก็ได้ ติวกันก่อน” ไอ้กี้รั้งเอาไว้อีก “บ้านไม่หนีมึงไปไหนหรอก”

ผมปฏิเสธอีก เมื่อไอ้กี้เห็นผมยืนกรานจะรีบกลับจึงปล่อยมือ ส่วนเพ็ญนั้นไม่ได้พูดอะไรเลย

“กลับก่อนนะทุกคน” ผมลาทุกคน จากนั้นก็แยกตัวจากมา

หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบ้าน แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะว่าผมไม่อยากติว แต่อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากความอยากกลับบ้านจริงๆ เนื่องจากตั้งแต่เรียนปีหนึ่งมาไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้อยู่ในกรุงเทพฯได้ตลอด โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านก็เนื่องจากเรื่องของเอกนั่นเอง ช่วงที่มีเรื่องนั้นรู้สึกคิดถึงบ้านมากแต่ก็ไม่มีโอกาสกลับ ดังนั้นเมื่อหมดจากเรื่องของเอกและบรรดาเพื่อนเกย์ทางตู้ ป.ณ. ทั้งหลายแล้วผมจึงอยากกลับบ้านโดยเร็ว

ช่วงปีใหม่ผมไม่ได้อยู่ที่หอหลายวัน ยังกังวลเรื่องเอกอยู่บ้างเล็กน้อย หวังว่าเอกคงไม่โทรมารังควานในช่วงนี้ ผมภาวนาขอให้เอกไปฉลองปีใหม่กับเขาบ้างจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก

- - -

ผู้โดยสารที่ท่ารถหมอชิตแน่นขนัด กว่าจะขึ้นรถได้ก็เสียเวลาไปโข อีกทั้งต้องยืนมาในรถส้มเปิดหน้าต่างแทนที่จะได้นั่งรถปรับอากาศมาอย่างสบายๆเนื่องจากไม่มีตั๋ว ความคิดถึงบ้านทำให้การเดินทางด้วยตั๋วยืนในวันนั้นไม่ลำบากนัก อีกอย่างก็คือในเป้ของผมไม่ได้ติดเสื้อผ้ามาด้วยเลย มีเพียงแค่หนังสือสองสามเล่มเท่านั้น สัมภาระของผมจึงเบามาก อีกทั้งอากาศในฤดูหนาวก็เย็นสบาย ทำให้ภายในรถไม่ร้อนอบอ้าว

ผมผ่านถนนในชนบทเส้นที่คุ้นเคย หลังจากการเดินทางเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดผมก็ลงจากรถประจำทางและหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว

“มาแล้วๆ” ผมเอะอะตั้งแต่ยังไม่เข้าบ้าน จากนั้นก็บุกผ่านหน้าร้านเข้าไปจนถึงส่วนหลังซึ่งเป็นส่วนที่พักอาศัย

แม่ดาหน้าออกมาต้อนรับ ผมสังเกตว่าหากแม่ไม่อยู่ในบ้านก็แล้วไป แต่หากวันใดที่แม่อยู่บ้าน เมื่อผมมาถึงก็มักจะเห็นแม่ดาหน้าออกมาต้อนรับผมเสมอ แม่ไม่เคยรอให้ผมเดินเข้าไปข้างในบ้านเสียก่อนเลย เมื่อเห็นแม่แล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเวลาของแม่ยังเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงใด

“อู ไม่ได้กลับบ้านมาตั้งนาน” แม่ทักทาย “เป็นไงบ้าง”

“ก็ไม่เป็นไงหรอกแม่” ผมยียวน “เรื่อยๆน่ะ”

“ทำไมยุ่งทั้งปีทั้งชาติเลย จะกลับมาบ้านบ้างก็ไม่มี” แม่บ่น “นี่ไปทำอะไรมา ทำไมดูผอมไป คล้ำไปด้วย”

“แม่ถามทีเดียวตั้งหลายคำถาม จะให้ตอบคำถามไหนก่อนล่ะ” ผมถาม

“ยวนจริงนะเรา” แม่คงนึกอยากเขกหัวผมเต็มที “ตอบอันไหนก่อนก็ได้ แต่ตอบมาให้ครบก็แล้วกัน”

“ยวนนี่ใช้ ย ยักษ์ หรือ ญ หญิงสะกดละแม่” ผมกวนอีก เห็นแม่เงื้อมือทำท่าคล้ายกับจะตบ “ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมายหรอกแม่ เล่นเสียเยอะน่ะ อูทำงานชมรมด้วย สนุกดี ที่ผอมและคล้ำไปนี่อูก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน”

เมื่อเดินเข้าไปถึงในบ้าน ผมเห็นพ่อนั่งเขียนอะไรอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเอ๊ดก็กำลังนั่งดูทีวีอยู่

“ป๊า” ผมทักทายพ่อ พ่อรับทักทายของผมด้วยเสียงฮื่อๆในลำคอเหมือนเช่นเคย จากนั้นผมก็หันไปทักทายเอ๊ด “เอ๊ดมาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ”

ผมรู้สึกคิดถึงพี่ชายคนนี้อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เอ๊ดเข้ามหาวิทยาลัยเราสองคนก็ไม่ค่อยได้เจออีก ทั้งยังไม่ค่อยได้คุยกันนักด้วย ปกติในช่วงเปิดเทอมผมจะไม่ได้คุยกับเอ๊ดเลย โอกาสที่เราสองคนได้พบและพูดคุยกันก็คือโอกาสตอนที่เราสองคนกลับมาบ้านพร้อมกันเท่านั้น

“อู” เอ๊ดทักทายผมด้วยน้ำเสียงดีใจ “กลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมือเช้าแล้ว โดดเรียนไปวันหนึ่ง”

ไม่ได้เจอเอ๊ดเสียนานหลายเดือน เอ๊ดดูโตขึ้นมาก หลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเอ๊ดจะหมั่นไส้หรือไม่ก็รำคาญผมอยู่เสมอ หรืออาจจะเรียกว่าเอือมระอาก็คงได้ เราสองคนจึงคุยกันค่อนข้างน้อย แต่ในครั้งนี้ดูเอ๊ดอารมณ์ดีและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เอ๊ดคุยเล่นกับผมมากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

“ปลายเดือนหน้าอูจะไปเขาชนไก่แล้วนะ” ผมพูด เรียน รด. มาสามปี ในที่สุดก็ถึงคราวต้องไปเข้าค่ายที่เขาชนไก่เสียที “ที่กลับมาคราวนี้ว่าจะมาขอชุด รด. ของเอ๊ดไปด้วย”

“เออ เอาไปสิ เอ๊ดพับเก็บลงกล่องไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในตู้เสื้อผ้า “ เอ๊ดพูด แต่แล้วก็ทำหน้าสงสัย “เอ๊ะ จะเอาไปทำไม ปกติก็ใช้กันแค่ชุดเดียว”

“ก็นั่นแหละ” ผมพูด “เห็นเขาพูดกันว่าเจ็ดวันใส่มันอยู่ชุดเดียว อูกลัวตัวเน่า เลยว่าจะเอาชุดของเอ๊ดไปสำรอง เปลี่ยนป้ายชื่อเสียหน่อย มีสองชุดก็ใส่ชุดละสามสี่วัน สะอาดขึ้นเยอะ”

“เด็กอนามัยเชียว สัมภาระเยอะก็หนักนะ” เอ๊ดทักท้วง “ใครๆก็ใส่ชุดเดียวกันทั้งนั้น”

“ใครบอก เพื่อนๆอูมันหาชุดสำรองกันไปทั้งนั้นแหละ แล้วอูมีของดีด้วยนะ กางเกงในกระดาษ ใช้แล้วทิ้งเลย ทั้งเบา ทั้งไม่เกะกะ แถมไม่ต้องเอากลับมาซักอีก สบายไปเลย” ผมคุยอวด

“บ้าแล้ว กางเกงในกระดาษ ไปหามาจากไหน” แม่หัวเราะ “ลำบากนักก็อย่าใส่เลยดีกว่า”

“ไม่ใส่เลยก็ดีเหมือนกันละแม่ แต่อย่าเลย เดี๋ยวเป็นไส้เลื่อนแล้วจะยุ่ง” ผมหัวเราะ “ซื้อต่อจากเพื่อนอีกทีน่ะ เพื่อนมันไปซื้อยกลังมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วเอามาแบ่งๆกัน ”

เราสามคนแม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพ่อนั้นแม้ไม่ได้คุยด้วยมากนักแต่ก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดคอหรือบ่นผมเลย

เทศกาลปีใหม่ในปีนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น ผมผ่านวันเวลาอย่างมีความสุขแบบเงียบๆอยู่กับครอบครัว แม้ในช่วงหลายปีมานี้ผมกับพ่อดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกว่าบ้านเป็นสถานที่พักพิงทางจิตใจ ที่นี่มีครอบครัว มีคนที่รักผมและมีคนที่ผมรักรออยู่ อีกทั้งในปีนี้พ่อกับผมไม่ได้มีการปะทะคารมกันเลย จึงถือได้ว่าปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ดีมากปีหนึ่งทีเดียว

- - -

“อู กลับบ้านมาเป็นไงบ้าง” เสียงเพ็ญทักผมในตอนเช้าวันพุธอันเป็นวันแรกหลังปีใหม่ที่มหาวิทยาลัยเปิด รวมทั้งเป็นวันสอบกลางภาควันแรกด้วย

“ก็ดี สดชื่นขึ้นเยอะเลย” ผมตอบ “แล้วเพ็ญล่ะ กลับบ้านแล้วเป็นไงบ้าง”

สีหน้าของเพ็ญหมองไปวูบหนึ่ง

“ก็ดีเหมือนกัน” เพ็ญตอบด้วยเสียงเนือยๆ

เห็นสีหน้าของเพ็ญแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าในหลายเดือนมานี้เพ็ญได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอันเลวร้ายมา เมื่อกลับไปบ้านอาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็เป็นได้ หรือไม่อย่างนั้นก็คงมีเรื่องที่ไม่สบอารมณ์นัก

“ที่จริงก็ไม่ได้สดชื่นอะไรนักหนาหรอก มันก็เหมือนๆเดิมนั่นแหละ แต่ปีนี้อากาศเย็นเลยรู้สึกสบาย” ผมแก้คำพูดเสียใหม่

หลังจากที่ผมทักทายกับเพ็ญเล็กน้อย เราต่างก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องสอบ การสอบในวันนั้นดูเหมือนจะเป็นวิชาชีววิทยาหรือเคมี รู้แต่ว่าไม่ใช่ฟิสิกส์กับแคลคูลัส การสอบในวันนี้ก็พอทำได้ เทอมหลังนี้ผมตั้งใจเรียนมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับการสอบเหมือนเช่นในเทอมแรก

หลังจากที่สอบเสร็จผมก็ไปนั่งเล่นที่ชมรม ตั้งใจว่าจะนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบแคลคูลัสอันเป็นวิชาที่จะสอบในวันรุ่งขึ้นที่ชมรมจนเย็นแล้วค่อยกลับหอพัก ช่วงนี้ที่ชมรมไม่มีกิจกรรมอะไรแล้ว นักศึกษาที่ขึ้นมาก็เพื่อมานั่งอ่านหนังสือไม่ก็พักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น

ในช่วงบ่ายพวกปีหนึ่งที่เป็นขาประจำชมรมต่างนั่งอ่านหนังสือกันพร้อมหน้า เริ่มแรกต่างคนต่างอ่านไม่รบกวนกัน ทำไปทำมาก็คุยกันบ้างถามกันบ้าง หนักๆเข้าไอ้กี้ก็ไปขอให้เพ็ญช่วยอธิบายในส่วนที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งเพ็ญก็อธิบายให้เป็นอย่างดี ทำไปทำมาในช่วงเย็นห้องอ่านหนังสือก็หลายเป็นห้องติวโค้งสุดท้ายก่อนสอบไปโดยปริยาย ซึ่งน่าแปลกที่เพ็ญพยายามติวให้เพื่อนๆเป็นอย่างดีทั้งๆที่ปกติแล้วหากเป็นเวลาใกล้สอบขนาดนี้แต่ละคนมักใช้เวลาในการทบทวนเป็นส่วนตัวกัน ไม่มีใครยอมเสียเวลามาติวให้เพื่อนๆ

ผมนั่งทำโจทย์ไปก็ชะแง้ๆฟังเพ็ญอธิบายวิธีคำนวณให้ไอ้กี้และเพื่อนๆฟังไปด้วย ฟังไปฟังมาก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน ต้องยอมรับว่าเพ็ญติวได้ดีมาก รวดรัด ตรงประเด็น เข้าใจปัญหาของผู้ถามว่าติดขัดตรงไหน ประสบการณ์ในการเขียนชีตวิชาแคลคูลัสคงช่วยเพ็ญได้มาก ผมยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเพ็ญได้เป็นอาจารย์สมความตั้งใจก็คงเป็นอาจารย์ที่เก่งและมีความสามารถในการสอนไม่น้อยเลยทีเดียว

จากบ่ายกลายเป็นเย็น จากเวลาเย็นผ่านไปจนกลายเป็นเวลาค่ำโดยไม่รู้ตัว เพ็ญอธิบายอยู่เป็นชั่วโมงโดยไม่เบื่อหน่าย พวกผู้หญิงที่นั่งฟังเพ็ญทยอยกลับกันตั้งแต่เย็นแล้ว ที่เหลืออยู่มีแต่นักศึกษาชาย ส่วนรุ่นพี่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หายตัวกันไปหมดตั้งแต่บ่ายแล้ว ผมคิดจะกลับหอพักอยู่หลายหนแล้วแต่ก็ไม่กลับ ใจหนึ่งรู้สึกว่าไม่อยากพึ่งเพ็ญให้มากเกินไปนัก แต่หากกลับก่อนอีกก็เหมือนกับไม่รักษาน้ำใจของเพ็ญ จึงนั่งอยู่ด้วยจนการติวโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งนี้สิ้นสุดลง

“เฮ้ย เพ็ญ ค่ำแล้ว กลับยังไงวะเนี่ย” ไอ้กี้ถามหลังจากที่พวกเราปิดประตูชมรม ล็อกกุญแจ และเดินลงจากตึก

“ก็นั่งรถเมล์กลับนั่นแหละ” เพ็ญตอบ สายตาเหลือบมองผมนิดหน่อย มันเป็นการชายตาเพียงแว่บเดียวแต่ผมก็สามารถรู้สึกได้

“เดี๋ยวกูไปส่งเพ็ญที่ป้ายรถเมล์เอง” ผมพูด ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดขึ้นมาทำไม

ไอ้กี้หัวเราะและทำปากหมุบหมิบ อ่านปากได้ความว่าไอ้สัตว์ หวงก้างนักนะมึง ผมรู้แล้วก็ทำเฉย

พวกเราทั้งหมดเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง จากนั้นเพ็ญก็ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนกลับ พวกเราทั้งหมดจึงแยกย้ายกันที่ใต้ตึกนั่นเอง

“งั้นพวกเราไปก่อนนะเพ็ญ เดี๋ยวเราทิ้งไอ้หมาอูเฝ้าหน้าห้องน้ำเอาไว้ให้” ไอ้กี้พูดพลางหัวเราะตาหยี “มีอะไรเห่าเรียกนะโว้ย”

“ไอ้ห่า มึงรีบไปไกลๆเลย กวนโอ๊ยฉิบหาย” ผมด่ามันบ้าง

ห้องน้ำของนักศึกษาทั้งชายและหญิงอยู่ใต้ตึกแต่คนละด้านกัน ห้องน้ำชายหันประตูเข้าใต้ตึกในตำแหน่งที่ผู้คนพลุกพล่าน แสงไฟสว่างไสว ส่วนห้องน้ำหญิงอยู่ทางปีกตึกด้านลานจอดรถซึ่งหากเป็นยามค่ำเมื่อไม่มีรถจอดแล้วบริเวณนี้จะแทบไม่มีใครผ่านไปมา และจะเปิดดวงไฟไว้เพียงสลัวๆเท่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดไฟฟ้า

ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ห่างจากหน้าห้องน้ำหญิงไปพอประมาณ ก็ไม่รู้จะว่าไปเฝ้าที่ใกล้ๆหน้าห้องน้ำเพื่ออะไร ยืนห่างๆก็น่าจะพอ คอยอยู่สักพักเพ็ญก็ยังไม่ออกมา ผู้หญิงก็มักเข้าห้องน้ำนานแบบนี้แหละ

ในแสงสลัวที่บริเวณทางเดินและที่หน้าห้องน้ำหญิง ผมเห็นหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนเดินออกมาจากห้องน้ำ ที่คิดว่าเป็นผู้หญิงเพราะว่าเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง รวมทั้งรูปร่างทรวดทรงแม้ดูแต่ไกลก็ดูออกว่าเป็นหญิง อีกทั้งยังสะพายกระเป๋าแบบผู้หญิงไว้ข้างตัวด้วย และที่คิดว่ายังสาวก็เพราะว่าท่วงท่าการเดินกระฉับกระเฉง

ผมรออีกสักพักก็ได้ยินเสียงร้องของเพ็ญดังออกมาจากในห้องน้ำ

“อ๊ายยยยย...”

สิ้นเสียงร้องเพ็ญวิ่งพรวดออกมายืนอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

“เพ็ญ เป็นอะไรไป” ผมละล่ำละลักถาม

“กระเป๋า... กระเป๋า... โดนขโมย” เพ็ญพูดเอะอะ

ผู้หญิงที่ใส่เชื้อเชิ้ตกางเกงยีนคนนั้นแน่ ผมมั่นใจเลยทีเดียว เหตุการณ์แวดล้อมทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

“เฮ้ย เราเห็นคนตัวขโมย เดี๋ยวเราลองวิ่งตามไป” ผมพูดพลางวิ่งไปตามทางที่หญิงสาวคนนั้นเดินไปด้วยหวังว่าอาจจะได้ของคืน

“อู อย่าเพิ่งไป” ได้ยินเสียงเพ็ญร้องไล่หลัง ผมชะงักและเดินย้อนกลับมาหาเพ็ญ

“อย่าทิ้งเราไว้คนเดียว อู... เรากลัว...” เพ็ญพูด

จริงสินะ ผมมามัวห่วงแต่ไล่จับขโมยจนลืมเพ็ญได้อย่างไร

“เอ้อ จริงด้วย” ผมพูด “เราไม่ควรทิ้งเพ็ญเอาไว้คนเดียวจริงๆ”

เป็นอันว่าผมต้องเลิกล้มการติดตามขโมยไป เมื่อตั้งสติได้แล้วผมจึงพาเพ็ญไปพบ รปภ. ประจำตึก เมื่อ รปภ. ได้ทราบเรื่องจึงพาไปพบหัวหน้า รปภ. เวรกลางคืนของวันนั้น ขณะเดียวกันก็ ว ไปตามจุดต่างๆเพื่อสกัดขโมยรายนี้

เพ็ญเล่ารายละเอียดให้ผมและหัวหน้า รปภ. ประจำตึกฟังว่าขณะที่เข้าห้องน้ำเล็กที่อยู่ในห้องน้ำใหญ่อีกทีหนึ่งเพ็ญได้วางเป้หนังสือเอาไว้ที่โต๊ะกลางของห้องน้ำ ปกติเพ็ญจะมีกระเป๋าเล็กสำหรับใส่เงินและบัตรต่างๆและใส่อยู่ในเป้อีกทีหนึ่ง เมื่อต้องวางเป้หรืออยู่ห่างจากเป้ก็จะเอากระเป๋าเล็กมาพกติดตัวเอาไว้ แต่เมื่อครู่นี้กำลังจะรีบกลับและเห็นว่าห้องน้ำหญิงใต้ตึกไม่น่ามีใครมาใช้แล้ว จึงทิ้งกระเป๋าเล็กเอาไว้ในเป้และเข้าห้องน้ำไป

ต่อมาเมื่อเพ็ญอยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รู้สึกเอะใจแต่ก็เกิดความกลัว จึงยังไม่ออกจากห้องน้ำมาดูในทันที เมื่อรอสักครู่จนเสียงความเคลื่อนไหวเงียบไปเพ็ญจึงออกจากห้องน้ำมา เมื่อสำรวจดูในเป้จึงพบว่ากระเป๋าเล็กหายไปทั้งใบ

“ในนั้นมีข้าวของอะไรบ้างล่ะน้อง” หัวหน้า รปภ. เวรกลางคืนซัก

“ก็มีเงิน บัตรนึกศึกษา แล้วก็บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม แล้วก็ของจุกจิกอีกนิดหน่อยค่ะ” เพ็ญตอบ

“ไอ้เรื่องขโมยของในห้องน้ำนี่มีมาสักพักแล้ว” หัวหน้า รปภ. พูด “ตอนแรกก็นึกว่า เอ้อ... แบบว่านักศึกษาฉกกันเองน่ะ แต่ต่อมาคิดว่าไม่ใช่ รูปแบบของการขโมยน่าจะเป็นแก๊งมากกว่า แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็เงียบหายไป นี่กลับมาอีกแล้ว คงต้องกวดขันกันให้หนัก”

“แล้วเพื่อนผมต้องทำอะไรอีกบ้างครับ” ผมถามแทนเพ็ญเพราะว่าตอนนั้นเพ็ญเอาแต่ตัวสั่น พูดอะไรไม่ออกแล้ว

“ก็ต้องไปแจ้งความที่โรงพัก บัตรเอทีเอ็มก็ต้องไปแจ้งอายัด แล้วก็เอาใบแจ้งความไปขอออกบัตรต่างๆใหม่” หัวหน้า รปภ. พูด “ที่มันจะยุ่งหน่อยก็คือบัตรนักศึกษานี่แหละ พรุ่งนี้มีสอบด้วยใช่ไหม ถ้าไม่มีบัตร ไม่มีใบแจ้งความ ไม่รู้ว่ากรรมการคุมสอบจะให้เข้าสอบหรือเปล่า ทางที่ดีต้องรีบไปแจ้งความ จะได้เดินเรื่องอื่นๆได้ พรุ่งนี้เช้าให้น้องรีบมาที่หน่วย รปภ. จะได้พาไปแจ้งความ น้องผู้ชายก็ต้องไปโรงพักด้วยเพราะเป็นคนที่เห็นผู้ต้องสงสัย”

หลังจากที่ให้ปากคำกับหัวหน้า รปภ. เสร็จเรียบร้อย ผมกับเพ็ญก็เดินออกจากคณะเพื่อจะไปขึ้นรถกลับที่ป้ายสามย่าน ระหว่างนั้นเพ็ญเอาแต่นิ่งเงียบ ผมรู้ว่าเพ็ญคงอยู่ในอาการกลัวและหวาดวิตก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่ปลอบใจ

“ใจเย็นๆนะเพ็ญ พรุ่งนี้มาแต่เช้า ไปแจ้งความแล้วจะได้ไปทำเอกสารใหม่ เรื่องเข้าสอบคงไม่น่ามีปัญหาหรอกน่า อาจารย์ที่สอนปีหนึ่งก็รู้จักเพ็ญกันทุกคน” ผมพูด “เงินก็ไม่มากไม่ใช่เหรอ ถือเสียว่าคราวเคราะห์ก็แล้วกัน”

พูดถึงคราวเคราะห์ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าปีนึกนี้ว่าจะไม่มีเรื่องราวอะไรแล้ว ที่ไหนได้ งานเข้าจนได้ แม้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมโดยตรงแต่อย่างน้อยผมก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมเป็นพยานในเหตุการณ์เพียงคนเดียวที่เห็นผู้ต้องสงสัย

“อู” เพ็ญเรียกผม “พาเราไปแจ้งความหน่อยได้ไหม”

“พรุ่งนี้เราไปด้วยอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมตอบ ปากบอกว่าไม่ต้องห่วงแต่ใจอดห่วงนิดหน่อยไม่ได้ เนื่องจากพรุ่งนี้เพ็ญและผมต้องสอบแคลคูลัส

“เราหมายถึงไปแจ้งความตอนนี้” เพ็ญพูด

“อ้าว ไม่ไปพรุ่งนี้เหรอ” ผมแปลกใจ

“อยากแจ้งให้มันเสร็จๆไปน่ะ พรุ่งนี้จะได้ไปวิ่งเรื่องบัตรนักศึกษาได้แต่เช้า เรากลัวเข้าสอบไม่ทัน” เพ็ญตอบ

ที่เพ็ญพูดก็จริงอยู่ พรุ่งนี้เช้ามีเรื่องที่ต้องทำมากมาย หากเกิดเหตุขัดข้องขึ้นมาอาจเข้าสอบไม่ทันได้จริงๆ

“เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน” ผมเห็นด้วย

จากนั้นเราสองคนจึงนั่งแท็กซี่เพื่อไปแจ้งความที่โรงพัก หัวหน้า รปภ. คุยให้ฟังมาแล้วว่าต้องไปแจ้งความที่โรงพักท้องที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก แต่เรายังไม่เคยไปจึงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพื่อความรวดเร็วจึงให้แท็กซี่พาไป

- - -

สถานีตำรวจท้องที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยจริงๆ เมื่อเราลงจากรถก็เดินขึ้นตึกไป ตัวอาคารเปิดไฟสว่างไสว แม้จะเป็นเวลาค่ำแล้วแต่ก็ยังมีคนเดินไปมาอยู่ที่บริเวณโถงของโรงพัก บางคนแต่ตัวดี บางคนแต่งตัวปอนๆ บางคนดูราวกับติดยา ตำรวจก็เดินไปมา ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะก็มี

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องขึ้นโรงพัก ผมเดินไปถามตำรวจที่โต๊ะหนึ่งว่ามาขอแจ้งความ ตำรวจนายนั้นก็ชี้ให้ไปรอที่อีกโต๊ะหนึ่งซึ่งมีนายตำรวจนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะและมีคนนั่งออกันรอบโต๊ะอยู่หลายคน

บรรยากาศภายในโรงพักไม่ค่อยดีนัก ดูน่ากลัวอย่างไรก็ไม่รู้ บริเวณโต๊ะที่ผมมารอแจ้งความนั้นมีทั้งตำรวจและประชาชนนั่งรวมกันอยู่หลายคน ประชาชนที่มารอแจ้งความนั้นมีหลากหลาย คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นผอมกะหร่อง ถูกตีหัวแตกติดพลาสเตอร์มาแจ้งความ อีกคนก็มาตามคดีรถชนกับร้อยเวรเจ้าของคดี ส่วนอีกสองคนเป็นผัวเมียที่ฝ่ายหญิงถูกทำร้ายจนเลือดไหลออกทางจมูก แม้เมื่อขึ้นโรงพักมาแล้วฝ่ายชายก็ยังพยายามจะลงไม้ลงมือกับฝ่ายหญิง ภาพชีวิตที่เห็นในโรงพักนั้นล้วนแต่ไม่น่าอภิรมย์เลย

ผมกับเพ็ญนั่งรอแจ้งความสักครู่ใหญ่ เพ็ญก็กระซิบเรียกผม

“อู พาเราออกไปก่อนเถอะ เราอยากออกไปข้างนอก”

ผมงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สังเกตดูเพ็ญเห็นเพ็ญตัวสั่นเป็นลูกนกเปียกฝน จึงรีบพาเพ็ญลงมาจากตึกมายืนรับลมอยู่ที่หน้าโรงพัก

“เราไม่อยากแจ้งความแล้วอู... เรากลัว” เพ็ญพูด พูดจบเพ็ญก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น

เมื่อเห็นเพ็ญร้องไห้โฮด้วยความกลัว ผมเองก็ตกใจจนมือไม้สั่น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ได้แต่ปลอบใจเพ็ญไป

“ยังไงเพ็ญก็ต้องแจ้งความ ไม่ยังงั้นเรื่องบัตรต่างๆจะออกใหม่ไม่ได้ ถึงเพ็ญไม่แจ้งวันนี้ก็ต้องมาพรุ่งนี้กับพี่ๆ รปภ. อยู่ดี” ผมพูด “ไหนๆมาแล้วก็อดทนทำให้เสร็จเถอะ เราอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญที่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนหรอก เพ็ญไม่ต้องกลัว”

ผมปล่อยให้เพ็ญร้องไห้ตามสบาย เมื่อร้องไปแล้วสักพักเสียงสะอื้นก็ค่อยๆเบาลง

“อยู่เป็นเพื่อนเราจริงๆนะอู อย่าทิ้งเรา” เพ็ญย้ำอีกด้วยน้ำเสียงละห้อย

“จริงสิ ไม่ขี้ฮกหรอก” ผมพยายามตลก

“อูรู้มั้ย” เพ็ญพูดแล้วเงียบไป “เมื่อก่อนเรา... เราเห็นอูเป็นเพียงแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้... ตอนนี้เราเห็นอูเป็นยิ่งกว่าเพื่อนแล้วนะ”




<สามย่านที่อยู่ฝั่งคณะบัญชีเดิมเป็นอาคารพาณิชย์ที่มีร้านค้าอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร มีร้านอาหารชื่อดังอยู่ในสามย่านนี้มากมายหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านหมงไข่ระเบิด ลูกชิ้นนายใบ้ สมบูรณ์โภชนา ตลอดไปจนถึงโจ๊กสามย่าน และแม้กระทั่งรถเข็นขายเต้าฮวยเย็นที่อยู่ประจำที่นี่ก็ยังขึ้นชื่อและเป็นขวัญใจของนิสิตนักศึกษาในย่านนี้ ตั้งแต่ตอนเย็นเป็นต้นไปร้านอาหารในย่านนี้จะคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าที่มากินอาหาร

ร้านค้าในสามย่านนี้เปิดกิจการมาได้จนประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ต้องปิดตำนานลงไป อาคารพาณิชย์ถูกรื้อถอนเพื่อเปิดตำนานหน้าใหม่นั่นคือจามจุรีสแควร์หรือจตุรัสจามจุรี

จามจุรีสแควร์เริ่มโครงการในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๗ การก่อสร้างดำเนินไปได้ราวสองปีก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากพิษของวิกฤตเศรษฐกิจ มาสร้างต่ออีกครั้งในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๙ และมาเสร็จจนเปิดตัวโครงการได้ในราวปี พ.ศ. ๒๕๕๑

ภาพบนเป็นภาพสามย่านที่ถ่ายจากระยะไกล ป้าย NEC ที่เห็นคือหัวมุมสี่แยกที่เดิมเคยเป็นโรงรับจำนำฮะติดหลี (ฝั่งตลาดสามย่าน) และหากสังเกตดีๆจะเห็นหลังคาโรงหนังสามย่านด้วย ส่วนอาหารพาณิชย์ที่เห็นเรียงรายซ้อนกันเป็นดงนั้นคือสามย่านฝั่งคณะบัญชี ภาพนี้ถ่ายเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ในยุคที่ผมเป็นนักศึกษาใหม่

ภาพล่างเป็นสามย่านในปัจจุบัน ถ่ายเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จากมุมเดิมของเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน จะเห็นว่าสามย่านฝั่งคณะบัญชีได้กลายมาเป็นโครงการจามจุรีสแควร์ทั้งหมด>

Monday, May 2, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 31

หลายปีที่พักอยู่คนเดียวทำให้ผมไม่กลัวผีหรือกลัวความมืด ในยามปกติแม้จะดึกดื่น เปลี่ยว หรือเงียบสงัดเพียงใดก็ไม่ทำให้ผมกลัว แต่คืนนี้จู่ๆผมก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจน ต้องเปิดไฟในห้องให้สว่างไปจนถึงรุ่งเช้า

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้าแต่ก็ยังไม่ออกไปเรียน รออยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวาย จนได้เวลาประมาณเจ็ดโมงกว่าจึงลงไปข้างล่าง เมื่อเดินออกจากหอพักก็ตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะทันที

ผมยกหู หยอดเหรียญ ยกนิ้วค้างอยู่ที่หน้าแป้นกดชั่วขณะ ในที่สุดก็ตัดสินใจกดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป มันเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ผมคุ้นเคย แม้ผมจะไม่ได้ใช้เบอร์นี้มานานหลายปีแล้วก็ตามแต่ผมก็ยังจำมันได้อย่างแม่นยำ... มันคือเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านคุณอาไอ้นัยนั่นเอง

โทรเช้าขนาดนี้จะโดนดุไหมนะ ผมคิดในใจ หลายปีมานี้ผมไม่ได้ใช้หมายเลขโทรศัพท์นี้อีกเลยเพราะรู้ดีว่าคุณอาทั้งสองคนไม่อยากคุยกับผม ผมเองก็ไม่กล้าโทรไปเพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ไอ้นัยต้องประสบเคราะห์กรรม แต่ในวันนี้ผมรู้สึกว่ามันจำเป็นจริงๆ ลางสังหรณ์เมื่อคืนทำให้ผมรู้สึกกังวลมาก ผมต้องการรู้ความเป็นไปของไอ้นัยว่าสบายดีหรือไม่

ผมได้ยินเสียงสัญญาณสั้นๆดังติดกัน มันไม่ใช่เสียงเรียกสายตามปกติ

เมื่อผมลองดูอีกหลายครั้ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม เป็นสัญญาณเสียงกระชั้นสั้นและดังถี่ๆ โดยที่ไม่มีใครตอบรับสายเลย

เอาไงดี... ผมลังเล

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจโดดเรียนในตอนเช้าและขึ้นรถเมล์ตรงไปบ้านของไอ้นัยทันที เมื่อโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ผมก็ตั้งใจจะไปหาคุณอาของไอ้นัยที่บ้านเพื่อถามดูให้รู้แน่ แม้จะถูกรังเกียจก็คงต้องยอมหน้าด้าน ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับข่าวคราวของไอ้นัย

ตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่ผมเกิดลางสังหรณ์ ผมคิดถึงไอ้นัยตลอดเวลา หลายปีนี้ผมพยายามทำใจเรื่องไอ้นัยจนคิดว่าใจของผมสงบลงมากแล้ว บางครั้งแม้ยังหวนคิดถึงไอ้นัยบ้างแต่ใจก็ไม่ว้าวุ่น แต่เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ผมไม่สบายใจเลย

ผมเดินเข้าไปในซอยลาดพร้าว ๑๐๑ หลายปีที่ไม่ได้เข้ามาในซอยนี้ สภาพแวดล้อมในซอยเปลี่ยนไปมาก ตึกแถว บ้าน ร้านค้า และรถราในซอยมีมากขึ้นกว่าเดิม ซอยย่อยที่เป็นที่ตั้งของบ้านไอ้นัยเมื่อก่อนอยู่กันห่างๆ มีที่ดินว่างเปล่ามากมาย มาบัดนี้มีบ้านปลูกใหม่แน่นขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ผมรีบก้าวเดินอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนใจ เมื่อเดินไปถึงบ้านของคุณอาไอ้นัยที่เมื่อก่อนผมมาเที่ยวเล่นบ่อยๆผมก็อดสะท้อนใจไม่ได้ เมื่อก่อนผมสามารถเข้านอกออกในบ้านนี้ได้เหมือนสมาชิกในบ้านคนหนึ่ง มาบัดนี้ผมเห็นบ้านหลังดังกล่าวปิดอยู่ ทั้งประตูรั้วหน้าบ้านและประตูเข้าตัวบ้านต่างก็ปิดอยู่ สภาพรอบๆตัวบ้านรกรุงรัง ลานบ้านและสนามมีแต่ใบไม้แห้ง ต้นหญ้าในสนามหายไปจนหมดมีแต่วัชพืชขึ้นรุงรัง ต้นไม้พุ่มและไม้ดอกเหี่ยวแห้ง ตรงกันข้ามกับวัชพืชไม้เลื้อยที่เจริญงอกงาม ดูจากภายนอกแล้วบ้านนี้ดูเก่าและทรุดโทรมไปมาก

ผมใจหายวูบ ทำไมบ้านคุณอามีสภาพเหมือนเป็นบ้านร้าง คุณอาทั้งสองคนหายไปไหน

ผมกดออดที่หน้าบ้าน กดอยู่หลายทีแต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดรับ แม้ว่าผมจะมองโลกในแง่ดีกว่านี้ก็คงต้องยอมรับความจริงว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว

ไม่ได้มาที่นี่หลายปี เรื่องราวทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นึกไม่ถึงจริงๆว่าคุณอาจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ไหนๆเมื่อมาแล้วอีกทั้งผมพกความกังวลใจมาจนเต็มเปี่ยม จะให้กลับไปทั้งๆที่คาใจอยู่อย่างนี้ผมคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ในที่สุดผมจึงเดินไปที่บ้านข้างๆซึ่งไม่ได้อยู่ติดกันเสียทีเดียวแต่มีที่ดินเปล่าคั่นอยู่แปลงหนึ่ง

ออด...

ผมกดออดที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้ว โชคดีที่ในบ้านยังมีคนอยู่ ไม่ได้ออกไปข้างนอกกันจนหมด ผู้ที่ชะโงกหน้าออกมาจากในประตูบ้านเป็นหญิงในวัยห้าสิบกว่าปี

“มาหาใครจ๊ะ” เสียงหญิงกลางคนร้องถาม “ถ้าจะเรี่ยไรก็ไปข้างหน้าได้เลย”

“สวัสดีครับ ผมมาหาเจ้าของบ้านข้างๆน่ะครับ” ผมยกมือไหว้จากนั้นก็ชี้มือไปทางบ้านของไอ้นัย “แต่บ้านนั้นเหมือนกับไม่มีคนอยู่แล้ว”

“อ้าว นึกว่าพวกมาเรี่ยไร เจ้าของเค้ายังไม่เข้ามาอยู่เลย ไม่มาดูแลด้วย มันก็เลยร้างยังงี้แหละ” หญิงกลางคนตอบพลางโผล่ออกมาจากหลังประตู เมื่อรู้จุดประสงค์ของผมก็เดินออกมาคุยกับผมที่หน้าบ้าน

“ยังไม่เข้ามาอยู่” ผมทวนคำด้วยความงุนงง “เมื่อหลายปีก่อนผมยังมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆเลยครับ”

“อ๋อ” หญิงกลางคนลากเสียงยาวไปถึงบางอ้อ “หนูคงหมายถึงเจ้าของบ้านคนเดิมล่ะสิ ใช่ไหม”

“ที่บ้านอยู่กันสามคน เป็นสามีภรรยา และเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งน่ะครับ” ผมอธิบายเพิ่มเติม

“นั่นแหละ เจ้าของคนเดิม” หญิงกลางคนพูด “เค้าขายให้เจ้าของใหม่แล้วย้ายออกไป ส่วนเจ้าของคนใหม่ซื้อแล้วก็ไม่ย้ายเข้ามาสักที”

“พอจะทราบไหมครับว่าทำไมถึงย้าย แล้วย้ายไปนานหรือยังครับ” ผมถาม

“ย้ายไปปีกว่าๆแล้วล่ะ จู่ๆก็ย้ายออกไปเลย ไม่ได้บอกกล่าวร่ำลากัน” หญิงกลางคนเล่า “ตอนย้ายออกไปป้ายังไม่รู้เลย ที่มารู้ก็เพราะว่าเจ้าของบ้านคนใหม่เขามาแนะนำตัวทำความรู้จักน่ะ”

หลังจากที่คุยกันอยู่สักครู่หนึ่งผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณและลากลับ การมาบ้านไอ้นัยในครั้งนี้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย เดิมทีผมยังรู้สึกมีความหวังอยู่ในใจเสมอว่าแม้จะติดต่อไอ้นัยไม่ได้แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าบ้านของมันอยู่ที่ไหน รู้ว่าคุณอาของมันอยู่ที่ไหน สักวันหนึ่งยังคงมีโอกาสได้ข่าวคราวจากมันบ้าง แต่การมาในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวัง เพราะเมื่อคุณอาของไอ้นัยย้ายไปโดยไม่ทราบที่อยู่ใหม่ก็เท่ากับว่าเบาะแสของไอ้นัยที่มีเหลืออยู่เพียงใยเดียวได้ขาดสะบั้นลง นับแต่นี้ไปในโลกอันไพศาลผมจะไปหาไอ้นัยจากที่ใดกัน

- - -

เทศกาลคริสต์มาส

ในปีนั้นวันสุกดิบก่อนคริสต์มาสหรือที่เรียกว่าคริสต์มาสอีฟนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่สยามสแควร์ในยามเย็นของวันสุกดิบเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทั้งวัยรุ่นและคนในวัยทำงานที่ออกมาชมสีสันของเทศกาล

สยามสแควร์ยามเย็นในวันนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้าหลายร้านพ่นกระจกหน้าร้านเป็นรูปต้นคริสต์มาส บางร้านก็นำเอาต้นคริสต์มาสมาตั้งที่หน้าร้าน เสียงบทเพลงคริสต์มาสลอยอบอวลไปทั่วทั้งสยามสแควร์ เทศกาลคริสต์มาสเมื่อหลายปีก่อนคึกคักและสนุกสนานอย่างไร เดี๋ยวนี้มีแต่จะคึกคักและสนุกสนานยิ่งกว่าเดิม

ผมนั่งกินโดนัทกับน้ำอัดลมอยู่ในร้านโดนัทร้านประจำที่เมื่อก่อนชอบมา ผมเลือกที่นั่งที่สามารถมองออกไปนอกร้านได้ สายตาเหม่อมองดูวัยรุ่นที่เดินผ่านหน้าร้านโดนัทไป... คู่แล้วคู่เล่า... กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ส่วนใหญ่มักเดินกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม น้อยคนนักที่จะเดินคนเดียว

ผมนั่งอยู่ในร้านโดนัทตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ที่จริงวันนี้ผมควรนั่งดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์อยู่ที่ห้องพักหรือไม่ก็ที่หอสมุด แต่ว่าผมรู้สึกเหงา อยากได้บรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสพร้อมกับปล่อยความคิดไปเรื่อยๆขึ้นมา จึงเลือกที่จะมานั่งปล่อยอารมณ์และกินบรรยากาศที่ร้านโดนัทร้านนี้แทน

จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมและมัธยม ช่วงใกล้ปีใหม่เป็นช่วงที่มักเกิดเรื่องขึ้นกับผมเกือบทุกปีเลยก็ว่าได้ แต่สองปีมานี้เมื่อถึงช่วงคริสต์มาสปีใหม่เหตุการณ์กลับเรียบร้อยดีไม่มีอะไร จะมีอยู่บ้างก็เพียงความรู้สึกเหงาอยู่ลึกๆเท่านั้น

ผมเหม่อมองดูผู้คนที่เดินผ่านหน้าร้านไปเรื่อยๆ วัยรุ่นและหนุ่มสาวเดินกันเป็นคู่ๆ บางคนก็เดินจูงมือกัน เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้ หนุ่มสาวสามารถเดินจูงมือกันอย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องอายใคร แล้วผมล่ะ?

ความคิดที่จะมีชีวิตเช่นคนปกติทั่วไปของผมยิ่งนานวันก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น ผมลองสำรวจใจตนเองดูแล้ว พบว่าเรื่องที่ยังทำให้ผมกังวลอยู่ก็คือเรื่องสัญญาที่เคยให้ไว้กับไอ้นัยนั่นเอง เราเคยสัญญากันเอาไว้ว่าเมื่อโตขึ้นเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน แม้เราจะไม่ได้ใช้คำพูดแบบนั้นตรงๆ แต่ความรักที่เรามีต่อกันนั้นคงทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าผมสามารถมีชีวิตเช่นคนปกติได้จริงๆ แล้วผมจะเอาไอ้นัยไปไว้ที่ไหน ถ้าหากมันยังคอยผมอยู่ในขณะที่ผมเปลี่ยนไปมีชีวิตอีกแบบหนึ่งก็เท่ากับว่าผมทอดทิ้งมันอีกครั้งหลังจากที่เคยทอดทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่ง

แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไอ้นัยเป็นตายร้ายดีอย่างไร เบาะแสที่มีอยู่ก็ขาดไปแล้ว คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนแล้วยังอดขนลุกไม่ได้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในคืนวันก่อนนั้นเป็นอุปาทานที่เกิดจากจิตใจที่ฟุ้งซ่านของผมหรือว่าเป็นลางสังหรณ์จริงๆ แต่ว่านับตั้งแต่วันนั้นมาผมรู้สึกเป็นห่วงไอ้นัยอยู่ตลอดเวลา ปกติผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ๋นักแต่หลังจากวันนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มครองไอ้นัยให้ปลอดภัย รวมทั้งพยายามตั้งจิตให้มั่นว่าไอ้นัยปลอดภัยและสบายดี เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงอุปาทานของผมเองเท่านั้น จนหลายวันต่อมาผมจึงรู้สึกคลายกังวลลงได้บ้าง

หนุ่มสาวคู่แล้วคู่เล่าที่เดินผ่านหน้าร้านไปเป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้ผมพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อลบปมด้อยของตนเอง... ผมค่อยๆไล่เรียงความคิด... ไอ้นัยเก่งและฉลาดกว่าผม อะไรที่ผมคิดได้มันมักคิดได้ก่อนเสมอ ไม่แน่ว่าตอนนี้ไอ้นัยอาจจะมีแฟนสาวผมสีบลอนด์ไปแล้วก็ได้

ไอ้นัยเก่งกว่าผมเสมอ หากผมหายจากการเป็นเกย์ได้จริง ไอ้นัยก็ต้องหายได้เหมือนกัน หรือหากผมแก้ไม่หาย ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าไอ้นัยอาจทำได้สำเร็จ ตอนนี้ผมแค่เริ่ม จะสำเร็จหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ หากสำเร็จแล้วมีเรื่องอะไรตามมาก็ค่อยมาคิดแก้กันอีกทีก็แล้วกัน ตีตนไปก่อนไข้ตั้งแต่ตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์... อารมณ์ของผมในตอนนั้นอยากได้ชีวิตที่เป็นปกติอย่างมาก คิดอะไรจึงคิดเข้าข้างตนเองเอาไว้ก่อน

หลังจากออกมาจากร้านโดนัทผมก็เดินเล่นอยู่ในสยามสแควร์ จากนั้นก็เดินเลยไปดูสีสันของคริสต์มาสที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ย่านราชประสงค์ คืนนั้นผมกลับถึงหอพักค่อนข้างดึก การฉลองเทศกาลคริสต์มาสคนดียวนี่มันเหงาได้ใจจริงๆ แต่ผลจากการนั่งแช่อยู่ในร้านโดนัทดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงนั้นทำให้ผมตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป ซึ่งเมื่อมองจากวันนี้ย้อนไปในวันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัดสินใจลงไปได้อย่างไรเพราะมันดูเป็นเรื่องที่โง่หรือบ้าเอามากๆ หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นทั้งสองอย่าง

- - -

ในห้องพัก

ผมเหม่อมองดูนาฬิกาอยู่เป็นเวลานาน เฝ้าดูเข็มทั้งสามเข็ม เข็มสั้น เข็มยาว และเข็มวินาที เดินไปซ้อนทับกันอยู่ที่เลข ๑๒ เมื่อเข็มวินาทีผ่านเลข ๑๒ มาได้ก็หมายถึงวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว... วันคริสต์มาส

เมื่อตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมในโรงเรียนคาทอลิก ผมได้เรียนรู้ว่าวันคริสต์มาสคือวันที่เชื่อกันว่าพระเยซูประสูติ ในวันนี้มีชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาในโลก ผมก็ถือเอาฤกษ์วันคริสต์มาสนี้ขอมีชีวิตใหม่บ้างก็แล้วกัน

ผมหยิบหนังสือสามเล่มยี่สิบที่มีอยู่ทั้งหมดกับจดหมายที่เขียนติดต่อทางตู้ ปณ. ทั้งหมดมากองรวมกัน ผมฉีกจดหมายทั้งหมดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อไม่ให้ใครอ่านได้ รวมทั้งจดหมายของโอ๋และหนุ่ยด้วย จากนั้นก็หยิบหนังสือสามเล่มยี่สิบขึ้นมาเพื่อเตรียมฉีกเป็นชิ้นๆ

เสียดายแฮะ ทำไม่ลง ผมผ่านชีวิตในวัยรุ่นมากับกองหนังสือ ทั้งกิจกรรมที่สหกรณ์และห้องสมุดที่ผมชอบเข้าไปขลุก จนเพาะเป็นนิสัยชอบอ่านหนังสือ ถ้าจะให้ลงมือฉีกหนังสือนี่ผมทำไม่ลง

ผมหยิบซองจดหมายสีขาวที่เก็บมานานหลายปี จนซองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆแล้ว มันเป็นซองที่ใส่เพลงที่ผมแต่งให้ไอ้นัยนั่นเอง ผมถือมันอยู่ในมืออย่างลังเล...

“ไอ้นัย” ผมพูดกับไอ้นัยอยู่ในใจ “กู... กูไม่รู้ว่าจะบอกมึงยังไงดี... กูมีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว กูอยากเลิกเป็นแบบนี้เสียที ถ้ากูทำสำเร็จ กูก็หวังว่ามึงจะทำสำเร็จด้วย... และถ้ามันเป็นไปแบบนั้นจริงๆ... ความฝันในวัยเด็กของเราก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”

ผมรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามถ่ายทอดความในใจที่ต้องการบอกแก่ไอ้นัยต่อไป

“ชีวิตในแบบที่กูจะเดินต่อไปนี้มันเหมือนเป็นเส้นขนานกับชีวิตแบบเดิม มันเหมือนอยู่กันคนละฝั่งฝัน เมื่อกูก้าวข้ามมา ฝันของกูจะเป็นอีกแบบหนึ่ง และหากมึงก้าวข้ามมาด้วย ฝันของมึงก็คงต้องเป็นอีกแบบหนึ่งเช่นกัน

“จำความฝันในวัยเด็กที่เราฝันไว้ร่วมกันได้ไหม มันเป็นความฝันที่ดีที่สุดและมีคุณค่าที่สุดสำหรับชีวิตวัยเด็กของกูเลยนะนัย ดังนั้นกูจึงลบเลือนมันไปไม่ลง ถ้าเป็นไปได้กูอยากย้อนกลับไปในวันเก่าๆ วันที่ได้อยู่กับมึง ได้อยู่กับความฝันของเรา ตอนเด็กเราก็ฝันถึงอนาคตข้างหน้า แต่มาตอนนี้กูกลับถวิลหาชีวิตในอดีตอีก แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้...

“เราสองคนต่างก็ต้องเดินทางต่อแล้ว ต่อแต่นี้ไปกูคงต้องเก็บฝันในวัยเยาว์ของเราเอาไว้ที่ฝั่งด้านโน้น... เก็บมันไว้ที่ปลายฟ้าด้านโน้น... ดินแดนที่เราอาจไม่มีวันได้หวนกลับไปหามันอีก ที่ซึ่งความทรงจำและความฝันในวัยเด็กของเราจะงดงามอยู่ที่นั่นตลอดไป... กูนึกไม่ออกเหมือนกันว่าครั้งต่อไปที่เราได้พบกันอีกเราจะมีวิถีชีวิตเช่นไร แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้มึงประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนกูก็จะพยายามอย่างที่สุดเหมือนกัน...”

ถ้าจะเลิกเป็นเกย์ต้องทิ้งซองนี้ด้วยหรือเปล่านะ จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยว จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว คิดไปคิดมาก็ฉีกไม่ลงอีก จึงเก็บซ่อนเอาไว้ที่เดิม

ผมใช้เวลาในการสะสางจดหมายและหนังสือไม่นาน จากนั้นก็เข้านอน และเมื่อตื่นขึ้นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้ามืด ผมอาบน้ำแต่งตัวและออกจากหอพักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พร้อมกับถุงใบใหญ่ที่มัดเรียบร้อย ผมนำเอาดหมายติดต่อที่ฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทิ้งในถังขยะหน้าปากซอย จากนั้นนำถุงกระดาษที่ภายในมีนิตยสารเกย์ทั้งหมดไปทิ้งที่พงหญ้าในซอย ๒๗ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นที่ดินว่างเปล่าหญ้ารกทึบ ไม่ได้เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมเหมือนเช่นทุกวันนี้ ผมเคยอ่านหนังสือโป๊ที่มีคนทิ้งเอาไว้ในพงหญ้า มาถึงวันนี้ผมเองก็ต้องนำหนังสือที่ไม่ต้องการไปทิ้งไว้ในพงหญ้าเช่นเดียวกัน

วันนี้จะเป็นวันที่ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่... ชีวิตแบบปกติ... ผมตั้งใจกับตนเองเอาไว้ว่าผมจะทิ้งชีวิตแบบเดิม และจะไม่ข้องแวะกับชีวิตแบบเกย์อีก ไม่อ่านนิตยสารสามเล่มยี่สิบ ไม่ติดต่อกับเกย์คนใด รวมทั้งหากมีโอกาส ผมก็จะจีบสาวและคบเป็นแฟนเหมือนชายหนุ่มทั่วไป ยังอดนึกไปถึงว่าหากมีใครชวนไปขึ้นครู คราวนี้ผมจะไม่ขอพลาดอีก สำหรับเรื่องการมีแฟนตอนนี้คงต้องขอรอเอาไว้ก่อนเพราะว่าผมต้องให้เวลากับการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้

ฟังเพลง I Wanna Go Back



ผลงานของวง The New Seekers วงป๊อบแบนด์ของอังกฤษที่เริ่มโด่งดังในยุค 1970s วงนี้ไม่ค่อยดังนักในเมืองไทยแต่ดูเหมือนจะเคยมาเปิดการแสดงในเมืองไทยอย่าง น้อยก็ครั้งหนึ่งในยุค 1970s เพลงดังจริงๆของวงนี้คือเพลง I’d Like to Teach the World to Sing จากอัลบั้มชุด We'd Like to Teach the World to Sing ที่ออกในปี 1971 ส่วนเพลง I Wanna Go Back มาจากอัลบั้มชุด Together Again ที่ออกในปี 1976

เอามาฝากเฉยๆ อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อเรื่องนักแต่จู่ๆก็นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา


I wanna go back
Where my wanderin started
Back to the day we parted
Back to the places and the people
I once knew
I wanna go back
Where my friends will find me
Back to all I left behind me
Woah
I wanna go back
(Repeat)


Meet some friends along the way
But I knew I couldn't stay
Gonna shake their hands and say
'It's sure been good to know ya'
But there's so much missing here
So I'm gonna disappear
Oh I wanna go
I wanna go
I wanna go back..


I wanna go back
Where my wanderin started
Back to the day we parted
Back to the places and the people
I once knew
I wanna go back
Where my friends will find me
Back to all I left behind me
Woah
I wanna go back
(Repeat)