Sunday, April 25, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 60

“บอยก็ต้องเลือกคนที่บอยชอบดิ” บอยตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ผมใจแป้วทันที รู้สึกจุกในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก

บอยมองหน้าผม ผมเห็นบอยหน้าเปลี่ยนสีไปนิดหนึ่ง จากนั้นชะงักคำพูดไป แล้วเปลี่ยนเป็นพูดตะกุกตะกัก

“ตอบใหม่ได้ป่าวพี่อู เมื่อกี้บอย... เอ่อ... ยังคิดไม่ค่อยดีเท่าไร”

“นายจะตอบใหม่ว่าอะไร” ผมถามเนือยๆ รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังหยุดนิ่ง ผมไม่สนใจแล้วว่าคำตอบหลังจะเป็นอย่างไรเพราะผมแน่ใจว่าคำตอบแรกของบอยนั้นมาจากใจจริง

บอยหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดคำตอบอยู่นานก็ยังตอบไม่ออก ผมไม่อยากให้มันลำบากใจจึงตัดบทเสียเอง

“ไม่เป็นไรหรอกบอย ไม่ต้องตอบหรอก พี่ถามไปยังงั้นเอง”

“พี่อู...” บอยพูดเสียงแผ่วเบา “บอยตอบไม่ถูกจริงๆ...”

“นายตอบไม่ถูกหรือว่าเลือกไม่ถูกกันแน่” ผมอดพูดไม่ได้

“พี่อู...” บอยหน้าจ๋อย

“ช่างมันเถอะบอย กินขนมกันดีกว่า” ผมปิดประเด็น

- - -

เย็นวันนั้นผมนั่งรถเมล์สาย ๘ กลับหอพักอย่างซึมเซา ผมรู้สึกไม่ดีเลย มันเป็นความรู้สึกที่มีแต่ผู้พ่ายแพ้เท่านั้นที่จะสัมผัสและเข้าใจได้ ผมไม่ได้พ่ายแพ้ในเกมกีฬา แต่ครั้งนี้ผมพ่ายแพ้ในเกมชีวิต... ที่จริง... ถ้าจะพูดให้ถูกแล้วผมยังไม่เคยได้ชัยชนะเลยสักครั้งต่างหาก...

ผมเหม่อมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถเมล์ มันก็เป็นโลกใบเดิม... แต่ทว่าทำไมวันนี้สีของมันจึงได้หม่นทึมได้ขนาดนี้นะ...

ผมกลับถึงหอก็ขึ้นไปเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง รู้สึกอยากนอนเพียงอย่างเดียวไม่อยากทำอะไร อยากนอนให้หลับๆไป เมื่อตื่นขึ้นมาจะได้พบว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง... แต่ทว่าข่มตาอย่างไรก็หลับไม่ลง คำพูดของบอยที่หลุดปากออกมาก้องอยู่ในหูของผมอยู่ตลอดเวลา

บอยก็ต้องเลือกคนที่บอยชอบดิ…

“น้องอู ชั้น ๔ รับโทรศัพท์” เสียงจากอินเตอร์คอมดังขึ้น

ผมยังนอนเฉยอยู่บนเตียง ไม่อยากลุก ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น

เสียงจากอินเตอร์คอมเรียกผมอีกครั้ง จากนั้นก็เงียบไป ที่นี่ก็เป็นแบบนี้เอง ถ้าเรียกสองสามครั้งแล้วไม่ลงไปก็จะไม่ตามอีกเพราะคิดว่าไม่อยู่หรือว่าอยู่แต่อาจไม่สะดวกที่จะลงไปรับสายก็เป็นได้

เวลาผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผมยังนอนลืมตานิ่งเฉยอยู่บนเตียง พี่พรผู้ดูแลหอพักก็เรียกผมทางอินเตอร์คอมอีก คราวนี้ผมลุกขึ้นจากเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย เดินออกไปนอกห้อง และตะโกนใส่อินเตอร์คอม

“ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้ครับ” ผมพูด หลังจากนั้นก็ปิดห้องและเดินลงไปรับสายที่ชั้นล่าง คงเป็นแม่ที่โทรมา ถ้าผมไม่ลงไปรับสงสัยว่าแม่คงโทรไม่เลิกแน่

“ฮัลโหล” ผมพูดใส่หูโทรศัพท์

“โห พี่อูไปอยู่ไหนมาน่ะ บอยโทรมาตั้งหลายครั้ง” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากปลายสายด้านโน้น

ผมรู้สึกแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าผู้ที่โทรมาจะเป็นบอยไปได้ เสียงของบอยเป็นเสมือนน้ำทิพย์ชะโลมดวงใจที่อับเฉาของผมให้ฟื้นชื่นขึ้นได้อย่างประหลาด

“บอย ดีใจจังที่นายโทรมา” ผมพูด “พี่นอนอยู่น่ะ”

“พี่อูเป็นไรหรือเปล่าฮะ ทำไมนอนแต่หัวค่ำเลย” บอยถาม

“ก็... คงไม่สบายนิดหน่อยมั้ง” ผมตอบอ้อมแอ้ม ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไรดี “ว่าแต่นายทำไมโทรมาล่ะ”

“บอยโทรมาไม่ได้หรือไง” บอยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เปล่า... พี่แค่สงสัยว่านายมีเรื่องอะไรถึงได้โทรมา” ผมตอบ น้ำเสียงที่จริงจังของบอยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ

“เมื่อเย็นดูพี่อู เอ่อ... สีหน้าไม่ค่อยดีอะ บอยเลยอดเป็นห่วงไม่ได้” บอยพูด

“นี่นายห่วงพี่เหรอ” ผมรีบถาม

“พี่อูไม่เป็นไรนะ” บอยไม่ตอบคำถาม

มันหมายถึงเรื่องอะไรของมันนะ หมายถึงว่าผมไม่สบายแล้วไม่เป็นอะไรมาก หรือว่ามันถามถึงเรื่องเมื่อเย็นที่โรงอาหาร...

“นายหมายถึง...” ผมลากเสียง

“ก็หมายถึงว่าพี่อูสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย” บอยตอบแบบเดิม “บอยเป็นห่วงพี่อูนะ... มีพี่ชายกะเค้าอยู่คนเดียว”

หัวใจของผมแป้วลงอีกครั้ง พี่เป็นได้แค่พี่ชายของนายเท่านั้นเองหรือ... หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันอีกสักครู่และก็วางสาย

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าบอยโทรมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ แต่อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่ดูออกก็คือบอยยังเป็นห่วงผมอยู่ และนี่เองที่ทำให้ผมเกิดมีความหวังขึ้นมารำไร

ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ผมพึมพำ

- - -

“ไง ไอ้ไก่อูคนดัง” เสียงดังขึ้นจากข้างหลังผมในตอนหลังเลิกเรียนของวันหนึ่ง ขณะที่ผมและเพื่อนๆกำลังเดินลงจากตึก

“ไอ้ลูกอ๊อด” ผมหันกลับไปพูด อ๊อดเพื่อนเก่านั่นเอง ตั้งแต่เรียนด้วยกันในตอนชั้น ม.๒ หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยได้อยู่ห้องเดียวกันอีก แต่เราก็มักเจอกันและทักกันเสมอเมื่ออยู่ในตึกเรียน กับตี๋ก็เช่นกัน “กูดังที่ไหนกัน”

“มึงไม่ต้องมาตีหน้าเซ่อ ตอนนี้มึงกลายเป็นคนดังไปแล้ว นักเรียนทั้งระดับ ม.๕ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักนายไก่อู กับ... กับ... เอ้อ อีกคนชื่อไรวะ” อ๊อดพูด แล้วก็หัวเราะ “ลืมชื่อเพื่อนมึงไปแล้ว”

“ชื่อเชาวน์” ผมต่อให้ ผมรู้ดีว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เรื่องราวของผมและเชาวน์ลือเลื่องไปทั้ง ม.๕ จริงๆ

“เออ นั่นแหละ ไอ้เชาวน์” อ๊อดตอบ “มึงนี่แม่งโคตรสร้างวีรกรรมเลย กูนึกไม่ถึงเลยจริงๆ แต่ก่อนเห็นมึงเด็กดีฉิบหาย”

เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ว่าตอนนี้คงไม่ใช่แล้วล่ะ ผมตอบอ๊อดในใจ อ๊อดคงยังจดจำอยู่กับภาพเด็กหัวอ่อนของผมเมื่อตอนชั้น ม.๒ แต่ตอนนี้ผมไม่หัวอ่อนแล้ว ผมเรียนรู้ที่จะต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา

“เฮ้ย เดี๋ยวกูขอไปส้วมก่อน แล้วค่อยยกย่องกูต่อวันหลังก็ได้” ผมตัดบทมันแล้วรีบปลีกตัวเดินจากไป เป้าหมายของผมคือโรงอาหาร

หลังจากที่บอยโทรมาหาผมเมื่อวันก่อน มันทำให้ผมเกิดความหวังขึ้นมารำไร แม้ว่าบอยตอนนี้จะยังไม่เลือกผม แต่อย่างน้อยบอยก็ยังสนิทสนมและมีความปรารถนาดีกับผมอยู่ ถ้าผมพยายามให้มากขึ้น ไม่แน่ว่าบอยอาจจะเปลี่ยนใจมากเลือกผมก็ได้ เกมที่ผมเคยคิดว่าพ่ายแพ้ไปแล้วกลับกลายเป็นว่าผมยังเล่นต่อได้และยังมีโอกาสชนะอยู่บ้าง ความคิดที่เปลี่ยนไปเพียงนิดเดียวของผมทำให้ผมเปลี่ยนจากสภาพที่ท้อแท้กลับมามีกำลังใจที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าผมต้องการเอาชนะหัวใจของบอย ผมคงต้องใช้สมองบ้าง จะเอาแต่เดินหน้าอย่างทื่อๆคงไม่ได้แล้ว

คู่แข่งของผม... น้องส้มที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน... ได้เปรียบผมตรงที่บอยชอบเธอ ส่วนผมนั้นได้เปรียบตรงที่รู้จักกับบอยและสนิทสนมกันมานานกว่า อีกทั้งรู้ใจมันมากกว่า ผมจะต้องเอาข้อได้เปรียบของผมเหล่านี้มาเอาชนะใจบอยให้ได้

ผมทิ้งช่วงไม่ติดต่อกับบอยมาหลายวันแล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องวางตัวบ้าง การเอาแต่โทรไปหาหรือไปหามันทุกวันมันเหมือนกับการคอยตามตื๊อ บอยอาจรู้สึกอึดอัดใจได้ นั่นจะยิ่งทำให้ผมเสียคะแนน ดังนั้นผมจึงพยายามอดใจไม่ติดต่อกับบอยถี่จนเกินไป มีการเว้นช่วงบ้างพองาม... แต่การรอคอยกว่าจะได้ติดต่อแต่ละครั้งนั้นมันทรมานใจไม่น้อย ผมต้องอดทนต่อความกระวนกระวายและความร้อนใจของผมเอง ใครที่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาคงยากที่จะเข้าใจ

จนเมื่อคืน ผมโทรหาบอย และก็ทำให้ผมรู้ว่าช่วงที่ผ่านมาบอยอาการไม่ค่อยดีเท่าไร บอยยังทำใจเรื่องส้มไม่ได้ จนจิตใจฟุ้งซ่าน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง รวมความแล้วก็เป็นอาการอกหักแบบที่ผมเคยเป็นนั่นเอง ผมจึงบอกว่าถ้าอยากระบายก็คุยให้ผมฟังก็ได้ เราจึงนัดเจอกันที่โรงอาหารในวันนี้

ที่โรงอาหาร บอยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“พี่อู” บอยทักเมื่อเห็นหน้าผม สีหน้าของบอยหมองคล้ำ ไม่มีเค้าของความร่าเริงและอารมณ์ดีของเมื่อก่อนอยู่เลย

“เป็นไงบ้างบอย” ผมทัก

“ก็เรื่อยๆฮะพี่อู” บอยตอบ

“ถ้าเรื่อยๆยังดูแย่ขนาดนี้ แล้วตอนแย่จริงๆจะขนาดไหน” ผมแหย่บอย

วันนี้กลับกลายเป็นคนละคนกับบอยคนเดิม บอยพูดน้อย ส่วนใหญ่จะนั่งดูดน้ำหวานเงียบๆด้วยท่าทีซึมเซามากกว่า บอยเล่าว่าพยายามไปงอนง้อขอคืนดีกับส้มแต่ไม่เป็นผล ซ้ำยังโดนเด็กรุ่นพี่ที่ส้มกำลังคบอยู่ไล่ตะเพิดให้เสียหน้าอีก ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูก จึงได้แต่นั่งเงียบๆเป็นเพื่อนบอย

นั่งแช่อยู่ที่โรงอาหารได้สักพักหนึ่ง บอยก็ขอตัวกลับ ก่อนแยกจากกัน ผมหยิบซองซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้บอย

“อะไรอะ” บอยถาม พลางดูของที่ผมมอบให้ มันเป็นซองพลาสติก ข้างในบรรจุดอกไม้ชนิดหนึ่งอยู่หนึ่งดอก รูปทรงของดอกไม้คล้ายๆรูปนก ผมเพิ่งเตรียมมาเมื่อเช้าก่อนมาโรงเรียนนี่เอง

“ก็ดอกไม้ไง” ผมตอบ

“ดอกอะไรอะ” บอยถามอีก หน้าตาคุ้นๆ แต่ไม่รู้ชื่อ”

“ดอกแคไง” ผมตอบ

“อ้อ ใช่ บอยเคยกิน” บอยตอบ “ว่าแต่พี่อูให้ดอกแคบอยทำไม”

“ดอกแค ก็...” ผมหยุดไปนิดหนึ่ง กำลังลังเลว่าจะปล่อยให้มันไปคิดเอาเองดีหรือไม่ แต่ก็กลัวมันคิดไม่ออก ในที่สุดจึงตัดสินใจบอกออกไป “พี่แคร์นายนะ”

หลังจากที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อคืน ผมอยากแสดงอะไรออกมาให้บอยรู้บ้างว่าผมรู้สึกอย่างไรกับมัน ครั้นจะให้ดอกกุหลาบก็ไม่กล้า แค่คิดก็สยองแล้ว ผู้ชายให้ดอกกุหลาบกัน... คงต้องฮือฮากันทั้งโรงเรียนเป็นแน่ ก็มาคิดได้มุขนี้ พยายามทำให้มันเป็นเรื่องขำๆ

บอยมองหน้าผม ดูเหมือนว่าบอยจะไม่ขำ สีหน้าของบอยราบเรียบจนผมเดาใจมันไม่ออก มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่คิดมุขนี้ขึ้นมา มันงี่เง่ามาก แต่ทำไงได้ ก็ทำไปแล้วนี่

“ขอบคุณฮะพี่อู บอยกลับละนะ” บอยพูดเพียงสั้นๆ จากนั้นเราสองคนก็แยกจากกัน

- - -

เดือนสิงหาคม

ตอนที่ผมได้รู้ความจริงจากปากของบอยเองว่าบอยกำลังคบกับเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ ชีวิตของผมก็ถึงกับเสียศูนย์ แต่มันก็เป็นไปเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ผมคิดว่าผมยังพอมีโอกาสต่อสู้เพื่อเอาหัวใจของบอยมาครอบครอง ชีวิตของผมก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง

หลังจากที่บอยอกหักจากน้องส้ม ผมก็พยายามเข้าไปเป็นผู้ดามหัวใจให้บอย ในยามที่บอยเศร้าเสียใจและเคว้งคว้าง บอยจึงเปิดโอกาสให้ผมเบียดแทรกเข้ามาในชีวิตของบอยอีกครั้งหนึ่ง ผมมีโอกาสนัดเจอและไปเที่ยวกับบอยบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ตราบใดที่บอยยังเปิดโอกาสให้ผมก็แสดงว่าผมยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง

ทางด้านการเรียนของผมนั้นก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ การที่ยังไม่สิ้นหวังจากบอยช่วยผมได้มาก มันทำให้ผมยังมุมานะดูหนังสือเพื่อสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ต่อไปได้ แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าเมื่อไรที่ผมสิ้นหวังจากบอย เมื่อนั้นชีวิตของผมคงถึงหายนะเป็นแน่

ผมพยายามใช้ชีวิตที่คาดว่าจะเป็นปีสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้อย่างเต็มที่ตามที่เคยคิดเอาไว้ ผมพยายามไม่เก็บตัว ไปเที่ยวและดูหนังกับเพื่อนๆในโต๊ะวิทยาศาสตร์อันได้แก่ หมู สิทธิ์ และกรณ์ หลายครั้ง วันก่อนก็เพิ่งไปดูหนังที่สยามสแควร์มา ขากลับยังซื้อเพลงออกใหม่มาม้วนหนึ่ง ชื่อชุด เทวดาเดินดิน ของพี่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ซึ่งเป็นนักร้องชายที่โด่งดังในยุคนั้น

การที่ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยทำให้ผมสนิทสนมกับเพื่อนในโต๊ะวิทยาศาสตร์มากขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเรียนใหนห้องวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งที่เราก็ไม่สนใจการเรียนและเอาแต่คุยกัน ไม่ใช่เป็นแค่โต๊ะของเรา โต๊ะอื่นๆก็เป็นเช่นกัน โต๊ะไอ้เฉาและกลุ่มติวของมันที่อยู่ติดๆกันกับโต๊ะของกลุ่มผมนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง คุยกันเสียงดังเออะ ไอ้กลุ่มนี้ก็แปลก เกาะกลุ่มเหนียวแน่นตั้งแต่ ม.๔ แต่มาในระยะนี้ดูจะเที่ยวและเล่นกันมากยิ่งขึ้น ไม่จริงจังเคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อน บางทีก็ได้ยินมันนัดติวกันในตอนเย็นแล้วหลังจากนั้นยังชวนไปเที่ยวกันต่อ

“เฮ้ย ไปคืนนี้เลยเหรอ” เสียงไอ้เชาวน์จากโต๊ะที่อยู่ติดกันแว่วมา

จากนั้นก็ได้ยินอะไรแว่วๆว่าวิสุทธิ์กษัตริย์ จากนั้นก็กิ่งเพชร แล้วก็ศรีทอง ดูเหมือนกับพวกมันกำลังหาที่เที่ยวที่ไหนสักแห่งแต่ยังเลือกไม่ถูกหรือว่ายังไปไม่ถูก

“ไม่ไปโว้ย เดี๋ยวโรคแดกขึ้นมาตายห่ากันพอดี” เสียงไอ้กี้เอะอะ มันคงได้รับคำเชิญชวนแต่ปฏิเสธไป

ผมคิดในใจว่าทำไมมันไม่มาชวนกูบ้างวะ อยากรู้ว่ามันกำลังจะวางแผนไปไหนกัน แต่ก็แค่คิดเล่นๆเท่านั้น ไม่ได้น้อยใจอะไรเพราะว่าปกติพวกมันก็ไม่ได้ชวนผมไปไหนอยู่แล้วเนื่องจากไม่ได้อยู่ในกลุ่มของมัน

ได้ยินพวกมันนัดเที่ยวกันทำให้ผมอดคิดถึงบอยไม่ได้ อยากหาโอกาสไปกินอาหารและดูหนังที่สยามสแควร์กับบอยสักเรื่องหนึ่ง ช่วงหลังนี้บอยซึมไปมาก จากเดิมที่เป็นมันคอยกระเซ้าเย้าแหย่ผม ตอนนี้กลายเป็นว่าผมต้องคอยแหย่มันเพื่อให้มันอารมณ์ดีแทน

นึกถึงสยามสแควร์แล้วก็นึกถึงมาบุญครอง คิดถึงโรงเรียนดนตรีที่ผมเลิกเรียนไปแล้วตั้งแต่ต้นปีเพราะต้องการให้เวลากับการดูหนังสืออย่างเต็มที่ คิดถึงคนนั้นคนนี้ที่ร่วมใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในสยามสแควร์มาตั้งแต่ผมยังอยู่มัธยมต้น แล้วจู่ๆความคิดของผมก็ไปหยุดที่คนคนหนึ่ง... ครูช่วย

ผมไม่ได้โทรไปหาครูช่วยมาพักใหญ่แล้ว เดิมทีคิดว่าจะโทรไปคุยกับครูช่วยสักเดือนละครั้งหรือสองครั้ง อย่างน้อยจะได้ช่วยคลายเหงาแก่ครูช่วยได้บ้างเพราะดูครูจะรู้สึกเงียบเหงาตั้งแต่ไปอยู่ที่บ้านลูกชาย แต่ก็ทำได้เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น ช่วงหลังก็ลืมบ้างอะไรบ้าง

พักเที่ยงวันนั้นผมจึงโทรไปหาครูช่วยทันทีโดยใช้ตู้โทรศัพท์ในโรงเรียน ผมชอบโทรหาครูช่วยในเวลากลางวันเพราะว่าครูจะเป็นคนรับสายเองเนื่องจากอยู่บ้านคนเดียว หากโทรเวลาค่ำมักเป็นลูกชายหรือลูกสะใภ้ของครูช่วยรับสาย

เสียงสัญญาณเรียกดังอยู่นานจนสายถูกตัดไปเอง ผมลองโทรใหม่อีกครั้ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม

สงสัยว่าครูช่วยคงออกไปข้างนอก ด้วยความที่อยากคุยกับครูช่วยผสมกับความรู้สึกที่ผิดไม่ได้โทรไปหาครูช่วยนานแล้ว ค่ำวันนั้นผมจึงพยายามโทรหาครูอีก

“ฮัลโหล” เป็นเสียงผู้ชายที่ไม่ใช่ครูช่วยรับสาย

“สวัสดีครับ ผมขอสายครูช่วยหน่อยครับ” ผมพูด

“เอ้อ... ไม่ทราบจากไหนครับ” เสียงทางโน้นถาม

“ผมอูครับ เป็นลูกศิษย์ของครูช่วยครับ” ผมแนะนำตัว

“อ๋อ” เสียงทางโน้นพูดราวกับรู้จักผม ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ

“ครูช่วยเสียไปแล้วนะ” เสียงลูกชายครูช่วยพูดต่อ น้ำเสียเคร่งขรึม

ผมใจหายวาบ เป็นไปได้อย่างไรกัน

“ครูช่วยเสียเมื่อไรครับ” ผมถาม

“เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง” ลูกชายครูช่วยตอบ “พ่อเป็นโรคหัวใจมานานแล้ว แต่ตอนที่พ่อจากไปนั้นพ่อไปอย่างสงบ นอนหลับแล้วก็ไป งานศพพ่อก็เพิ่งเสร็จไปเมื่อตอนปลายเดือนนี่เอง”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก

“ก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อยังพูดถึงน้องอยู่เลย” เสียงทางโน้นพูดต่อ

“ครูช่วยพูดถึงผมว่าอะไรครับ” ผมถาม

“พ่อเปรยว่าหมู่นี้ไม่เห็นน้องโทรมาเลย” ลูกชายครูช่วยตอบ

หลังจากที่วางสาย ผมยังรู้สึกใจหายอยู่ ภาพของครูช่วยลอยเด่นอยู่ในความคิดคำนึง ต่อไปผมจะไม่ได้พบกับครูช่วยอีกแล้ว... ตลอดไป...

ถึงจะมีวาสนาต่อกันปานใด สุดท้ายก็ยังต้องพลัดพราก ผมอดนึกถึงคำของครูช่วยไม่ได้ หรือว่าในวันนั้นครูช่วยกำลังต้องการบอกใบ้อะไรบางอย่างแก่ผม

ผมรู้สึกผิดในใจอย่างรุนแรง ผมเคยรับปากกับครูช่วยและตั้งใจเอาไว้ว่าเราจะกินอาหารด้วยกันอีกสักมื้อหนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำเสียทีเพราะผมเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง กินอาหารด้วยกันสักมื้อมันจะยากอะไร อยู่ในกรุงเทพฯด้วยกันแท้ๆ สยามสแควร์ก็ไปบ่อยๆ จะกินด้วยกันเมื่อไรก็ย่อมได้ แต่สุดท้าย... มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆที่เรื่องเล็กๆแค่นี้ผมก็ทำไม่สำเร็จ... และผมจะไม่มีวันทำให้สำเร็จได้ตลอดไป...

บทเรียนบทแรกๆในชีวิตที่เกี่ยวกับการพลัดพรากอันเป็นนิรันดรคือเรื่องของตาล แต่มันก็ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากการรู้จักกันเพียงไม่นาน ปกติผมไม่เคยครุ่นคิดเรื่องความตายเท่าไรนัก เพราะว่าครอบครัวและเพื่อนๆ คนที่ผมรักยังมีชีวิตอยู่กันทุกคน ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่ต้องสูญเสียบุคคลที่เรารักและสนิทสนมด้วยเพราะความตายมาพลัดพรากนั้นเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้รับรู้ข่าวการจากไปของครูช่วยเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก ทั้งรู้สึกผิด ทั้งโศกเศร้า และทั้งน่าหวาดกลัว... ผมกลัวการพลัดพราก... กลัวที่จะต้องมีชีวิตอยู่โดยปราศจากผู้เป็นที่รักอยู่เคียงใกล้

Tuesday, April 20, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 59

“เด็กชายอูรับโทรศัพท์” เสียงจากอินเตอร์คอมที่ชั้นสี่ของหอพักดังกังวานในตอนหัวค่ำของวันหนึ่ง คนที่เรียกผมแบบนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากแป๋ง

ผมคิดอยู่ในใจว่าแม่คงจะโทรมาบ่นผมอีกเพราะว่าหมู่นี้ผมไม่ค่อยได้โทรไปคุยกับพ่อและแม่เลยทั้งๆที่แม่กำชับเอาไว้ว่าให้โทรไปหาบ้างเพราะเรื่องของบอยทำให้ผมรู้สึกเซ็งจนไม่อยากคุยกับใคร ผมรีบลงไปที่ชั้นล่างเพื่อรับโทรศัพท์

“ฮัลโหล” ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด ใจนึกหวั่นว่าวันนี้คงหูชาอีกเป็นแน่

“พี่อู นี่บอยนะ” เสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่งพูด

ผมเฝ้ารอโทรศัพท์จากบอยมาเป็นเดือนแล้วแต่บอยก็ไม่เคยโทรมาหาผมเลย และในวันที่ผมสิ้นหวัง จู่ๆบอยก็โทรมาอย่างไม่คาดฝัน

“บอย เป็นไงบ้าง” ผมทักทายด้วยความดีใจแม้จะยังไม่รู้ว่าบอยโทรมาด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม

“ก็เรื่อยๆฮะ พี่อูเป็นไงบ้าง” บอยถาม

“เดี๋ยวก่อนนะบอย เดี๋ยวพี่โทรกลับ พี่ขอเปลี่ยนเครื่องคุยดีกว่า” ผมพูด จากนั้นก็วางสายลง โทรศัพท์ที่นี่คุยได้ครั้งละ ๕ นาทีเท่านั้น ผมรีบขึ้นไปหยิบกระเป๋าตังค์และเหรียญที่ห้องและกลับลงมาอีกครั้ง

“แหม พอเด็กโทรมารีบออกไปคุยข้างนอกเชียว ฮิฮิ กลัวเราได้ยินนายจีบเด็กเหรอ” แป๋งหัวเราะฮิฮะ ทำหน้ากวนแบบคนรู้ทัน

ผมควักเอาบัตรประชาชนออกจากกระเป๋าตังค์วางบนโต๊ะแล้วรีบเก็บเพราะกลัวแป๋งจะอ่านรายละเอียดในบัตร

“นี่ มีบัตรประชาชนแล้ว ใช้นายแล้วนะเฟ้ย ไม่ใช่เด็กชาย” ผมบอกมัน พยายามเสไปเรื่องอื่นจากนั้นก็รีบเดินหนี

ผมไม่ได้ยินเสียงบอยมาเป็นเดือนแล้ว การที่บอยโทรมาหาผมอีกครั้งหนึ่งทำให้โลกที่หม่นทึมของผมกลับสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ผมโทรศัพท์ไปหาบอยโดยใช้ตู้ที่ด้านอกหอพัก บอยรับสายและคุยกับผมแบบเนือยๆจนผมผิดสังเกต เรื่องที่คุยก็สะเปะสะปะ ไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ผมคิดว่ามันคงคิดถึงผมจึงได้โทรมาคุย แต่ฟังจากน้ำเสียงและท่าทีที่พูดคุยแล้วคงไม่ใช่ บอยน่าจะมีความในใจอยู่ลึกๆซึ่งผมยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

“บอย นายเป็นอะไรกันแน่น่ะ ทำไมวันนี้ฟังดูแปลก ๆไป” ผมถามบอยตรงๆ

“บอยเหงาอะพี่อู ไม่รู้จะคุยกับใคร” เสียงบอยฟังดูเศร้าหมองหลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง “นึกอยากคุยกับพี่อูขึ้นมา”

ผมรู้สึกตกใจ ทำไมบอยกลายเป็นแบบนี้ แต่ในใจก็อดประท้วงเล็กๆไม่ได้ว่านี่ถ้าไม่เหงาก็คงไม่นึกถึงผม ผมอดนึกว่าตนเองเป็นเครื่องใช้อะไรสักอย่างไม่ได้ ยามต้องการก็หยิบมาใช้ ยามไม่ต้องการก็วางเอาไว้โดยไม่สนใจ

“พี่อู ตอนที่พี่อูกับแฟนจากกัน พี่อูเสียใจมากไหม” บอยถามต่อ

ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆบอยถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน

“นายถามทำไมน่ะ” ผมถาม

“แล้วพี่อูทำยังไงถึงหายเสียใจ” บอยถามต่ออีก ไม่สนใจคำถามของผม

“บอย มันเกิดอะไรขึ้น นายมีอะไรก็บอกพี่ตรงๆได้ไหม นายพูดวกไปวนมาจนพี่งงไปหมดแล้ว” ผมพยายามเค้นถามความจริง

บอยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “พี่อู บอยเหงา บอยถูกทิ้ง” บอยพูดเสียงเครือ

หลังจากนั้นบอยจึงยอมเปิดเผยเรื่องราวให้ผมฟัง บอยเล่าให้ผมฟังว่าไปคบกับนักเรียนหญิงต่างโรงเรียนที่เจอกันที่โรงเรียนกวดวิชา ชื่อส้ม ซึ่งผมพอรู้เลาๆอยู่แล้ว คบกันไปได้พักหนึ่งต่อมาก็มีปัญหากัน และในที่สุดส้มก็ขอเลิกติดต่อกับบอย

“แล้วมีปัญหาอะไรกันล่ะ” ผมซัก

“มันมีเด็ก ม.๔ มาจีบส้มน่ะพี่อู แรกๆก็เฉยๆไม่มีอะไร แต่มันเอาใจเก่ง ส้มก็เลยไปชอบมัน” บอยอธิบาย “บอยอุตส่าห์ลงเรียนเพิ่มให้เท่าๆกับที่ส้มเรียน จะได้นั่งเรียนด้วยกันทุกวัน แต่ตอนนี้บอยต้องนั่งทนดูมันจีบส้มทุกวันแทน”

ผมอดนึกในใจไม่ได้ว่าทำไมเรื่องของบอยกับส้มมันจึงเหมือนกับละครทีวีนัก มันโคตรเน่าสิ้นดีเลย คราวนี้บอยคงรู้แล้วสิว่ารสชาติของการถูกทอดทิ้งนั้นเป็นอย่างไร

พอบอยเริ่มเล่าออกมาบ้าง มันก็เหมือนกับทำนบกั้นน้ำที่เริ่มมีรูรั่ว เริ่มจากรูเล็กๆ หลังจากนั้นรอยแตกก็ขยายใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับบอย หลังจากนั้นบอยก็พรั่งพรูความอึดอัดคับใจออกมาราวกับทำนบทลาย

“บอย พี่ว่าพรุ่งนี้เรามาเจอกันหลังเลิกเรียนดีไหม จะได้มีเวลานั่งคุยกันได้เยอะหน่อย” ผมพูดหลังจากที่คุยกับบอยมานานพอสมควรแล้วจนคนที่มาต่อคิวรอโทรศัพท์ต้องเคาะตู้โทรศัพท์เพื่อเร่งผม “พี่จะรอที่โรงอาหารนะ”

- - -

เช้าวันต่อมา...

วันนี้ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนเลย ในใจมัวแต่คิดถึงเรื่องที่บอยโทรมาคุยเมื่อคืน มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ทั้งตื่นเต้นดีใจ ทั้งอบอุ่น และทั้งกระอักกระอ่วนใจ ระคนคละเคล้ากัน และเย็นวันนี้ผมก็จะได้พบกับบอยอีกครั้งหลังจากที่เราไม่ได้ติดต่อกันมานานพอสมควรแล้ว

ผมนั่งเหม่อลอย สายตามองกระดานดำแต่ทว่าใจกลับล่องลอยไปที่ไหนก็ไม่รู้ เสียงที่อาจารย์บรรยายกลับคล้ายสายลมที่โชยพัดผ่านสองหูของผม

ทันใดนั้นหางตาด้านซ้ายของผมก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติบางอย่าง มันมีการเคลื่อนไหวเล็กๆที่แทบไม่เป็นที่สังเกตแต่ทว่าผมสามารถรู้สึกได้

ผมเบือนหน้าไปเล็กน้อยเพื่อให้เหลือบตาดูได้ถนัดขึ้น ความเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นที่ใต้โต๊ะของนนและแมน สองจอมมารดำขาว ไอ้แมนกำลังใช้มือเคล้นคลึงเป้ากางเกงของนนอยู่อย่างช้าๆและเงียบเชียบ ขณะเดียวกันนนก็กำลังเคล้นคลึงที่เป้ากางเกงของแมนเช่นเดียวกัน มันแนบเนียนมากจนแม้แต่ไอ้กี้ที่นั่งติดกันทางอีกด้านหนึ่งก็ไม่ได้สังเกต ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมจึงสังเกตเห็นได้

แมนค่อยๆเอามือรูดซิปกางเกงของนนลง จากนั้นเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงนักเรียนสีดำของนน นนหยุดมือที่คลึงอยู่ที่เป้ากางเกงของแมน เหลือเพียงกุมเอาไว้เฉยๆ ปล่อยให้แมนเล่นอยู่ในกางเกงของมันเพียงฝ่ายเดียว ขาของนนเหยียดเกร็ง... ผมเริ่มคิดถึงบอยขึ้นมาอีก นึกถึงตอนที่ได้กอดบอยโดยบังเอิญและตอนที่เล่นปล้ำกับบอย อารมณ์ของผมเริ่มปั่นป่วนและท้องน้อยรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา...

ออดดดดด...

เสียงออดบอกเวลาสิ้นสุดคาบเรียนดังขึ้น นนและแมนรีบถอนมือออกจากเป้าเกางเกงของอีกฝ่ายหนึ่ง ผมรีบเบือนสายตาไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเห็นผมชายตาดูมันหรือไม่

หลังจากที่เริ่มคาบเรียนใหม่ วิชาถัดมาเป็นวิชาสังคมศึกษา อาจารย์ผู้สอนเข้ามาพร้อมกับหอบหนังสือและเอกสารมาปึกหนึ่ง

“ครูตรวจรายงานของพวกเธอไปบ้างแล้วนะ แต่ว่ายังไม่เสร็จ” อาจารย์พูดขึ้นมา “แต่ครูเจอรายงานที่แปลกประหลาด ๒ ฉบับ ครูสอนหนังสือมาหลายปีเพิ่งจะเจอรายงานแบบนี้เป็นครั้งแรก ไหน ขอดูหน้าเชาวน์กับ ... หน่อย”

อาจารย์พูดชื่อไอ้เฉาและผมขึ้นมา เพื่อนๆในห้องมองมาที่เราสองคน ผมเองก็มองไปที่ไอ้เฉา เห็นมันอมยิ้ม ทำสีหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อน

อาจารย์หยิบรายงานที่เย็บเล่มเข้าปกเรียบร้อยสองเล่มขึ้นมาชู พลางพลิกเนื้อในออกโชว์ให้นักเรียนทั้งชั้นดู

“ดูซิ ทำเข้าไปได้ ครูบอกให้ไปทำรายงาน สองคนนี่ไปถ่ายเอกสารมาจากหนังสือแล้วเข้าเล่มส่ง” อาจารย์พูดเสียงดัง “ถ่ายเอกสารมาทั้งดุ้น มีแต่ปกเท่านั้นที่ไม่ได้ถ่ายเอกสารมา ม.๕ ทั้งชั้นมีแต่เธอสองคนที่ทำแบบนี้ แสดงว่าปรึกษากันมาใช่มั้ย เธอสองคนคิดยังไงถึงได้ทำแบบนี้”

“รายงานพวกนี้คนอื่นเค้าก็ลอกกันมาครับอาจารย์” ไอ้เชาวน์ลุกขึ้นมาโต้กับอาจารย์ “ลอกหนังสือมาบ้าง ลอกกันเองบ้าง ต่างกันแค่พวกนี้เอามาพิมพ์หรือเขียนใหม่ อาจารย์ตรวจรายงานก็คงทราบเพราะว่าเรื่องมันก็ซ้ำๆกัน แสดงว่าลอกกันมา แล้วจะไปพิมพ์ไปเขียนทำไมให้เปลืองเงินเปลืองเวลาครับ เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบดีกว่า”

อาจารย์ถึงกับนิ่งไปเมื่อถูกไอ้เชาวน์ย้อน ในยุคนั้นนักเรียนก็เริ่มกล้าที่จะโต้แย้งความคิดเห็นกับอาจารย์แล้ว อีกทั้งท่าทีของเชาวน์สุภาพเรียบร้อย ไม่มีลักษณะของการตีรวนกวนประสาท แต่ว่าแรงอยู่ในเนื้อหา

“ครูอยากจะช่วยพวกเธอนะ นี่เป็นคะแนนเก็บ ใครที่พยายามทำมาครูก็ให้คะแนน ขอให้ครูแค่เห็นความพยายามบ้างครูก็ให้คะแนนแล้ว แต่เธอทำอย่างนี้แล้วครูจะให้คะแนนได้ยังไง ความพยายามก็ไม่เห็น” เสียงของอาจารย์ที่ดังก็เริ่มลดระดับลง

“พวกที่เขียนรายงานส่งต้องใช้ความพยายามจริงครับอาจารย์ แต่พวกที่พิมพ์ส่งน่ะบางคนก็ไม่ได้พิมพ์เอง ไปจ้างพิมพ์มา มันก็ไม่ได้แสดงความพยายามอะไร ไม่ได้ต่างจากที่ผมถ่ายเอกสารส่งเลย แค่พวกนั้นจ่ายเงินมากกว่าเพราะเสียค่าจ้างพิมพ์ด้วย” เชาวน์แย้งอีก จากนั้นพูดเสริม “อาจารย์ให้คะแนนผมเท่ากับพวกที่ลอกแล้วพิมพ์ส่งก็ได้ครับ”

ผมฟังแล้วรู้สึกหนาวๆร้อนๆ นึกไม่ถึงว่าไอ้เฉาจะกล้าโต้แย้งกับอาจารย์ถึงขนาดนี้ ตอนที่มันบอกวิธีทำรายงานส่งให้แก่ผมมันเพียงแค่บอกว่ามีอะไรมันจะช่วยพูดออกหน้าให้เอง แต่นึกไม่ถึงว่าการพูดของมันหมายถึงการโต้แย้งกับอาจารย์เช่นนี้ แต่ก็เรียกได้ว่าไอ้เฉาเป็นนักเรียนที่ทั้งฉลาดและมีหัวก้าวหน้า มันสามารถโต้แย้งกับอาจารย์ได้อย่างมีเหตุผลดีทีเดียว

“แล้วเธอล่ะ” อาจารย์หันมาทางผม “คิดแบบเดียวกับนายเชาวน์เค้าหรือไง ถึงได้ส่งรายงานมาแบบเดียวกัน”

“คือ... เอ่อ... ผมทำรายงานไม่ทันครับ ผมคิดว่าทำแบบนี้คงดีกว่าไม่มีอะไรส่ง” ผมตอบไปตามตรง

หลังจากที่โต้คารมกันอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดอาจารย์ก็รับฟังความคิดเห็นของไอ้เฉา แต่ก็ตัดสินให้รายงานของไอ้เฉาและผมเอาไข่ไปกิน คือได้ ๐ คะแนน ซึ่งไอ้เฉาไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ส่วนอาจารย์เองก็เห็นใจและให้ความเป็นกันเองกับนักเรียนและรู้ดีว่านักเรียน ม.๕ จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้หวังจบการศึกษาในระบบโรงเรียน จึงพยายามประนีประนอมเพื่อดึงนักเรียนไม่ให้ทิ้งห้องเรียนมากยิ่งไปกว่านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงโทษอะไรกับรายงานฉบับพิสดารนี้เพียงแต่ไม่ให้คะแนนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี กรณีของเราก็ได้เลื่องลือไปทั้งระดับ ม.๕ เลยทีเดียว

- - -

ตอนเย็น...

หลังจากที่เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมายในวันนั้น ในที่สุดคาบเรียนสุดท้ายก็ผ่านพ้นไป ผมรีบเก็บเป้และตรงไปที่โรงอาหารทันที

ที่นั่น ผมเห็นบอยนั่งคอยอยู่แล้ว บอยนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ดูท่าทางอารมณ์ไม่แจ่มใส ส่วนผมนั้นรู้สึกแปลกๆอธิบายไม่ถูก ทั้งดีใจและทั้งลำบากใจ

“เป็นไงบอย หน้าไม่เสบยเลยนะ ไปซื้อของกินมาก่อนสิ แล้วจะได้มานั่งคุยกัน” ผมชวนบอยคุย

บอยส่ายหัว “บอยไม่อยากกินอะไร”

“งั้นพี่ไปซื้อมาให้เอง” ผมพยายามเอาใจ

หลังจากที่ผมซื้อของกินมาเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มการสนทนากัน

“ไหน มีอะไรก็ว่ามาได้เลย” ผมพูด

“บอยเซ็งอะ พี่อู” บอยบ่น หลังจากนั้นก็ปรับทุกข์เสียยาวเหยียด ผมปล่อยให้บอยระบายไปเรื่อยๆ พูดเสริมอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

“ทำยังไงถึงจะให้ส้มกลับมาดีกับบอยได้อีกล่ะพี่อู พี่อูเคยมีแฟนนี่ แนะนำบอยหน่อย” บอยพูดเสียงเครือเหมือนกับจะร้องไห้ ดูท่าบอยจะจริงจังกับเด็กสาวคนนี้มากทั้งๆที่รู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ

ผมรู้สึกสะท้อนใจวูบขึ้นมา ผมกลับต้องรับหน้าที่ช่วยให้คนอื่นมายึดครองหัวใจของบอยแทนตัวผมเอง ตกลงผมเป็นตัวอะไรกันแน่ คงเป็นตัวตลกมั้ง เป็นตลกที่เล่นในฉากเอาถาดตีหัวอย่างที่นิยมกันในยุคนั้นที่เรียกกันว่าตลกเจ็บตัว... ตัวเองยอมเจ็บเพื่อให้คนอื่นเป็นสุขใจ...

“แล้วนายคิดว่านายทำอะไรให้ดีพอหรือสู้ไอ้หมอนั่นไม่ได้ตรงไหนล่ะ” ผมถาม หัวใจรู้สึกมีรสขื่นอย่างไรก็ไม่รู้

“มันเอาใจเก่งฮะ” บอยตอบ “ส้มชอบบอกว่าบอยเอาใจไม่เป็น แต่บอยก็พยายามนะพี่อู”

ก็แน่ละสิ บอยมันชอบให้คนอื่นเอาใจ แล้วตัวมันจะไปเอาใจคนอื่นเก่งได้อย่างไร

ผมพยายามแนะนำวิธีเอาใจสาวให้แก่บอยไปด้วยหัวใจที่ข่มขื่น ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เป็นวิธีที่ผมใช้เอาใจบอยนั่นเอง เราคุยกันอยู่นาน หลังจากที่บอยได้ระบายออกมาแล้วดูบอยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่หัวใจของผมนี่สิกลับรู้สึกบอบช้ำหนักยิ่งกว่าเก่า

“พี่ถามอะไรนายอย่างหนึ่งดิ” ผมถามบอยในช่วงท้ายของการพบกันในวันนั้น

“อะไรฮะ” บอยอยากรู้ น้ำเสียงเริ่มสดชื่นขึ้น

“ระหว่างคนที่นายชอบแต่เค้าอาจจะไม่ได้ชอบนายเท่าไร” ผมพูดแล้วหยุดไปนิดหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วในที่สุดก็กัดฟันพูดต่อให้จบ “กับคนที่แอบชอบนายแล้วทำดีกับนายอยู่ทุกเมื่อ ถ้านายได้รู้ความจริงว่าเค้าชอบนาย... แล้วนายคิดจะเลือกใคร”




<ห้องสมุดประชาชนภายในสวนลุมพินีที่ผมเคยไปนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นอาคารชั้นเดียว ค่อนข้างเก่า ภายในไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ เมื่อนั่งดูหนังสืออยู่ภายในห้องสมุดสามารถเห็นทิวทัศน์ของสวนสาธารณะและบึงน้ำอันงดงามได้ ปัจจุบันได้รับการตกแต่งปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยและติดเครื่องปรับอากาศ>

Wednesday, April 14, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 58

ห้าโมงสิบห้านาที

ผมมาถึงหน้าโรงหนังสกาล่าก่อนเวลานัดและรอบอยมาประมาณ ๒๐ นาทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของบอยเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นปัจจุบันก็คงเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือโทรไปถาม แต่ในเวลานั้นมีแต่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะ หากออกจากบ้านไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะตามตัวได้อย่างไร แต่เนื่องจากเทคโนโลยีในยุคนั้นก็มีได้เพียงเท่านั้นและทุกคนก็รู้สึกเคยชินกับข้อจำกัดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่าไม่สะดวกแต่อย่างใด

ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน ผมเดินพล่านอยู่หน้าโรงหนังด้วยความกระวนกระวายใจ บอยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน มันเป็นอะไรของมันไปนะ

หกโมงเย็น...

ฝนเดือนมิถุนายนปรอยลงมา ผมรออยู่ที่หน้าโรงหนังมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกหมดหวัง ที่จริงบอยก็บอกยกเลิกนัดกับผมไปแล้ว ผมไม่ควรมารอเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็อดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่าผมมีความสำคัญในใจของบอยมาก ทิษฐิทำให้ผมอยากท้าพิสูจน์ความจริงในข้อนี้ขึ้นมา...

ฝนตกอยู่ ไม่แน่ว่าไอ้บอยอาจจะกำลังมาแต่ว่าติดฝน รออีกนิดเถอะน่า ผมยังอดเหลือความหวังใยหนึ่งไม่ได้

หนึ่งทุ่ม...

มันเป็นสองชั่วโมงแห่งการรอคอยอันยาวนานและแสนทรมาน ภายในสองชั่วโมงนี้ความรู้สึกต่างๆประดังกันเข้ามาจนอารมณ์ของผมสับสนไปหมด ท้องฟ้ายามค่ำมืดครึ้มเช่นเดียวกับจิตใจที่หม่นทึมของผม ในที่สุดผมก็ต้องยอมรับความจริงและตัดสินใจกลับหอพัก

- - -

หลังจากที่กลับถึงหอพัก ผมรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก พยายามจะดูหนังสือแต่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง ในใจคิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งขุ่นเคือง ทั้งน้อยใจ ไม่รู้ว่าความรู้สึกอะไรมากกว่ากัน ในที่สุด ผมก็อดรนทนไม่ไหว ในตอนดึกของคืนวันนั้นผมจึงออกมาโทรศัพท์หาบอยเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง

“ฮัลโหล” เสียงบอยรับสาย

“บอย นี่พี่เอง” ผมพูด รู้สึกตื่นเต้นอย่างไรก็ไม่รู้ พยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่และทำน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุดเนื่องจากผมเป็นรุ่นพี่ จึงไม่อยากใช้อารมณ์กับบอย

“เอ้อ พี่อู” บอยพูดแล้วหยุดไปชั่วครู่ “ขอโทษนะพี่อู...”

“วันนี้พี่ไปรอนายตั้งสองชั่วโมง” ผมพูด

“อ้าว” น้ำเสียงของบอยแสดงความแปลกใจ “ก็บอยบอกพี่อูแล้วนี่ว่าบอยไปไม่ได้ พี่อูไปรอบอยทำไม”

“ก็พี่... พี่... เอ้อ...” นั่นสินะ ผมไปรอทำไมกัน “ก็พี่บอกนายแล้วไงว่าพี่ไม่ได้เลิกนัดด้วย”

“บอยนึกว่าพี่อูพูดเล่น ไม่น่าไปรอบอยให้เสียเวลาเลย” ได้ยินบอยตอบ จากนั้นก็เงียบไป ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคิดอย่างนั้นจริงๆหรือว่าพยายามเฉไฉ

“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นบอย นายนัดกับใคร มันสำคัญยังไงจนนายถึงกับต้องเลิกนัดกับพี่ทั้งๆที่เรานัดกันก่อน” ผมพยายามถามเหตุผลจากบอย

“เอ้อ...” บอยอึกอัก “บอยนัดเพื่อนเอาไว้อะ มันเป็นนัดสำคัญ... บอยก็เลย... ก็เลย...”

บอยพยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามว่านัดกับใครกันแน่ ส่วนผมเองนั้นเมื่อเห็นบอยอึดอัดก็ไม่อยากซักให้เกินไปเลย ดังนั้นในที่สุดหลังจากที่คุยกันอยู่นานผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น

- - -

“พี่อู หายโกรธบอยหรือยัง” บอยโทรศัพท์มาถามผมในคืนวันต่อมา ผมรู้สึกดีใจเพราะอย่างน้อยบอยก็ห่วงใยความรู้สึกของผมอยู่บ้าง

“ก็เรื่อยๆ” ผมตอบเฉไฉเนื่องจากไม่รู้จะตอบคำถามของบอยอย่างไรดี จะบอกว่ายังโกรธอยู่ก็ไม่เชิง จะบอกว่าไม่โกรธแล้วก็ไม่ใช่ มันเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก

“อย่าโกรธบอยเลยนะ เป็นพี่ต้องให้อภัยน้องดิ” บอยอ้อนด้วยคำหวาน

พี่ไม่อยากเป็นพี่ชายแล้วล่ะบอย ขอให้พี่เป็นอย่างอื่นในใจของนายได้ไหม ผมคิดในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป

“ก็คงต้องยังงั้นแหละ ถึงยังไงพี่ก็โกรธนายได้ไม่นานหรอก” ผมตอบ “ต้องยอมนายวันยังค่ำแหละ”

“ฮิฮิ มันต้องยังงั้นสิ” บอยพูดด้วยความดีใจ

แต่เรื่องหนึ่งที่บอยไม่เคยเอ่ยถึงเลยนั่นก็คือเมื่อไรจะนัดกับผมใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เองเป็นเรื่องที่ทำให้ผมยังคาใจกับบอยอยู่

หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับบอยอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นการโทรหาหรือว่าไปหาที่สหกรณ์ดังเช่นปกติ ผมต้องการแสดงปฏิกิริยาให้บอยรู้ว่าความสัมพันธ์ของเรายังไม่กลับมาเหมือนเดิมนัก ผมจะรอให้บอยเป็นคนออกปากเรื่องการนัดครั้งใหม่ออกมาเอง อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะพยายามรักษาน้ำใจและชดเชยอะไรให้แก่ผมบ้างหรือไม่

เวลาผ่านไปอีกสองสัปดาห์ มันเป็นสองสัปดาห์ที่แสนจะเป็นทุกข์สำหรับผม ปกติผมจะได้เห็นหน้าและได้คุยทักทายกับบอยเสมอที่โรงเรียน เมื่อใดที่ไปที่สหกรณ์ผมก็มักจะได้พบหน้าเด็กอารมณ์ดีแต่กวนโอ๊ยคนนี้ แต่ตอนนี้ผมต้องหักห้ามใจตนเองไม่ให้ติดต่อกับมัน เวลาสองสัปดาห์ที่ผมไม่พบหน้าบอยมันเหมือนกับว่ามีอะไรที่สำคัญบางอย่างหายไปจากชีวิต

สำหรับเรื่องการดูหนังสือของผมนั้นไม่ต้องพูดถึง ผมเรียนและดูหนังสือแทบไม่รู้เรื่องเอาเลย ตอนพักผมแทบไม่ได้ไปที่ไหน มานั่งจ่อมอยู่ในห้องเรียนเพื่อรอบอยด้วยความหวังว่าบอยอาจแวะมาหาผมที่ห้องบ้าง ส่วนในเวลาเรียนนั้นก็นั่งเหม่อลอยนึกถึงแต่ไอ้บอย ตกเย็นก็นั่งรออยู่ที่ห้องสักพัก จากนั้นก็รีบกลับหอไปและนั่งรอโทรศัพท์จากบอยอยู่จนดึก

สองสัปดาห์ผ่านไปกับการรอคอยด้วยหัวใจที่เป็นทุกข์ บอยไม่เคยแวะมาหาหรือว่าโทรมาหาผมเลย การเฝ้ารอจนไม่เป็นอันทำอะไรของผมกลายเป็นความเสียเปล่า และความหวังที่จะได้รับการชดเชยด้านความรู้สึกจากบอยก็กลายเป็นเพียงเรื่องลมๆแล้งๆ

ในที่สุดผมเองเป็นฝ่ายที่อดรนทนไม่ได้จึงไปที่สหกรณ์ในเช้าวันหนึ่ง

“บอยไม่อยู่อะพี่” รุ่นน้อง ม.๔ ตัวแสบทักผมด้วยสีหน้าแปลกๆ คล้ายๆแอบยิ้มแบบรู้ทัน ทำให้ผมอยากเตะมันยิ่งนัก “มันไม่ได้ขึ้นมาทำงานเป็นอาทิตย์แล้ว”

“บอยมันหายไปไหนล่ะ ไม่สบายเหรอ” ผมทำเนียนเป็นไม่รู้เรื่องไอ้บอยมากนัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเชื่อหรือเปล่า

“เดี่ยวนี้มันติดหญิงแล้วพี่” น้อง ม.๔ พูด “นึกไม่ถึงเลยว่าไอ้นี่แม่งหน้าหม้อตั้งแต่เด็ก”

ผมอึ้ง ที่จริงก็เป็นเรื่องที่ผมระแวงอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผมพยายามไม่ไปคิดถึงมัน พอมีคนมายืนยันก็ยังอดรู้สึกใจหายไม่ได้

“เอ็งพูดจริงหรือพูดเล่นวะเนี่ย ไอ้บอยมันเพิ่ง ม.๓ เอง” ผมพูด

“พูดจริงดิพี่ ก็ไอ้บอยมันเอามาเล่าเอง ชื่อส้ม เด็กมาแตร์ เล่นของนอกเสียด้วย” ไอ้ตัวแสบเล่ารายละเอียดพร้อมทั้งอดวิจารณ์ไปด้วยไม่ได้ “ไปกวดวิชาแล้วก็เลยติดหญิง ตอนนี้มันเอาแต่ไปเฝ้าเด็กของมันนั่นแหละ มันบอกว่าสวยขนาดพี่ปุ๋ยเลย”

พี่ปุ๋ยนี่ก็คือภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาลคนที่สองของไทยที่เพิ่งคว้ามงกุฏนางงามจักรวาลประจำปีนี้มาได้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับต่างตีพิมพ์เป็นข่าวใหญ่

“มันไม่ได้ขึ้นมาทำงานที่นี่แล้วทำไมเอ็งถึงได้รู้วะ” ผมหัวเราะและย้อนมันไป แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่าเสียงหัวเราะนั้นฟังดูกร่อยเสียเหลือเกิน

“ก็ผมเรียนอยู่ตึกเดียวกับมันนี่พี่ ถึงมันไม่มาที่นี่ผมก็เจอมันที่ตึกเรียน เจอหน้ามันทีไรมันก็เพ้อถึงแต่เด็กของมัน” ไอ้ตัวแสบเล่าเสียละเอียดจนผมแปลกใจเพราะว่าปกติมันไม่ใช่เด็กที่พูดมากขนาดนั้น หรือว่ามันกำลังจะพยายามจะบอกใบ้อะไรบางอย่างแก่ผม

ผมจากสหกรณ์มาด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ไม่น่าเชื่อเลยว่าความสัมพันธ์ที่ดำเนินด้วยดีมาตลอดจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เดิมทีผมเองก็ไม่กล้ามีความคาดหวังอะไรกับบอย แต่ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาท่าทีของบอยเองที่สร้างความหวังให้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ และแล้ว... มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่

มาคิดอีกที จำได้ว่าตอนที่บอยยังอยู่ชั้น ม.๒ บอยเคยถามผมถึงเรื่องแฟน พร้อมกับบอกว่าอยากจะอยู่ชั้น ม. ปลายไวๆจะได้มีแฟน ตอนนั้นผมยังคิดว่าบอยพูดเล่นเสียอีก...

- - -

“บอย นี่พี่เอง” ผมโทรหาบอยในคืนวันนั้น หลังจากที่ผมแวะไปที่สหกรณ์แล้วไม่พบมัน

“หวัดดีฮะพี่อู หูย... หายหน้าหายตาไปนานเชียว” บอยส่งเสียงทักทายอย่างอารมณ์ดี

บอย นายกำลังมีความสุข แล้วนายรู้ไหมว่าพี่เจ็บปวดขนาดไหน ผมนึกในใจ

“นายต่างหากที่หายไป” ผมแสร้งทำน้ำเสียงให้ร่าเริง “ไม่ได้เจอกันหลายวัน พรุ่งนี้ไปกินขนมที่โรงอาหารกันไหม พี่เลี้ยงเอง”

“พี่อูก็ต้องเลี้ยงอยู่แล้วแหละ” บอยหัวเราะ “แต่ว่าพรุ่งนี้บอยมีเรียนพิเศษหลังเลิกฮะ”

“งั้นมะรืนก็ได้ นายไม่ได้เรียนทุกวันนี่” ผมเสนอ

“เดี๋ยวนี้บอยเรียนทุกวันเลยพี่อู” บอยตอบ “บอยสมัครเรียนเพิ่มอีก”

“จะเรียนอะไรกันนักหนา” ผมอดบ่นไม่ได้ “เรียนพิเศษจนค่ำทุกวัน แล้ววันเสาร์ยังเรียนทั้งวันอีก มันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ”

“ไม่หรอกพี่อู เรื่องปกติ คนอื่นเค้าก็เรียนกันยังงี้” บอยตอบพลางหัวเราะ “พี่อูนี่แหละแปลก ไม่เห็นเรียนกวดวิชาที่ไหนเลย สงสัยจะขี้เกียจหนัก”

พี่ไม่ได้ขี้เกียจหรอกนะ พี่ดูหนังสือหนัก แล้วพี่ยังแบ่งเวลาดูหนังสือไปให้นายตั้งเยอะ นายเคยรู้บ้างไหม ผมตอบมันในใจ

“ไอ้เปรต ไม่ต้องมาประชด งั้นวันเสาร์ก็ได้” ผมต่อรองอีก “หลังนายเลิกเรียน”

“บอยไม่ว่างอะพี่อู” เสียงบอยตอบกลับมาในทันที

“เลิกเรียนแล้วก็ยังไม่ว่างอีกเหรอ” ผมถาม

“ฮะ” บอยตอบ เงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ “เลิกเรียนแล้วบอยก็ไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ”

ผมพยายามซักต่อแต่บอยก็พยายามหลบเลี่ยง ไม่เล่ารายละเอียดว่าเพื่อนๆเป็นใคร ผมเองในตอนนั้นก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าที่จะซักไซร้มันมากเกินไปเนื่องจากไม่ต้องการให้มันรู้สึกผิดสังเกต รวมทั้งไม่อยากให้มันอึดอัดและคิดว่าผมรุกล้ำชีวิตของมันมากจนเกินไป

- - -

ตีสองแล้ว

ผมนอนไม่หลับ จึงขึ้นไปนั่งรับลมเล่นที่ชั้นดาดฟ้า รู้สึกเคว้งอย่างไรบอกไม่ถูก อารมณ์จมอยู่ในความเจ็บปวด ความเหงาเข้าจู่โจมจนตั้งตัวไม่ทัน ผมอยากจะบอกอะไรแก่บอยหลายๆอย่างแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้บอก... ผมไม่กล้าที่จะบอก... การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะบอกความรู้สึกที่พิเศษต่อผู้ชายอีกคนหนึ่งนั้นมันช่างยากเสียจริงๆ

ผมพยายามสังเกตมาเป็นเวลานานจนค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบอยมีใจให้แก่ผม แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานทำให้ความมั่นใจของผมสูญสลายไปจนหมดสิ้น ผมต้องย้อนกลับมาตั้งต้นคิดใหม่ว่าอาจบางทีบอยไม่ได้เป็นในแบบที่ผมเป็นก็ได้

ก่อนหน้านี้ผมพยายามทำใจยอมรับในความผิดปกติของตนเอง ผมรู้ว่าผมมีความแตกต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไปคนอื่นๆ แต่การยอมรับในตัวตนของตนเองไม่ได้ช่วยอะไรให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย ผมได้แค่ยอมรับกับตนเองแต่ก็ยังต้องปกปิดคนอื่นเพราะเกรงสังคมจะรังเกียจหรือไม่ก็เห็นเป็นเรื่องขบขันแกมน่าสมเพช... คล้ายกับการดูหนังเรื่องฉันผู้ชายนะยะ... ผมต้องปกปิดแม้แต่คนที่ผมทุ่มเทหัวใจให้ ยิ่งนานผมก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ผมเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องของผมและบอยจะลงเอยเช่นไร

- - -

หลังจากนั้นผมก็ละทิษฐิ พยายามคุยดีกับบอยและชวนบอยเพื่อไปเที่ยวด้วยกันอีกหลายครั้ง แต่บอยก็ปฏิเสธผมตลอดโดยอ้างว่าไม่ว่าง ไม่ว่าง และไม่ว่าง ความเสียใจในช่วงนั้นเกินที่จะบรรยายออกมาเป็นถ้อยร้อยอักษรได้จริงๆ โลกทั้งโลกมีแต่ความเศร้าหมองสำหรับผม ผมเพิ่งจะรับรู้ถึงความทุกข์ของการรักเขาข้างเดียวก็ครั้งนี้นี่เอง

ผมปล่อยให้จิตใจจมอยู่ในความทุกข์และความเจ็บปวด หมดกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า นานเข้าพฤติกรรมเก่าๆก็กลับมาอีก ผมปล่อยทุกอย่างแม้แต่เรื่องการเรียน หนังสือก็ดูไม่ไหว อ่านอะไรก็ไม่รู้เรื่อง คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของบอย

“นักเรียน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะส่งรายงานแล้วนะ ใครส่งหลังจากนี้ครูจะไม่ให้คะแนน” อาจารย์วิชาสังคมศึกษาประกาศในชั้นเรียน อาจารย์ได้สั่งให้ทำรายงานเดี่ยวเกี่ยวกับประเทศที่ยากจนหรือว่าประเทศในโลกที่สามโดยนักเรียนแต่ละคนไปเลือกประเทศกันเอาเอง ซึ่งผมยังไม่ได้ทำเลยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ คะแนนเก็บนิดเดียว สั่งให้ทำเยอะแยะ ไม่คุ้มเลย เสียเวลาดูหนังสือเอนทรานซ์หมด” ไอ้เฉาบ่นดังๆหลังจากที่หมดคาบและอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้ว

“ทำไมมึงไม่พูดตั้งแต่เมื่อกี้วะ” ไอ้นน จอมมารดำ อดกัดไม่ได้

“เสือก กูอยากจะพูดตอนนี้มีอะไรมั้ย” ไอ้เฉาตอกกลับ “รายงานเสียเวลาแบบนี้กูไม่ทำหรอก”

“อ้อ หมายความว่ามึงจะไม่ส่งรายงาน” นนย้อนถามด้วยน้ำเสียงท้าทาย

“ส่งดิ ไม่ทำก็มีส่งได้โว้ย มึงคอยดูก็แล้วกัน” ไอ้เฉาพูดทิ้งท้ายเป็นปริศนา

ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่านักเรียนที่หมายมั่นปั้นมือกับการสอบเทียบมักไม่ค่อยสนใจการเรียนในห้องเรียน เรื่องการบ้าน รายงานนั้นทำพอเป็นพิธี แต่สำหรับผมนั้นปกติผมก็ตั้งใจทำอยู่ แต่ช่วงนี้พอมีปัญหาเรื่องบอยเข้ามาผมก็ทิ้งทุกอย่าง รายงานชิ้นนี้ผมจึงยังไม่ได้ทำเลยแม้แต่น้อย

“ไอ้เฉา พรุ่งนี้มึงจะเอาอะไรส่งรายงานวะ” ผมเลียบเคียงถามเฉาหลังจากที่เลิกเรียนไปแล้วและนักเรียนพากันแยกย้ายกลับบ้าน

“กูมีละกัน” เฉาพูดเป็นปริศนา

“บอกหน่อยดิ กูจะได้ทำมั่ง กูก็ไม่มีอะไรจะส่ง” ผมพูดกับมันตามตรง

ไอ้เฉามองหน้าผมด้วยความแปลกใจแล้วหัวเราะ

“บอกน่ะบอกได้ ว่าแต่มึงกล้าทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ” เฉาพูด “กูเห็นช่วงหลังมึงแม่งทำตัวเด็กดีฉิบหาย ทำไมกลับมาชั่วอีกแล้ววะ”

คำถามจี้ใจดำของมันทำให้ผมถึงกับอึ้ง

“ลองบอกมาดิ ตอนนี้กูก็จวนตัวแล้ว ถ้าทำได้กูก็ทำ” ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถาม

ไอ้เฉาจึงบอกวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในยามจวนตัวที่มันจะใช้ให้ผมฟัง

“เฮ่ย จะดีหรือวะ” ผมชักลังเลหลังจากได้ฟังวิธีการ

“ก็ตามใจมึงดิ แต่กูจะเอายังงี้แหละ ดีกว่าไม่มีอะไรส่ง ได้สักสองคะแนนค่าหมึกก็ยังดี มึงอย่าทำประเทศเดียวกับกูละกัน น่าเกลียดไปหน่อย” ไอ้เฉากำชับ

“มันมีอะไรที่น่าเกลียดไปกว่านี้อีกหรือวะเนี่ย” ผมหัวเราะ “ขอบใจนะ กูคงทำอย่างที่มึงบอกนั่นแหละ เดี๋ยวจะรีบไปห้องสมุดก่อน”

Tuesday, April 6, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 57

พักเที่ยงวันนั้นผมไปหาบอยที่สหกรณ์อีกครั้งแต่ก็ไม่พบ หลังเลิกเรียนไปหาก็ยังไม่พบ เมื่อแวะไปดูที่ห้องเรียนก็ไม่พบอีก

การหายตัวไปอย่างลึกลับของบอยทำให้ผมไม่สบายใจ กังวลว่าบอยอาจไม่สบายหรือมีปัญหาอะไรสักอย่าง มันก็แปลกที่เมื่อก่อนหน้านี้เวลาที่ผมไม่ได้เจอกับบอยหลายๆวันยังหรือบางทีมาหาแล้วไม่พบก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอมาในระยะหลังพอมีอะไรนิดหน่อยก็รู้สึกห่วงใยกังวลขึ้นมา

ตอนหัวค่ำ หลังจากกลับมาที่หอพักแล้วผมก็รีบโทรหาบอยทันที

สายไม่ว่างแฮะ

เนื่องจากตู้โทรศัพท์สาธารณะมีคนต่อคิวรอโทรอยู่ เมื่อผมต่อโทรศัพท์อยู่สักครู่ก็ต้องออกมาต่อคิวใหม่อีกครั้งเนื่องจากเกรงใจคนข้างหลัง ผมวนเวียนอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่สายที่บ้านของบอยก็ไม่ว่างอยู่ตลอด จนในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เดินกลับเข้าหอพัก คิดว่าดึกๆอาจจะลองมาโทรดูอีกสักรอบ

“น้องอู เมื่อกี้แม่โทรมาตั้งหลายครั้งแน่ะ” เสียงพี่พรทักเมื่อผมเดินกลับเข้าไปในหอพัก “คุณแม่สั่งเอาไว้ว่าให้โทรกลับ”

หมู่นี้ผมมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเรียนและไอ้บอยจนไม่ค่อยได้โทรกลับบ้าน นี่ถ้าแม่ไม่โทรมาผมคงยังไม่ได้คิดที่จะโทรกลับบ้าน ผมถอนหายใจ ตั้งแต่กลับมาก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการโทรศัพท์จนยังไม่ได้ดูหนังสือเลย ผมเดินขึ้นไปหยิบเหรียญที่ห้องและไปที่ตู้โทรศัพท์ใกล้ๆหอพักอีกครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล แม่ นี่อูเอง แม่เป็นไงบ้าง” ผมเอ่ยทักทายเมื่อแม่รับสาย

“จะให้เป็นยังไง ก็เป็นห่วงอูน่ะสิ เงียบหายไปเป็นอาทิตย์เลย นี่ถ้าแม่ไม่โทรมาอูคิดจะโทรมาคุยกับแม่บ้างไหม” แม่บ่น

“โทรสิแม่ ใครจะลืมกระเป๋าเงินได้ลง พอปลายเดือนอูก็ต้องนึกถึงแม่นั่นแหละ” ผมสตรอเบอร์รี่

“ยังจะมาทะเล้นอีก” แม่หัวเราะ “ทำไมหิวเงินยังงี้นะ”

“แม่สบายดีหรือเปล่า แล้วป๊าเป็นไงบ้าง” ผมถาม

“ป๊าก็เรื่อยๆแหละ” แม่ตอบ “แต่แม่นี่สิ ตรงต้นคอมันบวมๆ ไม่รู้ไปโดนอะไรมา”

“ตรงไหนของต้นคอล่ะแม่” ผมถาม

“ใต้คางน่ะ วันก่อนแม่เอาสร้อยออกมาใส่สองสามวัน ไม่รู้ว่าล็อกเก็ตมันทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือเปล่า ดูมันบวมๆตรงตำแหน่งที่ห้อยล็อกเก็ต” แม่อธิบาย “แต่ถ้าแพ้มันก็น่าจะคันนะ นี่ก็ไม่คัน ทายาหม่องตั้งหลายวันแล้วก็ไม่ยุบ แต่มันก็บวมไม่มาก อีกสักวันสองวันน่าจะยุบ”

แม่พูดเองเออเอง สำหรับแม่แล้วยาหม่องคือยาวิเศษ ไม่ว่าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับผิวหนัง ฟกช้ำดำเขียว ผื่นคัน รวมทั้งอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้องทายาหม่องไว้ก่อน ผมคุยกับแม่สักพัก ส่วนใหญ่จะเป็นแม่คุยเสียมากกว่า ที่จริงก็ไม่ได้เรียกว่าคุยหรอก คงเป็นการบ่นผมเสียมากกว่า ผมฟังจนหูชา

“แม่ๆๆ ถ้าแม่บ่นต่ออีกอูคงต้องไปหาหมอแล้วล่ะ” ผมบอกแม่

“ไปหาทำไม” แม่สงสัย

“ก็หูคงอักเสบเป็นน้ำหนวกอะ” ผมตอบ “เหรียญจะหมดแล้วด้วย”

“ไม่บ่นก็ได้ แล้วรู้จักโทรมาคุยบ้างนะ จะได้รู้ว่าอูสบายดี แม่กับป๊าจะได้ไม่เป็นห่วง” แม่กำชับก่อนที่จะวางสายไป

หลังจากวางสายของแม่ ผมโทรกลับไปหาบอยอีก แต่สายก็ยังไม่ว่าง ผมเห็นว่าเลยเวลาดูหนังสือไปมากแล้วจึงได้กลับขึ้นห้องไปและไม่ได้ลงมาโทรหาบอยอีกเลยในคืนนั้น

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมไปหาบอยที่ห้องเรียน เมื่อไม่เห็นเป้ที่เก้าอี้ของมันอันแสดงว่ามันยังไม่มา ผมไปดักรอบอยที่บันไดทางขึ้นตึกเรียนของมัน วิธีนี้มีโอกาสไม่พบอยู่เหมือนกันเนื่องจากตึกมีบันไดทางขึ้นถึงสามทาง แต่เป็นวิธีที่ไม่เอิกเกริกเหมือนกับการไปที่สหกรณ์หรือการรออยู่ที่หน้าห้องเรียน ผมเลือกรอบันไดด้านที่มันน่าจะใช้เดินขึ้นตึกมากที่สุด

รออยู่สักพัก บอยก็เดินผิวปากมาที่บันไดทางด้านนี้ตามคาด ท่าทางของบอยร่าเริงมาก มันทักทายเพื่อนมาตลอดทาง

“เฮ้ย น้องส้มของมึงเป็นไงบ้างไอ้บอย” เพื่อนคนหนึ่งทักบอย อีกหลายคนฮากันครืน

น้องส้มนี่มันใครกันวะ ผมนึกสงสัยตงิดๆอยู่ในใจ แต่ก็คิดไปว่าวัยรุ่นสมัยนี้มันอำกันเก่ง น้องส้มอาจเป็นเรื่องอำอะไรกันสักอย่างในหมู่เพื่อนฝูงของบอยก็ได้ ผมรีบเดินไปหามันทันที

“อ้าว พี่อู” บอยทัก ทำหน้างงๆเมื่อเห็นผม “ทำไมมาอยู่แถวนี้ล่ะ”

“ก็มาหานายนั่นแหละ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งจนแม้แต่ผมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมจู่ๆผมก็มีอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมา ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุดเพราะมีเพื่อนๆของบอยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย “อยากคุยกับนาย ไปหาที่คุยกันหน่อย”

เราสองคนเดินไปที่ม้าหินหลังตึก เมื่อปลอดคน ผมก็ตั้งคำถามใส่บอยทันที “เมื่อวานนายหายไปไหนมา”

“บอยไม่ได้หายไปไหนนี่ ก็มาเรียนปกติ” บอยทำสีหน้าไม่ดีเมื่อเห็นอาการของผม “พี่อูเป็นไรอะ”

“พี่ไปหานายที่สหกรณ์ พวก ม.๔ มันบอกว่านายเบี้ยวเวร พี่ไปหานายตั้งหลายหนนายก็ไม่ไปที่สหกรณ์เลย เมื่อคืนโทรหานายเป็นชั่วโมงก็โทรไม่ติด สายไม่ว่างตลอด” ผมพรั่งพรูคำพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

“เมื่อวานบอยมาสายฮะ” บอยตอบอ้อมแอ้ม “ไม่รู้นี่ว่าพี่อูจะไปหา”

“แล้วกลางคืนล่ะ” ผมยังไม่หายคาใจ “โทรศัพท์เสียเหรอ”

“ไม่เสียฮะพี่อู บอยใช้เองแหละ เพื่อนมันทำการบ้านไม่ได้แล้วโทรมาหาบอย บอยก็เลยสอนการบ้านมัน เลยคุยกันยาว” บอยอธิบาย แล้วถามผมว่า “ทำไมพี่อูต้องโกรธด้วยล่ะ ไม่เห็นมีอะไรต้องโกรธเลย”

ผมนิ่งไป นั่นสินะ ผมโกรธมันหรือ ทำไมผมต้องโกรธมันด้วยก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พี่เป็นห่วงนายน่ะ นึกว่าไม่สบายไป” ผมผ่อนเสียงให้นุ่มนวลลง “ติดต่อนายไม่ได้พี่เลยกังวล กลัวว่านายไม่สบายแล้วไม่มีใครดูแล”

เฮ้ย พูดออกไปได้ยังไงวะเนี่ย ผมนึกในใจ แต่ก็หลุดปากออกไปแล้ว

“บอยไม่เป็นไรหรอกพี่อู บอยสบายดี” บอยพูด “แต่วันนี้คงไม่ได้ขึ้นไปสหกรณ์ เลิกแล้วต้องรีบไปเรียนพิเศษ”

“อ้าว เหรอ” ผมพูดด้วยความผิดหวัง คำพูดที่ตั้งใจจะนัดบอยที่โรงอาหารเย็นนี้ต้องถูกยั้งเอาไว้ที่ริมฝีปาก “ไม่เป็นไร รู้ว่านายไม่ได้เป็นอะไรพี่ก็ไม่ห่วงแล้ว งั้นพี่ไปล่ะ ใกล้เข้าห้องเรียนแล้ว”

ผมหันกายและเดินจากบอยไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็ชะงักเท้าเอาไว้และหันกลับไปอีก

“บอย วันเสาร์ไปดูหนังกันนะ” ผมเอ่ยปากชวน

“บอยเรียนพิเศษไง” บอยเตือนความจำผม

“ตอนบ่ายหรือเย็นก็ได้ ให้นายเลิกเรียนก่อนแล้วค่อยไปดูด้วยกัน” ผมพยายามต่อรอง

“งั้นก็ได้ฮะ บอยเลิกสี่โมง” บอยตอบ

“ดีเลย งั้นเจอกันที่เก่าเวลาเดิม” ผมพูดด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส อารมณ์ที่ขุ่นมัวเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง

บอยรับคำ และหลังจากนั้นเสียงกริ่งเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น เราจึงแยกย้ายจากกัน

- - -

ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่าเพื่อนร่วมโต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ในปีนี้เป็นพวกเด็กที่เรียนปานกลางและไม่ได้สนใจเรื่องการสอบเทียบ ดังนั้นในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์โต๊ะของเราจึงมักเรียนๆเล่นๆ มีแต่เรื่องเฮฮา ช่วยกันทำงานกลุ่มเป็นอย่างดีไม่มีใครเอาเปรียบกัน และที่สำคัญคือสมาชิกในโต๊ะล้วนแต่เป็นเด็กที่ชอบดูหนังฟังเพลง ตลอดการเรียนในชั่วโมงวิทยาศาสตร์จึงคุยกันแต่เรื่องหนังและเพลง

หมู เป็นคนรูปร่างตุ้ยนุ้ย พูดจานุ่มๆ ขนาดตอนเอะอะโวยวายก็ยังรู้สึกว่านุ่มนิ่ม หมูบอกว่าชอบเรียนภาษา อยากเรียนสายศิลป์ภาษา ไม่ได้อยากเรียนสายวิทย์เลย แต่ที่บ้านอยากให้เรียนหมอจึงจำใจต้องเรียนสายวิทย์

อีกคนหนึ่งคือสิทธิ์ หมูว่านุ่มแล้วรายนี้นุ่มยิ่งกว่า รูปร่างอ้อนแอ้น เวลาเดินบิดนิดหน่อย ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจก็ต้องบอกว่าเบี่ยงเบนค่อนข้างแน่ เพื่อนๆไม่เคยเรียกสิทธิ์ แต่เรียกว่าเจ๊จู บางคนก็เรียกอีจู ถ้าจำไม่ผิดคงเอาชื่อมาจากตัวละครในหนังหรือละครในยุคนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับชื่อนี้โดยดุษณี เจ๊จูมีนิสัยเฮฮาแต่เรียบร้อย ไม่แรด จึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนๆ แต่เรื่องถูกล้อนั้นเป็นของตาย ถึงอย่างไรก็เลี่ยงไม่พ้น

อีกคนหนึ่งก็คือกรณ์ กรณ์เป็นเด็กตัวเล็ก ผิวขาว ผมหยิกหยักศก หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา ตัวจ้ำม่ำไม่แพ้หมู เป็นคนขี้เล่น ซนยังกะลิง ชอบแกล้งเพื่อน ถ้าไม่ใช่ในห้องเรียนวิทยาศาสตร์ปกติก็จะนั่งอยู่ด้านหน้าชั้น

ส่วนอีกคนหนึ่งคือไอ้จ่อย ที่จริงไม่ได้ชื่อจ่อย แต่เนื่องจากใบหน้าของมันละม้ายคล้ายไอ้จ่อยตัวการ์ตูนในการ์ตูนชุดผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน เพื่อนๆจึงเรียกมันว่าไอ้จ่อย ไอ้จ่อยนี่เป็นนักกีฬา ไม่มีรสนิยมทางด้านดูหนังฟังเพลงเลย เลิกเรียนก็รีบไปซ้อมกีฬาอย่างเดียว

ที่จริงเพื่อนในโต๊ะก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ชั้น ม.๔ ชื่อเจ๊จูก็เรียกกันมานานแล้ว แต่เนื่องจากปีที่แล้วไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนิทกันนัก แต่มาในปีนี้เรียนวิทยาศาสตร์โต๊ะเดียวกัน จึงกลับกลายมาเป็นสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น

“เฮ้ยๆๆ เสาร์นี้ไปดูหนังกันป่าว” กรณ์ สมาชิกอีกคนหนึ่งในโต๊ะชวนเพื่อนๆร่วมโต๊ะขณะที่อาจารย์กำลังหันหน้าเขียนกระดานอยู่

“เรื่องอะไรล่ะ” หมูถาม ไอ้สามคนนี้ติดหนังโรงงอมแงม มักไปดูหนังด้วยกันเสมอ เงินค่าขนมส่วนใหญ่หมดไปกับตั๋วหนังและเทปเพลง

กรณ์บอกชื่อหนังฝรั่งออกมา ซึ่งก็เป็นหนังที่ผมคิดจะไปดูกับบอยนั่นเอง แต่ผมจำชื่อไม่ได้แล้วเนื่องจากนานมากแล้วอีกทั้งช่วงนั้นดูหนังบ่อยด้วย

ไอ้สามคนนี้ชวนกันไปดูหนังในรอบเที่ยงวันเสาร์ อีกทั้งยังจะไปดูที่สยามสแควร์เช่นกัน ผมจึงปฏิเสธไปเพราะว่าเตรียมจะไปดูกับบอยในรอบเย็นวันเดียวกันนั้นนั่นเอง

- - -

คืนวันศุกร์

“เด็กชายอู รับโทรศัพท์” เสียงเรียกจากอินเตอร์คอมดังลั่นชั้นสี่ของหอพัก

ผมรีบลงไปรับโทรศัพท์ เมื่อลงไปถึงชั้นล่างก็เห็นแป๋งนั่งหน้าทะเล้นอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง ผมเดินผ่านหน้าไปไปที่เครื่องโทรศัพท์และยกหูขึ้นพูด

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่อู นี่บอยเอง” เสียงมาจากปลายสายด้านโน้น

ผมรู้สึกดีใจ กำลังคิดถึงมันอยู่พอดี แสดงว่าเราสองคนคงมีใจที่ตรงกัน บอยคงคิดถึงผมเช่นกันจึงได้โทรมา

“กำลังคิดถึงนายอยู่พอดีเลย” ผมพูดเบาๆ กลัวไอ้แป๋งจะได้ยิน

“พี่อู... เอ้อ” บอยอึกอัก

“มีอะไรเหรอ” ผมชักสังหรณ์ใจ

“พรุ่งนี้บอยไปดูหนังกับพี่อูไม่ได้แล้วล่ะ” บอยพูดอึกอัก

“ทำไมล่ะ” ผมใจหายวาบ

“ก็...” บอยอึกอัก ปกติบอยเป็นเด็กที่ช่างพูด ผมไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มันอึกอักเช่นนี้มาก่อน “บอยไม่ว่างอะ”

“โห พ่อนักธุรกิจร้อยล้าน” ผมเหน็บมันบ้าง พยายามทำตลกทั้งๆที่ใจกำลังขุ่นมัวอยู่ “ยุ่งอะไรนักเหรอ”

“บอยมีนัดกับเพื่อนอะ” บอยพูด

“นายว่าไงนะ” ผมพูดจนเกือบเป็นเสียงตะโกน “นายมีนัดกับเพื่อน แล้วนายไม่ได้มีนัดกับพี่เหรอ”

“ก็... บอยคงไปไม่ได้แล้วละพี่อู” บอยสรุปดื้อๆ ไม่มีคำธิบายหรือเหตุผลใดๆ ประกอบเลย

ผมรู้สึกโกรธมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยถ้ามันอธิบายความจำเป็นหรือบอกว่าขอเลื่อนไปเป็นวันอื่นก็ยังไม่โกรธมันเท่าไร แต่นี่... มันพูดสั้นๆแบบตัดรอนไปเลยว่าไปไม่ได้

“นายนัดพี่แล้วนะบอย ทำไมเสียคำพูดล่ะ” ผมทวงถามสัญญา

“บอยไปไม่ได้อะพี่อู” บอยยืนกราน “ขอโทษด้วยฮะ”

“ทำไมนายไม่ไปเลิกนัดกับคนอื่นแทนล่ะไม่รู้ล่ะ พี่ไม่ยอมให้นายเลิกนัด ไม่มีเหตุผลเลย” ด้วยความโกรธ ผมก็งี่เง่าไปบ้าง

“บอยไปไม่ได้จริงๆพี่อู” บอยพูดอีก

“นายพยายามหน่อยละกัน ก็บอกเพื่อนนายไปสิว่านายนัดกับพี่ไว้ก่อนแล้ว” ผมพยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ “แล้วนายโทรมาบอกพี่อีกทีก็แล้วกันว่าเป็นยังไงบ้าง”

ผมวางสายจากบอยด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เมื่อกี้พอได้ยินเรื่องของบอยก็เอาแต่โมโห แต่เมื่อวางสายไปแล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่นัดกับบอยก่อน แล้วเพื่อนของบอยคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดบอยจึงให้ความสำคัญกับมันนัก

- - -

คืนนั้นผมรอโทรศัพท์จากบอยจนไม่มีสมาธิในการดูหนังสือ แต่บอยก็ไม่โทรกลับมาอีกเลย ผมจึงเข้านอนด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว

เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์ที่เรานัดกัน บอยก็ยังไม่โทรมาอีก ครั้นผมจะให้ผมโทรไปถามบอยว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่ก็ไม่อยากทำเช่นนั้น บอยเองต่างหากที่ควรจะต้องพยายามสะสางปัญหาและโทรมาบอกผมจึงจะถูก

ผมรอจนสายด้วยใจกระวนกระวาย จะออกไปดูหนังสือที่ห้องสมุดก็ไม่กล้าออกไปเผื่อว่าบอยโทรมาแล้วจะคลาดกัน จะโทรไปหาบอยก็ไม่โทรเพราะทิษฐิอันแรงกล้า

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจออกจากหอพักในราวเที่ยงเพื่อไปดูหนังสือที่ห้องสมุด และคิดเอาไว้ว่าตอนห้าโมงเย็นจะไปรอบอยที่หน้าโรงหนังสกาล่าอันเป็นจุดนัดหมายของเราแม้ว่าบอยจะไม่โทรกลับมายืนยันอีกเลยก็ตาม

ความขุ่นใจผสมกับความกังวลที่อยู่ในใจลึกๆทำให้ผมดูหนังสือไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งวัน และการที่ดูหนังสือไม่ได้เลยนั่นยิ่งทำให้ผมเคร่งเครียดหนักยิ่งขึ้น วันนั้นทั้งวันผมต้องสูญเสียเวลาอันมีค่าไปกับอารมณ์และทิษฐิของตนเอง

เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมรู้สึกทรมานราวกับผ่านการลงทัณฑ์อันยาวนาน จนในที่สุดก็ถึงเวลาเย็น ผมกำลังจะพิสูจน์ความจริงใจของบอยได้ภายในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว ผมรีบเก็บข้าวของและเดินออกจากห้องสมุดปทุมวันข้ามฝั่งถนนไปยังโรงหนังสกาล่าทันที



<ภาพชุดนี้เป็นภาพชุดสุดท้ายที่เกี่ยวกับนิตยสารเกย์ของไทยในยุคแรก

ดังที่เคยได้กล่าวไปแล้วว่ารายได้ของนิตยสารเกย์มาจากหลายทาง ไม่ได้มาจากค่าขายนิตยสารแต่เพียงอย่างเดียว ช่องทางรายได้ทางหนึ่งก็คือการขายภาพลับ ช่องทางอื่นๆก็ได้แก่การขายวีดิโอเกย์หรือว่าหนังเอ็กซ์เกย์นั่นเอง นิตยสารเกย์ของไทยในยุคแรกนิยมนำวิดีโอของค่ายหนังฝรั่งมาขายเป็นส่วนใหญ่ ที่เห็นในภาพเป็นหน้าปกเทปของหนังเกย์เรื่อง The Idol อันเป็นหนังในยุค 1979 ซึ่งในยุคนั้นนักแสดงยังไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือที่เรียกว่าเป็นยุคพรีคอนดอม (precondom)>




<ภาพชุดนี้เป็นหน้าปกและภาพพรีวิวของหนังเกย์เรื่อง Schoolmates อันเป็นหนังในปี 1986 อันเป็นปลายยุค precondom ยุคพรีคอนดอมของหนังเกย์มาสิ้นสุดประมาณปี 1986-1987 อันเป็นช่วงที่มีการค้นพบโรคเอดส์ซึ่งมักเกิดในหมู่เกย์และผู้ติดยาเสพติด หลังจากนั้นนักแสดงในหนังเกย์ก็มักแสดงโดยใช้ถุงยางอนามัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการใช้ถุงยางอนามัยแก่ผู้ชม รวมทั้งนักแสดงเองก็คงกลัวตายเหมือนกัน>