Wednesday, April 29, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 79

เมื่อออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไป ไอ้นัยกับผมเดินออกมาจากสหกรณ์ด้วยกัน จากนั้นก็แยกกันไปเพื่อไปเข้าแถว ยังไม่ทันที่ไอ้นัยจะลับไปจากสายตา ผมก็เห็นพี่เต้เดินเข้าไปเรียกไอ้นัยเอาไว้ ใบหน้าของพี่เต้ดูเคร่งเครียด

ผมเดินกลับไปหาไอ้นัยอีกทันที เรื่องอะไรที่จะปล่อยให้ไอ้นัยกับพี่เต้คุยกันสองคน

เมื่อพี่เต้เห็นผมเดินย้อนกลับมาก็อึ้งไป

“มีอะไรอ่ะพี่เต้” ไอ้นัยถาม

“เอ้อ พี่...” พี่เต้มองมาทางผมนิดหนึ่ง คล้ายกับชั่งใจอยู่ว่าจะพูดตอนผมอยู่ด้วยดีหรือไม่ แล้วในที่สุดพี่เต้ก็ตัดสินใจพูดออกมา “อูมาก็ดีแล้ว พี่อยากคุยกับอูด้วยเหมือนกัน”

เฮอะ นี่ถ้าผมไม่เข้ามาฟังด้วย พี่เต้ยังจะพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่านะ ผมคิดในใจ

“พี่อยากคุยเรื่องเมื่อวานน่ะ” พี่เต้พูด จากนั้นนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ “คือพี่เข้าใจนะว่าวัยรุ่นก็อยากรู้อยากลอง เป็นเรื่องธรรมดา แต่จะลองอะไรก็ต้องรู้จักแยกแยะและรู้จักชั่งใจ อย่างที่เมื่อวานนัยกับอูหนีโรงเรียนไปปดูหนังโป๊กันน่ะ พี่ว่ามันจะเกินเลยไปหน่อย ถ้านัยโตกว่านี้อีกหน่อยแล้วดูพี่จะไม่ว่าเลย แต่นี่เรายังเด็กอยู่ ดูแล้วมันจะทำให้ใจแตก พี่เป็นห่วงเราสองคนรู้ไหม”

ที่จริงพี่เต้น่าจะบอกว่าห่วงไอ้นัย แต่เมื่อมีผมอยู่ด้วย คำพูดก็เลยเปลี่ยนเป็นห่วงผมไปด้วย เข้าใจพูดดีจริงๆ

ไอ้นัยก้มหน้านิ่ง รับฟังแต่โดยดี แต่ผมนั้นหมั่นไส้สุดๆ

“ทำไมพี่เต้ไม่ไปพูดกับพี่เอ้ละครับ” ผมพูดโพล่งออกมา “เพราะว่าพี่เอ้เป็นคนชวนพวกผมไป”

พี่เต้ถอนใจ ทำสีหน้าอึดอัดใจ

“อูก็เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย” พี่เอ้พูดอย่างอิดหนาระอาใจ ผมคิดว่าพี่เต้คงพยายามนับหนึ่งถึงพันเพื่อที่จะระงับใจไม่เตะผม ว่าแล้วก็หันไปพูดกับไอ้นัยต่อ “นัยรับปากพี่ได้ไหมว่าต่อไปจะไม่ไปดูหนังโป๊อีก อย่างน้อยก็รอให้ถึงม.ปลายก่อน”

พี่เต้พูดพลางมองหน้าไอ้นัยแบบคาดคั้นเอาคำตอบ พี่เต้ไม่ถามรวมผมไปด้วย คงขี้เกียจถามแล้ว

ไอ้นัยก้มหน้างุด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองพี่เต้ “ได้ครับพี่เต้”

“ต้องยังงี้สิน้องพี่ รับปากพี่แล้วนะ” พี่เต้ยิ้มอย่างพึงพอใจพลางเอามือตบบ่าไอ้นัย จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่สนใจผมอีกเลย

“ทำไมมึงชอบกวนตีนพี่เต้นักวะไอ้อู” ไอ้นัยหันมาเล่นงานผมหลังจากที่พี่เต้ไปแล้ว น้ำเสียงของมันบ่งบอกความไม่พอใจซึ่งน้อยนักที่มันจะแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมา

ผมอึ้ง นี่ผมอุตส่าห์เถียงแทนมัน ไม่ปล่อยให้พี่เต้ว่าเอาข้างเดียว เพราะที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของเราทั้งหมด พี่เอ้ก็มีส่วนด้วย แต่ผลที่ผมได้รับกลับกลายเป็นว่าทั้งพี่เต้และไอ้นัยต่างก็ไม่พอใจผม นี่มันอะไรกัน

“เออ กูผิด กูไม่เคยทำอะไรถูกสักอย่าง มึงว่ากูให้พอก็แล้วกัน” อารมณ์น้อยใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้ผมโพล่งออกไป ว่าแล้วผมก็เดินจากไปเพื่อไปเข้าแถว

- - -

วันเสาร์ถัดมา

ผลจากการทะเลาะกันในวันนั้น ทำให้ไอ้นัยกับผมมึนตึงกันอีก แม้เราจะไปและกลับด้วยกัน รวมทั้งทำงานที่สหกรณ์ด้วยกัน แต่เราก็แทบไม่ได้พูดกันเลย พูดกันเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

เมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียนเก่า ตั้งแต่เด็กจนโตเราไม่เคยทะเลาะกันเลย สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะไอ้นัยยอมผมอยู่ตลอด แต่พอย้ายมาเรียนที่นี่ เราสองเริ่มมีการทะเลาะกันบ้าง อาจจะเป็นเพราะว่าเราต่างเริ่มโตขึ้นและย่างเข้าสู่วัยรุ่นก็ได้ อารมณ์เลยร้อนขึ้น แต่ก็เคืองกันเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

แต่มาในระยะหลังนี้เราสองคนกระทบกระทั่งกันบ่อยขึ้น แต่ละครั้งมักกินเวลานาน ผมมักรู้สึกว่าระยะหลังนี้ไอ้นัยไม่ค่อยยอมอ่อนข้อให้ผมเหมือนตอนที่เรายังเป็นเด็ก การที่ไม่มีใครยอมใครทำให้เรื่องราวเลวยิ่งร้ายลง...

สยามสแควร์ในวันเสาร์กลางเดือนธันวาคมก่อนวันคริสต์มาสคลาคล่ำไปด้วยวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวและอบอวลไปด้วยบรรยากาศของคริสต์มาส ยิ่งมีศูนย์การค้ามาบุญครองซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ตั้งสมญานามให้ตัวเองว่าเมืองหินอ่อน เพราะใช้หินอ่อนประดับตกแต่งตัวอาคารเป็นจำนวนมาก มาเปิดให้บริการด้วยก็ยิ่งสร้างสีสันและบรรยากาศให้แก่สยามสแควร์ให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ห้างมาบุญครองในยุคนั้นยังเรียกว่ามาบุญครองอยู่ ไม่ได้เรียกว่าเอ็มบีเคดังเช่นในปัจจุบัน รวมทั้งรูปโฉมภายนอกก็ไม่ได้เป็นเช่นในปัจจุบันด้วย เพราะว่าผ่านการปรับปรุงครั้งใหญ่มา

หลังจากเรียนดนตรีเสร็จ เราสองคนก็มาเดินเล่นและดูสินค้ากันในมาศูนย์การค้าบุญครอง ผมและไอ้นัยต้องการเลือกซื้อของขวัญจับฉลากสำหรับงานปีใหม่ที่โรงเรียนดังเช่นที่เคยทำมา เราสองคนกลับมาอยู่ในสภาพที่น่าอึดอัด เพราะว่าไปไหนมาไหนด้วยกันแต่ไม่พูดกัน

แหล่งวัยรุ่นแห่งใหม่นี้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผมและไอ้นัยมาก เพราะว่าร้านรวงละลานตาไปหมด อากาศก็เย็นฉ่ำเพราะติดแอร์ทั้งตึก ไม่ต้องเดินตากแดดเหมือนที่เดินในสยามสแควร์ ข้าวของก็ดูน่าสนใจกว่าที่มีอยู่ในสยามเซ็นเตอร์ แต่แม้จะว่ามีร้านค้ามาก ก็ยังไม่มากเท่ากับในปัจจุบัน ไอ้นัยเพลินไปกับโซนเสื้อผ้าและกางเกงยีนที่ชั้นล่างกับชั้นสอง พอมาถึงโซนเสื้อผ้าและกางเกง ไอ้นัยก็เดินนำลิ่ว ทิ้งให้ผมเดินตามต้อยๆ แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องอึดอัด

เราไปได้ของจับฉลากจากร้านกิฟต์ช้อปที่ชั้นสอง ชื่อร้านช็อกโกแลต ตอนนั้นเป็นร้านกิฟต์ช้อปที่มีชื่อเสียงมาก เด็กวัยรุ่นเบียดเสียดกันเต็มร้าน ไอ้นัยซื้อเสื้อยืดลายสกรีนตลกๆราคาราวสามร้อยบาทเพื่อไปจับฉลาก ส่วนผมเห็นว่าเข้าท่าก็เลยเอาตามบ้าง ง่ายดีไม่ต้องเสียสมองคิด เพราะถึงอย่างไรเราก็อยู่กันคนละห้อง ซื้อตามกันก็ไม่เสียหายอะไร

หลังจากนั้นไอ้นัยก็เดินเข้าเดินออกร้านเสื้อผ้าอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกซื้อเสื้อยืดสปอร์ต ผมเดินตามมันห่างๆเพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องเสื้อผ้านัก แต่พอตอนมันซื้อผมก็เริ่มสนใจขึ้นมา อยากรู้ว่ามันซื้อสีและลายอะไร สวยหรือไม่

“เอาตัวนี้เบอร์เอ็มนะพี่ แล้วก็ตัวนี้เอาเบอร์แอล” ไอ้นัยพูดกับคนขาย เห็นเสื้อที่มันเลือกก็สวยดี สีสันสดใส

มันจะซื้อเสื้อเบอร์แอลไปทำไม ก็ในเมื่อปกติมันใส่เบอร์เอ็ม ผมสงสัย แต่ก็คร้านที่จะถามมัน เพราะตอนนั้นกำลังเคืองกันอยู่ ไม่อยากถามให้มากเรื่อง

หลังจากซื้อเสื้อเสร็จ เราก็เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆไปจนถึงชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นที่รวมร้านเฟอร์นิเจอร์ เราเดินไปจนสุดปีกตึกด้านถนนพระรามหนึ่งเพื่อที่จะขึ้นไปชั้นหกอันเป็นศูนย์อาหาร

“เดี๋ยวเยี่ยวก่อน” ผมพูดขึ้นขณะที่เราอยู่ที่ชั้นเฟอร์นิเจอร์ ชั้นนี้คนเดินค่อนข้างน้อย ผมจึงคิดที่จะฉี่เสียก่อน เดี๋ยวขึ้นไปชั้นหกศูนย์อาหารแล้วคนมาก จะฉี่ไม่สะดวก

ห้องน้ำของที่นี่ในช่วงปีแรกๆไม่มีการเก็บเงิน ฉี่ได้ตามสบาย แต่ที่สยามเซ็นเตอร์เก็บเงินค่าเข้าห้องน้ำคนละหนึ่งหรือสองบาท แต่ปัจจุบันกลับกัน คือที่นี่กลับเก็บเงิน ส่วนที่สยามเซ็นเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นไม่เก็บเงิน

ชั้นห้าในตอนบ่ายวันเสาร์คนเดินน้อยมาก แต่น่าแปลกที่ในห้องน้ำกลับมีคนใช้บริการกันหลายคน ดูเหมือนจะมีคนอยู่สี่หรือห้าคน บางคนก็ฉี่อยู่ บางคนก็อยู่ที่อ่างล้างมือ

ผมกับไอ้นัยยืนฉี่ที่โถปัสสาวะชาย โถฉี่นี่ก็แบบตามห้างทั่วไป คือเป็นโถโล่งๆ ไม่มีบังกั้นระหว่างโถ ฉี่ไปได้สักครู่ผมก็สังเกตว่าคนที่ฉี่ข้างๆผมกำลังเหลือบมองดูผมฉี่

ผมเหลือบตามองไปบ้าง สิ่งที่ผมเห็นก็คือ ท่อนเนื้อขนาดกำยำ แข็งตัวเต็มที่ โดยเจ้าของท่อนเนื้อกำลังใช้มือรูดเข้าออกเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่อนลำของผู้ใหญ่ที่แข็งเต็มที่อย่างเต็มตา!!!

ผมเหลือบมองไปทางไอ้นัย เห็นคนที่ยืนฉี่ข้างไอ้นัยก็กำลังสาวว่าวที่แข็งเต็มลำอยู่เหมือนกัน และไอ้นัยก็รู้ตัวว่ามันกำลังถูกมอง

ผมรีบเก็บน้องชายแล้วสะกิดไอ้นัยให้เผ่นออกมาตั้งหลักนอกห้องน้ำก่อน ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น อยากดูต่อก็อยากดู แต่ผมค่อนข้างระวังตัว ผมถูกสอนมาตลอดให้ระวังคนแปลกหน้า โดยเฉพาะในที่เปลี่ยวหรือที่ลับตา เพราะอาจถูกจี้ปล้นได้ง่าย ดีไม่ดีอาจถูกทำร้ายด้วย ผมไม่รู้ว่าชายสองคนที่รูดว่าวให้ผมและไอ้นัยดูนั้นกำลังคิดจะอ่อยเพื่อจี้เราสองคนอยู่หรือเปล่า เพราะห้องน้ำในโซนนั้นจัดว่าเงียบและลับตาคน ที่จริงในห้องน้ำยังมีคนอื่นอีก แต่ผมไม่ทันได้สังเกตให้ละเอียดก็รีบออกมาก่อน ไม่รู้เป็นแก๊งเดียวกันหรือเปล่า

“โห คนที่ยืนเยี่ยวข้างกูนี่ใหญ่ฉิบหายเลย” ผมอดพูดกับไอ้นัยไม่ได้

“นั่นดิ ทำไมมาชักว่าวให้เราดูวะ” ไอ้นัยสงสัยไม่หาย

“มันจะปล้นหรือเปล่าหว่า ยิ่งเปลี่ยวๆอยู่ด้วย” ผมมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน

หลังจากนั้นเราก็รีบเดินต่อไปยังชั้นหก โดยที่ไม่กล้ากลับเข้าไปที่ห้องน้ำชั้นห้าอีกเลย

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา ขณะที่ผมกับไอ้นัยนั่งรถเมล์มาโรงเรียนด้วยกัน ไอ้นัยก็หยิบเอาหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มหนึ่งออกมาอ่าน มันเป็นหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด

“อ่านอะไรอ่ะ” ผมชวนไอ้นัยคุย

“ยืมมาจากห้องสมุดน่ะ ยังอ่านไม่จบ แต่กูรับปากว่าจะให้เพื่อนยืมต่อวันนี้ เลยต้องรีบอ่านให้จบ” ไอ้นัยพูดพลางอ่านหนังสือไปพลาง

“สนุกเหรอ เรื่องอะไรน่ะ” ผมถามต่อ

ไอ้นัยเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็สนุก แต่เศร้า เรื่องต้นส้มแสนรัก”

“ดูหน่อยดิ” ผมออกปากขอดู ไอ้นัยก็ยื่นหนังสือส่งให้

ผมดูที่หน้าปก พลิกดูคำนำคร่าวๆ เห็นบอกว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านทั่วโลก สร้างความสะเทือนใจแก่นักอ่านเป็นจำนวนมากมาแล้ว

“ชอบอ่านเรื่องเศร้าเหรอ” ผมถาม พลางคืนหนังสือให้ ที่จริงผมรู้ว่าไอ้นัยชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชอบอ่านเรื่องเศร้าๆ

“...”

ไอ้นัยก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ผมก็ขี้เกียจพูดต่อ ปล่อยให้มันอ่านไปตามสบาย

อ่านไปได้สักพัก ไอ้นัยก็หยุดอ่าน ปิดหนังสือลง แล้วเก็บใส่เป้

“ไม่อ่านดีกว่า รีบๆอ่านเสียบรรยากาศหมด” ไอ้นัยพูดลอยๆ ไม่รู้ว่ามันพูดกับตัวเองหรือว่าพูดกับผม แต่ผมก็คร้านที่จะถามต่อ

- - -

บ่ายวันนั้น พี่เอ้กับไอ้นัยต้องไปซื้อการ์ตูนออกใหม่ที่วังบูรพา ส่วนผมนั้นอยู่คอยรับลูกค้าที่ห้อง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าผมไปกับไอ้นัยคงรู้สึกอึดอัด

สี่โมงครึ่ง พี่เอ้กับไอ้นัยยังไม่กลับมา...

ห้าโมงเย็น พี่เอ้กับไอ้นัยก็ยังไม่กลับมาอีก ผมเริ่มรู้สึกร้อนใจ เพราะว่ามันเลยเวลากลับบ้านของผมไปแล้ว แต่ผมยังต้องรอไอ้นัยเพราะปกติเรากลับบ้านด้วยกัน

“ไอ้อู เป็นอะไรวะ พล่านเชียวเอ็ง” พี่หมีถาม เมื่อเห็นผมผุดลุกผุดนั่ง กระสับกระส่ายอยู่ วันนั้นพี่มั่วก็อยู่ด้วย

“จะรีบกลับบ้านน่ะพี่ กลับผิดเวลาเดี๋ยวจะโดนดุ” ผมอธิบาย

พี่หมีรู้ดีว่าที่ผมยังไม่กลับเพราะรอไอ้นัยอยู่

“เออ มันน่าจะมากันแล้วนะ ไม่รู้ไอ้เอ้พาไปเถลไถลที่ไหนอีก” พี่หมีพูด ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ ว่าเมื่อวันก่อนพี่เอ้พาเราไปดูหนังและกินก๋วยเตี่ยว หรือว่าวันนี้พี่เอ้จะพาไอ้นัยไปไถลที่ไหนอีก

ห้าโมงครึ่ง ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เอาแต่เดินพล่านในห้องจนพี่หมีรำคาญ จะกลับก่อนก็ไม่ได้ เพราะต้องรอไอ้นัย

ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาลอยลมมา ผมจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นเสียงของพี่เอ้ พี่เอ้ไปไหนมาถึงได้เฮฮากันเสียงลั่นขนาดนี้


<ศูนย์การค้ามาบุญครองในอดีต (ตึกตรงสี่แยกที่มีป้ายผ้าสีเหลืองห้อยอยู่) ศูนย์การค้าแห่งนี้เปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ในยุคแรก โรงหนังยังอยู่ชั้นล่าง แต่ละวันมีวัยรุ่นและหนุ่มสาวมาเดินเล่นเป็นจำนวนมาก>


<ศูนย์การค้าในปัจจุบัน หลังจากผ่านเวลามานานปี ศูนย์การค้าแห่งนี้ก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มีสีสันเหมาะกับยุคสมัย>

Sunday, April 26, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 78

เมื่อกินบะหมี่เสร็จ เราก็แยกจากพี่เอ้ ก่อนแยกจากัน พี่เอ้กำชับเราไม่ให้บอกใครถึงเรื่องการหนีโรงเรียนไปดูหนังโป๊ เราสองเดินย้อนทางเก่า คือเดินย้อนถนนเจริญกรุงขึ้นไป เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย ๘ ตรงหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ซินเสียนเยอะเป้า ระหว่างทางที่เราเดินไปนั้นเราก็คุยถึงประสบการณ์ที่พบในโรงหนัง เพราะว่าเมื่อครู่อยู่กับพี่เอ้ จึงยังไม่ได้คุยกัน

“โห ไม่นึกว่าจะมียังงี้ด้วย กลางวันแสกๆโม้คกันในโรงหนัง ใครเดินผ่านไปผ่านมาเห็นหมดเลย” ผมวิจารณ์ “มึงก็เดินดูเสียช้าเชียว กูกลัวมึงโดนกระทืบจัง”

ไอ้นัยหัวเราะฮุ ฮุ ไม่พูดอะไร เราเดินกันเงียบๆสักครู่

“เป็นมึง มึงกล้าทำไหมวะ” จู่ๆผมก็ถามโพล่งขึ้นมาด้วยความอยากรู้

ไอ้นัยอึ้งไป

“แล้วมึงล่ะ” ไอ้นัยย้อนถาม

เจอคำถามกลับเข้าผมก็อึ้งไปเหมือนกัน

“กูตอบตามจริงแล้วมึงก็ต้องตอบเหมือนกันนะ” ผมคาดคั้นเพราะกลัวมันเบี้ยวไม่ตอบ ไอ้นัยพยักหน้า

“มันก็ตื่นเต้นดีว่ะ แต่ เอ้อ... ตอบยากเหมือนกัน ตอนนี้อยากดูมากกว่า ถ้าทำเองใจยังไม่ถึงว่ะ คนเยอะจะตายห่า” ผมตอบ “มึงล่ะ”

“ก็คิดเหมือนมึงนั่นแหละ” ไอ้นัยตอบหน้าตาย

“ไอ้เปรต หลอกให้กูตอบนี่หว่า” ผมด่ามัน ตกลงก็เลยไม่รู้ว่ามันคิดอย่างไรกันแน่

“อ้าว ก็กูคิดยังงั้นจริงๆ มึงจะให้กูตอบยังไงล่ะ” ไอ้นัยหัวเราะ “มึงไม่ได้ห้ามกูตอบเหมือนมึงนี่หว่า”

เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผมคุยมากกว่า วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องตื่นเต้นที่พบเห็นในโรงหนังต่อ

“เฮ้ย ไม่คุยแล้ว” ไอ้นัยห้ามผม

“ทำไมล่ะ” ผมงง

“...”

“เฮ้ย ทำไมไม่ตอบล่ะ” ผมถามซ้ำ

ไอ้นัยยิ้มอายๆ แล้วพูดเบาๆ “มันแข็งอีกแล้วอะ”

ผมเหลือบมองลงไปข้างล่าง เห็นเป้ากางเกงของไอ้นัยนูนออกมาเป็นลำ มันนูนและตุงผิดปกติ เห็นได้ชัดว่ากำลังแข็งตัวอยู่ แม้จะเอามือล้วงกระเป๋าแต่ก็ยังสังเกตเห็น ไอ้นัยเปลี่ยนมาเป็นเดินตามหลังผม เพื่อไม่ให้คนที่เดินสวนมาเห็น

เรามาถึงป้ายรถเมล์พอดี ไอ้นัยยืนหลบอยู่ข้างหลังผมเพื่อบังไม่ให้ใครเห็นเป้ากางเกงของมันได้ถนัด ผมหัวเราะขำ

“เสือกใส่กางเกงฟิต สมน้ำหน้า มึงดูกูดิ ไม่เห็นต้องอายเลย” ผมหัวเราะเยาะมัน ตอนนั้นของผมก็แข็งอยู่เหมือนกัน แต่ว่ากางเกงของผมใหญ่หน่อย อีกอย่าง ผมใส่กางเกงในแบบเก็บหัวคว่ำเอาไว้ เวลาแข็งจะเห็นไม่ค่อยชัด ต่างจากไอ้นัยที่เอาหงายขึ้น ขนาดเวลาปกติก็พอเห็นร่องรอยบ้างอยู่แล้ว ยิ่งเวลาแข็งก็ยิ่งเห็นได้ชัด

“ของมึงเล็กน่ะดิ ฮุฮุ” ไอ้นัยชะโงกหน้ามากระซิบข้างๆหูของผม แล้วหัวเราะชอบอกชอบใจ

“หนอย ไอ้เปรต” ผมด่า ไม่น่าเปิดช่องให้มันย้อนเกล็ดได้เลย

เพียงครู่เดียวรถเมล์สาย ๘ ก็มา ขนาดเพิ่งออกจากท่าใต้สะพานพุทธมาได้ไม่ไกล รถก็แน่นราวกับปลากระป๋องแล้ว คนเยอะจนมาอัดกันอยู่ที่บันได

“รถแน่นฉิบหาย” ไอ้นัยบ่น

“เบียดไปเถอะ รอยังไงก็ไม่ดีไปกว่านี้หรอก” ผมพูด ยิ่งตกเย็นมีแต่รถจะยิ่งแน่น

เราสองคนขึ้นทางประตูหลัง พอได้ยืนอยู่ตรงบันได ไม่ถึงกับต้องห้อยออกมา ไอ้นัยยืนเบียดอยู่ข้างหลังของผม

ขณะที่รถวิ่งไป ก้นของผมก็เสียดสีกับเป้ากางเกงของไอ้นัย ผมรู้สึกว่ามีลำอะไรแข็งๆดันอยู่ที่ก้น ด้วยความคึกคะนอง ผมจึงคิดวิธีแกล้งไอ้นัยขึ้นมาได้

ผมเบียดก้นของผมให้แนบชิดกับท่อนเนื้อที่แข็งตัวของไอ้นัยมากขึ้น และในจังหวะที่รถเบรกและออกตัว ผมก็อัดก้นของผมเข้าไปที่ท่อนเนื้อของไอ้นัยแรงๆ

เมื่อยืนอยู่ที่บันไดไปได้สักพัก เราก็สามารถเบียดเสียดขึ้นไปยืนตอนท้ายรถได้ ไม่ว่าไอ้นัยขยับไปไหน ผมก็ทำเนียน ตามไปยืนเบียดอยู่ข้างหน้ามัน

ไอ้นัยก็ไม่หนี ปล่อยให้ผมเบียดมันตามสบาย หนักเข้าผมเลยเอาร่องก้นทาบเข้าไปที่แท่งเนื้อของมันเสียเลย จะได้สีได้ถนัดๆ

สีไปสีมา ผมชักเกิดอารมณ์ เพราะว่าเสียวร่องก้นอยู่เหมือนกัน ของของผมแข็งจนต้องเอามือบังเอาไว้ จะได้ไม่ไปโดนก้นของคนข้างหน้า ส่วนของไอ้นัยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าตั้งแต่อยู่ข้างล่างก็แข็งมาตลอด ไม่ยอมอ่อนเลย

ผมพยายามดูว่ามีใครสังเกตเราสองคนหรือเปล่า คิดว่าคงไม่มี เพราะเราพยายามทำให้เนียนอยู่แล้ว เราเบียดกันอยู่พักใหญ่ จนถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไอ้นัยก็เบี่ยงท่อนเนื้อออกจากร่องก้นของผม

เรื่องอะไรที่ผมจะยอม รีบเคลื่อนก้นตามไปประกบท่อนเนื้อของไอ้นัยทันที คราวนี้ไอ้นัยเบี่ยงหลบอีก ผมชำเลืองดูมัน เห็นมันส่ายหน้า

เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงเห็นแค่นี้ผมก็เข้าใจความหมาย ที่ไอ้นัยมันหลบเพราะมันไม่อยากให้น้ำแตกบนรถนั่นเอง

น้ำจะแตกแล้วเหรอ เสร็จกูละมึง ผมนึกในใจ แทนที่จะหยุด ผมกะจะแกล้งให้มันน้ำแตกไปเลย

คราวนี้ไอ้นัยทำหน้าขอร้อง ในที่สุด ผมก็ใจอ่อนเลิกแกล้งมัน แค่ยืนเบียดกับมันตามปกติ ไม่เอาก้นไปสีมันอีก ผมหันไปทำหน้าล้อมัน ไอ้นัยทำปากหมุบหมิบ อ่านปากได้เป็นคำว่าไอ้ห่า

การที่ผมแกล้งไอ้นัยเล่นบนรถเมล์นั้นที่จริงแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเราสองคนมีอะไรกันลึกซึ้งยิ่งกว่าการสีก้นกันเล่นเสียอีก ที่ทำไปก็เพราะความคะนองอยากแกล้งเพื่อนเท่านั้นเอง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าความคึกคะนองในครั้งนั้นได้ทำให้ชีวิตของเราสองคนต้องพลิกผันไปอีกครั้งหนึ่ง

- - -

วันรุ่งขึ้น เมื่อผมกับไอ้นัยไปถึงห้องสหกรณ์ ตอนนั้นพวกพี่ๆกำลังเอะอะเฮฮากันอยู่ พี่มั่วซึ่งหลังๆมาบ้างไม่มาบ้างก็อยู่ รวมทั้งพี่เต้ขาประจำก็อยู่ด้วย

“เฮ้ย ไอ้อู ไอ้นัย เมื่อวานพวกเอ็งหนีโรงเรียนไปดูหนังโป๊กันมาเหรอ” พี่มั่วรีบถามทันทีที่เราสองคนเดินเข้าไปในห้อง

“เอ้อ” ผมอึกอัก ยังจำที่พี่เอ้กำชับเอาไว้เมื่อวานได้

“จะมาเอ้ออ้าอะไรเล่า ไอ้เอ้มันบอกหมดแล้ว” พี่มั่วพูด

“อ้าว” ทั้งผมกับไอ้นัยร้องออกมาพร้อมๆกัน พี่เอ้ยิ้มแบบขออภัยในความไม่สะดวก

“พี่เผลอไปน่ะ” พี่เอ้พูด

สาเหตุที่ผมสนิทกับพี่เอ้มากกว่าพี่หมีส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพี่เอ้เป็นคนนิสัยซื่อๆ ตรงไปตรงมา เก็บอะไรในใจไม่ค่อยอยู่แบบนี้นั่นเอง

“ไอ้เวร เสือกพาน้องไปดูหนังโป๊ ทำไมทำยังงี้วะ” พี่มั่วดุ พี่ๆคนอื่นก็ช่วยกันรุม “แทนที่จะทำตัวอย่างดีๆให้มันดู”

“โธ่พี่ ไอ้สองตัวนี้มันแก่แดดแก่ลมจะตาย แล้วก็อีกอย่าง หนังโป๊มันก็ยังกับหนังสารคดี แดงเถือกไปทั้งเรื่อง ไม่เสียคนหรอกพี่ ถ้าเสียเดี๋ยวผมซ่อมให้เอง” พี่เอ้ตะแบงเถียงไปเรื่อย

“ยังจะแก้ตัวอีก” พี่มั่วดุอีก

หลังจากนั้น พี่มั่วกับพี่เอ้ก็ต่อปากต่อคำกัน บรรยากาศในเช้าวันนั้นเป็นการแหย่กันสนุกมากกว่า ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก คนนั้นก็คือพี่เต้



<หลังวังบูรพา ตรงที่เป็นดิโอลด์สยามพลาซ่าในปัจจุบัน เมื่อก่อนเป็นตลาด มีชื่อว่าตลาดมิ่งเมือง ตลาดมิ่งเมืองนี้สร้างขึ้นมาพร้อมกับศาลาเฉลิมกรุง คือในราวช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ตลาดมิ่งเมืองนี้เป็นตลาดตัดเย็บเสื้อผ้า ชุมนุมไปด้วยร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อรองรับธุรกิจขายผ้าจากย่านพาหุรัด

กาลเวลาผ่านไป ตลาดมิ่งเมืองถูกรื้อถอนในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ กลายเป็นพื้นที่ว่าง และต่อมาจึงได้กลายเป็นดิโอลด์สยามพลาซ่าในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ตอนที่ผมเรียนมัธยมอยู่นั้น ไม่ทันทั้งตลาดมิ่งเมืองและดิโอลด์สยามพลาซ่า

ในภาพ ด้านซ้ายมือเป็นภาพตลาดมิ่งเมือง ส่วนภาพขวามือเป็นดิโอลด์สยามพลาซ่า ในตำแหน่งเดียวกัน>

Thursday, April 23, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 77

ภาพที่ผมแลเห็นขณะที่เดินผ่านไปตามแถวที่นั่งด้านหน้าของโรงหนังก็คือ คนที่นั่งกันเป็นคู่นั้นมีอยู่หลายคู่ บางคู่ก็กำลังลูบขาอ่อนกันอยู่ ส่วนบางคู่ก็กำลังชักว่าวให้กัน และยิ่งไปกว่านั้น คนที่ผมมองจากข้างหลังแล้วเห็นว่านั่งอยู่คนเดียวนั้น บางคนก็นั่งอยู่คนเดียวจริงๆ แต่บางคนกลับมีคนนั่งอยู่ข้างๆด้วย แต่อยู่ในท่าโน้มตัวลงซบตัก จึงมองจากข้างหลังไม่เห็น ใบหน้าของคนที่ซบแนบอยู่ที่เป้าของอีกคนหนึ่ง พลางผงกหัวขึ้นลงตรงที่เป้านั่นเอง!!!

ผมรู้สึกตกใจกับสภาพข้างหน้า เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ทั้งเสียว ทั้งตื่นเต้น และทั้งกลัว ที่กลัวก็คือกลัวว่าจะโดนเตะเอาเพราะไปแอบมองกิจกรรมส่วนตัวของพวกนี้เข้า

เมื่อผมเดินไปถึงเก้าอี้แถวหน้าสุดของโรงหนัง ผมก็พบว่ามีคนนั่งติดกันเป็นแถวราวสี่ห้าคน และคนเหล่านี้ไม่ได้สนใจกับจอหนังข้างหน้าเลย แต่กำลังล้วงควักเป้ากางเกงกันอย่างเมามัน

ผมดูเพียงแว่บเดียวแล้วก็รีบเดินต่อไปข้างหน้า ไม่กล้าเหลือบดูนานเพราะกลัวโดนเตะอย่างที่ว่า

เมื่ออ้อมด้านหน้าโรงไปจนถึงทางเดินอีกด้านหนึ่ง ผมก็พบสภาพคล้ายๆกัน แต่คนที่เล่นกันดูจะบางตากว่า และเมื่อผมเข้าไปในห้องน้ำ ผมเห็นสภาพห้องน้ำค่อนข้างสกปรก กลิ่นฉี่คลุ้ง ในห้องน้ำมีโถฉี่อยู่ ๓ โถ มีห้องส้วม ๒ ห้องในขณะที่ผมเข้าไปในห้องน้ำนั้นบังเอิญเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มคนกำลังเดินออกมาจากห้องส้วม ดูจากวัยและการแต่งกายคงเป็นนักศึกษา เมื่อเดินออกมาจากส้วมได้ก็รีบเดินออกจากห้องน้ำไปทันที และที่น่าแปลกก็คือ ประตูห้องส้วมที่พี่คนนี้ออกมากลับปิดเข้าไปได้เอง...

ผมไปยืนฉี่ที่โถ แต่ก็ฉี่ไม่ออก เพราะตอนนั้นท่อนเนื้อของผมมันแข็งเต็มที่ด้วยความตื่นเต้น เพียงครู่เดียว ห้องน้ำที่พี่นักศึกษาเพิ่งออกมาก็เปิดออกมาอีกครั้ง คราวนี้มีคนโผล่ออกมาอีกคนหนึ่ง รูปร่างท่าทางเป็นผู้ชาย แต่เขียนคิ้วทาปากและเดินก้นบิด เมื่อเดินออกมาแล้วก็ทำไก๋ยืนแต่งทรงผมอยู่หน้ากระจก ผมอดไม่ได้ต้องชำเลืองมองไปหลายครั้ง เพราะอยากรู้ว่าพี่คนนี้จะทำอะไร

อย่างรวดเร็ว พี่คนที่แต่งหน้าทาปากนี้ก็มายืนอยู่ที่โถฉี่ข้างๆผม พลางชะโงกหน้ามามองแท่งเนื้อของผมอย่างไม่เกรงใจ ผมตกใจ รีบผมน้องชายเข้ากางเกง แต่ก็ไม่สามารถจะเก็บเข้าไปได้เพราะมันแข็งอยู่

“อึดอัดมั้ยน้อง ให้พี่อมให้มั้ยฮ้า” พี่คนนั้นพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน แต่ผมฟังแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรชอบกล

เมื่อเห็นผมไม่ตอบอะไร พี่คนนั้นจึงถือวิสาสะเอื้อมมือมาคว้าหมับเข้าที่แท่งเนื้อของผมทันที

“เฮ้ย” ผมร้องด้วยความตกใจ รีบเบี่ยงตัวหลบ คราวนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว รีบจับน้องชายยัดเข้ากางเกงในแบบครึ่งๆกลางๆ แล้วรูดซิปกางเกงนักเรียนขึ้นทันที

“โอ๊ย” ผมร้องด้วยความเจ็บปวด อารามรีบร้อน ซิปกางเกงเจ้ากรรมดันกินหนังหุ้มปลายของผมเข้าไป

“น้อง ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวพี่ช่วย” พี่คนนั้นส่งเสียงหวานมาอีก

ผมรีบกล้ำกลืนความเจ็บปวด ถอยซิปลงแล้วขยับซิปให้รูดขึ้นได้จนสำเร็จ จากนั้นก็รีบโกยอ้าวออกมาจากห้องน้ำทันที...

เมื่อออกมานอกห้องน้ำ ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อย เพราะมีคนออกันอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องน้ำ พี่คนนั้นคงไม่กล้าตามมารังควานผมเป็นแน่

ผมเดินอ้อมไปทางหลังโรงเพื่อกลับไปเข้าที่นั่ง เห็นทางเดินหลังโรงมีคนยืนเรียงรายกันอยู่ ล้วนแต่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น บางคนก็ยืนเฉยๆ บางคนก็ยืนเบียดสีกับอีกคน

“เจอทีเด็ดแล้วโว้ยไอ้นัย” ผมกระซิบบอกไอ้นัยเมื่อกลับเข้าไปนั่งที่แล้ว

“อะไรอะ” ไอ้นัยถาม

“มึงลองเดินไปเข้าห้องน้ำ อ้อมไปทางหน้าโรงนะ แล้วดูคนที่นั่งตามเก้าอี้ด้านหน้า แล้วมึงก็รู้เองแหละ” ผมกระซิบเบาๆเป็นปริศนา พยายามไม่ให้พี่เอ้ได้ยิน

“ระวังให้ห้องน้ำนะ มีกระเทยดักปล้ำอยู่” ผมกำชับมัน ไม่อยากให้มีเรื่องอะไรร้ายๆเกิดขึ้นกับมันอีก “อย่าเข้าไปในห้องน้ำดีกว่า เดี๋ยวโดนฆ่าหมกส้วม”

ไอ้นัยพยักหน้า จากนั้นก็ลุกจากที่นั่งไปเข้าห้องน้ำโดยใช้เส้นทางเดียวกับที่ผมเดินไปบ้าง

ผมมองตามไอ้นัยไป เห็นมันเดินช้าๆ เดินไปก็เหลือบมองเก้าอี้ตามรายทางไป ไอ้นัยมันใจกล้ากว่าผมเสียอีก ผมรีบเดินอย่างรวดเร็วเพราะกลัวมีเรื่อง แต่ไอ้นัยกลับเดินอย่างใจเย็น

เมื่อถึงห้องน้ำ ผมเห็นไอ้นัยผลุบเข้าไป ผมรู้สึกตื่เต้นแทน เพราะไม่รู้มันจะโดนจับตัวเอาไว้หรือเปล่า แต่เพียงครู่เดียวผมก็เห็นไอ้นัยรีบเดินออกมา

“เป็นไง” ผมกระซิบถามเมื่อไอ้นัยกลับมานั่งที่

“ฮุฮุ สุดยอด” ไอ้นัยอมยิ้ม

ที่นี่เอง ที่ผมได้รู้จักแหล่งหาเซ็กซ์ของเกย์ ปกติผมเคยมีอะไรกับไอ้นัยในห้องน้ำก็จริง แต่นั่นก็เป็นห้องน้ำในโรงเรียน อีกทั้งผมกับไอ้นัยก็เป็นเพื่อนกัน และถึงแม้เราจะเคยมีอะไรกันที่บึงน้ำ แต่นั่นก็เป็นโลกส่วนตัวของเราที่ไม่มีใครเห็น แต่เรื่องการล้วงควัก หรืออมกันในโรงหนังอย่างเปิดเผยกับคนที่ไม่รู้จัก รวมทั้งการมีอะไรกันในห้องส้วมโรงหนังซึ่งเป็นที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน ไอ้นัยเองก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

หลังจากที่ผมกลับมาจากห้องน้ำ ผมก็ไม่มีกะใจดูหนังเลยแม้แต่น้อย สองตาเอาแต่สอดส่ายมองดูพฤติกรรมของคนที่ยืนอยู่ตามทางเดินทางสนใจ คนเหล่านี้เดินไปเดินมา เดินเข้าเดินออกที่นั่งกันเป็นว่าเล่นตลอดเวลาที่ผมดูหนัง น่าแปลกที่พี่เอ้ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย คงตั้งหน้าตั้งตาดูหนังแม้หนังจะไม่ได้เรื่องก็ตาม ผมเริ่มสงสัยตนเอง ว่าทำไมผมถึงสังเกตเรื่องเหล่านี้ได้ไวเป็นพิเศษ หรือว่ามันเป็นสัญชาติญาณที่เราสามารถสังเกตเรื่องราวของพวกเดียวกันได้ไวกว่า???

- - -

หนังเลิกแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้เรียกว่าหนังเลิก แต่เป็นว่าเราดูวนจนถึงตอนที่เราเข้ามาในโรงแล้วเราก็ออกมา ผมเห็นไอ้นัยปล่อยชายเสื้อยืดออกมานอกกางเกง

ผมรู้ดีว่ามันปล่อยชายเสื้อออกมาเพราะอะไร วันนั้นเราไม่มีเรียน จึงไม่ได้เอาเป้มา กางเกงของไอ้นัยค่อนข้างรัดรูป แต่ชายเสื้อยืดไม่ยาวเท่าชายเสื้อนักเรียน ดังนั้นมันจึงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ไอ้นัยจึงต้องล้วงกระเป๋ากางเกงช่วย ส่วนกางเกงของผมนั้นโคล่งนิดหน่อย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปล่อยชายเสื้อออกมา

ผมแอบขำในความทุกลักทุเลของไอ้เพื่อนรัก ขณะเดียวกันก็ยิ่งเห็นว่าไอ้นัยนั้นน่ารักเพียงใด

“หิวว่ะ” พี่เอ้บ่น “ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“เลี้ยงนะพี่” ผมคาดคั้น

“พวกเอ็งนี่ไม่รู้จักพอ ตั๋วหนังก็เลี้ยงไปแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก” พี่เอ้โวย

“งั้นพี่ไปกินเถอะ ผมไม่มีตังค์” ไอ้นัยพูดหน้าตาย

“ฮื่อ ไม่มีตังค์เหมือนกัน ที่จริงก็หิวแหละ พี่ไปกินคนเดียวเถอะ” ผมรีบรับมุข

“ไอ้สองตัวนี่ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ เออ พี่เลี้ยงเอ็งก็ได้วะ” ผมเอ้ยอมจำนนเราสองคนในที่สุด

พี่เอ้พาเราสองคนไปกินบะหมี่กรรมกรกัน ร้านบะหมี่กรรมกรหรือว่าบะหมี่จับกันนั้นอยู่บนถนนเจริญกรุงย่านเยาวราชนั่นเอง แต่ต้องเดินเลยมาอีกเป็นระยะพอสมควร ใกล้ๆถนนแปลงนาม ตอนนั้นบะหมี่กรรมกรราคาชามละ ๒๐ บาท ที่เรียกว่าบะหมี่กรรมกรเพราะว่าให้เส้นเยอะมาก ขนาดผู้ใช้แรงงานกินชามเดียวก็อิ่ม

ร้านบะหมี่อยู่ในซอย ในซอยคลำคล่ำไปด้วยผู้คนที่มากินบะหมี่กรรมกรจนแทบจะหาที่นั่งไม่ได้ คนทำ คนลวก คนปรุง มีอยู่หลายคน แต่ละคนทำงานกันตัวเป็นเกลียวเพราะว่าลูกค้าตอนบ่ายแก่ๆวันนั้นเยอะจริงๆ

เราสามคนกินกันคนละชาม ร้านนี้ให้เส้นบะหมี่เยอะมากสมคำร่ำลือ ส่วนหมูนั้นก็พอประมาณ สมตามราคา แถมยังใส่น้ำมันจนเยิ้ม เรากินกันคนละชาม แต่กว่าจะหมดชามก็แทบแย่เหมือนกัน

<ร้านบะหมี่กรรมกรย่านเยาวราช ขนาดจับกังกินชามเดียวก็อิ่ม ร้านนี้เก่าแก่เปิดมานานหลายสิบปีแล้ว ขายราคาถูกมาก>

Friday, April 17, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 76

“จะไปก็รีบไปเถอะพี่ เดี๋ยวกลับบ้านค่ำ” ผมเร่งรัด ที่จริงตอนนั้นไม่ได้กลัวกลับบ้านค่ำเท่าไรนัก แต่ที่เร่งเพราะเกรงว่าพี่เต้อาจโผล่มาแถวนี้แล้วเกิดอยากไปดูด้วย

เราสามคนปิดห้องสหกรณ์แล้วเดินไปทางประตูทางออกของโรงเรียน พี่เอ้เดินนำหน้า ไอ้นัยยิ้มอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมเองนั้นรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย บางทีการทำอะไรที่แหกกฎระเบียบไปบ้างก็ทำให้ชีวิตมีรสชาติดี

“แล้วถ้าเจอสารวัตรนักเรียนล่ะพี่เอ้” ผมถาม เพราะรู้มาว่าในตอนกลางวันจะมีสารวัตรนักเรียนของกระทรวงศึกษาธิการคอยออกสอดส่องนักเรียนที่หนีโรงเรียน

“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยไอ้อู” พี่เอ้หัวเราะ “เราไม่ได้ใส่เสื้อนักเรียนสักหน่อย ใส่แค่เสื้อยืด สารวัตรที่ไหนจะมารู้ว่าเราหนีโรงเรียน อีกอย่างวันนี้ไม่มีเรียนนี่หว่า จะมาว่าหนีเรียนได้ไง”

“ช่าย คลองถมอยู่แค่นี้เอง ไม่ทันเจอสารวัตรนักเรียนหรอก” ไอ้นัยสนับสนุน ดูไอ้นัยจะสนุกกับการหนีโรงเรียน ไม่ได้รู้สึกกังวลเลย

เมื่อมาถึงประตูโรงเรียน พี่เอ้เดินส่ายอาดๆเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูว่าจะออกไปซื้อขนมมาเลี้ยงเพื่อนๆที่เชียร์กีฬาอยู่ เพียงเท่านี้ พวกเราก็ถูกปล่อยให้ออกมานอกโรงเรียนอย่างง่ายดาย

“ทำไมมันง่ายยังงี้ว้า” ไอ้นัยบ่น เพราะการหนีโรงเรียนในครั้งนี้สำเร็จอย่างง่ายดาย นึกว่าจะต้องปีนรั้วโรงเรียนแบบที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ๆเสียอีก “ไม่หนุกเลย”

“พวกเอ็งจะเอายังไงกันวะ” พี่เอ้โวย “ตอนแรกก็กลัว ตอนหลังยังมาบ่นว่าง่ายเกินไปอีก”

“ผมไม่ได้บอกว่ากลัวเลยนะพี่เอ้ ไอ้อูต่างหากที่ปอดแหก” ไอ้นัยหัวเราะสนุก

“ผมก็ยังไม่ได้บ่นเลยนะว่าง่าย ไอ้นัยต่างหากที่บ่นว่าง่าย พี่อย่าว่าเหมาโหลดิ” ผมช่วยรุมพี่เอ้บ้าง

เราสามคนหัวเราะกันสนุก จากนั้นเดินผ่านหน้าร้านไนติงเกลโอลิมปิกซึ่งเป็นร้านขายเครื่องกีฬาเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ จากนั้นเดินผ่านตลาดมิ่งเมืองเก่าซึ่งอยู่ด้านหลังวังบูรพา ตลาดมิ่งเมืองเก่าที่ว่านี้ปัจจุบันก็คือดิโอลด์สยามพลาซ่านั่นเอง สมัยก่อนเป็นตลาดชื่อว่าตลาดมิ่งเมือง แต่ตอนที่ผมเรียนอยู่นั้น ตลาดนี้ปิดไปแล้ว เพียงล้อมรั้วเอาไว้เป็นที่รกร้าง

เราเดินผ่านตลาดมิ่งเมืองเก่า ผ่านเฉลิมกรุง เลี้ยวเข้าไปในถนนเจริญกรุง จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านวัดตึกและเข้าสู่ถนนเยาวราช เดินไปอีกเล็กน้อยก็จะเป็นย่านคลองถม คลองถมตรงนี้คือคลองถมยุคดั้งเดิม เป็นคลองถมต้นตำรับ ต่อมาจึงมีการขยายพื้นที่ออกไปเนื่องจากความแออัด และตึกแถวที่อยู่ติดกับคลองถมก็คือโรงหนังแคปปิตอลนั่นเอง

โรงหนังแคปปิตอลเป็นโรงหนังที่อยู่รวมกับตึกแถวริมถนน แม้ในสมัยนั้นก็ดูเก่าแก่ทรุดโทรมแล้ว ในอดีต ในยุคที่ยังรุ่งเรืองซึ่งผมยังไม่เกิด โรงหนังนี้เป็นโรงชั้นหนึ่ง ฉายแต่หนังทันสมัย มีทั้งหนังฝรั่งและหนังญี่ปุ่น แต่ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคร่วงโรย แคปปิตอลก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นโรงหนังชั้นสอง ฉายหนังควบ บางยุคก็ฉายหนังควบแบบหนังทั่วไปที่เพิ่งออกจากโรงชั้นหนึ่ง บางยุคก็ฉายหนังเรตอาร์ มีทั้งหนังจีน ญี่ปุ่น และฝรั่ง หนังเรตอาร์นี้จะสังเกตได้จากชื่อหนังที่ติดอยู่หน้าโรง ถ้าชื่อหนังมีคำว่า ‘สวาท’ อยู่ด้วยก็มักเป็นหนังเรตอาร์ นอกจากนี้ ในบางยุคยังมีการแอบฉายหนังเรตเอ็กซ์อีกด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะว่าสมัยก่อนหน่วยตำรวจที่เรียกว่ากองปราบสามยอดก็อยู่ข้างหลังโรงหนังแคปปิตอลนั่นเอง แต่ปัจจุบันย้ายไปแล้ว ในตอนที่ผมไปดูนั้นเป็นหนังทั่วไปสลับกับหนังเรตอาร์

เมื่อถึงโรงหนัง ผมมองสำรวจสภาพหน้าโรงหนัง โรงหนังนี้ดูเก่าๆ ทึบๆ คนที่เดินอยู่หน้าโรงเท่าที่เห็นส่วนใหญ่เป็นคนชายจีนสูงอายุ กับผู้ใช้แรงงานวัยหนุ่มและวัยกลางคน ไม่เห็นมีวัยรุ่นแบบพวกเราเลย

พี่เอ้เดินไปที่ช่องขายตั๋ว ซื้อตั๋วมาสามใบ โรงหนังนี้มีสองชั้นเพราะเคยเป็นโรงหนังชั้นหนึ่งมาก่อน ชั้นบนเป็นที่นั่งพิเศษ ราคาราวๆ ๓๕-๔๐ บาท ส่วนชั้นล่างราคาราวๆ ๒๕-๓๐ บาท

“โรงหนังชั้นสอง ดูวนได้ทั้งวัน ไม่มีอะไรทำเข้ามานอนตากแอร์เล่นก็ได้” พี่เอ้บรรยาย

“ถ้าไม่มีอะไรทำแล้วนอนอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอพี่” ผมกวน พี่เอ้ตบหัวผมเบาๆแทนคำตอบ

จะว่าไปแล้ว ระหว่างพี่เอ้กับพี่หมีซึ่งเป็นรุ่นพี่ ม.๔ ผมรู้สึกสนิทกับพี่เอ้มากกว่า นั่นอาจเป็นเพราะพี่เอ้ใช้เวลาอยู่ที่สหกรณ์มากกว่าพี่หมี คนเราเมื่อเจอกันบ่อยๆก็สนิทสนมกันมากกว่า

เราสามคนส่งตั๋วให้อาแปะวัยกว่า ๖๐ ปีซึ่งทำหน้าที่เป็นคนเก็บตั๋ว และคนเฝ้าบันได ที่ว่าเฝ้าบันไดก็เพราะป้องกันคนที่ซื้อตั๋วชั้นล่างมั่วขึ้นไปดูชั้นบน เมื่อฉีกตั๋วไปแล้ว เราก็เดินเข้าไปในโรงชั้นล่าง

ผ้าม่านกั้นทางเข้ามีกลิ่นอับฉุนกึก บ่งบอกถึงความเก่าแก่และทรุดโทรมของโรงหนังได้เป็นอย่างดี เราสามคนเข้าไปก้าวแรกก็รู้สึกมืดวูบ สายตายังปรับเข้ากับความมืดในโรงไม่ได้ จึงยังไม่เดินเข้าไปหาที่นั่ง เพียงยืนอยู่ที่หลังโรง ใกล้ๆทางเข้า

เมื่อสายตาคุ้นเคยกับความมืดภายในโรง ผมก็เริ่มสำรวจสภาพภายในโรงหนังด้วยความสนใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เข้าโรงหนังชั้นสองในกรุงเทพฯ ผมสังเกตเห็นทางเดินหลังที่นั่งคนดูมีคนยืนเต็มไปหมด ทั้งๆที่ที่นั่งว่างๆในโรงหนังมีมากมาย จะว่าเพิ่งมาและยืนปรับสายตาก็ไม่น่าใช่ เพราะว่าคนพวกนี้ยืนอยู่เฉยๆ ไม่มีท่าว่าจะเข้าไปหาที่นั่งเลย

นอกจากนี้ ตามทางเดินข้างโรงหนัง ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ก็มีคนยืนดูหนังอยู่ประปราย

“พี่เอ้ ทำไมเค้ายืนดูหนังกันล่ะ ที่ว่างก็ออกเยอะแยะ” ผมกระซิบถามพี่เอ้ด้วยความอยากรู้

“นั่งน่ะดิ จะยืนทำไมให้เมื่อย แต่ช่างเค้าเถอะ พวกเราเข้าไปนั่งกันดีกว่า” พี่เอ้ก็สังเกต แต่ไม่สนใจ เมื่อพูดจบก็นำเราเข้าไปหาที่นั่ง เรานั่งที่นั่งหลังๆ เพราะเห็นได้เต็มจอ นั่งใกล้จอแล้วเวียนหัว

ไอ้นัยนั่งอยู่ตรงกลาง โดยมีผมกับพี่เอ้นั่งขนาบข้าง หนังที่ฉายในวันนั้นเป็นหนังจีนควบกันสองเรื่อง เรื่องแรกที่ผมดูเป็นหนังจีนกำลังภายใน ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่เข้ามาดูตอนกลางเรื่อง ไม่ได้ดูแต่ต้น ก็สนุกดี ส่วนเรื่องถัดมาเป็นหนังจีนเรตอาร์ ชื่อเรื่องชื่ออะไรสวาทๆสักอย่าง

“ได้ดูหนังโป๊ด้วยโว้ย” ผมพูดกับไอ้นัยอย่างตื่นเต้น เพราะเป็นการดูหนังโป๊ครั้งแรกในชีวิต ไอ้นัยก็คงตื่นเต้นเหมือนกัน จากนั้นผมก็ชโงกหน้าไปหาพี่เอ้ “พี่เอ้มาดูบ่อยเหรอ สงสัยจะชอบดูหนังโป๊”

“ไอ้บ้า พูดซะเสียหมด พี่ไม่เคยดูหนังโป๊ที่นี่โว้ย แต่ก่อนที่เคยมาดูเป็นหนังธรรมดา” พี่เอ้ตอบเบาๆ

“ไม่เคยดูหนังโป๊ที่นี่ แล้วเคยดูที่ไหนล่ะพี่” ไอ้นัยช่วยซักบ้าง

“เป็นเด็กเป็นเล็ก พวกเอ็งจะถามไปทำไมวะ” พี่เอ้ไม่ยอมบอก

“น่า บอกหน่อยน่า อยากรู้อ่ะ” ผมอ้อน

“ก็ดูที่บ้านน่ะสิ วีดิโอโป๊หาได้ไม่ยาก ข้างหน้านี่ก็มีขาย” พี่เอ้กระซิบตอบ “ไม่คุยแล้วโว้ย จะดูหนัง”

เรารอดูหนังอาร์ของจีนอย่างตื่นเต้น แต่พอหนังฉายจริงๆก็ต้องผิดหวัง เพราะว่าเป็นหนังเก่าสมัยไหนก็ไม่รู้ ภาพที่เห็นในจอออกโทนแดงทั้งหมด ไม่เห็นสีสันอื่นเลย เนื้อเรื่องก็ห่วยแตก แค่ปล้ำกันไปปล้ำกันมา ฉีกเสื้อผ้ากันนิดหน่อย แล้วก็ตัดไปฉากอื่น ไม่ได้เห็นบทอัศจรรย์อะไรเลย

“หนังห่าอะไรวะ” พี่เอ้บ่นอุบ “ยังกับหนังสงครามโลก”

เมื่อหนังห่วยแตกไม่น่าดู ผมก็หันเหความสนใจมายังสภาพในโรงแทน ผมสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนดูหนังอยู่ตรงทางเดินข้างโรงนั้นไม่ได้ยืนอยู่กับที่ แต่ยืนสักพัก แล้วก็เดินไปมาตามทางเดิน บางคนก็เดินเข้าไปนั่ง จากนั้นสักพักก็ลุกขึ้นมายืนข้างโรงอีก แล้วก็เดินไปเดินมา บางคนพอได้นั่งแล้วก็นั่งยาวไปเลย ไม่เห็นลุกออกมาอีกเลย

และที่ผมสังเกตพบอีกอย่างก็คือ คนที่ยืนและเดินอยู่ที่ทางเดินด้านข้างนั้นมีแต่ผู้ชาย!

จากการสังเกตในความมืดของโรงหนัง คนที่ยืนอยู่ที่ทางเดินข้างโรงนั้นน่าจะมีทั้งคนหนุ่มและคนแก่ แต่คนหนุ่มดูจะมากกว่า และเมื่อสังเกตต่อไปอีก ผมก็พบว่าคนที่ยืนข้างโรงแล้วเข้าไปนั่งตรงที่นั่งนั้น มักจะนั่งใกล้กับใครบางคน จากนั้นสักครู่ก็จะขยับเข้าไปนั่งติดกัน จากนั้นบางคนก็นั่งดูหนังด้วยกันไปเลย ส่วนบางคนนั่งไปก็ลุกออกมา หรือบางทีคนที่นั่งติดกันก็ลุกหนีแทน

มันเข้ามาดูหนังหรือมาทำอะไรกันวะเนี่ย ผมคิดในใจด้วยความสงสัย ตอนนั้นนึกไม่ออกว่าพฤติกรรมแปลกๆแบบนี้มันหมายถึงอะไร แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยปกติธรรมดา

ผมเหลือบไปดูพี่เอ้กับไอ้นัย เห็นสองคนนี้นั่งดูหนังตาแป๋ว ไม่สนใจสภาพรอบข้าง พอเอาศอกกระทุ้งสีข้างไอ้นัยเบาๆ พอไอ้นัยหันมา ผมก็บุ้ยใบ้ให้ไอ้นัยดูพวกที่ยืนและเดินไปเดินมาอยู่ที่ทางเดินบ้าง ตอนนั้นผมไม่เรียกให้พี่เอ้ดู เรียกแต่ไอ้นัย ไม่ทราบว่าทำไมเหมือนกัน

ไอ้นัยละความสนใจจากหนัง หันไปสนใจกลุ่มชายที่ยืนอยู่ข้างโรงบ้าง สักพักผมก็กระซิบกับไอ้นัย

“มึงว่าพวกนี้มันแปลกๆไหมวะ” ผมกระซิบเบาๆ ไม่ให้พี่เอ้ได้ยิน ไอ้นัยพยักหน้าเห็นด้วย

“เดี๋ยวกูมา ไปเยี่ยวก่อน” ผมพูดกับไอ้นัย ว่าแล้วก็ลุกจากที่นั่ง

ที่จริงถ้าจะเดินไปห้องน้ำ ผมลุกจากที่นั่งแล้วเดินอ้อมไปทางหลังโรงก็ได้ แต่นี่ผมจงใจเดินไปตามทางเดินข้างโรงเพื่อจะไปอ้อมหน้าจอหนัง แล้วย้อนไปที่ห้องน้ำอีกที ซึ่งไกลกว่า

ผมเดินผ่านเหล่าคนที่ยืนอยู่ประปรายตามทางเดินข้างโรง เมื่อเดินไปใกล้ๆจึงเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน อายุราวสามสิบขึ้นไป อายุราวห้าหกสิบมีนิดหน่อย ส่วนหนุ่มๆวัยยี่สิบกว่าก็มีนิดหน่อย รวมแล้วราวสิบกว่าคนเห็นจะได้

ผมเดินลึกเข้าไปทางด้านหน้าโรงหนัง ที่นั่งด้านใกล้จอกลับมีคนนั่งอยู่หนาแน่น ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะคนทั่วไปมักชอบนั่งดูหนังไกลๆจอ และเมื่อผมมองเข้าไปสำรวจตามที่นั่งที่มีคนนั่งอยู่ เห็นผู้ชายนั่งกันเป็นคู่ๆ บางคนก็นั่งเดี่ยว แล้วก็เว้นเก้าอี้ว่างไปหน่อย จากนั้นก็มีนั่งเดี่ยวหรือนั่งคู่อีก และเมื่อสังเกตดูพวกที่นั่งกันเป็นคู่ ผมก็ต้องตกตะลึง

พระเจ้าช่วย!!!


<โรงหนังแคปปิตอล โรงหนังนี้เคยเป็นโรงชั้นหนึ่งมาก่อน ต่อมาเมื่อผ่านพ้นยุครุ่งเรืองก็กลายเป็นโรงหนังชั้นสอง ฉายหนังควบแทน สภาพโรงเก่าแก่คร่ำคร่า ขาดการดูแลรักษา หนังที่ฉายก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย หนังทั่วไปก็มี หนังเรตอาร์หรือแม้แต่หนังเรตเอ็กซ์ก็มี เคยถูกจับแล้วปิดโรงก็หลายครั้งเพราะฉายหนังเรตเอ็กซ์ แต่ในที่สุดก็กลับมาเปิดได้อีก ปัจจุบันถูกรื้อไปแล้ว กลายเป็นคลองถมแลนด์แทน ภาพที่เห็นนั้น ภาพบนเป็นโรงหนังในอดีต โรงหนังแคปปิตอลคือตึกส่วนที่มีป้ายไฟขาวเขียวติดอยู่ข้างหน้า ส่วนด้านล่างคือภาพในปัจจุบัน>

Tuesday, April 14, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 75

จากเสียงที่คุยกัน แม้จะได้ยินไม่ชัด แต่ก็พอรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องมีกันหลายคน ไม่ได้มีเพียงไอ้นัยและพี่เต้ คล้ายกับว่ามีการประชุมกันอยู่จริงๆ

ผมรู้สึกงุนงง เพราะไม่รู้ว่าไอ้นัยมาประชุมอะไร และทำไมต้องมีพี่เต้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะบุกเข้าไปหาไอ้นัยเลยตอนนี้ก็ไม่กล้าทำ เพราะเมื่อมีการประชุมกันจริง หากผมผลีผลามเข้าไป ผมเองจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น และที่สำคัญ ไอ้นัยคงคิดว่าผมงี่เง่าสิ้นดี

ผมเก็บความอึดอัดสงสัยและความไม่พอใจเอาไว้ และรีบกลับมายังห้องสหกรณ์ ตั้งใจว่าจะถามไอ้นัยให้รู้เรื่องเมื่อมันกลับมา แต่ปรากฏว่าจนเย็นแล้วไอ้นัยก็ยังไม่กลับมา ผมรอต่อไปไม่ไหวจึงต้องกลับบ้านไปก่อน

วันรุ่งขึ้น

เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อคืนผมรู้สึกนอนไม่ค่อยหลับนิดหน่อย คือหลับช้า แล้วก็หลับๆตื่นๆ จะให้ข่มตาหลับได้อย่างไรเมื่อในใจมันสับสนวุ่นวายไปหมด

เมื่อผมเจอหน้าไอ้นัยและหาที่นั่งบนรถเมล์ได้เรียบร้อย ผมก็รีบถามเรื่องที่คาใจอยู่ทันที

“ไอ้นัย เมื่อวานยังคุยกันไม่จบเลย ตกลงมึงไปประชุมอะไรกันแน่วะ” ผมถาม

“เอ้อ...” ไอ้นัยอึ้งไปนิดหน่อย

“ทำไมมึงต้องปิดบังกูด้วยวะ มันเป็นความลับมากนักหรือไง เดี๋ยวนี้มึงมีอะไรก็ชอบปิดกู” คำพูดของผมพรั่งพรูออกมาด้วยความน้อยใจที่เก็บเอาไว้มานาน “มึงบอกพี่เต้ได้ แต่มึงบอกกูไม่ได้”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูบอกพี่เต้แต่ไม่ได้บอกมึง” ไอ้นัยมองผมด้วยสีหน้าแสดงความสงสัย

“กูรู้ละกัน หรือว่าไม่จริง” ผมคาดคั้น

ไอ้นัยถอนหายใจ

“กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดมึงหรอกนะอู แต่กูไม่รู้จะบอกมึงยังไงต่างหาก” ไอ้นัยหยุดคิดนึดหนึ่ง “กูไปประชุมกับพวกเซลล์กรุ๊ปน่ะ กลุ่มนี้เป็นพวกนักเรียนที่เป็นคริสเตียนในโรงเรียนเรา”

“ประชุมกับกลุ่มคริสเตียน” ผมทวนคำด้วยความงุงงง คำตอบของไอ้นัยเป็นคำตอบที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน “แล้วมึงไปเกี่ยวอะไรกับพวกคริสเตียน”

“กูอยากรู้เรื่องพระเจ้าน่ะ” ไอ้นัยตอบเสียงราบเรียบ

ไอ้นัยเล่าให้ฟังว่ามันรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าและความเชื่อของพวกชาวคริสต์ขึ้นมา พอดีในห้องของไอ้นัยมีนักเรียนที่เป็นคริสเตียนอยู่คนหนึ่ง มันจึงลองถามเรื่องของพระเจ้าดู เพื่อนคนนี้จึงแนะนำให้ฟังว่าในโรงเรียนมีนักเรียนที่เป็นคริสเตียนอยู่หลายคน และมีการรวมกลุ่มกัน โดยจะมีการพบปะเพื่อพูดคุยและอธิษฐานกันสัปดาห์ละครั้ง กลุ่มประชุมนี้เรียกว่าเซลล์กรุ๊ป เพื่อนของไอ้นัยจึงพาไอ้นัยมาร่วมประชุมด้วย และได้แนะนำให้รู้จักกับนักเรียนคริสเตียนคนอื่นๆ รวมทั้งได้พูดคุยกันเรื่องของพระเจ้า

นักเรียนคนใดที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธสังเกตได้ไม่ยาก ตอนเช้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติจะมีการสวดมนต์ ใครที่ไม่ได้พนมมือสวดมนต์ ส่วนใหญ่แล้วคนนั้นถ้าไม่ใช่คริสเตียนก็เป็นคาทอลิก หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นมุสลิม

ผมยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงงหนักยิ่งขึ้น ไอ้นัยกับผมอยู่ในโรงเรียนคาทอลิกมาจนจบชั้นประถม แต่ไอ้นัยไม่เคยแสดงความสนใจใคร่รู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าแม้แต่น้อย แต่จู่ๆก็กลับสนใจอยากรู้ขึ้นมาในตอนนี้

ทันใดนั้นเอง ผมฉุกใจคิด หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับหนังสือ ๒๓ นิยายของตอลสตอยที่ไอ้นัยเพิ่งอ่านไป ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้เล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่กระจ่างพอ

“แล้วทำไมมึงต้องทำลึกลับด้วยวะ ทำไมบอกกูตรงๆไม่ได้” ผมถามคำถามที่คาใจออกไป

ไอ้นัยถอนหายใจอีก

“กูกลัวมึงหัวเราะเยาะ” ไอ้นัยตอบ “เพราะมันดูแปลกๆ”

“มึงรู้ด้วยเหรอว่ามันแปลก” ผมอดประชดไม่ได้

“เห็นไหมล่ะ พอบอกแล้วมึงก็เป็นยังงี้แหละ” ไอ้นัยต่อว่า

ผมถอนหายใจบ้าง คนในรถเมล์แน่นขนัด ผมกับไอ้นัยถอนใจกันคนละทีสองที คนรอบข้างคงสงสัยว่านักเรียนสองคนนี้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรนักหนา

“แล้วทำไมมึงบอกพี่เต้ได้ล่ะ” ผมถามเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่อีกเรื่องหนึ่ง

“กูไม่ได้บอกพี่เต้หรอก แต่เค้าเดินมาเจอตอนที่กูจะไปประชุมเซลล์กรุ๊ปพอดี เค้าถามว่ากูจะไปไหนกูก็ตอบไปตามตรง พี่เต้รู้ก็เลยขอไปนั่งฟังเป็นเพื่อนด้วย”

“แล้วทำไมมึงไม่ชวนกูไปนั่งฟังเป็นเพื่อนด้วยล่ะ” ผมถามรุกไล่ต่อไปอีก มันฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่งี่เง่า และก็เหมือนคำถามเพื่อตีรวน แต่ผมก็อยากรู้คำตอบจริงๆ ทำไมมันจึงเห็นพี่เต้ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือนสำคัญกว่าผมที่เป็นเพื่อนกับมันมาตั้งแต่วัยเด็ก

“...” ไอ้นัยถอนหายใจอีก และมีสีหน้าอึดอัด “ก็บอกแล้ว มันเป็นเรื่องบังเอิญนะอู กูไม่ได้ชวนพี่เต้ไปเป็นเพื่อนกู เค้าอยากไปนั่งฟังเอง”

“เออ เออ ช่างมันเถอะ” ผมพูดอย่างท้อแท้ เห็นสีหน้ามันแล้วก็สงสาร ไม่อยากถามต่อแล้ว

- - -

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นัยที่แต่เดิมดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก ต่อมาก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นหลังจากเหตุการณ์กบฏ ๙ กันยาที่ผ่านมา เมื่อมาถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ของเรากลับดูอึมครึมอีก

ไอ้นัยยังคงไปประชุมกลุ่มเซลล์กรุ๊ปของนักเรียนคริสเตียนทุกวันพุธเช่นเคย แต่หลังจากวันนั้น ผมก็อาสาไปนั่งเป็นเพื่อนมันด้วย ในเมื่อไอ้พี่เต้ไปเป็นเพื่อนมันได้ ผมก็น่าจะไปได้

กลุ่มนักเรียนคริสตียนในโรงเรียนในช่วงนั้นเท่าที่รวมตัวกันได้มีอยู่เกือบ ๑๐ คน มีทุกระดับชั้นตั้งแต่ชั้นน้องเล็กยันพี่ใหญ่ แต่ในการประชุมเซลล์กรุ๊ปแต่ละครั้งไม่ได้มากันครบทุกคน คงหมุนเวียนกันมาตามแต่เวลาจะอำนวย การจัดประชุมก็อาศัยตามห้องเรียนนั่นเอง โดยเวียนไปตามห้องของนักเรียนที่เป็นคริสเตียน ปกติจะมีผู้มาประชุมกลุ่มครั้งหนึ่งราว ๔-๕ คน เมื่อมีไอ้นัย ผมและพี่เต้มาร่วมวงด้วยจึงทำให้การประชุมคึกคักขึ้นอีกไม่น้อย

วันที่ผมลองไปเป็นเพื่อนไอ้นัยเพื่อประชุมเซลล์กรุ๊ป ครั้งนั้นพี่เต้ไม่โผล่มา เห็นทีว่าเรื่องที่พี่เต้มาประชุมในครั้งก่อนๆน่าจะเป็นความบังเอิญจริงๆ

พวกนักเรียนคริสเตียนที่มาประชุมกันนั้น ผมสังเกตว่าเป็นคนที่มีนิสัยเรียบร้อยทั้งนั้น พวกนี้ไม่พูดจาหยาบคาย ผิดจากนักเรียนทั่วไป ในการประชุมก็มีการอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล จากนั้นก็อธิษฐานร่วมกัน และคุยเรื่องราวความรักของพระเจ้าให้ไอ้นัยและผมฟัง ซึ่งถ้าพูดถึงเนื้อหาแล้ว เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลหลายต่อหลายเรื่องผมกับไอ้นัยก็เคยรู้มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม แต่ถ้าพูดถึงประสบการณ์ด้านจิตใจจากการพบกันครั้งแรก ผมพบว่าคนเหล่านี้แสดงออกถึงความเป็นคริสเตียนด้วยความประพฤติของตนเอง มิใช่ด้วยการเที่ยวบอกคนอื่นว่าตนเองเป็นคริสเตียน หรือด้วยรูปแบบพิธีกรรมทางศาสนา

“เป็นไง ประทับใจเหรอ เงียบเชียว” เสียงไอ้นัยเรียกผม เราเพิ่งเลิกจากการประชุมและกำลังเดินไปด้วยกันเพื่อจะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน

ที่จริงผมเงียบไปเพราะกำลังใช้ความคิดเรื่องไอ้นัย ไม่ใช่เพราะความประทับใจ จู่ๆไอ้นัยหันมาสนใจศาสนาคริสต์ หนังสือเล่มนั้นคงมีส่วนชักนำ แต่ผมไม่คิดว่าหนังสือเพียงเล่มเดียวจะมีอิทธิพลต่อความคิดของไอ้นัยได้ขนาดนี้ เรื่องนี้คงมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย ผมนึกถึงคำว่า ‘แรงจูงใจ’ ของไอ้นักสืบจิขึ้นมา อะไรล่ะที่เป็นแรงจูงใจของไอ้นัย?

- - -

กลางเดือนธันวาคม

อากาศในฤดูหนาวแม้จะไม่ถึงกับหนาว แต่ก็เย็นสบาย ใกล้ถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่อีกแล้ว...

เวลาแต่ละปีดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปีที่แล้ว ผมต้องวุ่นวายกับเรื่องของไอ้โหนก เมื่อปีก่อนโน้นก็มีเรื่องยุ่งวุ่นวายในช่วงฤดูหนาวนี่เอง ปีนี้ดูจะดีหน่อย แม้เรื่องราวระหว่างผมกับไอ้นัยจะไม่ราบรื่นอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะจัดได้ว่าปีนี้สุขสงบกว่าหลายๆปีที่ผ่านมา

ไอ้นัยยังคงไปประชุมเซลล์กรุ๊ปทุกวันพุธ ผมเองไปเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะว่าไม่อยากกลับบ้านเย็น นอกจากนี้ ไอ้นัยยังติดโอชินงอมแงม สี่สิบกว่าม้วนดูมาตั้งเดือนแล้วก็ยังดูไม่จบเสียที

พี่เต้ก็ยังแวะเวียนไปมาที่ห้องสหกรณ์เป็นประจำ แต่บรรยากาศภายในห้องสหกรณ์ดูไม่เหมือนเดิม พี่มั่วหลังจากที่ถูกอาจารย์เรียกไปตำหนิเรื่องวีดิโอเทปชุดโอชินก็กลับกลายเป็นคนละคนไป จากเดิมที่เป็นคนกระตือรือร้นในการทำงาน กลับกลายเป็นคนหมดไฟ ทำงานไปอย่างแกนๆ แถมยังมาบ้างไม่มาบ้าง ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน หรือบางทีมาแต่ก็ไม่ทำอะไร เพียงแค่มานั่งเฉยๆ

เมื่อพี่มั่วดูแลงานน้อยลง ผู้ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นก็คือรุ่นพี่ ม.๔ ซึ่งก็คือพี่เอ้กับพี่หมีสองสหายนั่นเอง

เดือนธันวาคมในปีนี้แตกต่างไปจากปีที่แล้วบ้าง เพราะว่าทางโรงเรียนจัดให้มีกิจกรรมกีฬาสีขึ้นเป็นเวลา ๓ วัน ที่จริงทางโรงเรียนจัดให้มีการแข่งขันกีฬาสีเป็นประจำทุกปี แต่ว่าปีที่แล้วเกิดเหตุขัดข้องอะไรขึ้นก็ไม่ทราบ ทำให้ต้องงดการแข่งขันไปปีหนึ่ง และกลับมาจัดอีกครั้งในปีนี้

การแข่งขันกีฬาสีเป็นการแข่งขันกันภายในโรงเรียน เวลาแข่งทั้งหมด ๓ วัน ในสามวันนั้นไม่มีการเรียนการสอน แต่นักเรียนทุกคนต้องมาโรงเรียน ใครที่ไม่แข่งก็ต้องมาเชียร์ ในวันแข่งกีฬาสี นักเรียนไม่ต้องใส่เสื้อนักเรียน แต่ให้ใส่เสื้อยืดประจำสีของตนมา หรือไม่ก็เสื้อยืดตราโรงเรียน

“เฮ้อ ตากแดดเชียร์ตั้งแต่เช้าแล้ว เซ็ง” ไอ้นัยบ่นอุบ เราสองคนมานั่งพักอยู่ในห้องสหกรณ์ หลังจากที่เชียร์กีฬามาทั้งเช้าจนแสบคอ ช่วงแข่งกีฬาห้องสหกรณ์ปิดบริการ แต่พวกเราก็ยังเข้ามาใช้เป็นที่ซ่องสุม ช่วงนั้นมีเพียงพี่เอ้ ไอ้นัย และผม ที่หลบอยู่ในห้อง

ปกติไอ้นัยไม่ค่อยบ่นอะไร มันถึงกับบ่นขึ้นมาแสดงว่าคงเซ็งอย่างแรง

“นั่งมันอยู่ที่นี่ละวะ รอจนเลิกแล้วจะได้กลับบ้าน” ผมปลอบใจไอ้นัย

ไอ้นัยถอนหายใจดังปู้ด

“ไปดูหนังกันไหม เด็กๆ” พี่เอ้ชวน

“ตอนนี้อะนะ” ผมถาม พี่เอ้พยักหน้า

“ไปได้ไง โรงเรียนยังไม่เลิก” ผมยังไม่เข้าใจ

“ก็ไปทั้งๆยังไม่เลิกนี่แหละ” พี่เอ้ตอบ

“งั้นก็หนีโรงเรียนดิ” ไอ้นัยถามขึ้นมาบ้าง แต่แววตาของมันดูแจ่มใสขึ้น

“ไม่ได้หนี แค่ออกไปเฉยๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีก” พี่เอ้ตอบแบบยียวน แล้วก็หัวเราะ

“นั่นแหละพี่ หนีโรงเรียน เล่นตอบแบบศรีธนญชัย” ผมพูด

“เอ็งจะเรียกอะไรก็ช่างเอ็ง ว่าแต่จะไปหรือเปล่า” พี่เอ้ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย

ไอ้นัยถึงกับยิ้มออก “ไปดิพี่ ไปไปไป”

“เอ็งเด็กดี ไม่ไปก็เฝ้าห้องนะไอ้อู” พี่เอ้ขู่

“ไปด้วยดิ” ผมรีบตอบ “ว่าแต่จะไปดูโรงไหนล่ะ”

สมัยที่ผมเรียน โรงหนังคิงส์ ควีนส์ แกรนด์ ย่านวังบูรพาถูกรื้อไปหมดแล้ว ดิโอลด์สยามก็ยังไม่มี โรงหนังที่มีในย่านนั้นก็จะเป็นเพชรเอ็มไพร์ตรงปากคลองตลาด ฉายหนังไทย แล้วก็เฉลิมกรุง ซึ่งก็ฉายหนังไทยเช่นกัน ถ้าจะดูหนังฝรั่งก็ต้องไปที่สยามสแควร์

“เอาง่ายๆ ดูแถวนี้ละกัน จะได้กลับบ้านกันสะดวก” พี่เอ้ตอบ “ไปดูหนังควบที่แคปปิตอลกันดีกว่า”

“หนังควบเหรอ ดีเลย ไปเลยพี่” ไอ้นัยพูดอย่างอารมณ์ดี ดูท่าไอ้นัยคงไม่เคยดูหนังควบในโรงหนังชั้นสองมาก่อน จึงรู้สึกกระตือรือร้น ที่กรุงเทพฯผมเองก็ไม่เคยดูเหมือนกัน เคยดูแต่ตอนกลับบ้านต่างจังหวัด


<ในยุคหนึ่ง ย่านวังบูรพาจัดว่าเป็นย่านดาวน์ทาวน์ของกรุงเทพฯ มีโรงหนังในย่านนี้หลายแห่ง ที่อยู่ในใจกลางของวังบูรพามีอยู่ ๓ โรง ได้แก่ คิงส์ ควีนส์ และแกรนด์ โรงหนังทั้งสามแห่งนี้เปิดให้บริการในราวปี พ.ศ. ๒๔๙๗ หลังจากนั้นวังบูรพาก็ถึงยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด อันเป็นยุคที่เรียกกันว่า ‘โก๋หลังวัง’

ยุครุ่งเรืองสุดขีดของวังพูรพาดำเนินมาได้ราว ๒๐ ปี ก็ถึงยุคโรยรา หลังปี พ.ศ. ๒๕๒๐ โรงหนังทั้งสามแห่งทยอยต่อมาถูกรื้อไปหมด สถานที่ที่เป็นโรงหนังคิงส์ต่อมากลายเป็นห้างเมอรี่คิงส์ วังบูรพา ตอนที่ผมเรียนมัธยม โรงหนังทั้งสามแห่งนี้ก็ไม่มีแล้ว>

อ่านเรื่อง พรคู่ชีวิต (pdf) จากหนังสือเรื่อง ๒๓ นิยาย เขียนโดย ลีโอ ตอลสตอย แปลโดย อ.สนิทวงศ์ ได้ที่นี่
ดาวน์โหลด 1
ดาวน์โหลด 2 (สำรอง)

Friday, April 10, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 74

วันรุ่งขึ้น เมื่อผมกับไอ้นัยแวะเข้าไปในห้องสหกรณ์ในตอนเช้าก่อนเข้าเรียน เราก็พบว่าในห้องกำลังเอะอะกันอยู่ พี่เอ้กับพี่หมี รุ่นพี่ ม.๔ กำลังแย่งห่อกระดาษในมือของพี่มั่วกันอยู่

“รุ่นพี่ตีกันเองโว้ย” ผมพูดกับไอ้นัย ไอ้นัยหัวเราะขำ

“พี่ๆเล่นอะไรกันอะ” ไอ้นัยถาม ทำให้กลุ่มพี่ๆที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่หยุดลงชั่วคราว

“ไม่ได้เล่น” พี่มั่วตอบ “มันกำลังแย่งของกันอยู่”

“ผมยืมก่อน” พี่เอ้เอะอะ “ผมพูดขึ้นมาก่อน”

“พี่มั่วเอาของดีอะไรมาน่ะ ถึงได้แย่งกัน” ผมถามบ้าง

“พี่ไปได้วีดิโอชุดโอชินมา ว่าจะเอามาให้เช่า คงได้กำไรโข แต่ไอ้พวกนี้มันจะขอดูก่อน”

โอชินที่ว่านี้ก็คือภาพยนตร์ซีรีส์ญี่ปุ่นที่โด่งดังมาก เรื่อง ‘สงครามชีวิต โอชิน’ ซึ่งฉายทางทีวีช่อง ๕ ช่วงเย็น ฉายต่อเนื่องมาเป็นปีแล้ว คนดูติดกันงอมแงม ร้องไห้กันน้ำตาท่วมจอทีวี โดยเฉพาะเมื่อวันที่ถึงตอนอวสาน เย็นวันนั้นถนนหนทางในกรุงเทพฯถึงกับโล่งไปหมด เพราะว่าทุกคนต่างก็จะรีบกลับบ้านเพื่อไปดูตอนอวสาน คุณป้าก็ติดหนังเรื่องนี้งอมแงมเหมือนกัน แต่ผมกลับบ้านไม่ทัน เลยไม่ค่อยได้ดูสักที ได้ดูบ้างเป็นบางครั้งก็ในช่วงปิดเทอม นักเรียนชายไม่ค่อยสนใจหนังแนวชีวิตรันทดน้ำตาท่วมจออยู่แล้ว อีกอย่าง ถ้านักเรียนที่อยู่บ้านไกลถึงอยากดูก็กลับไม่ทันอยู่ดี แต่อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้โด่งดังและพูดถึงกันมาก แม้แต่ผมเองถ้ามีโอกาสก็อยากลองดูให้ตลอดเรื่องเหมือนกัน

“โอชินเหรอครับ อยากดูๆ” ไอ้นัยเกิดอยากดูขึ้นมาบ้าง

“เอ็งไม่สนใจเหรออู” พี่มั่วหันมาถามผม คงรู้สึกแปลกใจที่ผมไม่สนใจ

“ก็สนครับ แต่ว่าที่บ้านดูไม่ค่อยสะดวก ไม่เอาดีกว่าครับ” ผมตอบ เพราะว่าเอาไปก็ไม่รู้จะหาโอกาสดูได้เมื่อไร เกรงใจคุณลุงคุณป้า

“เอามานี่ พี่มั่ว” พี่เอ้พยายามยื้อแย่งกับพี่หมีอีก

พี่มั่วเอาห่อวีดิโอซ่อนไว้ข้างหลัง

“เฮ้ย ไม่ได้ รุ่นพี่ต้องเสียสละให้รุ่นน้องสิวะ ให้ไอ้นัยมันก่อนละกัน” พี่มั่วพูด

ระบบอาวุโสในโรงเรียนในยุคที่ผมเรียนมัธยมแม้จะเริ่มเสื่อมคลายไปบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เราได้รับการสั่งสอนต่อๆกันมาว่ารุ่นพี่ต้องดูแลรุ่นน้อง มีอะไรก็ต้องเสียสละให้รุ่นน้องก่อนเสมอ

พี่เอ้กับพี่หมีบ่นอุบอิบด้วยความเสียดาย ส่วนไอ้นัยหน้าระรื่น

“ไอ้นัยเป็นตาอยู่ไปเลยนะเอ็ง เป็นน้องก็ดียังงี้แหละ” พี่เอ้บ่น ที่จริงก็บ่นไปยังงั้นเอง เพราะว่าทั้งสองคนปกติก็สนิทกับผมและไอ้นัย มักปล่อยมุขเล่นกันเป็นประจำ

เนื่องจากวีดิโอเทปชุดนี้มีความยาวมาก จำได้ว่าราวสี่สิบกว่าม้วน สำหรับวีดิโอเทปขนาด ๙๐ นาที ที่พี่มั่วเอามาในวันนี้ก็เพียงแค่ส่วนเดียว เป็นอันว่าไอ้นัยเลยได้ม้วนต้นเอาดูก่อนสองม้วน หลังจากนั้นก็เวียนให้พี่ๆดูกัน จากนั้นจึงค่อยทยอยเอามาปล่อยเช่า

ตอนพักเที่ยงวันนั้น พี่เต้มาพร้อมกับเอารูปถ่ายตอนไปเที่ยวสิงคโปร์มาให้ดูตามสัญญา คนที่สนใจดูมากที่สุดคงเป็นไอ้นัย เพราะค่อยๆดูอย่างช้าๆ ดูไปก็ชมไป ในขณะที่คนอื่นพลิกดูอย่างรวดเร็ว

- - -

เมื่อสหกรณ์เปิดให้บริการอีกครั้งในภาคเรียนใหม่ ทั้งครูและนักเรียนต่างก็แวะเวียนกันมาใช้บริการ โดยเฉพาะวีดิโอเทปชุดสงครามชีวิตโอชินนั้น นับว่าพี่มั่วคาดการณ์ตลาดได้อย่างถูกต้อง เพราะว่ากลุ่มอาจารย์หญิงสนใจเช่าไปดูกันจนต้องต่อคิวจอง และให้เช่าครั้งละไม่เกินสองม้วน น่าเสียดายที่มีอยู่เพียงชุดเดียว ทำให้บริการได้ไม่ค่อยทันใจ

ในสัปดาห์ถัดมา ในที่สุดไอ้นัยก็เอาหนังสือ ๒๓ นิยายไปคืนห้องสมุด ผมแอบไปยืมต่อจากไอ้นัยโดยไม่ให้มันรู้ เพราะต้องการดูว่ามีเบาะแสใดที่สามารถสืบสาวไปถึงความลับที่ไอ้นัยปกปิดอยู่หรือไม่ ผมใช้เวลาอ่านอยู่หลายวัน แรกๆก็ฝืนใจอ่าน แต่ต่อมาก็อ่านจนเพลินไปเหมือนกัน ผู้เขียนคงเป็นคริสตศาสนิกชน เพราะว่าในหนังสือพูดถึงเรื่องความเชื่อในพระเจ้าตลอดทั้งเล่ม แต่เมื่ออ่านจนจบเล่มแล้วก็ยังไม่คลำพบเบาะแสแต่อย่างใด

วันหนึ่ง ในขณะที่นั่งรถเมล์มาด้วยกกันในตอนเช้า ผมสังเกตเห็นว่าพวงกุญแจที่ไอ้นัยใช้อยู่ไม่ใช่พวงเดิม ปกติไอ้นัยจะพกกุญแจบ้านสองดอกใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยคล้องไว้ในพวงกุญแจ พวงกุญแจนี้ตรงส่วนพู่เดิมทีจะเป็นเชือกถักทำเป็นคล้ายๆตัวกุ้ง แต่วันนี้ ผมเห็นส่วนพู่ของพวงกุญแจของไอ้นัยแลบออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันเป็นรูปสัตว์ประหลาด หัวคล้ายสิงโต ตัวคล้ายปลา เป็นสีทอง

“เอ๊ะ เปลี่ยนพวงกุญแจเหรอ” ผมทัก

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบ

“นี่มันตัวอะไรวะ” ผมถาม

“สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ไง” ไอ้นัยตอบ

สิงคโปร์... ผมเอะใจขึ้นมา

“เอามาจากไหนน่ะ” ผมถามต่อ

“พี่เต้ให้มา” ไอ้นัยตอบอย่างภูมิใจ

จู่ๆผมก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“ก็ไหนพี่เต้บอกว่าไม่ได้ซื้อของมาฝากใครไง” ผมพยายามจับผิดพี่เต้

“อันนี้พี่เต้เค้าซื้อมาใช้เอง แล้วไม่รู้ยังไงเหมือนกัน เปลี่ยนใจเอามาให้กู” ไอ้นัยอธิบาย “สวยดีนะ”

ไม่รู้ว่าพี่เต้ให้ไอ้นัยตอนไหน ผมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกเซ็งจนไม่อยากซักไซร้ไอ้นัยต่อไป เรื่องที่เกี่ยวกับพี่เต้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มักทำให้ผมขุ่นข้องรำคาญใจได้อย่างประหลาด

- - -

หลังจากที่สหกรณ์เอาวีดิโอเทปเรื่องสงครามชีวิตโอชินมาให้เช่าได้ไม่นาน พี่มั่วก็ถูกอาจารย์ที่ปรึกษาของสหกรณ์เรียกไปตำหนิ เพราะว่าการนำเอาวีดิโอเทปมาให้บริการถือว่าผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากที่นี่เป็นสหกรณ์ส่งเสริมการอ่าน จึงควรเน้นเฉพาะสิ่งพิมพ์ อีกประการ วีดิโอเทปชุดนี้เป็นชุดผี กล่าวคือ มีผู้อัดจากทีวีแล้วเอามาทำเป็นชุดเพื่อขาย ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น เป็นอันว่าวีดิโอเทปชุดดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาให้เช่าได้ต่อไป คงต้องเก็บเอาไว้ดูกันเอง

“เอ้า ไอ้เอ้ ไอ้หมี พวกเอ็งเอาไปดูเสียให้พอ อยากดูกันนัก” พี่มั่วพูดด้วยสีหน้าสุดเซ็งในตอนบ่ายหลังเลิกเรียน หลังจากที่ลงมาจากห้องพักอาจารย์และเล่าเรื่องที่โดนตำหนิให้น้องๆฟัง

“ไม่เป็นไรน่าพี่ ถึงยังไงพี่ก็ทำเพราะตั้งใจดี อย่าท้อดิ” พี่เอ้พยายามปลอบใจหลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมด

“ช่าย ทำงานก็ต้องมีปัญหาบ้าง” พี่หมีสนับสนุน “ถึงยังไงก็ได้ค่าเช่าคุ้มแล้ว ไม่ถึงกับขาดทุน หยุดตอนนี้ก็ไม่เสียอะไร”

“เสียหน้าโว้ย ฮิฮิ” พี่เอ้แหย่

พี่มั่วหัวเราะ ยกเท้าเตะพี่เอ้เบาๆ “เดี๋ยวเถอะเอ็ง กวนตีนนัก”

ขณะที่พวกพี่ๆคุยกันอยู่หลังตู้นั้น ผมเองก็ออกมาให้บริการที่ด้านหน้า วันนั้นไอ้นัยยังไม่เข้ามาเลย

เอ ไอ้นัยไปไหนหว่า ผมนึกในใจ เลิกเรียนได้สักพักแล้วยังไม่เห็นไอ้นัยเลย ถึงวันนี้ไม่ใช่เวรมันให้บริการ แต่ปกติมันก็มักมานั่งเล่น

เพิ่งจะนึกถึงไอ้นัย ไอ้นัยก็เดินเข้ามาพอดี

“อู วันนี้มีประชุมอะ ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร มึงกลับก่อนละกัน” ไอ้นัยพูด

“อ้าว เหรอ ไม่เห็นมึงบอกก่อนเลย” ผมงง

“ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน” ไอ้นัยพูด “ไปก่อนนะ” ว่าแล้วก็รีบเดินจากไป

ผมคิดว่าคงเป็นการประชุมของพวกหัวหน้าห้องเรื่องงานลอยกระทงประจำปี ที่โรงเรียนของเรามีการจัดงานลอยกระทงขึ้นเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทย เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงวันลอยกระทงเข้ามาแล้ว

งานลอยกระทงของโรงเรียนนั้น แม้ว่าในโรงเรียนจะไม่มีสระน้ำหรือว่าบ่อน้ำให้ลอยกระทงเลยก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ทางโรงเรียนก็จัดให้มีการประกวดกระทงกัน โดยแต่ละห้องจะต้องทำกระทงมาประกวด เมื่อประกวดในระดับชั้นแล้วก็คัดกระทงที่ชนะจากแต่ละระดับชั้นมาประกวดในระหว่างระดับชั้นต่อไป

นอกจากประกวดกระทงแล้ว ยังมีการประกวดนางนพมาศอีกด้วย ทั้งๆที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนชาย ที่จริงก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่านางนพมาศหรือว่านายนพมาศดี เพราะว่าเอานักเรียนชายมาแต่งเป็นนางนพมาศ แต่ละระดับชั้นหาตัวแทนมาแต่งตัวเป็นนางนพมาศเพื่อเข้าประกวด ผู้ที่ได้รับการตัดสินให้ชนะเลิศจะได้เป็นนางนพมาศหรือว่านายนพมาศของโรงเรียนประจำปีนั้นไป

นางนพมาศแม้จะใช้นักเรียนชายมาแต่งก็ตาม แต่เมื่อแต่งแล้วก็สวยน่ารักไม่แพ้นางนพมาศหญิงแท้ อย่างนางนพมาศประจำปีที่แล้ว ตอนที่ผมอยู่ ม.๑ เมื่อแต่งแล้วก็สวยมาก หน้าหวานจิ้มลิ้ม สวยกว่าหญิงสาวแท้ๆหลายคนด้วยซ้ำไป ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเป็นนักเรียนชาย

- - -

ในสัปดาห์ถัดมา ไอ้นัยก็มีธุระต้องประชุมในตอนเย็นอีก และในสัปดาห์ต่อมา แม้จนถึงต้นเดือนธันวาคม งานลอยกระทงผ่านพ้นไปแล้ว ไอ้นัยก็ยังมีประชุมอีก

“เฮ้ย ประชุมห่าอะไรวะ งานลอยกระทงมันเลยไปแล้ว” ผมถามไอ้นัยเมื่อมันมาบอกว่ามีประชุมอีก และให้ผมกลับบ้านก่อน

ไอ้นัยทำหน้างง “กูไม่ได้ประชุมเรื่องลอยกระทงสักหน่อย ใครบอกมึงวะ”

“อ้าว” คราวนี้ถึงทีผมงงบ้าง “ไม่มีใครบอกหรอก กูเข้าใจเอาเอง แล้วมึงประชุมเรื่องอะไรวะ”

“ประชุมกับเพื่อนที่ห้องน่ะ” ไอ้นัยตอบ

คำตอบนี้เป็นคำตอบแบบเลี่ยงๆ ไอ้นัยพยายามปกปิดไม่ให้ผมรู้ความจริงอะไรบางอย่างอีกแล้ว ผมรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอีก ผมเห็นมันเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด ผมไม่เคยมีความลับอะไรกับไอ้นัยเลย แต่มันกลับเห็นผมเป็นคนอื่น มีอะไรก็ไม่ยอมบอก...

ผมเริ่มฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง... ตารางทำงานที่สหกรณ์ของไอ้นัยจะว่างในตอนบ่ายวันพุธ และทุกครั้งที่มันบอกว่ามีประชุมก็เป็นบ่ายวันพุธ หรือว่ามันรู้ว่าจะต้องมีการประชุมอยู่เสมอในบ่ายวันพุธ จึงจัดตารางให้ว่างเอาไว้ในช่วงนี้?

“พี่หมีครับ พี่ช่วยแทนผมไปก่อน ผมขอไปส้วมหน่อย” ผมพูดกับพี่หมีเพื่อให้ช่วยบริการลูกค้าแทนผมไปก่อน

จากนั้นผมก็แอบสะกดรอยตามไอ้นัยไป ไม่ได้เดินตามไปห่างๆแบบในหนังนักสืบ เพราะไอ้นัยอาจหันกลับมาและรู้ตัว ผมใช้วิธียืนอยู่บนตึก แล้วดูว่าไอ้นัยออกจากตึกทางปีกไหน และมุ่งไปทางไหน จากนั้นจึงค่อยรีบวิ่งตามไป

ปรากฏว่าไอ้นัยเดินไปทางตึกเรียนของชั้น ม.๓ และ ม.๔

แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ผมก็ติดตามไอ้นัยไป ผมก็แอบอยู่ตรงใต้ต้นไม้ข้างสนามใหญ่หน้าตึก ตึกนี้เป็นตึกรุ่นเก่า แม้ไม่ถึงกับโบราณแต่ก็ต้องบอกว่าเก่าแก่พอควร ลักษณะของตึกไม่ใช่อาคารกล่องทึบภายในติดแอร์ แต่เป็นตึกโปร่งๆ ด้านหน้าของตึกจะเป็นระเบียงและทางเดิน ดังนั้นเมื่อยืนอยู่หน้าตึกก็จะมองเห็นตลอดทุกชั้นว่าที่ระเบียงมีใครอยู่บ้าง รวมทั้งเห็นห้องเรียนอีกด้วย ผมเห็นไอ้นัยเดินขึ้นไปจนถึงชั้นสามและหายเข้าไปในห้องเรียนประมาณช่วงกลางของตึก...

ผมทอดเวลาออกไปสักครู่ จากนั้นเดินขึ้นตึกไปยังชั้นที่สามบ้าง ชั้นนั้นมีห้องเรียนราวสิบห้อง ไอ้นัยคงอยู่ในห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งในช่วงกลาง

ผมเดินจากปีกตึกด้านหนึ่ง เลาะเลียบไปทีละห้อง เมื่อถึงช่วงกลางของตึก ผมระวังตัวมากขึ้น บางห้องที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้ผมจะเดินผ่านไปดุ่ยๆไม่ได้ เพราะหากไอ้นัยอยู่ในห้องก็คงจะเห็นผม ผมต้องหยุดฟังเสียงก่อน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีเสียงคนในห้อง จึงค่อยเดินผ่านไป

ผมเดินผ่านไปจนถึงห้องเรียนห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มเป็นช่องเอาไว้เพียงเล็กน้อย ผมเดินเข้าไปใกล้ พร้อมทั้งเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ภายในห้อง ผมพยายามมองลอดช่องประตูที่แง้มเอาไว้ แต่ก็มองไม่เห็นใคร กลุ่มคนที่คุยกันคงนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดออกมา เสียงหัวเราะนั้นช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน...

มันเป็นเสียงหัวเราะของพี่เต้!!!


<ภาพยนตร์ทีวีชุด "สงครามชีวิตโอชิน" คือละครซีรีส์ของญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 เลยก็ว่าได้

สงครามชีวิตโอชิน เป็นซีรีส์ที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 31 ปี สถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น โดยออกอากาศครั้งแรกในละครช่วงเช้าเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1983 จนถึง วันที่ 31 มีนาคม คศ.1984 โดยออกอากาศต่อเนื่อง 297 ตอน ตอนละ 15 นาที รวมเป็นความยาวของภาพยนตร์ประมาณ 75 ชั่วโมง ซึ่งจัดว่าเป็นซีรีส์ที่ยาวมาก นำมาฉายทางสถานีช่อง ๕ ของไทยในปี ๒๕๒๗ และจบในปี ๒๕๒๘

ในการสำรวจเรตติง ซีรีส์ชุดนี้สามารถสร้างสถิติจำนวนผู้ชมสูงสุดถึงร้อยละ ๖๒.๙ ของผู้ชมทีวีในญี่ปุ่น และยังไม่มีซีรีส์เรื่องใดทำลายสถิตินี้ได้แม้ในปัจจุบัน ภาพยนตร์ชุดนี้เพียงชุดเดียวสามารถกอบกู้สถานะการเงินของสถานีโทรทัศน์เอนเอชเคได้ราวปาฏิหาริย์

ความแรงของชีวิตโอชินมิได้หยุดอยู่แค่ภายในเกาะญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ถูกนำออกฉายใน 59 ประเทศทั่วโลก แม้แต่ในประเทศจีนเองที่มีกระแสต่อต้านญี่ปุ่นอันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้ชมกว่าสองร้อยล้านคนทั่วโลก

สงครามชีวิตโอชิน เรื่องราวชะตากรรมของผู้หญิงที่สู้ชีวิต จนเป็นแบบอย่างที่น่าจดจำ เป็นเรื่องของเด็กสาวที่เกิดในครอบครัวชาวนาที่ขัดสน จนต้องพลัดพรากจากบ้านไปทำงานเลี้ยงเด็กในร้านค้าไม้ตั้งแต่เด็ก ผ่านอุปสรรคในชีวิตนานัปการ จนในที่สุดได้กลายเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งว่ากันว่าคือห้างเยาฮัน>


<ภาพยนตร์ซีรีส์ชุดสงครามชีวิตโอชิน มีอิทธิพลต่อประชาชนมาก จนถึงขนาดมีการจัดทำเป็นแสตมป์ที่ระลึกในประเทศญี่ปุ่น>

Tuesday, April 7, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 73

ในที่สุดช่วงเวลาปิดเทอมก็หมดลงและเทอมใหม่ก็มาถึง ว่ากันว่าถ้าเรามีความสุข เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราไม่มีความสุข เวลาจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า สำหรับผมนั้น ช่วงเวลาปิดภาคเรียนที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็วกันแน่ เพราะว่ามันมีทั้งช้าและเร็วสลับกันไป

วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนในภาคปลาย ตอนเช้าผมนั่งรถเมล์มากับไอ้นัยเช่นเคย ผมสังเกตว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ไอ้นัยมีสีหน้าที่ไม่ค่อยแจ่มใสนัก ถ้าได้คุยหรือว่าเล่นกัน ไอ้นัยก็ยิ้มและหัวราะได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่อยู่เฉยๆ ไอ้นัยมักมีสีหน้าครุ่นคิด เหมือนกับคนมีความในใจ ไม่ว่าจะถามอย่างไร ไอ้นัยก็บอกว่าไม่มีอะไรตลอด จนบางทีผมก็อดน้อยใจไม่ได้ว่ามีอะไรจึงต้องปิดบังกันขนาดนี้

เมื่อถึงโรงเรียน หลังจากแวะเข้าไปในห้องเรียนเพื่อวางเป้และทักทายเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันร่วมเดือน หลังจากนั้นก็มุ่งตรงไปยังสหกรณ์หรือว่าร้านหนังสือเช่าของเรา ช่วงหลังผมเริ่มรู้สึกผูกพันและติดห้องสหกรณ์มากขึ้น รู้สึกผูกพันกับพี่ๆทุกคนในนั้นเพราะทุกคนเป็นกันเองและให้ความอบอุ่นแก่น้องๆเป็นอย่างดี ห้องสหกรณ์คล้ายกับเป็นห้องพักของผมยามที่ว่างเว้นจากการเรียน และความรู้สึกนี้ผมคิดว่าคงเกิดกับไอ้นัยและรุ่นพี่คนอื่นๆด้วย เพราะเห็นว่างเมื่อไรก็มานั่งเล่นกันในสหกรณ์

สหกรณ์จะเปิดบริการให้เช่าหนังสืออีกครั้งในสามวันข้างหน้า ช่วงนี้ยังไม่เปิดให้บริการเพราะต้องเตรียมซื้อนิตยสารและการ์ตูนใหม่ๆเข้ามา รวมทั้งจัดหนังสือใหม่เข้าชั้นให้เรียบร้อยเสียก่อน

แม้จะเป็นเช้าวันแรกของภาคเรียนใหม่ และสหกรณ์ยังไม่เปิดให้บริการ โดยมีประกาศปิดไว้ที่หน้าประตูห้อง และประตูห้องก็ปิดอยู่ แต่ก็มีลูกค้ารายหนึ่งหลงเข้ามาจนได้

ลูกค้ารายนั้นเปิดประตู ชะโงกหน้าเข้ามา ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน

“คุยกันเอะอะ เสียงดังออกไปนอกห้องเชียว” ลูกค้ารายนั้นทักอย่างกันเอง พี่เต้นั่นเอง

“ยังไม่เปิดครับพี่” ผมบอกพี่เต้

พี่มั่วเอามือตบหัวผมเบาๆเป็นความหมายให้หยุดพูด พร้อมทั้งพูดกับพี่เต้

“เฮ้ย เข้ามาก่อนดิ ยังไม่เปิดให้เช่า แค่มานั่งคุยกันเฉยๆ”

พี่เต้เดินเข้ามาร่วมวงด้วย ผมเหลือบมองไอ้นัย เห็นไอ้นัยยิ้มหน้าระรื่น

“เป็นไงกันบ้าง คุยอะไรกันอยู่ล่ะ” พี่เต้ทักทายแบบไม่เจาะจง จากนั้นก็หันหน้าไปทางไอ้นัย “เป็นไงบ้างเรา ปิดเทอมไปเที่ยวไหนมาบ้าง”

“ก็แค่อยู่บ้าน โรงเรียนดนตรี แล้วก็สยามสแควร์ ไปๆมาๆสามแห่งนี่แหละครับ” ไอ้นัยตอบ แล้วย้อนถามบ้าง “แล้วพี่เต้ไปไหนมาหรือเปล่าอะ”

“ก็นิดหน่อย” พี่เต้ตอบ “คุณพี่คุณแม่ไปเที่ยวสิงคโปร์กัน เลยพาพี่ไปด้วย”

ไอ้นัยมีสีหน้าตื่นเต้น “อู้หู ไปเที่ยวเมืองนอกซะด้วย”

ในยุคนั้นสิงคโปร์และฮ่องกงขึ้นชื่อในเรื่องเป็นแหล่งช้อปปิ้งมากกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมทั้งของอื่นๆ เช่น กล้องถ่ายรูป ฯลฯ มีราคาถูกกว่าที่วางขายในประเทศไทยมาก ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นเมืองปลอดภาษี คนไทยจึงนิยมไปซื้อของกันมาก

“ไหนๆ ไปเมืองนอกมา มีของฝากหรือเปล่า” พี่มั่วทวง

“กูไม่ค่อยได้ซื้อของอะไร ตังค์ติดตัวไม่เยอะด้วย โทษทีว่ะ ไม่มีอะไรมาฝากเลย” พี่เต้ตอบ

“ถ่ายรูปมาหรือเปล่าพี่เต้” ไอ้นัยถาม

“ถ่ายมาตั้งหลายม้วน” พี่เต้ตอบ “อยากดูเหรอ”

“เอามาดิพี่ อยากดู” ไอ้นัยตอบ ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส

หลังจากที่ปิดเทอม สบายใจจากเรื่องพี่เต้มาพักใหญ่ พอเปิดเทอมมาวันแรก ผมก็เริ่มหงุดหงิดกับไอ้พี่เต้อีกแล้ว

“ไปก่อนล่ะ” พี่เต้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เอาไว้มาใหม่ ขอไปห้องสมุดก่อน” ว่าแล้วพี่เต้ก็ลาจากไป

- - -

พักเที่ยงวันนั้น ผมไม่เห็นไอ้นัยไปที่ห้องสหกรณ์เลย ผมเองไปนั่งเล่นอยู่สักพักก็รู้สึกเซ็งๆ จึงออกมาและไปห้องสมุดแทน

ที่ห้องสมุด ผมเดินลัดเลาะไปตามชั้นหนังสือเพื่อหาหนังสือที่ถูกใจอ่านแกเซ็งสักเล่ม เมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน ผมก็เห็นเงาหลังที่คุ้นเคยกำลังนั่นหันหลังให้ผมและอ่านหนังสืออยู่... ไอ้นัยนั่นเอง

มาหลบอยู่ที่นี่เอง ผมคิดในใจ พลางเดินเข้าไปใกล้อย่างแผ่วเบา

โต๊ะนั้นอยู่ส่วนลึกของห้องสมุด มีเพียงไอ้นัยนั่งอยู่คนเดียว ไอ้นัยอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเดินมาใกล้ตัวแม้แต่น้อย

ผมมองจากด้านหลัง เห็นไอ้นัยควักผ้าเช็ดหน้าออกมา ไม่แน่ใจว่าเช็ดหน้าหรือเช็ดตา เพราะหัวของไอ้นัยบังอยู่ ผมย่องเข้าไปใกล้ พลางแหกปากใส่หูของมัน

“แหะ”

ไอ้นัยสะดุ้งเฮือก ปิดหนังสือดังโครม จากนั้นเอาผ้าเช็ดหน้าป้ายที่ตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว

ผมเดินอ้อมมานั่งตรงหน้าของไอ้นัย

“เป็นไง สะดุ้งโหยงเชียวมึง ฮิฮิ” ผมหัวเราะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้แกล้งไอ้นัยเท่าไร พอได้แกล้งแล้วนึกถึงตอนเรียนประถม

“ไอ้ห่านี่” ไอ้นัยด่า พลางรีบเก็บผ้าเช็ดหน้า

“ตามึงเป็นไรเหรอ ทำไมชุ่มๆ” ผมถามด้วยความสงสัย “แล้วนี่อ่านอะไรอยู่วะ”

“หาวนอนแล้วน้ำตามันไหลน่ะ” ไอ้นัยตอบ

มือของไอ้นัยยังวางอยู่บนหนังสือ ผมถือวิสาสะแย่งหนังสือจากมันมาดู ไอ้นัยพยายามยื้อหนังสือเอาไว้

“โธ่ จะหวงไปทำไม กูไม่แย่งมึงอ่านหรอก ขอดูหน่อยเดียวว่าเรื่องอะไร” ผมพูด พลางแย่งหนังสือเอามาจนได้

หนังสือเล่มนั้นเก่าคร่ำคร่า หน้าปกที่แท้จริงไม่อยู่แล้ว ปกแข็งที่เห็นเป็นปกที่บรรณารักษ์ห้องสมุดทำขึ้นเพื่อซ่อมแซม เห็นหน้าปกหนังสือเขียนชื่อเรื่องเอาไว้ว่า

‘๒๓ นิยาย’

หนังสือเล่มนี้แปลจากผลงานของนักเขียนชาวรัสเซีย ลีโอ ตอลสตอย ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณแรรม และเจ้าของผลงานเรื่องสงครามและสันติภาพ ที่มีชื่อเสียง แปลโดย อ.สนิทวงศ์ นักแปลนิทานที่เด็กในยุคผมรู้จักกันดี

“นี่นิยายหรือนิทานกันแน่วะ” ผมพึมพำ พลิกดูคร่าวๆ ที่สารบัญเห็นรายชื่อคล้ายกับชื่อเรื่องนิทานอยู่ บางเรื่องก็มีการกล่าวถึงพระเจ้าและอ้างข้อความในคัมภีร์ไบเบิล

“อ่านเรื่องไหนอยู่ล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ก็อ่านไปเรื่อยๆ” ไอ้นัยตอบไม่ตรงคำถาม

ผมแน่ใจทันทีว่าหนังสือเรื่องนี้ต้องมีอะไรเป็นพิเศษ ผมเริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอีก ทำไมหมู่นี้ไอ้นัยมีความลับกับผมหลายต่อหลายเรื่อง ถามก็ไม่ยอมบอก มันเห็นผมเป็นคนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ แค่หนังสือเล่มเดียวทำไมต้องมีลับลมคมนัยกับผมด้วย แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้โวยวายอะไร เพราะผมวางแผนที่จะสืบให้รู้ว่าไอ้นัยปกปิดอะไรเอาไว้

- - -

ผลสอบของเทอมที่แล้วออกมาแล้ว ผมได้เกรด ๓ ต้นๆเช่นเคย ส่วนไอ้นัยได้ ๓.๕ กว่าๆ ลดลงกว่าเทอมก่อนหน้านั้นหน่อยนึง แต่ถึงอย่างไรก็ยังเกิน ๓.๕

บ่ายวันนั้น หลังเลิกเรียน เรามาพร้อมหน้ากันอีกที่ห้องสหกรณ์ บ่ายวันนี้เราจะต้องไปร้านหนังสือแถววังบูรพาเพื่อซื้อการ์ตูนใหม่ๆเข้ามาเพิ่มบางส่วน

“เดี๋ยวเอ้ไปซื้อหนังสือ นัยไปช่วยพี่เอ้หิ้วของละกัน” พี่มั่วสั่ง พร้อมส่งรายชื่อมาให้พี่เอ้พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง

โชคดีจริง ปกติพี่มั่วจะให้รุ่นพี่เป็นคนไปซื้อหนังสือ แล้วให้รุ่นน้องตามไปช่วยหิ้ว ดังนั้น ไม่ผมก็ไอ้นัยมักจะต้องรุ่นพี่คนใดคนหนึ่งไป ไม่ค่อยได้ไปด้วยกัน วันนี้ถ้าผมต้องเป็นคนตามพี่เอ้ไป แผนของผมก็ไม่อาจดำเนินการได้

เมื่อพี่เอ้กับไอ้นัยออกไปจากห้อง ผมก็เปิดเป้ของไอ้นัยออกดู จริงดังคาด ไอ้นัยยืมหนังสือนิยายเล่มนั้นมา...

ผมเปิดหนังสือออกดู พยายามหาร่องรอยว่าเมื่อเที่ยงไอ้นัยอ่านเรื่องอะไรอยู่ ผมเห็นมีกระดาษชิ้นเล็กๆคั่นอยู่ที่เรื่อง ‘พรคู่ชีวิต’ แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นเรื่องที่ไอ้นัยอ่านอยู่เมื่อเที่ยงจริงหรือไม่ เพราะอาจเป็นกระดาษที่นักเรียนคนไหนคั่นเอาไว้ก็ได้

เมื่อดูแล้วสังเกตความนัยอะไรไม่ได้ ผมจึงเก็บหนังสือกลับคืนลงไปในเป้ตามเดิม




<ภาพถ่ายจากหน้าปกรองและคำนำของหนังสือเรื่อง ‘๒๓ นิยาย’ สังเกตดู พ.ศ.ที่พิมพ์ก็จะรู้ว่าเก่าแก่เพียงใด>

ผู้ที่สนใจผลงาน 23 นิยายของตอลสตอย สามารถอ่านฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ Electronic Text Center, University of Virginia Library หลาน Arus ผู้น่ารักเป็นผู้หาลิงค์มาให้ เรื่อง พรคู่ชีวิต คือเรื่องที่ 4

Saturday, April 4, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 72

ผมเอื้อมมือไปลูบคลำที่เป้ากางเกงของไอ้นัย พบว่ามันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปากผมซุกไซร้ไล่ไปตามพวงแก้ม ใบหู และต้นคอ มือหนึ่งก็เคล้นคลึงที่เป้างกางเกงของไอ้นัย

ไอ้นัยปล่อยให้ผมจู่โจมโดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด เพียงครู่เดียว เราสองก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

เราสองกอดก่ายกันอยู่บนเตียง หน้าท้องและท่อนเนื้อของเราประกบกัน ผมขยับตัวขึ้นลงเล็กน้อยเพื่อให้ท่อนเนื้อของเราเสียดสีกัน

“อูย” ไอ้นัยครางด้วยความเสียวเมื่อดอกห็ดที่โผล่พ้นหนังหุ้มเสียดสีกับผิวหน้าท้องของผม

เป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่เราไม่ได้มีอะไรกันอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากในระยะหลังคุณอาของไอ้นัยมักอยู่บ้านในเวลาที่ผมมา ทำให้ไม่ค่อยสะดวก บางครั้งที่อดไม่ไหวก็แอบเข้าไปในบ้านร้าง แต่ก็ทำได้เพียงใช้มือช่วยกันเท่านั้น

“วันนี้ขอนะ” ผมกระซิบที่ข้างหูไอ้นัยอย่างแผ่วเบา พลางเอามือจับท่อนเนื้อของไอ้นัยรูดลงจนสุด หนังหุ้มถูกรั้งลงไปจนถึงคอหยัก ท่อนเนื้อของไอ้นัยตอบสนองด้วยการเกร็งกระดก และมีน้ำเหนียวใสหลั่งออกมาจากปลายท่อ

ไอ้นัยพยักหน้า ผมจึงลุกขึ้นเพื่อจะไปหยิบออยล์

ไอ้นัยลุกขึ้นตาม ผมผลักให้มันนอนลงไปอย่างเดิม

“ไม่ไปที่ห้องน้ำเหรอ” ไอ้นัยถาม

ปกติเรามักมีอะไรกันในห้องน้ำ เพื่อความสะดวกและไม่เลอะเทอะ แต่พื้นห้องน้ำมันแข็งเพราะเป็นกระเบื้อง ไม่ค่อยสบายเท่าไร วันนี้ผมอยากทำไอ้นัยบนเตียงนอนมากกว่า ผมนึกถึงตอนอยู่ที่ริมบึงน้ำ ที่นั่น เรานอนกันบนพื้นหญ้า อยากกลับไปในวันแบบนั้นอีก

“ขอบนเตียงนี่แหละ” ผมตอบ “เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“เดี๋ยวเลอะผ้าปูอะ ขี้เกียจซัก เดี๋ยวคุณอาเห็นเข้าด้วย” ไอ้นัยแย้ง

เราเลยต้องไปหาผ้าอะไรสักผืนมาปูรองอีกชั้นหนึ่ง เสียเวลาหาอยู่ครู่หนึ่ง ไอ้นัยก็ได้ผ้าม่านเก่าๆมา เมื่อได้ผ้ามาปูรองอีกชั้น คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเลอะเทอะแล้ว

ไอ้นัยคุกเข่าในท่าคลาน ผมชโลมออยล์ลงที่ปลายนิ้วชี้ จากนั้นค่อยๆสอดนิ้วที่ชุ่มไปด้วยออยล์เข้าไปในคูหาสวรรค์ของไอ้นัย

“โอย” ไอ้นัยคราวด้วยความเจ็บปวด ผมพยายามแทรกนิ้วผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ ผนังถ้ำของไอ้นัยบีบกระชับจนผมรู้สึกอึดอัดนิ้ว

“ทนหน่อยนะนัย” ผมพูด พลางค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปทีละน้อย

ใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ ไอ้นัยร้องโอดโอยอยู่หลายครั้ง ในที่สุด ผมก็สอดนิ้วชี้เข้าไปได้ทั้งนิ้ว ผมแช่นิ้วเอาไว้ชั่วครู่ จากนั้นก็เริ่มซอยนิ้วเข้าออกช้าๆ ผนังถ้ำที่เกร็งตัวเริ่มผ่อนคลายจากผลของออยล์ที่หล่อลื่น

“คราวนี้ของจริงละนะ” ผมพูด พลางดึงนิ้วออก

“ใส่ออยล์เยอะๆเลยนะ” ไอ้นัยกำชับ

ผมชโลมออยล์ใส่ท่อนเนื้อของผมจนชุ่มโชก จากนั้นค่อยๆสอดเข้าไปในถ้ำของไอ้นัยทีละน้อย ไอ้นัยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอีก

อย่างช้าๆ ไอ้นัยเริ่มปรับตัวได้ ในที่สุด ผมสอดท่อนเนื้อของผมเข้าไปได้จนสุด

ผมซอยเข้าออกช้าๆ ผนังถ้ำบีบรัดเป็นจังหวะ หนังหุ้มปลายของผมถูกความฝืดของผนังถ้ำรั้งลงจนสุด เผยให้ดอกเห็ดสัมผัสกับผนังถ้ำที่อ่อนนุ่มแต่รัดเกร็งของไอ้นัยอย่างเต็มที่ ความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดขึ้นในทุกจังหวะเข้าออกลึกล้ำเกินกว่าจะบรรยายได้

“เปลี่ยนท่าเถอะ” ผมบอกกับไอ้นัย

ผมถอนท่อนเนื้อออกมา แลเห็นท่อนเนื้อของผมแข็งเกร็ง แดงก่ำเป็นมันปลาบ ผมจับไอ้นัยนอนตะแคง จากนั้นตนเองก็นอนตะแคงประกบด้านหลังของไอ้นัย จัดท่าทางเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นก็เริ่มสอดใส่เข้าไปใหม่

ผมซอยท่อนเนื้อเข้าออกอย่างแช่มช้า ส่วนมือข้างหนึ่งก็โอบกอดไอ้นัยเอาไว้ ลำตัวของเราแนบชิดกัน สัมผัสที่เสียวซ่านและเร่าร้อนจากท่อนเนื้อกับผนังถ้ำ ผสมกับสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนจากผิวกายที่เรียบเนียนของไอ้นัย พร้อมกรุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ผมหลงใหล ทำให้อารมณ์ของผมปั่นป่วนดั่งระลอกเมื่อทะเลต้องพายุ

อย่างช้าๆ ระลอกที่ปั่นป่วนเริ่มรวมตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่เมื่อเข้าใกล้ชายฝั่ง ผมเร่งจังหวะซอยให้เร็วขึ้น พร้อมทั้งโอบรัดร่างไอ้นัยไว้จนแน่น

ทันใดนั้น ผมรู้สึกถ่วงวูบและเกร็งที่ท้องน้อย และแล้ว เกลียวคลื่นเมื่อถึงชายฝั่งก็ซัดกระแทกเข้าฝั่งอย่างรุนแรง

ท่อนเนื้อของผมเกร็งกระตุกอยู่หลายครั้ง เกลียวคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าหาชายฝั่ง... และแล้ว ทุกสิ่งก็สงบลง

ผมโอบกอดไอ้นัยเอาไว้แน่น ในใจยังรู้สึกอิ่มเอิบกับความรู้สึกที่เพิ่งผ่านพ้นไป

เมื่อความสุขผ่านพ้นไป ความคิดต่างๆก็เริ่มแล่นเข้ามาในสมอง... แก้มที่อุ่น เรียบลื่น ผิวกายที่เรียบเนียน สัมผัสจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับผม รวมทั้งกลิ่นกายอ่อนๆ ทำให้ความคิดของผมเตลิด

หลายปีก่อน ตอนที่ผมยังเด็กกว่านี้ ตอนที่เริ่มชักว่าวกับไอ้นัยใหม่ๆ หลังจากที่ความใคร่สำเร็จลง ผมจะรู้สึกว่าความสนุกสนานจบลงแล้ว จากนั้นก็จะหมดความสนใจกับมันไปในทันที และหันเหความสนใจไปสู่เรื่องอื่นๆต่อไป เปรียบเหมือนกับกองไฟที่อยู่ในใจ เมื่อถูกน้ำราดรดก็ดับลงไปในทันที

ต่อมาเมื่อเติบโตขึ้น... ตอนที่อยู่ชั้น ม.๑... หลังจากที่ความใคร่สำเร็จลง ผมเริ่มเกิดความรู้สึกผิดและสับสน ผมเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปนั้นมันผิดหรือถูก มันถือเป็นเรื่องวิปริตผิดปกติหรือเปล่า จากนั้นผมก็จะพยายามปัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เหมือนกับไฟกองใหญ่ที่อยู่ในใจ เมื่อถูกน้ำราดรดแล้ว แม้กองไฟจะมอดดับลงในทันที แต่ก็ยังเหลือควันกรุ่นอยู่อีกชั่วขณะ

มาถึงตอนนี้... ในวันที่ผมเติบโตขึ้นไปอีก... หลังจากที่ความใคร่สำเร็จลง ผมกลับรู้สึกแตกต่างออกไปจากเดิม ผมรู้สึกเหมือนกับมีกองไฟอยู่ในหัวใจสองกอง แม้ไฟกองหนึ่งจะดับไปแล้วและส่งควันกรุ่น แต่อีกกองหนึ่งยังคุโชนอยู่ ความใคร่ที่ถูกปลดเปลื้องไปไม่สามารถดับไฟกองนี้ลงได้ มันเป็นไฟที่ให้ความอบอุ่นแก่หัวใจและชีวิตของผม และนับวันไฟกองนี้จะใหญ่ขึ้นทุกทีๆ

ผ่านวันเวลา ผมค่อยๆเติบโตขึ้น ผมค่อยๆแยกแยะได้ว่าความสุขที่ไอ้นัยมอบให้แก่ผมนั้นมิได้มีแค่เพียงความใคร่ แต่ยังมีความรู้สึกอื่นปนอยู่ด้วย... เป็นความรู้สึกห่วงหาอาทรและผูกพัน เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เดิมทีเป็นความรู้สึกที่เลือนราง จับเค้าไม่ถูก แต่นับวันความรู้สึกนี้จะแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น...

“อู หลับแล้วเหรอ” เสียงไอ้นัยเรียก ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

“เปล่า” ผมตอบ

ไอ้นัยพลิกตัวหันกลับมา จากนั้นกอดผมบ้าง

“วันนี้ดีจัง” ไอ้นัยพูด

“ทำไมเหรอ” ผมยังไม่เข้าใจ

“รู้สึกดีอะ มึงทำนุ่มนวล แล้วก็... ไม่รู้สิ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่กูรู้สึกดี” ไอ้นัยพูดช้าๆแบบใช้ความคิด “เดี๋ยวนี้รู้สึกว่ามึงแปลกไป”

“เป็นไงล่ะ” ผมซัก

“ไม่รู้สิ พูดไม่ถูก” ไอ้นัยตอบไม่ได้

“แปลกนี่ดีขึ้นหรือเลวลง” ผมตั้งคำถามใหม่

“ดีขึ้น” ไอ้นัยตอบ ว่าแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของผมเอาไว้

“ตัวมึงอุ่นดีจัง” ไอ้นัยพูด พลางหัวเราะเบาๆ

ผมมองวงหน้าที่เคยแจ่มใส ใบหน้าที่ชอบตีหน้าตายอยู่เสมอ ผมโน้มหน้าเข้าใกล้ไอ้นัย ปากของเราประกบกัน ร่างเปลือยเปล่าของเราสองคนราวกับจะหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน... และแล้ว ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปตามครรลอง...


<ผมมองวงหน้าที่เคยแจ่มใส ใบหน้าที่ชอบตีหน้าตายอยู่เสมอ ผมโน้มหน้าเข้าใกล้ไอ้นัย ปากของเราประกบกัน ร่างเปลือยเปล่าของเราสองคนราวกับจะหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน... และแล้ว ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปตามครรลอง...>

Wednesday, April 1, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 71

กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง ในช่วงปิดเทอมภาคต้น มันดังกริ๊งสั้นๆแล้วก็เงียบไป ยังไม่ทันที่ใครจะรับสาย

“เอ หมู่นี้โทรศัพท์ลึกลับแบบนี้ชักถี่แฮะ โทรมาแล้วก็รีบวางสายไป ยังไม่ทันจะรับเลย ไม่รู้ว่าจะโทรมาทำไม” คุณป้าบ่นอุบอิบ ขณะนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยมีเอ๊ดและผมนั่งดูเป็นเพื่อนอยู่ด้วย

“ต่อผิดมั้งครับ” ผมพยายามคาดเดาสาเหตุ

“คนยังไม่ทันจะรับเลย ทางโน้นจะรู้ได้ยังไงว่าต่อผิด หมู่นี้มีแบบนี้หลายครั้งแล้ว กวนโมโหจัง” คุณป้าแย้งพลางบ่นต่ออีกเล็กน้อยด้วยความไม่สบอารมณ์

ผมรีบเดินเลี่ยงออกไป จากนั้นเดินออกไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะไม่ไกลจากบ้านนัก

“โหล” เสียงปลายอีกด้านหนึ่งรับสาย เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง

“กูเอง เป็นไงบ้าง” ผมถาม

“วันนี้คุณอาไม่อยู่ กว่าจะกลับก็คงเย็น” ไอ้นัยตอบ

“เออ ยังงั้นเดี๋ยวกูไปหา” ผมจบการสนทนาแต่เพียงสั้นๆ

เจ้าของเสียงโทรศัพท์ลึกลับที่คุณป้าบ่นนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง

เนื่องจากผมใช้โทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก บางครั้งไอ้นัยจะโทรมาคุยแต่ก็เกรงใจที่คุณลุงคุณป้ามักเป็นคนรับสาย เราเลยตกลงกันว่า ถ้าไอ้นัยต้องการคุยกับผม ก็ให้โทรศัพท์เข้าบ้านมาเป็นเสียงกริ๊งสั้นๆ แล้วผมจะรีบโทรกลับไปหา ซึ่งหลักการนี้ก็คือการโทรให้เกิด missed call ในโทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันนั่นเอง

ปิดเทอมปีนั้นไอ้นัยไม่ค่อยว่าง เพราะต้องช่วยคุณอาพิมพ์เอกสาร ปกติแม้คุณอาของไอ้นัยจะอยู่ที่บ้าน ผมก็เข้าไปนั่งๆนอนๆเล่นในบ้านได้ เพราะคุณอาทั้งสองเห็นผมมาตั้งแต่ยังเด็ก และปฏิบัติต่อผมเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อมีผู้ใหญ่อยู่จะทำอะไรก็ไม่ค่อยได้เต็มที่ สู้ตอนผู้ใหญ่ไม่อยู่ไม่ได้ ดังนั้นหากวันใดที่คุณอาอยู่บ้าน ผมก็ไปซ้อมเปียโนหรือนัดไอ้นัยออกไปข้างนอกเดินเล่นไปตามเรื่อง แต่ถ้าวันใดที่คุณอาไม่อยู่ทั้งวัน ไอ้นัยมักจะโทรศัพท์แจ้งให้ผมรู้ แล้วผมก็จะเข้าไปนั่งๆนอนๆเล่นที่บ้านของไอ้นัย

“ผมไปละครับ” ผมลาคุณป้าก่อนออกจากบ้าน

“วันนี้ไปไหนละอู” คุณป้าถาม

“ไปซ้อมเปียโนเหมือนเคยครับ” ผมตอบ การไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียนดนตรีเป็นข้ออ้างที่มีประโยชน์มาก ถ้าไม่มีข้ออ้างเรื่องนี้ ผมคงออกจากบ้านมาเที่ยวเล่นไม่ได้ง่ายๆ

วันนี้ผมกระตือรือร้นที่จะได้เจอไอ้นัยเป็นพิเศษ เพราะผมเตรียมของขวัญเอาไว้ให้มันอย่างหนึ่ง เป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตที่ผมจะให้แก่ไอ้นัย...

- - -

เมื่อผมไปถึง ไอ้นัยออกมาเปิดประตูรับด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เราอยู่ด้วยกันมานาน ผมรู้ทันทีว่าไอ้นัยมีความในใจอะไรอยู่

“เฮ้ ทำไมหน้าไม่เสบยเลย โดนคุณอาด่ามาเหรอ” ผมทัก

“ฮึ” ไอ้นัยสั่นหัวแทนคำตอบ จากนั้นเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไปข้างใน

“แล้วเป็นไรไปล่ะ วันนี้ดูมึงเซ็งๆ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“เปล่า ไม่ได้เป็นไร” ไอ้นัยตอบเนือยๆ

“ไม่เป็นไรได้ไง ดูหน้าเหมือนคนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ” ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ทำไมหนอ เราสนิทกันขนาดนี้ มีเรื่องคับใจอะไรจะปรึกษากันบ้างไม่ได้เชียวหรือ

“มึงเห็นกูเป็นคนอื่นหรือไงวะ มีอะไรก็ไม่บอก ชอบเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว ทีกูมีอะไรยังบอกมึง” ผมบ่น

“ไม่มีไรจริงๆ” ไอ้นัยยังยืนกรานคำเดิม

เช้าวันนั้น แค่เจอหน้ากัน การสนทนาก็ไม่ค่อยราบรื่นเสียแล้ว ความกระตือรือร้นยินดีที่จะได้เจอกับไอ้นัยมลายหายไปหมด เหลือแต่ความเซ็งแทน

ผมเดินตามไอ้นัยไปที่ห้องนอนอย่างเงียบๆ ไอ้นัยเองก็ไม่พูดจา เมื่ออยู่ในห้องนอน เรานั่งมองหน้ากันอย่างอึดอัด วันนี้ผมไม่น่ามาหาไอ้นัยเลย สถานการณ์ที่ย่ำแย่มาตั้งแต่ก่อนปิดเทอมดูเหมือนจะค่อยๆดีขึ้น แต่แล้วมันก็กลับแย่ลงไปอีก

ผมนั่งลงอย่างเซ็งๆ หยิบหนังสือการ์ตูนของไอ้นัยมาอ่านเล่น แต่ที่จริงอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะในใจมีแต่ความขุ่นข้อง ของขวัญที่เตรียมมาอยู่ในเป้ แต่ไม่รู้ว่าจะให้ในตอนนี้ดีหรือไม่ เพราะว่าบรรยากาศไม่เป็นใจอย่างคาดไม่ถึง

ไอ้นัยหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นเพื่อทำลายความเคร่งเครียดในบรรยากาศ ส่วนผมเองก็นั่งปึ่งไม่พูดจา ทำทีเป็นอ่านหนังสือการ์ตูน

ไอ้นัยกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ เสียงจากสายกีตาร์ไนลอนนุ่มละมุน จากนั้นก็เริ่มคลอเพลง

๏ เราเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง
เราอาจจะอยู่ดูโลกได้.ไม่นานนัก
ทุกคนที่มีชีวิตผ่านมา..ในอดีต
ย่อมพบกับความสุข..ความทุกข์..
ความสมหวัง..และความผิดหวังในชีวิต
ความผิดหวังในชีวิตที่ผ่านมา..ขอให้มันผ่านไป
เรามาเริ่มความหวังในชีวิตกันใหม่ดีกว่า ๏

..เราได้เกิดมาหนึ่งหน
เราผจญเพื่อความหวัง
ทุกข์ประดังเมื่อความหวังพัง..ทลาย
ลืมอดีตที่ขื่นขม
ทุกข์ระทมให้ลืมหาย
เหมือนนิยายผ่านฝันร้าย..ที่อับเฉา
..แม้บางวัน..ฝันชื่น
หรือบางคืน..ฝันเศร้า
ยิ้มระรื่น..โลมเล้าคลายเศร้าใจ
ยังไม่สิ้นแห่งความหวัง
ชีวิตยังสดแจ่มใส
ทุกข์ทำไมสู้ต่อไป..ในโลกเอย..

เสียงของไอ้นัยแผ่วเบาและจางหายไปพร้อมกับเสียงกีตาร์ ผมฟังจนขนลุก เพราะเสียงร้องของไอ้นัยนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“ทำไมเพลงมันถึงได้เศร้ายังงี้วะ” ผมถาม เลิกงอนเพราะรู้สึกเป็นห่วงไอ้นัยขึ้นมาจับใจ “นัย มึงเป็นอะไรไป”

ไอ้นัยสั่นหัว “ไม่มีอะไร มันไปตามอารมณ์เพลงน่ะ”

ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก หลายปีที่รู้จักกันมา ผมรู้ดีว่าตอนนี้ไอ้นัยมีอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้มันไม่สบายใจ ผมรู้สึกเป็นห่วงมันเกินกว่าที่จะทำงอนต่อไป ผมควรจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ไอ้นัยมีอารมณ์แจ่มใสขึ้นได้?

“นี่ วันนี้กูมีของขวัญมาฝากมึงด้วยนะ” ผมพูด

ไอ้นัยทำหน้าสงสัย “จริงอะ”

“จริงดิ แต่ไหนแต่ไรมาเราไม่เคยให้ของขวัญกันเลย สำหรับมึงกับกูมันคงไม่สำคัญมั้ง แต่วันนี้กูมีของขวัญให้มึง ชิ้นแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย” ผมพยายามพูดอย่างร่าเริง

“ให้เนื่องในโอกาสอะไรวะ” ไอ้นัยทำหน้างงๆ “วันเกิดก็เลยมาแล้ว”

“เอาน่ะ โอกาสอะไรก็ช่างมันเถอะ เนื่องในโอกาสปิดเทอมก็ได้” ผมมั่วไปเรื่อย ที่จริงมันก็ไม่มีวาระพิเศษอะไร ที่ให้เพราะอยากให้เท่านั้นเอง

ว่าแล้วผมก็หยิบของขวัญพิเศษที่ตั้งใจมอบให้ไอ้นัยออกมา มันเป็นตลับไม้เล็กๆ รูปร่างเป็นลำตัวกีตาร์ ผมยื่นส่งให้ไอ้นัย

“อะ แกะดูดิ” ผมคะยั้นคะยอ

ไอ้นัยเปิดตลับไม้ทรงกีตาร์ออก เห็นข้างในเป็นปิ๊กกีตาร์สีสวยวางสงบนิ่งอยู่ ไอ้นัยเงียบไปชั่วขณะ

“ปิ๊กนี้อย่างหรูเลยนะ” ผมอวดสรรพคุณ “เอาไว้เวลามึงเล่นกีตาร์ มึงจะได้นึกถึงกูเสมอไง”

ปิ๊กกีตาร์อันนี้ผมไปเดินหาซื้อมาจากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวเมื่อวันก่อน ปิ๊กกีตาร์ก็มีหลายเกรด หลายราคา ปกติก็ห้าบาทถึงยี่สิบบาท ผมเลือกอย่างราคาแพงเลย ยี่ห้อดันลอปรุ่นแพง อันหนึ่งเกือบห้าสิบบาท แต่ที่แพงยิ่งกว่าตัวปิ๊กก็คือกล่องใส่ปิ๊ก กล่องหนึ่งตั้งร้อยกว่าบาท แม้มันเป็นของขวัญที่ไม่สูงค่านัก แต่ผมก็ตั้งใจเลือกให้ไอ้นัย

ไอ้นัยทำตาปริบๆ “ทำไมไม่ให้กีตาร์เสียเลยวะ กูจะได้นึกถึงมึงมากขึ้น”

“ไอ้เวร ตัวละเป็นหมื่น จะเอาตังค์ที่ไหนซื้อ เอาปิ๊กไปก็นึกถึงกูได้เหมือนกัน” ผมอธิบายแบบข้างๆคูๆ

ไอ้นัยปิดกล่องใส่ปิ๊ก เงยหน้ามองดูผม สีหน้าดูแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจนะอู กูไม่มีอะไรให้มึงสักอย่าง”

หัวใจไงล่ะนัย หัวใจของมึง ให้กูได้ไหม... ผมร่ำร้องอยู่ในใจ

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” ผมถาม ไอ้นัยไม่ตอบ แต่ยิ้มเล็กน้อย

ผมเอื้อมมือหยิบกล่องปิ๊กออกจากมือของไอ้นัย เอาไปวางไว้ที่อื่น จากนั้นสองมือของผมโอบกอดมันเอาไว้ ใบหน้าก็โน้มลงไปที่พวงแก้มสดใสของเพื่อนรักในวัยเยาว์

“ไม่ตอบเหรอ นี่แน่ะ” ผมพูดเสียงอู้อี้ พลางหอมแก้มของไอ้นัย...


<ว่าแล้วผมก็หยิบของขวัญพิเศษที่ตั้งใจมอบให้ไอ้นัยออกมา มันเป็นตลับไม้เล็กๆ รูปร่างเป็นลำตัวกีตาร์ ผมยื่นส่งให้ไอ้นัย>

ฟังเพลง ชีวิตกับความหวัง จากเสียงร้องของวสันต์ โชติกุล