Saturday, January 31, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 55

ที่พูดกันว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่อยากรู้ อยากลองนั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะว่าในช่วงนั้นผมรู้สึกตัวเองว่าอยากรู้และอยากทดลองอะไรที่แปลกใหม่ ชอบอะไรที่ตื่นเต้นและท้าทาย แม้แต่ไอ้นัยซึ่งเป็นเด็กที่เรียบร้อยมากก็ยังไม่มีข้อยกเว้น

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เรานั่งรถเมล์ไปเรียนดนตรีด้วยกัน เมื่อมีโอกาสผมก็ถามไอ้นัย

“หนังสือเมื่อวานเป็นไงบ้าง” ผมถามด้วยความอยากรู้

ไอ้นัยอมยิ้ม “เจ๋ง”

คำตอบของไอ้นัยทำให้ผมคันที่หัวใจ อยากให้ถึงตอนบ่ายเร็วๆ จะได้ไปดูหนังสือเล่มนั้นบ้าง

“แตกไปกี่รอบวะ” ผมกระซิบถามมัน

ไอ้นัยยิ้มอายๆ ตอบเสียงแผ่วเบา “หลาย”

พูดจบผมก็สังเกตเห็นเป้ากางเกงของไอ้นัยเริ่มโป่งพองเป็นลำ จนมันต้องเอาเป้บังไว้ให้มิดชิดเพื่อไม่ให้ใครเห็น

“มึงอย่าถามมากดิ” ไอ้นัยกระซิบดุผม

หลังจากเลิกเรียนดนตรี ปกติเราจะเดินเล่นที่สยามสแควร์และนั่งกินโดนัทกัน แต่วันนั้นผมรีบชวนมันกลับบ้าน เพราะอยากรีบไปดูหนังสือปกขาว และอยากรู้ว่าไอ้นัยมีของอะไรที่จะอวด

“หิวอะ” ไอ้นัยตีหน้าตาย ไม่ยอมกลับเสียยังงั้นแหละ “หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”

ผมขัดมันไม่ได้ ก็เลยต้องไปเดินสยามสแควร์เพื่อกินอาหารเที่ยง

ปกติเมื่อเราเลิกเรียนดนตรี เรามักจะไปกินอาหารเที่ยงกันที่โรงอาหารของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ตอนนั้นยังไม่มีศูนย์หนังสือเช่นทุกวันนี้ สถานที่ตรงที่เป็นตึกศูนย์หนังสือในยุคนั้นเป็นเพียงศาลาขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นโรงอาหาร ต่อมาภายหลังจึงรื้อออกและก่อสร้างเป็นตึกสูงเช่นในปัจจุบัน

บางทีเราก็ไปกินอาหารกันที่โรงอาหารของคณะทันตแพทย์ศาสตร์ สองแห่งนี้อาหารราคาถูก เพราะเป็นราคาที่ขายนิสิต จานหนึ่งประมาณ ๑๐-๑๕ บาท บางวันถ้าหรูหน่อยก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านรสดีเด็ดที่อยู่ด้านหลังโรงหนังสกาล่า ในตอนนั้นราคาก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งประมาณ ๒๕-๓๐ บาท กินชามเดียวไม่เคยอิ่มเพราะว่าชามเล็ก แต่ก็อร่อยดี

“หาอะไรแปลกๆกินดีกว่า” ไอ้นัยพูด วันนี้ดูมันอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงขนาดอยากหาอะไรแปลกๆกิน

“กินขี้ดิ แปลกดี” ผมแนะ

“ไอ้เปรต มึงกินคนเดียวละกัน” ไอ้นัยตอบ “ลองเข้าร้านที่พวกพี่ๆเค้าเข้ากันดีกว่า”

พวกพี่ๆที่ไอ้นัยหมายถึงก็คือพวกพี่นิสิตจุฬาฯ แถวสยามสแควร์นั้นนิสิตจุฬาฯเดินกันเยอะมาก ร้านอาหารที่เป็นระดับห้องอาหาร ติดแอร์ ที่หนุ่มสาวนิยมเข้าไปกินกันในยุคนั้นก็จะมีร้านอัปทาวน์ ดาวน์ทาวน์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ตรงที่เป็นธนาคารกสิกรไทยในปัจจุบัน แต่เดิมก็คือร้านดาวน์ทาวน์นั่นเอง ถ้าเป็นแนวสุกี้ก็จะมีร้านโคคา และแคนตั้น ที่อยู่ด้านถนนอังรีดูนังต์

“แพงนะ อย่ากินเลย กินที่โรงอาหารละกัน” ผมค้าน ร้านอาหารติดแอร์แบบนั้นค่าอาหารคงเกินมื้อละยี่สิบบาทเป็นแน่

“ก็อยากกินอะ” ไอ้นัยทำสีหน้าดื้อ แบบว่ายังไงก็จะกินให้ได้ นานๆไอ้นัยจะแสดงนิสัยคุณหนูออกมาสักที จนผมอดขำไม่ได้ แสดงว่ามันคงอยากลองกินจริงๆ

“อะ อะ ตามใจมึง” ผมยอมตามมัน

เราสองคนเดินเล่นกันในสยามสแควร์อยู่นาน ไอ้นัยก็ไม่แวะเข้าร้านไหนเสียที

“มึงนะมึง แกล้งกู จำเอาไว้” ผมฝากคำอาฆาต แต่ไอ้นัยไม่สนใจ ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ

เราข้ามไปสยามเซ็นเตอร์ ในที่สุดไอ้นัยก็มาหยุดสนใจที่หน้าร้านร้านหนึ่ง

“ลองกินสเต๊กดูดีกว่า” ไอ้นัยสรุป

ร้านที่เราเข้าไปกินกันก็คือร้านไฮไลท์ ร้านนั้นในยุคนั้นนิสิตนักศึกษาเข้าไปกินกันแน่นขนัด อาหารเด่นก็คือสเต๊ก ข้าวผัดอเมริกัน ฯลฯ ร้านนี้ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นร้านหนังสือซีเอ็ดแทน

ในวันนั้น ร้านอาหารทั้งร้านดูเหมือนจะมีเราสองคนที่เด็กที่สุด นอกนั้นก็เป็นวัยหนุ่มสาวกันทั้งนั้น เมื่อเราได้โต๊ะว่าง คุณหนูนัยก็นั่งกระดิกเท้าอ่านเมนูอย่างอารมณ์ดี

เราสั่งสเต๊กกันไปคนละจาน ได้มาแล้วก็กินไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องใส่เครื่องปรุงอะไรบ้าง ครั้นจะถามพนักงานก็เสียฟอร์ม ก็เลยเอาขวดต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะ บีบๆราดๆเข้าไป

เราสองคนซื้อประสบการณ์อาหารเที่ยงในวันนั้นด้วยเงินสองร้อยบาท สเต๊กจานละประมาณแปดสิบบาท น้ำผลไม้อีกราวแก้วละยี่สิบบาท สำหรับผมนั้นก็สนุกดี เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แต่เนื่องจากมีรสนิยมด้านอาหารการกินไม่มากนัก ดังนั้นคนที่สนุกกว่าก็คือไอ้นัย เห็นสีหน้ามันแจ่มใส

“อร่อยจัง ฮุฮุ” ไอ้นัยหัวเราะสดชื่น

“เออ กินเสียกระเป๋าโบ๋ อร่อยเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้แล้ว” ผมเร่งมันอีก

“เดี๋ยวๆ ขอกินโดนัทก่อน” ไอ้นัยยังอร่อยไม่เสร็จ

“โอ๊ย” ผมโวย “ยังไม่อิ่มอีกหรือมึง”

“ที่จริงก็อิ่มแล้วแหละ แต่ว่าอยากแกล้งมึง” ไอ้นัยพูดหน้าตาเฉย

- - -

บ่ายวันนั้น คุณอาผู้ชายอยู่ที่บ้านด้วย เพราะว่าต้องรอรับของ ที่แท้ไอ้นัยไม่รีบก็เพราะว่ามันรู้ว่าของจะมาส่งในตอนบ่าย มาเร็วไปก็ไม่มีประโยชน์ เลยถือโอกาสแกล้งผมเสียเลย

จนแล้วจนรอดไอ้นัยก็ยังไม่ยอมบอกว่าเป็นของอะไร ถามคุณอา คุณอาก็ไม่บอก พร้อมกับบอกว่าไอ้นัยสั่งเอาไว้ไม่ให้บอก แต่ตอนนั้นผมไม่ค่อยสนใจแล้ว สนใจแต่หนังสือมากกว่า อยากจะดูใจแทบขาดแต่ก็ดูไม่ได้ เพราะมีคุณอาอยู่ในบ้าน ถึงจะแอบดูอยู่ในห้องนอนของไอ้นัย แต่ถ้าหากคุณอาโผล่เข้ามา ถึงอย่างไรก็คงซ่อนไม่ทัน

หลังจากการรอคอยด้วยความกระวนกระวาย ในที่สุดของที่ว่าก็ถูกนำมาส่ง ผู้ที่มาส่งของอุ้มกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เข้ามาในบ้าน ข้างกล่องมีรูปจอทีวีปรากฏอยู่

“ทีวีใหม่เหรอ เนี่ยนะน่าตื่นเต้น” ผมกระซิบบ่นให้ไอ้นัยฟัง คุณอากุลีกุจอคอยจัดสถานที่ให้วางของ

ไอ้นัยสั่นหัว “ฮึ”

หลังจากนั้นก็มีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆกันทยอยเข้ามาอีกหลายใบ

“คอมพิวเตอร์” ผมอุทาน

มันเป็นคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ทอปพร้อมพรินเตอร์ครบเครื่อง...

คราวนี้ผมตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลายเช่นในปัจจุบัน มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันในสำนักงานมากกว่าจะอยู่ในบ้าน เพราะมีราคาแพง ดังนั้นหากบ้านใครมีคอมพิวเตอร์ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงกำลังซื้อเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกถึงความเป็นคนทันสมัยอีกด้วย

ในยุคนั้น หากที่บ้านใดมีคอมพิวเตอร์ ผู้ที่ใช้ส่วนใหญ่มักเป็นเด็กวัยรุ่น เพราะเด็กในวัยของผมโตมาพร้อมกับเกมคอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า ส่วนหนุ่มสาวในยุคนั้นถ้าต้องการจะหัดใช้คอมพิวเตอร์ ก็มักต้องไปสมัครเรียน เพราะว่าตอนเรียนในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยไม่มีให้ใช้ แต่เวลาทำงานมักต้องใช้ ดังนั้นจึงต้องไปเรียนเพิ่มเติม ส่วนผู้ใหญ่ที่อายุอยู่ในวัยพ่อของผมหรือคุณอาไอ้นัย ส่วนใหญ่จะไม่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์เอาเลย ถ้าใครใช้เป็นถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ทันสมัยมาก

คุณอาไอ้นัยบอกว่าซื้อให้ไอ้นัยเนื่องในโอกาสที่มันได้เป็นหัวหน้าชั้น พูดง่ายๆก็คือซื้อให้เป็นรางวัลนั่นเอง

“หูย ให้รางวัลกันขนาดนี้เลย” ผมแอบพูดกับไอ้นัยด้วยความทึ่ง ไอ้นัยเองก็มีสีหน้าภูมิใจ ดูคุณอาจะมีเลือดสถาบันอันเข้มข้น จึงได้ภูมิใจในตัวหลานขนาดนี้ ถ้าเป็นพ่อผม ถึงผมได้เป็นหัวหน้าห้องก็คงไม่สนใจ

“แต่ทำไมเอาเครื่องไปตั้งในห้องทำงานคุณอาวะ ทำไมไม่ตั้งในห้องนอนมึง” ผมอดสงสัยไม่ได้

“ก็นั่นน่ะดิ” ไอ้นัยยิ้มแห้งๆ “คุณอาบอกว่าจะขอใช้ด้วยน่ะสิ”

สรุปแล้วก็เลยไม่รู้ว่าคุณอาซื้อให้คุณหลานใช้ หรือว่าคุณอาซื้อใช้เองแล้วยอมให้คุณหลานมาใช้ด้วยกันแน่

“คุณอาคงรักมึงยังกับลูกเลยนะ” ผมพูดด้วยความเลื่อมใส อดคิดถึงตนเองไม่ได้ พ่อผมคงไม่คิดซื้ออะไรแบบนี้ให้ผมเป็นแน่ และถึงผมอยากซื้อ พ่อก็คงไม่ซื้อให้

ไอ้นัยหน้าหมอง ผมอดแปลกใจไม่ได้ ผมพูดแบบนี้ทีไร ไอ้นัยมีสีหน้าแปลกๆทุกที

“เป็นไรวะนัย” ผมถามด้วยความสงสัย

ไอ้นัยสั่นหัว บอกว่าไม่มีอะไร แล้วก็ชวนกันไปช่วยดูช่างที่มาส่งเครื่องติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมเองพลอยตื่นเต้นกับคอมพิวเตอร์จึงถูกเบนความสนใจไปอย่างรวดเร็ว

ห้องทำงานของคุณอาตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่มีรสนิยม สมกับเป็นสถาปนิก คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเป็นคอมพิวเตอร์รุ่น PC-XT อันเป็นต้นตระกูลเครื่องเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ใช้ซีพียู 8086-1 ความเร็ว 4.77-5.0 MHz ความเร็วในยุคนั้นอยู่ที่แค่นี้เอง มีดิสก์ไดรฟสองตัว ดิสก์ไดรฟหรือว่าเครื่องอ่านเขียนแผ่นดิสเก็ตต์นี้ใช้กับดิสเก็ตต์ขนาด 5.25 นิ้ว ความจุเพียงแผ่นละ 360 กิโลไบต์เท่านั้น ฮาร์ดดิสก์ไม่มี จอที่ใช้ในยุคนั้นก็เป็นจอเขียว พรินเตอร์ก็เป็นแบบ 8 เข็ม พิมพ์ได้แค่ช้ามาก อีกทั้งความละเอียดของตัวอักษรก็ต่ำ

สเป็กเครื่องประมาณนี้ ในยุคนั้นถือว่าหรูมากแล้ว ถ้าเป็นของแท้ ยี่ห้อไอบีเอ็ม จะมีราคาประมาณหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท แต่ถ้าเป็นเครื่องคอมแพ็ตที่ทำในฮ่องกงหรือไต้หวัน จะมีราคาประมาณเครื่องละ 40,000 ถึง 60,000 บาท


<ห้องทำงานของคุณอาตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่มีรสนิยม สมกับเป็นสถาปนิก มีคอมพิวเตอร์ พีซี-เอ็กซ์ที อันเป็นต้นตระกูลเครื่องเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ใช้ซีพียู 8086-1 ความเร็ว 4.77-5.0 MHz ความเร็วในยุคนั้นอยู่ที่แค่นี้เอง หน่วยความจำแบบแรมขนาด 640 kB มีดิสก์ไดรฟสองตัว ดิสก์ไดรฟหรือว่าเครื่องอ่านเขียนแผ่นดิสเก็ตต์นี้ใช้กับดิสเก็ตต์ขนาด 5.25 นิ้ว ความจุเพียงแผ่นละ 360 กิโลไบต์เท่านั้น ฮาร์ดดิสก์ไม่มี

ที่เห็นเป็นกล่องสี่เหลี่ยมวางอยู่บนโต๊ะคือกล่องซีพียู ในตอนนั้นนิยมกล่องซีพียูแบบวางนอน ที่วางอยู่บนซีพียูคือพรินเตอร์แบบเข็ม พิมพ์ได้ช้ามาก อีกทั้งความละเอียดของตัวอักษรก็ต่ำ เพราะมีเพียง ๘ เข็ม ตอนนั้นยังไม่มีระบบพ่นหมึก ถัดไปเป็นจอมอนิเตอร์ขนาด ๑๔ นิ้ว เป็นจอเขียว คือเห็นแต่สีดำและสีเขียวเพียงสองสี และมีคีย์บอร์ดวางอยู่หน้าจอมอนิเตอร์>

Monday, January 26, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 54

เมื่อชิวประเดิมซื้อหนังสือโป๊มือสองจากจิไปแล้ว หลังจากวันนั้นจิก็มีลูกค้าหนังสือโป๊ตามมาอีก แล้วก็เงียบๆไป ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจิขายหนังสือปกขาวได้มากน้อยเพียงใด แต่คนที่ซื้อมีทั้งเด็กเรียนและเด็กเก ผมเองนั้นอยากดูแต่ไม่อยากซื้อ เพราะซื้อมาก็ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน สถานที่ส่วนตัวในบ้านก็ไม่มี ห้องนอนก็นอนกับเอ๊ด โต๊ะทำงานปกติก็ไม่เคยใส่กุญแจ

“ไอ้อู หุ้นกันมั้ย” อ๊อดถามผมขึ้นมาในวันหนึ่ง

“หุ้นอะไรเหรอ” ผมงง

“ไอ้เซ่อ ก็เข้าหุ้นกันซื้อหนังสือโป๊จากไอ้จิไง ออกกันคนละครึ่ง แล้วมาแบ่งกันดู” อ๊อดยื่นข้อเสนอ

“แล้วกูเซ่อตรงไหนวะ จู่ๆมึงก็พูดขึ้นมา กูจะไปรู้ได้ไง” ผมพูด

“เอ้า ไม่เซ่อก็ได้ ว่าไง” อ๊อดถามตรงประเด็น

“ฉลาดนักนะมึง อยากดูแต่ไม่อยากจ่ายเงินเต็ม” ผมเหน็บมัน

“เขาเรียกว่าหัวสร้างสรรค์โว้ย มึงก็ประหยัด กูก็ประหยัด ไม่ดีตรงไหนล่ะ” อ๊อดชมตัวเองอย่างภูมิใจ

“ไม่เอาหรอก ที่บ้านไม่มีที่ซ่อน” ผมปฏิเสธ

“เก็บกับกูก็ได้” อ๊อดเสนอ

“งั้นมึงซื้อคนเดียวละกัน แล้วกูขอยืมมึงดูดีกว่า” ผมรู้ทันมัน

อ๊อดหัวเราะก๊าก “เขี้ยวลากดินเลยนะมึง”

สรุปแล้วเราสองคนก็เข้าหุ้นกันซื้อโดยช่วยกันออกคนละครึ่ง โดยให้อ๊อดออกหน้าติดต่อซื้อจากจิ แล้วให้มันเอาไปดูก่อน เมื่อถึงวันศุกร์แล้วค่อยเอามาให้ผม

เมื่อถึงวันศุกร์ อ๊อดก็เอาหนังสือปกขาวมาให้ผมตามสัญญา มันเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อเอาไว้ แล้วยื่นให้ผมตอนเรียน เนื่องจากเรานั่งอยู่ติดกัน ดังนั้นการรับส่งของจึงไม่มีใครรู้ แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ มันเป็นหนังสือปกขาวเล่มแรกในชีวิตที่ผมซื้อ

“เล่มนี้เด็ดโว้ย กูชักว่าวจนฟ้าเหลืองเลย ถ้ามีน้ำว่าวของก็เลอะอยู่ในหน้าหนังสือบ้างก็อย่าว่ากัน” อ๊อดกระซิบ “อ้อ ถ้ามึงมีที่ซ่อน กูยกให้มึงก็ได้นะ ไม่ต้องเอามาคืน”

“ไอ้เปรต สกปรกฉิบหาย รู้งี้ไม่ให้มึงดูก่อน” ผมบ่นเมื่อนึกถึงน้ำว่าวที่เปื้อนหนังสือ

อ๊อดหัวเราะชอบใจที่สามารถแหย่ผมได้ ยิ่งนาน ผมกับอ๊อดก็ยิ่งสนิทกันมากยิ่งขึ้น อ๊อดขี้เล่นและชอบแหย่ผม แต่ก็แปลกที่ผมไม่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อถูกแหย่ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกสนุกไปกับมัน แรกๆผมก็ไม่ค่อยทันมุขของอ๊อด แต่พอนานเข้าก็พอจะทันกันและสามารถรับส่งมุขกับมันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

ตอนพักเที่ยง ขณะจะออกไปกินอาหาร ผมเห็นเงาหลังของตี๋อยู่ไวไว แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

ผมหยิบซองกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมาจากเป้ เสียบเข้าไปในแบบเรียนประวัติศาสตร์อีกที แล้วเดินไปยัดใส่มือตี๋

“เอ้า ให้มึงยืมอ่าน อย่าเอะอะนะโว้ย แล้วตอนเลิกเรียนขอคืน” ผมกระซิบบอกมัน

“อะไรวะ” ตี๋ถามอย่างงงๆ “กูก็มี”

“ปกขาวโว้ย” ผมกระซิบอย่างเบาที่สุด

ตี๋รีบเก็บแบบเรียนประวัติศาสตร์ของผมเข้าไปในเป้ของมันทันที ผมสังเกตตั้งแต่วันก่อนแล้วว่าตี๋พยายามเข้ามามุงดูหนังสือด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ดู เพราะตัวมันไม่สูง โดนบังหมด วันนี้มีโอกาสเลยเอื้อเฟื้อมันเสียหน่อย

- - -

บ่ายวันนั้น ก่อนกลับบ้าน ตี๋เอาแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์มาคืนผม

“โคตรสนุกเลยวิชานี้” ตี๋พูดยิ้มๆ “ขอบใจมากนะอู”

“ฮื่อ ไม่เป็นไร” ผมตอบ “ว่าแต่มึงไปอ่านที่ไหนวะ” ผมถาม ตอนให้มันก็ลืมนึกไปว่ามันจะไปอ่านที่ไหน เพิ่งจะมานึกได้ก็ตอนนี้แหละ

“ในส้วม” ตี๋ตอบ

- - -

ตอนกลับบ้าน เมื่อผมเจอไอ้นัย ผมก็เอาซองกระดาษหนังสือพิมพ์ส่งให้มัน

“ฝากเก็บที่บ้านมึงให้หน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปดู” ผมบอกมัน

“อะไรอะ” ไอ้นัยมองซองกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างสงสัย

เมื่อผมบอกมันว่าข้างในเป็นอะไร ไอ้นัยก็อ้าปากหวอ

“นี่มึงกล้าซื้อมาอ่านเลยเหรอ” ไอ้นัยพูด

“ถามแบบนี้หมายความว่าไม่อยากดูใช่ไหม” ผมหาเรื่องตีรวน

ไอ้นัยทำหน้าประจบ “อยากดู อยากดู” ว่าแล้วก็รีบเก็บหนังสือใส่เป้ทันที

“อุตส่าห์ซื้อมาให้มึงอ่าน ยังจะพูดมากอีก” ผมดุมัน พูดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงสีหน้าประจบประแจงของไอ้นัย

ที่จริงตอนแรกผมไม่ได้คิดจะซื้อหนังสือปกขาวเล่มนี้เลย เพราะไม่มีที่ซ่อน แต่แล้วก็นึกถึงไอ้นัยขึ้นมา อยากทำอะไรให้มันพอใจและแปลกใจเล่น ก็เลยตัดสินใจซื้อมา ตั้งแต่เด็กมา ผมไม่เคยซื้ออะไรให้มันสักอย่าง มันเองก็ไม่เคยซื้ออะไรให้ผม เพราะเราไม่คิดว่าการซื้อของขวัญให้กันมันสำคัญอะไรนัก แต่ก็ไม่แปลกที่ผมจะเป็นคนเริ่มก่อน

“พรุ่งนี้กูก็มีอะไรจะอวดมึงเหมือนกัน” ไอ้นัยพูด

“อะไรเหรอ” ผมอยากรู้

“มาดูเองที่บ้านละกัน พรุ่งนี้เค้าถึงจะเอามาส่ง ฮุฮุ” ไอ้นัยพูดเป็นปริศนา พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ถ้าไอ้นัยหัวเราะแบบนี้ก็เป็นอันว่าไม่ต้องซักต่อ ถึงอย่างไรมันก็คงไม่ยอมบอก เพราะว่ามันจะแกล้งผม ไอ้นัยรู้ดีว่ามุขแบบนี้แกล้งผมได้ผลชะงัดเสมอ เป็นอันว่าผมต้องเก็บความอยากรู้เอาไว้อีกหนึ่งวันเต็มๆ

Saturday, January 24, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 53

หลังจากนั้นก็เกิดการชุลมุนวุ่นวายกัน เพราะว่าต่างคนต่างก็ไล่จับเป้ากางเกงของเพื่อนๆกันอย่างสนุกสนาน ตอนนั้นคนที่มุงดูหนังสือโป๊ส่วนใหญ่ก็แข็งตัวกันทุกคน ผมแอบยิ้มให้กับความทรงจำในวัยเด็ก ตอนประถมไอ้นัยมักโดนเพื่อนๆจับเจ้าจำปีเล่น

“เฮ้ย อาจารย์มา” เสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้น

ตอนนั้นเป็นเวลาเริ่มคาบเรียนในภาคบ่ายพอดี เมื่ออาจารย์เข้ามา พวกนักเรียนก็แตกฮือไปนั่งที่ราวกับผึ้งแตกรัง

“เฮ้ย ไอ้อู ฝากเก็บที” อ๊อด เพื่อนที่นั่งติดกันเอาหนังสือยัดใส่ตักของผม มันคือหนังสือโป๊นั่นเอง

เนื่องจากผมตัวค่อนข้างสูง ดังนั้นที่นั่งของผมจึงอยู่หลังชั้นเช่นเคย โต๊ะของไอ้คนที่ดูอยู่มันก็อยู่ใกล้ๆกับโต๊ะเรียนของผมนั่นเอง พออาจารย์เข้ามา มันก็รีบโยนไปให้เพื่อนข้างๆมัน แล้วเพื่อนข้างมันก็โยนต่อไปยังโต๊ะถัดไป จนมาถึงอ๊อด แล้วก็ผม ไม่มีใครอยากเก็บเผือกร้อนเอาไว้เพราะถ้าหากถูกอาจารย์พบเข้าคงเป็นเรื่อง

ทีแรกผมเองก็ไม่อยากเก็บเอาไว้ ตั้งใจว่าจะโยนต่อไปยังโต๊ะข้างๆ ใจหนึ่งก็กลัวถูกจับได้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากดู ในที่สุด ความอยากดูมีมากกว่า ผมจึงตัดสินใจซุกหนังสือเอาไว้ในช่องใต้โต๊ะ

หลังจากที่อาจารย์เริ่มสอนไปได้ชั่วครู่ ผมก็เริ่มหยิบหนังสือโป๊ออกมาพลิกดู

“เฮ้ย มึงอย่าชะโงกมาดูสิวะ เดี๋ยวก็ถูกจับได้ ซวยกันทั้งคู่หรอก” ผมดุอ๊อด เพื่อนที่นั่งติดกันที่พยายามชะโงกหน้าเข้ามาดู

“ดูด้วยดิ” มันพูด

“ดูทีละคนก็แล้วกัน อาจารย์จะได้ไม่สังเกต เดี๋ยวกูดูจบแล้วส่งต่อให้มึง” ผมสัญญากับมัน

หลังจากนั้นผมก็พลิกหนังสือโป๊ดูใต้โต๊ะ ภายในเล่มเป็นคล้ายๆนิยาย คือเล่าเป็นเรื่อง แล้วก็มีภาพประกอบ เนื้อเรื่องใช้ภาษาที่หยาบคาย แต่อ่านแล้วกระตุ้นอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ส่วนภาพนั้นก็ถ่ายทำแบบเห็นกันจะจะโดยเล่มนี้เน้นที่การถ่ายเนินสวรรค์และซอกหลืบอันเร้นลับนำมาเผยให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ผมเพิ่งเห็นเครื่องเคราของผู้หญิงอย่างเต็มตาก็วันนี้เอง

นอกจากนี้ยังมีภาพการร่วมเพศ ถ่ายให้เห็นอวัยวะทั้งของหญิงและชายอย่างชัดเจน มีทั้งการเลีย การอม และการสอดใส่ ดูไปมือที่จับหน้าหนังสือก็สั่นไปด้วยความตื่นเต้น

ผมตะลุยดูรูปภาพจนจบเล่มอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลามาอ่านเนื้อเรื่องเนื่องจากต้องการส่งหนังสือต่อไปยังคนอื่นอย่างเร็วที่สุด ภาพเนินคูหาสวรรค์อันจะแจ้งของฝ่ายหญิงนั้นสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผมได้ในหน้าแรกๆเท่านั้น แต่พอดูไปหลายๆหน้า ผมก็สนใจภาพพงหญ้าอันรกทึบ ท่อนลำอันแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนของฝ่ายชายมากกว่า

“ไอ้อู ดูจนใจลอยเลยโว้ย เดี๋ยวต้องแอบไปชักว่าวแน่เลยมึง” อ๊อดกระซิบ

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด

“เอ้า เอาไป แล้วส่งต่อไปทางอื่นล่ะ ไม่ต้องส่งมาทางนี้อีก” ผมส่งหนังสือต่อให้มันพร้อมทั้งกำชับ

“หูย หญิงแม่งโคตรเซ็กซ์เลย นมก็ใหญ่ หม้อก็ใหญ่ น่าฟันฉิบหาย” อ๊อดจุ๊ปาก พึมพำเบาๆพอให้ผมได้ยิน เวลาอ๊อดพลิกหน้าหนังสือ ผมพอสังเกตเห็นได้ท่อนเนื้อของมันแข็งเป็นลำอยู่ในขากางเกง

เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสังเกตพบตนเอง ว่าผมไม่ค่อยสนใจสรีระของเพศหญิงสักเท่าไร แต่สนใจท่อนลำของเพศชายด้วยกันมากกว่า พร้อมทั้งเริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่าเพื่อนๆที่อยู่รอบข้างของผมเมื่อได้ดูรูปเหล่านี้แล้วส่วนใหญ่คิดต่างจากผม หรือว่าคิดแบบเดียวกันกับผม ผมเริ่มสงสัยตนเองมากขึ้นและมากขึ้น

“ไอ้อู” อ๊อดเอาศอกกระทุ้งสีข้างของผม หลังจากที่มันส่งหนังสือโป๊พ้นมือไปแล้ว โดยส่งไปโต๊ะข้างหน้าของมัน

“อะไรเหรอ” ผมถาม

“ดูหนังสือโป๊แค่นี้ใจลอยยังไม่กลับมาอีก” อ๊อดกระเซ้า อ๊อดเป็นคนผิวสีน้ำตาล คล้ำกว่าไอ้นัยหน่อย ตัวใหญ่ คิ้วดก ตาโต นิสัยของอ๊อดค่อนข้างแปลก คือปกติจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ถ้าสนิทกับใครก็จะช่างพูดกับคนนั้น พูดชนิดต่อยหอยเลยทีเดียว ดังนั้นอ๊อดสนิทกับใครหรือไม่สนิทกับใครดูได้ไม่ยากเลย

“ก่อนนอนชักว่าวด้วยนะโว้ย ไม่งั้นเดี๋ยวฝันเปียกเลอะที่นอนหมด แล้วจะหาว่ากูไม่เตือน” อ๊อดแนะนำ “เออ ว่าแต่มึงชักว่าวเป็นหรือเปล่าวะนี่”

อยากจะบอกมันว่ามากกว่าชักว่าวก็เป็น แต่ก็ไม่ได้บอกออกไป ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

“เห็นท่าทางละอ่อน นึกว่ายังไม่เป็น” อ๊อดพูด แล้วก็หัวเราะชอบใจที่ได้กระเซ้าผม

“หนังสือโป๊นี่ของใครวะ” ผมถาม อยากจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เพราะใจกล้ามากที่เอามาให้เพื่อนดูกันในห้องเรียน แต่นึกไปอีกที ก็ต้องถือว่าเจ้าของหนังสือมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนฝูงอย่างยิ่ง

“ไอ้จิ” อ๊อดตอบ

จิก็คือเด็กชายร่างใหญ่ ผิวขาว เพื่อนตั้งแต่สมัยชั้น ม.๑ ของผมนั่นเอง ปกติผมไม่ค่อยสนิทกับจินัก ต่างก็มีกลุ่มเพื่อนของตนเอง

เท่าที่เห็นจิในตอนเรียนอยู่ชั้น ม.๑ จิเป็นคนพูดเก่ง เรียกได้ว่าวาทศิลป์ดีทีเดียว มักชอบแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆให้เพื่อนๆฟัง โดยเฉพาะมักชอบวิจารณ์ข้อบกพร่องของโรงเรียนและอาจารย์วิชาต่างๆที่สอนพวกเรา บางเรื่องฟังแล้วก็มีเหตุมีผลดีทีเดียว

จิเป็นคนที่พูดจาสุภาพ มักใช้วาจาที่ไพเราะ ไม่ค่อยพูดจาหยาบคายแบบนักเรียนทั่วไป และที่เป็นเอกลักษณ์ของจิก็คือการใช้สรรพนามกับเพื่อนๆ มันจะเรียกตัวเองว่าผมเสมอ ส่วนเพื่อนๆนั้นบางทีมันก็เรียกคุณบ้าง บางทีมันก็เรียกมึงบ้าง แล้วแต่อารมณ์ ดังนั้นเวลาจิคุยกับเพื่อนจึงมักใช้สรรพนาม ผม-คุณ หรือ ผม-มึง เสมอ แต่ไม่เคยได้ยินจิแทนตัวเองว่า กู เลย

“หา ไอ้จิเหรอ” ผมอุทานอย่างแปลกใจ เท่าที่ผมรู้ จิมีนิสัยที่สุภาพ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีน้ำใจเอื้อเฟื้อเพื่อนฝูงขนาดนี้ “โคตรใจดีเลย” ผมชมมัน

“ใจดีห่าอะไร มันเอามาขายโว้ย” อ๊อดพูด

“ขายเท่าไรวะ” ผมถาม

“จะซื้อเหรอ” อ๊อดมองหน้าผม

“เปล่า ก็แค่อยากรู้” ผมตอบ

“มันบอกว่าพี่มันฝากให้ช่วยขาย ขายเล่มละสองร้อย” อ๊อดบอก

หลังจากหมดคาบ จิก็มาเดินตามหาหนังสือ

“หนังสืออยู่กับใครคร้าบ กรุณาเอามาคืนด้วย” จิพูด

ไม่มีใครตอบ จิเดินไปที่โต๊ะชิว

“นั่นแน่ อยู่นี่เอง” จิพูด เห็นชิวกำลังพลิกหนังสือที่แอบซ่อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะ ที่จริงห้องเรียนก็ไม่ใหญ่ ดูกิริยาเอาก็รู้แล้วว่าหนังสืออยู่กับใคร ใครก้มหน้าก้มตาอยู่ก็คนนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

“รับไหมครับ” จิทัก “สองร้อยเอง”

“แพง ร้อยห้าสิบละกัน” ชิวต่อราคา เป็นเรื่องที่ผมนึกไม่ถึง เด็กเรียน ท่าทางเรียบร้อยอย่างไอ้ชิวจะซื้อหนังสือโป๊ดูราวกับเด็กแก่นๆ สำหรับเด็ก ม.๒ เงินสองร้อยบาทก็ถือว่าไม่น้อย

“ไม่ได้คร้าบ” จิพูดอ่อนหวาน “พี่เค้าฝากให้ผมช่วยขาย ผมไม่ได้อะไรเลย” จิอธิบาย

“พี่ที่ไหนอะ” ชิวถาม

“ลูกพี่ลูกน้องน่ะครับ เค้าซื้อมาดู แล้วมีอยู่หลายเล่ม อยากขายออกไปบ้างจะได้เอาเงินไปซื้อเล่มใหม่” จิร่ายยาว
“หนังสือมือสอง ดูมาแล้ว ร้อยห้าสิบดีแล้วละ” ชิวต่อรองอีก ผมนึกในใจว่ามาดในการต่อรองนั้นสมกับเป็นทายาทนักธุรกิจจริงๆ

“นี่ไม่ใช่ปากคลองตลาดนะคร้าบ ขายลดราคาให้แล้วด้วย ซื้อที่จตุจักรสองร้อยห้าสิบ ไม่แพงหรอก น่าอ่านจะตาย” จิพยายามจูงใจ

“แม่ง... เลือดพ่อค้าทั้งคู่เลย” อ๊อดกระซิบกับผม “เค็มเจอเค็มเข้าแล้ว”

หลังจากต่อรองกันสักครู่ ในที่สุดก็ตกลงราคากันที่ ๑๗๕ บาท คือพบกันครึ่งทาง การต่อรองเป็นไปอย่างสนุกสนานเฮฮา เอาสนุกมากกว่าเอาจริง เพื่อนๆก็ช่วยเชียร์กันใหญ่

ชิวควักซองเล็กๆออกมาจากเป้ ล้วงแบงก์ร้อยออกมา จากนั้นก็ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าตังค์ออกมา หยิบแบงค์ย่อยนับจนครบ จากนั้นส่งให้จิ พร้อมกับคืนหนังสือโป๊

“ฝากเก็บเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วค่อยรับ” ชิวพูด

“แม่งร้ายโว้ย” อ๊อดกระซิบอีก

“อะไรเหรอ” ผมถาม

“ไอ้ชิวแม่งโคตรฉลาดเลย มันกลัวโดนอาจารย์จับได้ว่ามีหนังสือโป๊ เลยซื้อเอาไว้แต่ยังไม่รับหนังสือ นี่ถ้าไอ้จิโดนจับได้ก่อน มันก็ลอยตัวไป” อ๊อดอธิบาย

เออ จริงของมันแฮะ ฟังดูก็มีเหตุผล แต่แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“แต่ถ้าไอ้จิโดนอาจารย์จับได้ ก็คงยึดหนังสือไป เงินไอ้ชิวก็สูญดิ ถ้าฉลาดจริงต้องรอซื้อหลังเลิกเรียน ปลอดภัยกว่า” ผมแย้ง

อ๊อดนิ่งคิด “มันคงกลัวคนอื่นแย่งซื้อไปก่อนมั้ง หรือไม่อย่างนั้นมึงก็ฉลาดกว่ามัน” อ๊อดสรุป แต่ประโยคหลังฟังน้ำเสียงแล้วไม่คล้ายคำชมเท่าใดนัก


<ผมแอบยิ้มให้กับความทรงจำในวัยเด็ก ตอนประถมไอ้นัยมักโดนเพื่อนๆจับเจ้าจำปีเล่น >

Wednesday, January 21, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 52

เพื่อนร่วมชั้นของผมนั้นมีมาจากทุกห้อง เราสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การคละนักเรียนเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความหลากหลาย บางทีอาจจะหลากหลายเกินไปด้วยซ้ำ เพื่อนร่วมห้องของผมมีทั้งนักเรียน นักเลง นักกีฬา ทั้งยาก ดี มี จน ครบครัน นักเรียนที่เกๆหน่อยหรือว่าพวกนักเลงก็จะจับกลุ่มมั่วสุมกันอยู่ท้ายห้อง เพราะว่าลับหูลับตาอาจารย์

ตอน ม.๑ เพื่อนร่วมห้องของผมเกือบทั้งหมดค่อนข้างจะเรียบร้อย จะมีแก่นๆบ้างก็อย่างเช่นกลุ่มไอ้อ้วน แต่ก็ไม่ถึงกับเกเร แต่พอมาชั้น ม.๒ สภาพการณ์ก็เปลี่ยนไป เพราะว่าเพื่อนร่วมห้องบางคนนิสัยก้าวร้าวและเกเรเอาการเลยทีเดียว

ดาวเด่นคนหนึ่งของห้องเราในสายตาของผมคงหนีไม่พ้นชิว ชื่อชิวฟังดูก็รู้แล้วว่าเป็นลูกจีน ชิวเป็นเด็กที่หน้าตาดี ขาว ตี๋ ตาสองชั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าตี๋พิมพ์นิยม ข้อเสียเล็กน้อยของชิวก็คือตัวไม่สูงนัก แต่ถ้ามองในแง่ดีก็ถือว่าตัวเล็กกะทัดรัดดี

ชิวเป็นลูกของนักธุรกิจย่านเยาวราช ที่บ้านของชิวจึงมีฐานะดี และส่งผลให้ชิวมีบุคลิกที่หรูหรากว่าเพื่อนๆ

แม้ว่าชิวจะมีฐานะทางบ้านดี แต่ว่าการแสดงออกชิวต่างจากไอ้โหนกมาก เพราะว่าโหนกนั้นแสดงออกแบบอวดรวย แต่ว่าชิวนั้นนิสัยดี ไม่แสดงอาการอวดรวย แต่ว่าใครๆก็ดูออกว่าที่บ้านมันรวย เพราะชิวมักใช้ของดีๆเสมอ กระเป๋านักเรียนของชิวดูสวย มีราคา ไม่เหมือนกระเป๋านักเรียนที่ซื้อจากร้านศึกษาภัณฑ์เลย แว่นกรอบทองของมันดูมีราคา นาฬิกาที่ใส่ก็เป็นนาฬิกามิโด้ราคาแพง บนหน้าปัดมีเข็มตั้งหลายอัน ไม่รู้ว่าเอาไว้ดูอะไรบ้าง แต่คงไม่ได้ดูแค่ชั่วโมง นาที และวินาทีเป็นแน่

นอกจากนี้ ชิวยังใส่แหวนทองวงเล็กๆที่นิ้วกลาง รวมความแล้วการแต่งตัวและมาดของชิวบ่งบอกถึงฐานะทางบ้าน แม้แต่เสื้อนักเรียนของมันก็ดูจะขาวกว่าเสื้อของเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าไปซื้อหรือตัดมาจากไหนเหมือนกัน

ผลการเรียนของชิวก็เด่น เกรดตอน ม.๑ ได้เกิน ๓.๕ พอๆกับไอ้นัย รวมความแล้วชิวเป็นนักเรียนดาวเด่นคนหนึ่งของห้องเลยทีเดียว

ในปีนี้เองที่ผมเริ่มพบความเปลี่ยนแปลงในตัวเองมากขึ้น ผมเริ่มสังเกตว่าตนเองชอบมองเพื่อนที่หน้าตาดี ชอบดูเพื่อนๆที่ใส่กางเกงแบบรัดรูป รวมทั้งชอบดูเป้ากางเกงของเพื่อนๆในชั่วโมงพลศึกษา แต่อีกใจหนึ่งก็แก้ตัวให้แก่ตัวเองว่าก็นี่เป็นโรงเรียนชาย ถ้าไม่ดูผู้ชายด้วยกันก็คงไม่มีอะไรจะให้ดู

- - -

หลังจากที่ผมกับไอ้นัยพยายามทำตัวเนียนได้ไม่นาน เราก็ไม่ต้องทำตัวให้เนียนอีกต่อไป เพราะกลายเป็นว่าไอ้นัยมีกิจธุระมากมายจนไม่มีเวลาให้แก่ผมจริงๆ

“อู” ไอ้นัยทักผมเมื่อเราเจอกันในตอนบ่ายวันหนึ่ง ซึ่งปกติเมื่อเลิกเรียนแล้วเราจะกลับบ้านด้วยกัน “วันนี้มีงานอะ มึงกลับคนเดียวได้ป่าว”

“งานอะไรเหรอ” ผมสงสัย

“ต้องประชุมเตรียมงานรับน้องน่ะ” ไอ้นัยอธิบาย ตอนนี้เราเป็นรุ่นพี่ ม.๒ แล้ว เรื่องการรับน้องใหม่ ม.๑ พวกเราก็ต้องมีบทบาทด้วย

“เป็นหัวหน้าชั้นก็ไม่ต้องเตรียมงานรับน้องนี่หว่า เพราะไม่ใช่สตาฟงานรับน้อง” ผมแย้ง เพราะเท่าที่รู้มา การจัดงานรับน้องจะเป็นงานของกรรมการนักเรียน ถึงเป็นหัวหน้าห้องก็ไม่เกี่ยวกับงานรับน้องอยู่ดี

“ก็กูเป็นสตาฟงานด้วยอะ ปีนี้กรรมการนักเรียนเค้าขอให้หัวหน้าห้องร่วมเป็นสตาฟงานรับน้องด้วย ก็เลยต้องไปประชุม” ไอ้นัยอธิบาย

ผมรู้สึกใจหาย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราไปกลับด้วยกันมาตลอด ไม่มีเลยสักวันที่เราจะแยกกันกลับ ผมเริ่มกลัวความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

“กูไปรอมึงที่ห้องก็ได้ นั่งทำการบ้านไปพลางๆ” ผมพยายามต่อรอง พยายามอย่างยิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งไม่ให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น

“กว่าจะเสร็จกลัวจะเย็นน่ะสิ เดี๋ยวมึงกลับบ้านค่ำจะโดนดุ” ไอ้นัยพูด

ผมถอนหายใจยาว เมื่อนึกถึงว่าคุณลุงและคุณป้ารอกินอาหารเย็นอยู่ ผมคงรอไอ้นัยไม่ไหวจริงๆ “เอางั้นก็ได้”

“มึงอย่าทำหน้ายังงั้นดิ” ไอ้นัยพูด

“ทำหน้ายังไงวะ” ผมงง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำหน้าอย่างไร

“ทำหน้ายังกับปวดขี้” ไอ้นัยพูดหน้าตาย จากนั้นก็พูดออดอ้อน “นะ นะ ขอกูไปประชุมสักวันนะ แล้วพรุ่งนี้กลับด้วยกันตามเดิม”

ไอ้นัยพูดเหมือนกับจะรู้ว่าผมกังวลในเรื่องอะไรอยู่ ผมเองก็ไม่รู้จะค้านอย่างไร จึงได้แต่จำยอม

บ่ายวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเดินทางกลับบ้านเอง ด้วยความรู้สึกที่เคว้งคว้าง ใจก็คิดถึงไอ้นัยไปตลอดทาง...

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้นัยมารอผมที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยเหมือนเช่นเคย

“เมื่อวานกลับบ้านกี่โมง” ผมถาม

“กว่าจะออกจากโรงเรียนก็ห้าโมงกว่า” ไอ้นัยตอบ “ถึงบ้านค่ำเลย”

“ประชุมเป็นไงบ้างล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ก็ฟังไปยังงั้นแหละ ไม่ได้ออกความเห็นอะไรหรอก มีแต่รุ่นพี่สั่งให้ทำยังงั้นยังงี้” ไอ้นัยตอบ “อยากกลับบ้านจะแย่แต่ก็กลับไม่ได้ ไม่ยอมปล่อยให้กลับสักที”

“ปกติมึงเงียบเหมือนเป็นใบ้ ออกความเห็นเป็นด้วยเหรอ” ผมเหน็บมัน ไอ้นัยเมื่อได้ฟังก็หัวเราะขำ

เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆไป หลังจากนั้น ไอ้นัยก็ต้องอยู่ประชุมอีก บางทีก็ประชุมตอนพักเที่ยง บางทีก็ประชุมหลังเลิกเรียน แม้ผมจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะโกรธไอ้นัยก็ใช่ที่ เพราะมันเองก็บอกว่าเบื่ออยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะหนีประชุมได้อย่างไรเพราะเป็นหน้าที่ ช่วงนั้นก็เลยเป็นช่วงที่เราต้องห่างเหินกันไปจริงๆ

- - -

ในตอนเที่ยงวันหนึ่ง หลังจากที่ผมกินอาหารเที่ยงเสร็จก็กลับมานั่งเล่นที่ในห้องเรียน ผมสังเกตพบว่าที่หลังห้องมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งสุมหัวกันอยู่ เริ่มแรกก็เป็นกลุ่มเล็กๆ หลังจากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ ส่งเสียงอึกทึก

มันสุมหัวดูอะไรกันวะ ผมนึกในใจ ว่าแล้วก็เดินไปที่หลังห้องบ้าง

ผมเห็นเพื่อนๆกำลังจับกลุ่มชะโงกดูอะไรกันอยู่ จึงชะโงกหัวเข้าไปดูบ้าง

สิ่งที่เพื่อนๆกำลังมุงอยู่เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง มันไม่ใช่หนังสือธรรมดา แต่ว่าเป็นหนังสือโป๊หรือที่เรียกว่าหนังสือปกขาว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ดูหนังสือโป๊ ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมก็เคยดูมาแล้ว แต่ว่าตอนนั้นยังเด็กอยู่ อารมณ์และความรู้สึกในการดูแตกต่างกันออกไป หนังสือโป๊ที่ผมเห็นนี้เป็นภาพการร่วมเพศระหว่างชายหญิงที่ถ่ายภาพให้เห็นของสำคัญและการสอดใส่อย่างชัดเจน

“เฮ้ย ไอ้ห่า ใครเอาควยมาทิ่มตูดกูวะ” เพื่อนๆที่มุงซ้อนกันอยู่เอะอะกัน

สำหรับผมนั้นดูได้เพียงแว่บเดียวก็ต้องถอยออกมาเพราะมาทีหลัง เบียดเข้าไปไม่ไหว แต่ภาพที่เห็นเพียงแว่บเดียวนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเลือดในตัวสูบฉีดเร็วขึ้น

“เฮ้ย ไอ้อูแม่งดูเดี๋ยวเดียวควยลุกเลย” ผมรู้สึกตึงวูบที่เป้ากางเกง ใครคนหนึ่งแอบจับท่อนเนื้อของผมที่กำลังแข็งตัวอยู่ จับไม่จับเปล่า แถมยังโพนทะนาเสียอีก


<หนังสือโป๊หรือหนังสือปกขาวในยุคก่อน ต้องแอบขายเพราะว่าผิดกฎหมาย ภายในเล่มจะมีภาพแสดงการร่วมเพศอย่างชัดเจน ไม่มีการเซ็นเซอร์ มักเป็นการเล่าเรื่องประกอบภาพ โดยเนื้อเรื่องมักใช้ภาษาหยาบคายเพื่อปลุกอารมณ์ผู้อ่าน ราคาอยู่ในช่วง ๑๐๐-๓๐๐ บาท แล้วแต่จะโก่งราคากัน>

Sunday, January 18, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 51

แม้เพื่อนที่มาจากห้องเดียวกันในปีที่แล้วจะมีเพียงสามคน เมื่อรวมตัวผมด้วยก็เป็นสี่คน แต่ว่าเพื่อนคนอื่นๆส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว เพราะว่าตอนอยู่ ม.๑ เดินไปเดินมาก็เจอกันอยู่ตลอดทั้งปี

เมื่ออยู่ชั้น ม.๒ ผลจากปัญหาเรื่องไอ้โหนกทำให้เราเรียนรู้ว่าจะต้องวางตัวเสียใหม่ ผมกับไอ้นัยทำตัวเนียนยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้ดูสนิทสนมกันจนเกินไป โดยเรานั่งรถไปกลับด้วยกัน แต่ว่าในช่วงพักเที่ยงเราจะขลุกอยู่ด้วยกันน้อยลง เราต่างก็ไปกินอาหารร่วมกับเพื่อนร่วมห้องของตนเอง เมื่อมีเวลาว่างต่างก็ใช้เวลากับเพื่อนในห้องมากกว่า

การมีเรื่องกับไอ้โหนกในตอน ม.๑ ส่งผลแก่ผมในระยะยาวอย่างที่ผมเองก็นึกไม่ถึง เพราะมันทำให้ผมกลายเป็นคนที่พูดน้อย มีนิสัยรักสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบทำตัวให้เป็นที่รู้จักหรือเด่นดังในเวลาต่อมา เมื่อโตแล้วและมองย้อนไปข้างหลัง ผมก็เพิ่งจะได้คิดว่านิสัยต่างๆเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ตอนอยู่ชั้น ม.๑ นี่เอง

ผมคิดว่าการวางตัวของเราคงไม่ทำให้เพื่อนๆสงสัยอะไร เพื่อนที่มาจาก ม.๑ ด้วยกันที่รู้ว่าผมกับไอ้นัยสนิทกันต่างก็คงเลิกสนใจไปแล้ว คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังจำได้ว่าผมกับไอ้นัยสนิทกันมาก และคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็น่าจะเป็นตี๋

“เพื่อนมึงไปไหนแล้ววะ” ตี๋ถามผมในวันหนึ่ง เมื่อเห็นผมเดินเลือกซื้ออาหารอยู่คนเดียวในโรงอาหาร จำได้ว่าวันนั้นเป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากเปิดเรียน

“คนไหนวะ” ผมถามอย่างงงๆ

“ก็ไอ้คนนั้นไง” ตี๋ตอบยียวน แล้วทำหน้าแบบรู้กัน ผมรู้แล้วว่ามันหมายถึงใคร

“มึงไม่บอกชื่อแล้วก็จะรู้ได้ไงว่าคนไหน เพื่อนกูเยอะแยะ” ผมยังทำไก๋

“ก็ไอ้คนที่ไปกลับกับมึงทุกวันไง” ตี๋อธิบายอีก ผมคิดว่ามันรู้จักชื่อของไอ้นัย เพราะตี๋เองก็เคยคุยกับไอ้นัยมาก่อน แต่มันเลี่ยงที่จะพูดชื่อ คล้ายกับอยากจะแหย่ผม

“ไม่รู้โว้ย ไม่ได้ลงมากินข้าวด้วยกัน” ผมตอบ ไม่ค่อยอยากคุยหัวข้อนี้สักเท่าไร

เมื่อเราซื้ออาหารแล้วก็เลยไปนั่งกินด้วยกัน

“ไอ้หัวหน้าห้อง ๒/๕ ไง” ตี๋พูดต่ออีก

“อะไรนะ” ผมงง คราวนี้งงจริงๆ “มึงหมายถึงไอ้นัยหรือเปล่า”

“ก็ใช่น่ะสิ” ตี๋ตอบ

“มันเป็นหัวหน้าห้องได้ไงวะ” ผมถาม ไอ้ที่พยายามวางตัวให้เนียนก็ลืมไปหมด “ไม่เห็นมันบอกกูเลย”

“ก็เพื่อนๆเลือกมัน มันก็ได้เป็นน่ะสิ” ตี๋ตอบกวนอีก “ก็เลือกวันเดียวกับที่เราเลือกหัวหน้าห้องนั่นแหละ นี่มึงไม่รู้เรื่องเลยเหรอ” ประโยคสุดท้ายตี๋ถามอย่างสงสัย

ผมสั่นหัวแทนคำตอบ ในใจเกิดเป็นรสชาติประหลาดยากจะบรรยาย เรื่องแบบนี้ทำไมไอ้นัยไม่บอกผมเลย

เที่ยงวันนั้น หลังกินอาหารเสร็จ ผมเดินไปหาด้อมๆมองๆหาไอ้นัยที่ห้อง อยากจะถามมันให้รู้ความจริง แต่เห็นไอ้นัยกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ จึงไม่อยากเดินเข้าไปถาม

เมื่อไม่มีโอกาสถาม ผมจึงไปเลียบๆเคียงๆถามหัวหน้าห้องของผมเอง เพราะหัวหน้าห้องของทุกห้องต้องรู้จักกันอยู่แล้ว แล้วก็ได้รู้ว่าที่ไอ้ตี๋พูดนั้นเป็นความจริง เป็นครั้งแรกที่ในชีวิตผมรู้สึกเคืองไอ้นัย ที่จริงอาจจะไม่ใช่ความเคือง อาจจะเป็นความน้อยใจก็ได้ เคืองกับน้อยใจนี่บางครั้งก็แยกความรู้สึกออกจากกันได้ยาก แต่ถึงแม้จะเป็นความน้อยใจ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมน้อยใจไอ้นัย

บ่ายวันนั้น เมื่อถึงเวลากลับบ้าน ผมรีบถามไอ้นัยทันทีที่เห็นหน้ามัน

“นี่มึงเป็นหัวหน้าห้องเหรอ” ผมถาม

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบ “รู้แหล้วเหรอ”

“เป็นหลายวันแล้วด้วย” ผมพูดต่อ

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบอีก

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูสักคำ” ผมพูดอย่างน้อยใจ

ไอ้นัยอึ้งไปชั่วขณะ

“ไม่ใช่ว่าก็จะปิดบังมึงนะ” ไอ้นัยพูด “แต่กูไม่รู้จะบอกยังไงน่ะ”

“บอกมาคำเดียวมันยากตรงไหนวะ” ผมไม่เข้าใจ

“เอ้อ...” ไอ้นัยอึกอัก

“ว่ามาดิ” ผมเร่งเร้า

“กูกลัวมึงคิดมากน่ะ” ไอ้นัยพยายามอธิบาย

“มึงบอกแล้วกูจะคิดมากตรงไหน มึงไม่บอกแล้วกูมารู้เอง นี่แหละทำให้กูคิดมาก” ผมยังไม่พอใจกับคำตอบ

“ใจเย็นๆดิอู” ไอ้นัยถอนหายใจ “กูกลัวว่ามึงจะน้อยใจว่ากูได้เป็นหัวหน้าห้อง แต่มึงไม่ได้ตำแหน่งอะไร... กูคิดจะบอกมึง แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ก็เลยยังไม่ได้บอก กูไม่อยากเป็นหรอก แต่เพื่อนๆมันยัดเยียด และไม่ยอมให้ปฏิเสธ ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง” ไอ้นัยอธิบาย

“ที่ยังไม่ได้บอกเพราะกูห่วงความรู้สึกของมึงนะอู” ไอ้นัยพูดประโยคท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา

ตอนนี้ผมจึงเพิ่งถึงบางอ้อ ไอ้นัยมันเกรงว่าเมื่อบอกออกมาแล้วผมจะรู้สึกน้อยหน้าหรือว่าเสียหน้านั่นเอง ไอ้นัยนี่มันก็ช่างคิดเสียจริงๆ ที่จริงไอ้นัยมันก็น่าจะได้เป็นหัวหน้าอยู่หรอก เพราะเรียนก็เก่ง นิสัยก็ดี แถมยังมีความสามารถพิเศษเล่นดนตรีได้อีก ไอ้นัยเริ่มป๊อบในหมู่เพื่อนฝูงตั้งแต่เมื่อครั้งงานปีใหม่เป็นต้นมา

ความขุ่นเคืองของผมสลายคลายไปหมด เหลือแต่ความรู้สึกผิดที่หลงไปตำหนิไอ้นัย

“เอ้อ กูผิดเองแหละ ที่ใจร้อนไปหน่อย ขอโทษนะ” ผมสารภาพผิด “โกรธกูหรือเปล่า”

ไอ้นัย สั่นหัว “ฮึ แม่สั่งเอาไว้ว่ามึงชอบใจร้อน กูมีหน้าที่ต้องดูแลมึงอยู่แล้ว”

พูดจบไอ้นัยก็หัวเราะ ผมเองก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงตอนที่แม่ฝากผมไว้กับไอ้นัย แล้วมันวางมาดเป็นพี่ชาย


<แฟชั่นชุดนักเรียนที่นิยมกัน
(ซ้าย) นอกจากกางเกงนักเรียนรัดรูปแบบสั้นๆแล้ว ยังมีกางเกงนักเรียนรัดรูปแบบขายาวด้วย
(ขวา) เสื้อนักเรียนแบบรับรูปที่นี่ยมกัน ใส่แล้วน่าดูสำหรับคนที่รูปร่างดี>

Saturday, January 10, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 50

ในช่วงแรกที่ไอ้นัยมาพักกับเรา เอ๊ดก็มาคลุกคลีอยู่ด้วย แต่เมื่อหลายวันผ่านไป เอ๊ดก็มีเรื่องให้ไปโน่นมานี่อยู่บ่อยๆ ดังนั้นในช่วงหลังๆผมกับไอ้นัยจึงขลุกกันเอง และสามารถแว่บไปนั่งเล่นที่บึงน้ำได้อีกหลายครั้ง

ในวันสุดท้าย ก่อนที่ไอ้นัยจะกลับกรุงเทพฯ เราแวะมาที่บึงน้ำกันอีกครั้งเพื่ออำลาโลกส่วนตัวของเรา

“ปีนี้สนุกที่สุดเลย” ไอ้นัยพูดขึ้น

“แน่ละสิ ขี่รถเครื่องจนหนำใจ จะไม่สนุกได้ยังไง” ผมพูด ปีนี้ไอ้นัยสนุกมากจริงๆ

“ปีหน้าคงได้มาอีกนะ” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วก็ถอนหายใจ

“ปีที่แล้วกูพูดแบบนี้ แล้วมึงว่ากูพูดเป็นลาง ปีนี้มึงกลับพูดเป็นลางเสียเอง ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ มึงก็มาทุกปีอยู่แล้ว” ผมปลอบใจมัน แต่ที่จริงก็ใจหายเมื่อฟังมันพูดเหมือนกัน อนาคตไม่แน่นอน ใครจะแน่ใจได้เล่า

ต้นเม่าต้นเก่าที่เราเคยปีนกันเล่นตั้งแต่ยังอยู่ชั้นประถมยืนต้นตระหง่าน ไอ้นัยเดินไปลูบคลำลำต้นเล่น

“อยากปีนขึ้นไปว่าวบนต้นไม้อีกเหรอ” ผมถามมัน หวนคิดถึงความซนของเราสองคนก็อดขำไม่ได้

ไอ้นัยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆใบหูของผม “ไอ้เปรต”

“แน่ะ เดี๋ยวนี้ปากจัด” ผมแหย่มัน

หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่บ้านเพื่อเตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไอ้นัยเข้าไปร่ำลาแม่และเอ๊ด

“แล้วมาเที่ยวอีกนะนัย” แม่พูดด้วยความเอ็นดู “ฝากดูแลอูด้วย อูพอเข้าวัยรุ่นแล้วใจร้อน แม่เป็นห่วงกลัวจะไปมีเรื่องมีราวเข้า นัยใจเย็นกว่ามาก ยังไงก็คอยช่วยรั้งอูเค้าบ้างนะจ๊ะ”

แม่เข้าใจเตือนดีจริงๆ แต่หารู้ไม่ว่า ลูกชายคนนี้มีเรื่องไปเรียบร้อยแล้ว

ไอ้นัยหันมามองหน้าผมแล้วอมยิ้ม “อูดื้อจะตาย ใจร้อนด้วย ใครพูดก็ไม่ฟังครับแม่”

ไอ้นัยนะไอ้นัย หาโอกาสเผาเพื่อนได้ดีจริงๆ

“ไม่หรอก” แม่พูด “อูเค้าเชื่อฟังนัยคนเดียว แม่ดูออก แม่ถึงได้ฝากกับนัยไง”

แม่รู้ใจผมจริงๆ แต่มันก็ทำให้ผมหนาวๆร้อนๆ แม่รู้ใจผมขนาดนี้ แล้วแม่จะรู้ไหมว่าผมกับไอ้นัย...

“ได้ครับ ผมจะดูแลอูให้แม่เอง” ไอ้นัยพูดพลางวางมาดราวกับเป็นพี่ชายขึ้นมาทันที ไอ้นัยกับผมเกิดปีเดียวกัน แต่ไอ้นัยเกิดก่อนผมสองสามเดือน ดังนั้นบางครั้งมันนึกสนุกขึ้นมาก็จะวางมาดพี่ชายมาข่มผม

“นี่แน่ะ ดูแล” ผมเขกหัวมันไปเบาๆหนึ่งที

หลังจากนั้นเราก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มีพ่อ ผม และไอ้นัย ที่จริงผมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องเข้ากรุงเทพฯ เพียงแค่ติดรถเพื่อมาส่งไอ้นัยเหมือนที่เคยทำมาเท่านั้นเอง

พ่อขับรถมาส่งไอ้นัยที่บ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง ก่อนไอ้นัยจะเข้าบ้าน ผมเอาขวดเบบี้ออยล์ออกมาจากเป้แอบยัดใส่มือมัน

“เก็บไว้ที่บ้านมึงดีกว่า” ผมพูด “วันหลังจะได้มาใช้”

“เหลือนิดเดียวยังเก็บมาอีก” ไอ้นัยหัวเราะเมื่อเห็นขวดออยล์

“เออ ขี้เกียจซื้อใหม่โว้ย” ผมตอบ

“เทอมนี้มึงจะพนันผลสอบกันอีกมั้ย” ไอ้นัยท้าทาย

“ไม่เอาล่ะ” ผมส่ายหน้า

“ทำไมล่ะ” ไอ้นัยผิดคาดที่ผมไม่สู้

“กูขี้เกียจได้แบงก์กาโม่” ผมตอบ

- - -

ต้นเดือนพฤษภาคม

ช่วงปิดเทอมที่ผมอยู่ต่างจังหวัด ผมต้องหยุดเรียนเปียโนไประยะหนึ่ง ปกติการเรียนของผมก็คืบหน้าช้าอยู่แล้ว การเรียนไม่ต่อเนื่องยิ่งทำให้ผมคืบหน้าได้ช้าลงไปอีก

เทอมนี้ผมเข้ามากรุงเทพฯเนิ่นเล็กน้อย ทั้งนี้ เพื่ออาศัยช่วงเวลาก่อนเปิดเทอมเข้าไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียนดนตรี พร้อมกันนั้น จะได้มีโอกาสเจอไอ้นัยด้วย ตลอดเวลาช่วงปิดเทอมที่ผมอยู่ต่างจังหวัดนั้น ผมคิดถึงไอ้นัยมาก คิดถึงมันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อยู่บ้านแล้วไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ใจมันอยากจะมากรุงเทพฯ จะได้มีโอกาสเจอไอ้นัยบ้าง

ผ่านปิดเทอมใหญ่ครั้งใด ผมมักรู้สึกว่าไอ้นัยเปลี่ยนแปลงไปทุกปี ปีนี้ก็เช่นกัน ตัวมันไม่โตขึ้นเท่าไร แต่ที่เปลี่ยนไปคือบุคลิก

ไอ้นัยดูจะห่วงเรื่องบุคลิกภาพของมันมากขึ้น จะเห็นได้จากการแต่งตัวที่ตามสมัยของวัยรุ่นมากขึ้น มีเสื้อผ้าใหม่ๆมากขึ้น และที่สำคัญคือมันดูน่ารักมากยิ่งขึ้น…

สไตล์กางเกงนักเรียนในช่วงนั้นนิยมใส่คับๆ สั้นๆ กันจนเป็นแฟชั่น บางคนก็ตัดขากางเกงเสียจนสั้นมาก ไม่น่าดูเอาเลย ส่วนไอ้นัยนั้นมันชอบใส่ทรงรัดรูปเล็กน้อย พอเห็นก้นงอนๆ ส่วนขากางเกงก็สั้นนิดหน่อย ไม่ถึงกับสั้นมาก รัดรูปชวนมองดี

นอกจากกางเกงรัดๆแล้ว ก็จะมีอีกพวกหนึ่งที่ใส่ใหญ่โคล่งไปเลย แต่ไม่ค่อยนิยมกันมากเท่าทรงรัดรูป แต่ไอ้นัยก็มีไว้ทั้งสองแบบ ไม่ให้ตกยุค ส่วนผมนั้นใส่กางเกงนักเรียนทรงมาตรฐานที่ซื้อสำเร็จรูปเช่นเดิม เนื่องจากผมไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟชั่นนัก

ผลสอบของชั้น ม.๑ เทอมปลาย ปรากฏว่าไอ้นัยได้เกรดเกิน ๓.๕ อีก ส่วนผมนั้นสอบได้เกรด ๓ ต้นๆ โชคดีที่ไม่ได้พนันกับไอ้นัยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงต้องได้แบงก์กาโม่มาอีก

เมื่อเปิดเทอมใหม่ คราวนี้เรากลายเป็นรุ่นพี่ ม.๒ ไปแล้ว ไม่ใช่เป็นน้องเล็กอีกต่อไป เป็นเรื่องน่าแปลกที่ตอนผมอยู่โรงเรียนเก่า แม้จะเรียน ป.๖ เป็นรุ่นพี่ตั้งห้าชั้น แต่ไม่ค่อยรู้สึกถึงความเป็นรุ่นพี่เท่าใดนัก แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ การเป็นรุ่นพี่กลับรู้สึกมีความหมายมาก แม้จะเป็นรุ่นพี่เพียงชั้นเดียว แต่ยังเป็นน้องอีกสี่ชั้นก็ตาม

ที่นี่พอขึ้นชั้นเรียนใหม่ก็จะคละห้องกันใหม่ ในปีนี้ผม ย้ายไปเรียนตึกเดียวกับไอ้นัย แต่อยู่ชั้นสอง ส่วนไอ้นัยย้ายลงมาเรียนชั้นล่างของตึกเดิม

เพื่อนร่วมห้องเมื่อชั้น ม.๑ ของผมส่วนใหญ่กระจายไปอยู่ห้องอื่นๆกันเกือบหมด คงเหลือเพื่อนเก่าจากชั้น ม.๑ เพียง ๓ คนเท่านั้น คือ ตี๋ จิ และนก ส่วนโหนกนั้นไม่ต้องพูดถึง โชคดีที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน

ตั้งแต่ปีที่แล้ว นกตัวเล็กและดูยังเด็กมาก ตอนอยู่ ม.๑ รูปร่างหน้าตาราวกับเด็ก ป.๕ พอมาปีนี้แม้นกจะโตขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังดูเด็กกว่าเพื่อนๆอยู่ดี

“อุ๊ย น้องๆ นี่โรงเรียนมัธยมนะครับ ไม่ใช่โรงเรียนประถม มาผิดโรงเรียนแล้ว” จิร้องทักนกเมื่อเห็นนกย่างเท้าก้าวแรกเข้าชั้นเรียนใหม่

“พี่ๆ นี่โรงเรียนมัธยม ไม่ใช่มหาวิทยาลัย แก่ก็อยู่ส่วนแก่ดิ” นกย้อนเกล็ดคืนเข้าให้ เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ


<กางเกงนักเรียนทรงรัดรูป เป้าเกางเกงตึง ที่นิยมกัน>

Sunday, January 4, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 49

อากาศปลายฤดูหนาวค่อนข้างแปรปรวน ยามบ่ายของวันนั้นท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดแรง หลังจากที่เราสองลงไปล้างเนื้อตัวในบึงน้ำแล้วก็มานั่งเคียงกันที่ริมบึง มองดูดำทะมึนกลุ่มใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา

“อนาคตมึงยังอยากเป็นอย่างเดิมหรือเปล่า” ผมถามคำถามเดิมที่เราถามกันทุกปีเมื่อมานั่งที่บึงนี้ นั่นคือ คำถามที่เกี่ยวกับอนาคตของเราสองคน

“เป็นอะไรเหรอ” ไอ้นัยถามอย่างงุนงง เพราะจู่ๆผมก็ถามขึ้นมา

“ก็ที่มึงอยากเป็นสถาปนิกเหมือนอย่างคุณอาไง” ผมทวนความจำให้

“ก็คงยังงั้นมั้ง” ไอ้นัยตอบ

“แต่เกรดอย่างมึงจะเรียนอะไรก็คงเรียนได้ ไม่อยากเรียนหมอหรือวิศวะเหรอ” ผมถาม พวกอาจารย์ของเรามักพูดกันว่า นักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยมัธยมปลายสูงกว่า ๓.๕ อยากจะเรียนอะไรก็สอบติด แม้กระทั่งแพทย์หรือวิศวะฯ ซึ่งเป็นค่านิยมของคนเรียนเก่งในสมัยนั้น ดังนั้นแม้เราเพิ่งจะอยู่มัธยมต้น และผลสอบของไอ้นัยจะเพิ่งออกมาเพียงเทอมเดียว แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะวาดฝันเรื่องอาชีพของตนเอง

“คงไม่เปลี่ยนหรอก อยากเป็นอย่างอาของกูมากกว่า” ไอ้นัยพูดอย่างภาคภูมิใจในตัวอา “แล้วมึงล่ะ เดี๋ยวจะเป็นครู เดี๋ยวจะเป็นกระเป๋ารถเมล์ ตอนนี้คิดออกหรือยัง”

“ก็ยังไม่รู้อยู่ดีนั่นแหละ” ผมตอบอย่างเลื่อนลอย สำหรับผมในตอนนี้ จะเรียนอะไรยังไม่สำคัญเท่ากับว่าชีวิตในอนาคตจะเป็นอย่างไร

“ถามอะไรหน่อยดิ” ผมพูดขึ้นมา หลังจากที่เงียบกันไปพักหนึ่ง

“ถามเยอะๆก็ได้” ไอ้นัยตอบยิ้มๆ

“มึงคิดจะมีครอบครัว มีลูกเมียหรือเปล่า” ผมถามเข้าประเด็น

“คงมีมั้ง” ไอ้นัยตอบ “คนเราโตขึ้น เรียนจบก็ต้องทำงาน แล้วก็แต่งงาน มีลูกเมีย” ถึงตอนท้ายประโยค ไอ้นัยพูดช้าลง เหมือนกำลังครุ่นคิด “ถามทำไมอะ”

“เปล่า” ผมตอบ สายตาทอดไปยังขอบฟ้าแสนไกลที่ทะมึนไปด้วยเมฆฝน คำพูดของอาจารย์ประพิมพ์ที่เตือนผมยังก้องอยู่ในสองหู “แค่คิดว่าถ้าเรามีลูกมีเมียกันแล้ว เราอาจจะต้องอยู่ไกลกัน ไม่รู้ว่าจะสนิทกันเหมือนอย่างวันนี้หรือเปล่า”

“เราก็ปลูกบ้านอยู่ติดกันดิ” ไอ้นัยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จะได้เห็นหน้ากันได้ทุกวัน กูจะออกแบบ แต่งบ้านให้มึงเอง”

“ถ้างั้นถือเป็นสัญญานะ” ผมยกนิ้วก้อยขวาขึ้นมา

“สัญญา” ไอ้นัยยกนิ้วก้อยขวาขึ้นมาเกี่ยว นิ้วของเราเกี่ยวกันแน่นอยู่ชั่วขณะ

ฝนโปรยปรายลงมาแล้ว ต้นหญ้าริมบึงไหวลู่จากแรงลม น้ำในบึงกระเพื่อมเป็นระลอกเล็กๆจากเม็ดฝน ความคิดของผมกระเพื่อมไม่หยุดนิ่งดุจดั่งน้ำในบึง รู้สึกอยากจะบอกอะไรแก่ไอ้นัยบางอย่าง แต่ก็จับต้นชนปลายไม่ถูก

“ฝนตกแล้ว กีตาร์กู” ไอ้นัยอุทาน

ไอ้นัยกลัวกีตาร์ของมันเปียกฝนเป็นอย่างมาก เราจึงเอาพลาสติกที่ปูรองนั่งผืนใหญ่มาคลุมหัวบังฝนแทน เพราะจะได้บังทั้งตัวเราและกีตาร์ไปด้วย

ทิวทัศน์บึงน้ำกลางสายฝนงดงามราวกับภาพวาด บึงน้ำนี้สวยไปหมดทุกฤดู ยามหน้าร้อนฟ้าใสกระจ่างก็สวย ยามหน้าหนาวอากาศหม่นทึมก็สวย และยามฝนพรำเช่นตอนนี้ก็สวยไปอีกแบบ โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับไอ้นัย

“มึงคลุมกันฝนเอาไว้ดีๆนะ” ไอ้นัยบอกให้ผมถือพลาสติกกันฝนเอาไว้คนเดียว ส่วนตัวเองโอบกีตาร์เอาไว้ กรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ดังกรุ๋งกริ๋ง

“ฟังเพลงนี้นะอู กูหัดมาเป็นพิเศษเลย” ไอ้นัยพูด

“คงเล่นยากสินะ” ผมพูด ถ้าถึงกับต้องหัดกันเป็นพิเศษแสดงว่าคงยากเอาการ

ไอ้นัยไม่ตอบ แต่เริ่มไล่นิ้วเรียวยาวลงบนสายกีตาร์ เสียงสายกีตาร์ไนลอนพลิ้วกราวประดุจธารน้ำไหล เข้ากับบรรยากาศสายฝนพรำ นิ้วมือซ้ายของไอ้นัยเคลื่อนไปบนคอกีตาร์อย่างแคล่วคล่อง ส่วนนิ้วมือขวาก็ไล่ดีดไปมาบนสายทั้งหก จากนั้นก็เริ่มร้องเพลงคลอ

How gentle is the rain
That falls softly on the meadow,
Birds high upon the trees
Serenade the clouds with their melody

How gentle is the rain
That falls softly on the meadow,
Birds high upon the trees
Serenade the clouds with their melody

Oh, see there beyond the hills,
The bright colors of the rainbow.
Some magic from above
Made this day for us just to fall in love

You hold me in your arms,
And say once again you love me,
And if your love is true,
Everything will be just as wonderful.

Now, I belong to you
From this day until forever,
Just love me tenderly
And I'll give to you every part of me.

Oh, don't ever make me cry
Through long lonely nights without love.
Be always true to me,
Keep this day in your heart eternally.

You hold me in your arms,
And say once again you love me,
And if your love is true,
Everything will be just as wonderful.

หลังจากเสียงสุดท้ายของสายกีตาร์จางหายไป เราสองเหมือนจมอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

“เพราะจัง” ผมเอ่ยชม ไอ้นัยเล่นเพลงนี้ได้ไพเราะอ่อนหวานจริงๆ จนผมอดชมไม่ได้ “แต่ฟังดูก็ไม่เห็นจะเล่นยากกว่าเพลงอื่นที่มึงเคยเล่นเลยนี่” ผมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้

ไอ้นัยไม่ตอบ แต่หันมามองหน้าผมแล้วถาม “เข้าใจความหมายไหม”

“ฮื่อ ก็พอรู้” ผมตอบไปตามตรง เนื้อเพลงบทนี้แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ใช้ภาษาที่ไม่ยากนัก อีกทั้งสำเนียงของไอ้นัยก็ไม่เลวอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงพอฟังออก แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอจับใจความได้
ว่ามันเป็นเพลงรักที่อ่อนหวานเพลงหนึ่ง

ไอ้นัยพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกแววพึงพอใจ “รู้ก็ดีแล้ว”

“มึงจะลองภูมิภาษาอังกฤษของกูเหรอ” ผมถาม

“...”

“เล่นให้ฟังอีกครั้งดิ เพราะจัง” ผมอ้อน “ชื่อเพลงอะไรน่ะ”

“A Lover’s Concerto” ไอ้นัยตอบ พลางกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ และเล่นเพลงนี้ให้ผมฟังอีกรอบหนึ่ง

เพลงรักหวานๆกลางสายฝนพรำ ภาพบึงน้ำเขียวมรกต ขอบบึงมีไม้ขจีที่อยู่เบื้องหน้า ช่างเป็นบรรยากาศที่งดงาม...

เมื่อเพลงอันอ่อนหวานจบลงเป็นรอบที่สอง ผมหยิบกีตาร์ออกจากมือของไอ้นัย เอาพลาสติกปูนั่งห่อกีตาร์และเป้เอาไว้จนมิดชิด เราสองปล่อยให้ร่างของเราถูกสายฝนโปรยปรายใส่

ผมประคองร่างไอ้นัยให้เอนตัวลง ตอนนั้นรู้สึกอยากกอดไอ้นัยเป็นที่สุด สายฝนอันเย็นฉ่ำไม่อาจดับไฟที่อยู่ในใจของผมได้

หลังจากที่หล่อลื่นจนได้ที่แล้ว ผมให้ไอ้นัยนอนตะแคง ส่วนผมเองก็นอนตะแคงประกบอยู่ด้านหลังของมัน จากนั้นเริ่มสอดใส่เข้าจากด้านหลัง

แขนของผมโอบกอดไอ้นัยเอาไว้ มือป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณท้องน้อย จมูกก็ซุกไซร้ไปตามต้นคอและใบหู ร่างท่อนบนของเราแนบสนิทกัน ส่วนร่างท่อนล่างของผมก็ขยับซอยไปมาอย่างช้าๆ...

ธรรมชาติดำเนินไปตามครรลองของมัน บางช่วงรุนแรง บางช่วงอ่อนโยน ดุจเดียวกับสายฝนที่โปรยปรายอยู่บนร่างของเราสองคน

เพียงไม่นาน ความรู้สึกของผมก็ใกล้แตกระเบิด มือของผมที่ท้องน้อยของไอ้นัยขยับเข้าออกรวดเร็วขึ้นเพื่อให้เราสองคนไปถึงฝั่งฝันพร้อมๆกัน

ไอ้นัยเบือนหน้ามา เราสองประทับริมฝีปากซึ่งกันและกัน และในวินาทีนั้นเอง ทำนบของผมพังทลายลง ไอ้นัยถอนหายใจ และแล้ว ผมก็รู้สึกว่ามีของเหลวอุ่นๆอยู่ในมือของผม...

ผมกอดไอ้นัยเอาไว้แน่นกลางสายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำ จมอยู่ในภวังค์ ผมดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์และแจ่มใสของไอ้นัยที่ถูกฝนปรอยใส่หยาดแล้วหยาดเล่า เส้นผมของมันชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างของเราสองแทบจะแนบเป็นเนื้อเดียวกัน ในวินาทีนั้นเอง หัวใจของผมไขว่คว้าความรู้สึกอะไรได้บางอย่าง...

มันไม่ใช่ความใคร่ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เกิดจากการผสมผสานของความรู้สึกหลายๆอย่างเข้าไว้ด้วยกัน... ทั้งทะนุถนอม ทั้งอบอุ่น และทั้งอิ่มเอม มันเป็นความรู้สึกของการครอบครอง ความหวงแหน อีกทั้งเป็นความรู้สึกของการแบ่งปัน และการเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน...

มันเป็นความรู้สึกที่เติมเต็มให้แก่ชีวิต...

กองไฟประหลาดยังคงคุโชนอยู่ในใจของผม ผมพยายามไขว่คว้าความรู้สึกนั้นเอาไว้เพื่อหาคำตอบว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่มันเกิดขึ้นเพียงวูบเดียวแล้วก็หายวับไป...

“อู” ไอ้นัยเรียก

“หือ” ผมตอบ เสียงเรียกของไอ้นัยทำให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมเกือบจะได้คำตอบอยู่แล้วทีเดียว

“นึกว่าหลับไปแล้ว” ไอ้นัยหัวเราะเสียงใส “มึงคิดท่านี้มาได้ยังไงเนี่ย”

“กูก็มีความคิดสร้างสรรค์ของกูบ้างสิ” ผมตอบพร้อมทั้งย้อนเกล็ดมันให้บ้าง “กลัวมึงเจ็บแผลที่เข่าไง”


<ผมกอดไอ้นัยเอาไว้แน่นกลางสายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำ จมอยู่ในภวังค์ ผมดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์และแจ่มใสของไอ้นัยที่ถูกฝนปรอยใส่หยาดแล้วหยาดเล่า เส้นผมของมันชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างของเราสองแทบจะแนบเป็นเนื้อเดียวกัน ในวินาทีนั้นเอง หัวใจของผมไขว่คว้าความรู้สึกอะไรได้บางอย่าง...>

<เพลง A Lover’s Concerto นี้ดัดแปลงมาจากเพลงในยุคบารอคของตะวันตกที่มีอายุประมาณ ๓๐๐ ปีมาแล้ว

เดิมทีเพลงนี้ชื่อมินูเอ็ต อิน จี เมเจอร์ (Minuet in G Major) คำว่ามินูเอ็ตนี้หมายถึงเพลงเต้นรำสั้นๆ บทเพลงนี้เดิมทีเชื่อว่าประพันธ์โดยโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) นักดนตรีชาวเยอรมัน แต่จากการค้นคว้าในภายหลัง ทำให้ปัจจุบันเชื่อกันว่าผู้ประพันธ์เพลงนี้น่าจะเป็นนักดนตรีชาวเยอรมันอีกคนหนึ่ง ชื่อ คริสเตียน เพ็ทโซลด์ (Christian Petzold) มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีข้อยุติ

เพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในแบบเรียนเปียโน กีตาร์ หรือแม้แต่ไวโอลิน ต่างก็ต้องมีเพลงนี้อยู่

ในปี ค.ศ. ๑๙๖๕ นักแต่งเพลงชาวตะวันตกสองคนได้นำเพลงนี้มาดัดแปลง โดยแต่งคำร้อง และดัดแปลงลีลาในการบรรเลง จากเดิมโทนของเพลงเป็นเพลงเต้นรำที่น่ารัก ให้กลายเป็นโทนป๊อบแจ๊ส ได้เป็นเพลง A Lover’s Concerto ขึ้นมา เพลงนี้เฉพาะในปี ค.ศ. ๑๙๖๕ เพียงปีเดียว ขายได้มากกว่าหนึ่งล้านแผ่น (ในยุคนั้นเป็นยุคของแผ่นเสียง) ต่อมามีนักร้องอีกหลายคนที่ขับร้องเพลงนี้ รวมทั้งมีการทำเพลงนี้ออกมาในแนวหวานโรแมนติกอีกด้วย ซึ่งแนวโรแมนติกนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน

A Lover’s Concerto เวอร์ชันที่คนไทยคุ้นหูกันเป็นเวอร์ชันจากเสียงร้องของนักร้องสาวชาวฮ่องกง นาม เฉินฮุ่ยหลิน หรือว่า เคลลี เฉิน (Kelly Chen) เสียงของเครื่องดนตรีที่ได้ยินในบทเพลงคือเสียงกีตาร์>

ดาวน์โหลดเพลง A Lover’s Concerto ร้องโดย เคลลี เฉิน (MP3)
ฟังเพลง A Lover’s Concerto ร้องโดย เคลลี เฉิน (youtube)
ฟังเพลง A Lover’s Concerto บรรเลงด้วยเปียโน (youtube)
ฟังเพลง Minuet in G Major ฉบับดั้งเดิมในสไตล์กีตาร์คลาสสิก (youtube)