Saturday, May 31, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 9

ฟังคุณอาเล่าเสียเพลิน ในที่สุดก็นึกได้ว่าพ่อรออยู่ เราต้องเร่งเวลากันหน่อย เพราะว่าพ่ออยากให้ซื้อของใช้จำเป็นส่วนใหญ่ให้เรียบร้อยภายในวันนี้ไปเลย เนื่องจากเราจะกลับต่างจังหวัดกันในวันนี้ช่วงบ่าย ไม่อยากค้างคืนอีกเพราะพ่อห่วงงานที่บ้าน มัวแต่ฟังคุณอาคุย เลยไม่ค่อยได้คุยกับไอ้นัยเท่าไร

วงหน้าที่คุ้นเคย ผิวสีแทนสวย ทำให้ผมอยากอยู่คุยกับมันนานอีกหน่อย แต่ก็คงไม่ได้เสียแล้ว

“ผมต้องกลับละครับ คุณอา” ผมเอ่ยปากลา “ป๋ารออยู่ ป๋าจะเดินทางกลับวันนี้เลย”

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอ ไม่ลองนั่งรถเมล์กลับบ้านกับนัยเค้าหน่อยเหรอ” คุณอาเอ่ยปากชวน

ผมงง นั่งรถเมล์อะไรกัน หันไปมองหน้าไอ้นัยเป็นเชิงถาม มันก็อมยิ้ม

“วันนี้คุณอาให้กูนั่งรถเมล์กลับบ้านเองน่ะ” ไอ้นัยอธิบาย “คุณอาบอกว่าอีกหน่อยต้องนั่งรถเมล์มาเรียนเอง เลยอยากให้ลองนั่งดูก่อนเปิดเทอมจริงๆ”

อือม์ ความคิดเข้าท่าแฮะ คุณอานี่รอบคอบกว่าพ่อผมมากเลย ผมเองก็ไม่เคยนั่งรถเมล์กับเขา ตอนเรียนประถมก็อยู่แต่ในหอโรงเรียน จะไปไหนมาไหนก็มีคนพาไปตลอด

“อยากลองมั่งจังครับ” ผมบอก

“ก็ลองไปขอป๋าดูสิ” คุณอาแนะนำ

ผมจึงขอให้คุณอากับไอ้นัยรอสักครู่ เพื่อจะไปขออนุญาตพ่อ ซึ่งพ่อก็เห็นดีด้วย ลองนั่งดูก่อน จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก่อนเปิดเรียนจริงๆ คราวนี้พ่อตกลงใจง่ายอย่างที่ผมนึกไม่ถึง ปกติต้องไม่เห็นด้วยเอาไว้ก่อนเสมอ คงเห็นว่าในที่สุดก็ต้องนั่งรถเมล์อยู่ดีกระมังครับ ค้านไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

พ่อบอกถ้าอย่างนั้นพ่อจะไปรอรับเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านคุณป้าก่อน แล้วให้นั่งรถเมล์กลับบ้านเอง แล้วไปเจอกันที่บ้าน

จากนั้นพ่อก็แยกตัวกลับไปก่อน ผมรีบวิ่งตื๋อไปหาคุณอากับไอ้นัย

“เรียบร้อย” ผมบอก “ไปกันได้”

ไอ้นัยมีสีหน้าแปลกใจ

“ทำไมป๋ายอมง่ายนักวะ ฮุฮุ แปลกจัง” ไอ้นัยพูดพลางหัวเราะ มันคงรู้จักนิสัยของพ่อผมดี ว่าขอให้ขัดเอาไว้ก่อน

โรงเรียนมัธยมชายล้วนในเขตพระนครนั้นมีเพียง ๒ แห่ง อยู่ใกล้ๆสะพานพุทธแห่งหนึ่ง กับอีกแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ๆกรมที่ดิน นอกจากนั้นก็จะเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษา โรงเรียนพาณิชย์ มีหลายแห่ง โรงเรียนหญิงล้วนในเขตนั้นก็มีหลายแห่ง อยู่ใกล้ๆกันทั้งนั้น

คุณอาพาไอ้นัยกับผมเดินไปทางสะพานพุทธ ก็ไกลอยู่เหมือนกัน ที่ต้องเดินไปไกลขนาดนั้นเพราะว่า ที่ใต้สะพานนั้นเป็นท่ารถหรือว่าเป็นต้นสายของรถเมล์หลายสาย

เราเดินไปเรื่อยๆ ข้ามถนนมาทางลานหน้าสะพานพุทธ จากนั้นเดินลอดอุโมงค์สั้นๆเพื่อทะลุไปที่ถนนใต้สะพาน ที่นั่นเป็นท่าของรถเมล์หลายสาย ในตอนที่ผมเรียนนั้น เท่าที่จำได้มีสาย 8, 73, 11 สามสายที่จอดที่นั่น รถเมล์ในตอนนั้น โดยเฉพาะรถเมล์สาย 8 ไม่ได้เป็นรถร่วมสภาพโทรมๆแบบสมัยนี้ แต่เป็นรถของ ขสมก. รถเมล์สาย ๘ ยุคนั้นเป็นรถเมล์ทรงกล่องสี่เหลี่ยม เหมือนขนมปังปอนด์สี่เหลี่ยม ตัวรถเป็นสีขาว คาดสีน้ำเงิน ค่ารถจำไม่ได้แน่นอนนัก น่าจะหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ ตลาดนัดสะพานพุทธก็ยังไม่มี

คุณอาให้เราเดินมาขึ้นที่ต้นสายเพราะว่าเมื่อมาเรียน การเดินมาขึ้นที่นี่จะทำให้ได้นั่ง ถ้าไปขึ้นตามทางจะไม่มีที่นั่ง

หลังจากพาเรามาส่งที่ใต้สะพานพุทธ และกำชับผมกับไอ้นัยอีกเล็กน้อย คุณอาก็เดินกลับไปที่โรงเรียนเพื่อขับรถกลับ ปล่อยให้ผมกับไอ้นัยผจญภัยกันสองคน เราสองคนขึ้นไปนั่งรอบนรถเมล์สาย ๘ คันที่จะออกต่อไป ตอนที่เราขึ้นไปบนรถใหม่ๆ รถเมล์ยังว่างๆอยู่เลย เราสองคนนั่งติดกัน แต่เพียงครู่เดียว คนก็ขึ้นมากันเต็มรถ ส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองมากับนักเรียน คงจะลงทะเบียนเสร็จแล้วก็พากันกลับ

“มึงเคยนั่งรถเมล์เองมั้ยวะ” ผมถามไอ้นัย

ไอ้นัยสั่นหัวดิก “เคยนั่ง แต่ไม่เคยไปไหนเอง คุณอาพาไปตลอด”

“แล้วมึงแน่ใจไหมว่าจะกลับถึงบ้าน” ผมถามอีก ชักรู้สึกปอดๆเหมือนกัน เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ต้องนั่งรถเมล์เดินทางด้วยตัวเอง

“สบาย” ไอ้นัยพูด “เรียน ม.๑ นั่งรถต่อเดียวไม่ถึงก็แย่แล้ว คนออกเต็มรถ มึงก็ถามเข้าไปดิ”

“มึงยังไม่ได้เรียนสักหน่อย แค่จบ ป.๖ เท่านั่นแหละ ทำคุย” ผมขัดคอมัน แต่ก็ไม่ได้กลัวหลงอะไรหรอกครับ มีไอ้นัยอยู่ด้วย ถึงอย่างไรก็อุ่นใจ

เพียงครู่เดียว รถก็แน่นไปด้วยผู้คน คนขับในชุดเสื้อฟ้า กางเกงน้ำเงิน ก็เดินขึ้นมาสตาร์ตรถ และขับออกไป

และแล้ว การผจญภัยย่อยๆของผมกับไอ้นัยก็เริ่มขึ้น...



<ถนนมุ่งสู่สะพานพุทธ ส่วนหนึ่งเส้นทางกลับบ้าน>

Sunday, May 25, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 8

ไอ้นัยมองที่เป้ากางเกงที่ค่อยๆขยายตัวของผม แล้วทำหน้ายิ้มๆ พลางเอ่ยปากแซว

“ควยลุกแต่เช้า อายเค้านะมึง”

ผมรีบปล่อยมือจากมือของไอ้นัย ขืนจับนานไปเป้ากางเกงจะตุงยิ่งกว่านี้ ที่จริงถึงมันแข็งตัวเต็มที่ก็ตุงไม่มากหรอกครับ เพราะว่าวันนั้นผมใส่กางเกงในตัวใหม่ มันค่อนข้างจะรัด แต่กางเกงขาสั้นรัดรูปของไอ้นัยนี่สิครับ ถ้าเกิดของไอ้นัยมันแข็งขึ้นมาเพื่อนๆคงรู้กันหมด

“ฮื่อ เห็นกางเกงมึงแล้วเกิดอารมณ์ว่ะ” ผมกระซิบบอกมัน “ทำไมมึงตัดกางเกงฟิตขนาดนี้วะ” ผมถาม

ไอ้นัยหัวเราะฮุฮุ ไม่ยอมตอบ

“ดีใจจังที่เจอมึงอีก ปิดเทอมโคตรเหงาเลย” ไอ้นัยพูด สมัยนั้นนิยมใช้คำว่าโคตรอยู่ข้างหน้า เช่น โคตรเหงา โคตรเซ็ง พวกโคตรเอาไว้ข้างหลัง เช่น เซ็งโคตร เหงาโคตร ยังไม่มี “ไม่รู้ว่าไอ้ชัชป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”

“กูก็เหงา เพราะว่าเขียนจดหมายถึงมึงแล้วมึงไม่ค่อยยอมตอบ ไอ้ชัชก็เหมือนกัน” ผมต่อว่ามัน ตอนปิดเทอมเขียนจดหมายถึงไอ้สองตัวนี่คนละหลายฉบับ แต่มันไม่ค่อยยอมตอบกลับมา ถึงตอบมาก็สั้นๆ “มึงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะไอ้นัย แม้แต่ทรงผมก็ยังเปลี่ยน”

“อยากลองเปลี่ยนดูอ่ะ ทรงเก่าเบื่อแล้ว” ไอ้นัยบอก

“แล้วเพื่อนเก่าๆอย่างกูล่ะ เบื่อหรือยัง” ผมถาม

“นัย เป็นไงบ้าง ปิดเทอมสนุกไหม” ก่อนที่ไอ้นัยจะตอบคำถามนี้ เสียงของพ่อก็แทรกเข้ามา พ่อเดินเข้ามามาทักทายไอ้นัย

ไอ้นัยยกมือไหว้เพื่อสวัสดีพ่อ ไอ้นัยมันมารยาทดีครับ แม้แต่ตอนเจอเอ๊ดมันก็ไหว้ ทั้งๆที่อ่อนกว่าเพียงไม่กี่ปี เพราะความมารยาทดีของมันนี่เอง ทำให้ทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ด เอ็นดูมัน บางทีแม่ยังบ่นเลยครับว่าทำไมผมไม่เรียบร้อยอย่างไอ้นัยบ้าง

“หวัดดีครับพ่อ หวัดดีครับพี่เอ๊ด แม่กับพี่เอ๊ดไม่มาหรือครับ” ไอ้นัยทักทาย

“มา แต่ไปซื้อของให้อูเค้าน่ะ แล้วผู้ปกครองของนัยล่ะ” พ่อตอบ พ่อใช้คำว่าผู้ปกครอง ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าพ่อกำลังหมายถึงใคร

“พ่อกับแม่อยู่ไหนล่ะ จะได้ไปสวัสดี” ผมถามไอ้นัย

“คุณอาพามามอบตัวน่ะ” ไอ้นัยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หลังจากนั้นไอ้นัยก็ไปพาคุณอาผู้ชายมาทักทายกับพวกเรา หลังจากทักทายกันสักครู่ พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระเรื่องมอบตัว ลงทะเบียนเรียน และซื้อหนังสือเรียน ผมกับไอ้นัยลงทะเบียนกันคนละจุด หลังจากที่ทักทายและแยกกันแล้วก็ไม่เห็นมันอีกเลย

เมื่อลงทะเบียนเรียนเสร็จเรียบร้อย ผมกับพ่อก็หอบหนังสือเรียนที่ได้รับออกมานั่งรอไอ้นัยที่ระเบียง ผมมานั่งรอตรงนี้เพราะเป็นทางที่ไอ้นัยต้องเดินผ่าน ส่วนพ่อนั้นหลบออกไปรอที่อื่นแล้วเพราะว่าแถวนั้นเด็กแน่นไปหมด

หนังสือเรียนใหม่เอี่ยมถูกมัดด้วยเชือกฟาง เมื่อผมแกะออกมาดูก็เห็นมีหนังสือวิชาต่างๆที่ต้องใช้เรียนตอน ม.๑ เทอมต้นอยู่กว่าสิบเล่ม ส่วนใหญ่เป็นหนังสือกระดาษปรู๊ฟ สีเหลืองตุ่นๆแบบกระดาษที่ใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์รายวัน กลิ่นหมึกพิมพ์โชยออกมาหอมฟุ้งในความรู้สึกของผม ผมชอบกลิ่นหมึกพิมพ์ที่ติดอยู่กับหนังสือใหม่จัง

หนังสือเรียนที่ได้รับมา ส่วนใหญ่เป็นแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พิมพ์โดยองค์การค้าคุรุสภา หน้าตาไม่ค่อยสวยนัก แต่ว่าราคาถูก เล่มหนึ่งไม่กี่สิบบาท ต่างจากโรงเรียนเก่าของผมที่ค่าตำราแพงมาก แต่ละเล่มเกือบร้อยหรือร้อยกว่าบาท เพราะส่วนใหญ่ใช้ตำราของสำนักพิมพ์เอกชน พิมพ์สวยๆ มีสี ใช้กระดาษปอนด์สีขาว สะอาดตาน่าใช้ ที่จริงเรื่องหนังสือเรียนนี่ทางโรงเรียนไม่ได้บังคับ ถ้าต้องการไปซื้อจากร้านศึกษาภัณฑ์หรือร้านขายแบบเรียนข้างนอก ก็เอารายการไปซื้อได้ แต่ที่จัดมาให้ก็เพื่ออำนวยความสะดวก

ผมพลิกหนังสือเรียนดูเล่นเพื่อฆ่าเวลา เล่มที่ผมรู้สึกสะดุดตาผมคือบทอาขยานภาษาอังกฤษ เล่มบางจ๋อย อาขยานก็คือบทกวีนั่นเอง ภายในเล่มมีบทกวีภาษาอังกฤษอยู่หลายบท เท่าที่ยังพอจำได้ก็มี My love is like a red, red rose ซึ่งเป็นบทกวีของ Robert Burns กวีชาวสก็อตที่ผมชอบมาก และยังจำได้จนถึงทุกวันนี้

ผมนั่งมองเพื่อนร่วมชั้นปีไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้จักชื่อใครสักคนหรอกครับ แต่บางคนก็คุ้นๆหน้าเพราะลงทะเบียนในห้องเดียวกัน เรื่องหนึ่งที่ผมสังเกตก็คือ นักเรียนที่นี่ใส่รองเท้าผ้าใบกันเยอะมาก มีที่ใส่รองเท้าหนังเพียงส่วนน้อย ต่างจากที่โรงเรียนเก่าของผมซึ่งใส่รองเท้าหนังกันทั้งนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองประหลาดกว่าคนอื่นนิดหน่อย

สักพักเดียว ไอ้นัยกับคุณอาก็เดินมาจริงๆ เมื่อมันเห็นผมมันก็ยิ้มแฉ่งอย่างอารมณ์ดี ผมเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มของมันมีเสน่ห์มากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน ส่วนคุณอาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คงสมหวังในตัวหลานชายคนนี้มาก

“เสร็จนานแล้วเหรอ” คุณอาทักผม

“ครับ ผมเป็นคนต้นๆ เลยเสร็จก่อน” ผมตอบ แล้วก็หันไปถามไอ้นัยถึงเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่ “นัย มึงสังเกตไหม ทำไมนักเรียนที่นี่ใส่รองเท้าผ้าใบกันเยอะมาก ใส่รองเท้าหนังนิดเดียวเอง”

ไอ้นัยทำหน้าครุ่นคิด “อ๋อ ไม่รู้อ่ะ”

“โธ่ว้อย” ผมบ่น นี่ถ้าคุณอาไม่อยู่ ผมคงเขกหัวมันไปแล้วด้วยความเคยชิน “ไม่รู้แล้วจะอ๋อทำไม”

“ช่างสังเกตนี่อู” เสียงคุณอาพูดขึ้น “เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมของรัฐบาลน่ะ ส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าผ้าใบ เพราะว่าราคาไม่แพง ส่วนนักเรียนโรงเรียนประถมเอกชนมักใส่รองเท้าหนัง แม้มันจะดูสวยกว่าแต่ก็แพงกว่า ที่เห็นนักเรียนใส่รองเท้าผ้าใบ แสดงว่าพวกนั้นน่าจะจบ ป.๖ มาจากโรงเรียนรัฐบาล” คุณอาเฉลยข้อสงสัยให้ผมฟัง ซึ่งสมัยนั้นแนวโน้มเป็นแบบนั้นจริงๆ

หลังจากนั้นคุณอาก็ถามผมว่าได้เรียนห้องไหน ผมได้เรียนห้อง ๒ หรือ ม.๑/๒ ส่วนไอ้นัยอยู่ห้อง ม. ๑/๘

ผมอดผิดหวังนิดหน่อยไม่ได้ อยากได้เรียนห้องเดียวกับไอ้นัยแต่ก็โชคไม่ดีขนาดนั้น

คุณอาเล่าให้ฟังต่อว่าที่โรงเรียนนี้ สมัยก่อนมีห้องคิงด้วย เด็กที่สอบเข้าได้คะแนนดีมากๆจะถูกจัดชั้นเรียนเป็นห้องพิเศษ คือให้พวกเด็กเก่งเรียนกับเด็กเก่งด้วยกัน เรียกว่าห้องคิง ส่วนที่เหลือก็จัดชั้นกันไปตามปกติ และเรียนกันไปจนจบมัธยมปลาย ใช้วิธีนี้มานาน แต่ต่อมาวิธีการนี้ถูกเปลี่ยนไป ห้องคิงถูกยกเลิก เด็กนักเรียนทั้งหมดถูกจัดห้องเรียนคละเคล้ากันไป แถมทุกปียังต้องจัดห้องใหม่ คือเมื่อเรียนจบปีหนึ่ง พอจะเรียนปีต่อไปก็จะถูกคละและจัดห้องเรียนใหม่อีก เป็นแบบนี้ทุกปี ทั้งนี้ เพื่อให้นักเรียนรู้จักกันให้ได้มากที่สุด แทนที่จะรู้จักเฉพาะเพื่อนในห้อง แล้วก็รู้จักกันแค่นั้นไปจนจบ ม.๖ ซึ่งผมกับไอ้นัยก็เข้ามาเรียนในยุคที่ต้องจัดห้องใหม่กันทุกปีนี่แหละ

Friday, May 2, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 7

เช้าวันนั้น เมื่อตื่นนอนแล้วผมก็ต้องเก็บที่นอนให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ลงไปช่วยคุณป้าทำอาหาร ที่บ้านนี้ตอนเช้ากินข้าวสวยกันครับ ต่างจากบ้านผมที่ต่างจังหวัดที่ตอนเช้ากินข้าวต้ม กับข้าวก็มี ๒-๓ อย่าง เพราะถือว่าไม่ใช่มื้อใหญ่ ที่ขาดไม่ได้คือไข่เจียวเป็นกับข้าวยืนพื้น

หน้าที่ของผมที่เริ่มได้รับมอบหมายก็คือ ช่วยจัดเตรียมโต๊ะอาหาร เตรียมจาน ชอนส้อม และอื่นๆเอาไว้บนโต๊ะ เนื่องจากผมยังใหม่ต่อบ้านนี้ ก็เพิ่งมาอยู่ได้เป็นวันที่สองเอง ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นกับที่เก็บอุปกรณ์ข้าวของต่างๆ ก็ยังเงอะงะอยู่บ้าง ยังต้องคอยให้เอ๊ดแนะนำ

เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษและคิดว่าเป็นเรื่องที่ผมปรับตัวได้ค่อนข้างยากก็คือการทำอะไรเบาๆ เนี้ยบๆ อย่างเช่น จะวางจาน วางช้อน ก็ต้องเบามือ อย่าให้มีเสียงดังกระทบกัน ผมโดนดุเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว เช้านี้ก็ยังโดนดุอีก เพราะว่าวางช้อนส้อมเสียงดังไปหน่อย ที่จริงนิสัยของผมก็ใช่ว่าจะเป็นคนทำอะไรมือหนักโครมคราม แต่ว่ามาตรฐานของบ้านนี้สูงกว่าคุณสมบัติที่ผมมีอยู่มาก ผมก็เลยโดนดุ

หลังจากที่โดนดุ ผมก็เพิ่งมาถึงบางอ้อเอาวันนี้เอง ว่าทำไมในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เวลาที่เอ๊ดอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดตอนปิดเทอม ผมสังเกตว่าเอ๊ดทำอะไรเรียบร้อย พิถีพิถัน และมือเบาขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่เดิมเพียงสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มาวันนี้จึงได้รู้ว่าเอ๊ดมาฝึกเอานิสัยประณีตมาจากบ้านคุณลุงคุณป้านี่เอง

ในการกินอาหารมื้อเย็นเมื่อวาน ผมคุยกับเอ๊ดจ้อจนโดนดุ ว่าไม่ควรพูดคุยกันระหว่างกินอาหาร เพราะเป็นมารยาทที่ไม่เหมาะสม เช้าวันนี้ผมจึงนั่งกินอาหารเงียบๆ ไม่กล้าคุยอะไร

“อู เมื่อคืนนอนสบายไหม เจ็บไข้ไม่สบายอะไรหรือเปล่า นั่งซึมเชียว” คุณลุงถามระหว่างมื้ออาหาร

เฮ้อ คุยก็โดนดุ ไม่คุยก็หาว่าไม่สบายอีก

“สบายดีครับคุณลุง” ผมตอบเบาๆ พยายามไม่พูดอะไรมาก

“งั้นอาหารไม่ถูกปากหรือลูก ซึมเชียว” คุณป้าถามขึ้นมาอีกคน

“อาหารอร่อยครับ” ผมตอบอ้อมแอ้ม ที่อ้อมแอ้มเพราะว่ากำลังเคี้ยวอาหารอยู่

“เวลาเคี้ยวอาหารอย่าพูดสิลูก เคี้ยวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยตอบก็ได้” คุณป้าดุ

เป็นงั้นไป โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ผมชักเริ่มรู้สึกว่าบ้านนี้ไม่ค่อยน่าอยู่เอาเสียเลย ที่หอยังดีกว่าเยอะ เหลือบมองไปทางเอ๊ด เห็นเอ๊ดอมยิ้ม แอบทำหน้าเยาะเย้ยผม คงนึกสมน้ำหน้าที่ผมอยากดิ้นรนนัก

หลังจากกินอาหารเสร็จ เราก็ช่วยกันล้างถ้วยจาน เอ๊ดคงสงสารผมนิดหน่อยกระมัง เลยอาสาล้างจานให้ ให้ผมคอยรับจานที่ล้างแล้วไปตากในตะแกรงก็พอ ที่เอ๊ดล้างจานให้ก็เพราะว่าถ้าผมล้างจานเอง ก็คงทำจานกระทบกันเสียงดัง แล้วคงไม่วายโดนดุอีก

อาหารมือเช้าผ่านไปด้วยความทุลักทุเลในความคิดของผม หลังจากที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อย พ่อกับแม่ก็มาถึงพอดี

แค่สองวัน ใจผมก็เริ่มฝ่อไปหน่อยแล้ว อยากจะบอกกับพ่อและแม่เหลือเกินว่าให้หาที่อยู่ใหม่ให้ผมดีกว่า หรือไม่อย่างนั้นก็ขอกลับไปโรงเรียนประจำอย่างเดิม แต่ก็แค่คิดไปอย่างนั้นเอง เพราะกว่าจะผ่านอุปสรรคมาจนถึงวันนี้ได้ก็แทบแย่ เรื่องอะไรจะไปยอมแพ้ง่ายๆ

เช้าวันนั้น ผมแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนใหม่เอี่ยม คาดเข็มขัดหนังสีดำหัวทองเหลืองขัดจนมันวาว รองเท้าหนังขัดจนมันเช่นกัน ชุดนักเรียนใหม่ชุดนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง จากชุดนักเรียนใหม่ที่เคยได้รับในปีก่อนๆ เมื่อก่อนชุดใหม่มันก็แค่ชุดใหม่ แต่ชุดนี้พิเศษยิ่งกว่า

ผมมองดูตัวเองในกระจกเงาในห้องนอน เห็นเสื้อนักเรียนสีขาวสะอาดปักตัวอักษรสีน้ำเงินเข้ม ชุดใหม่ที่ผมสวมใส่อยู่นี้เป็นผลจากความพยายามตลอดทั้งปีของผม เป็นสิ่งที่ผมได้มาด้วยความสามารถของตนเอง ไม่ได้พึ่งพาใคร รวมทั้งไม่มีใครสนับสนุน นับเป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตวัยเด็กของผม

ผมนึกไปถึงไอ้นัย เมื่อไอ้นัยแต่งตัวด้วยชุดใหม่ มันก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผมเหมือนกัน ... ป่านนี้ไอ้นัยคงออกจากบ้านแล้ว เดี่ยวเราก็คงได้เจอกัน …

“อู ยืนเหม่ออะไรอยู่ แต่งตัวเสร็จก็ไปได้แล้ว ป๋ารออยู่” เอ๊ดซึ่งแต่งตัวเสร็จแล้วชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนอน ร้องเตือนผม

“ชักช้าจริง” เอ๊ดบ่น แต่ผมกำลังอารมณ์ดี เลยไม่ได้ใส่ใจที่จะต่อปากต่อคำด้วย

เช้าวันนั้น พ่อเป็นคนพาผมไปมอบตัวและลงทะเบียนเรียนเพียงคนเดียว ส่วนแม่กับเอ๊ดแวะลงกลางทาง แม่จะหาซื้อพวกเตียงนอน โต๊ะทำงาน และข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนมาให้ผม เอ๊ดซึ่งเดิมทีว่าจะไปกับผม ถูกพ่อสั่งให้ไปช่วยซื้อของกับแม่แทนอย่างกะทันหัน ทำให้เอ๊ดบ่นอุบอิบ เพราะอยากจะไปดูโรงเรียนใหม่ของผม แต่แล้วก็อดไป

- - -

เรามาถึงที่โรงเรียนเวลาประมาณ ๙ โมงเช้า เมื่อไปถึง เห็นนักเรียนในชุดใหม่เอี่ยมละออเต็มไปหมด เสียงคุยดังจ้อกแจ้กจอแจ พวกผู้ปกครองก็คุยกัน นักเรียนใหม่ก็เริ่มสร้างความคุ้นเคยด้วยการพูดคุยกัน บรรยากาศจึงอบอวลไปด้วยเสียงพูดคุย

ผมพยายามมองหาไอ้นัย แต่ก็ยังไม่เจอ จนในที่สุด ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งร้องเรียกอยู่ข้างหลัง

“อู อู ทางนี้ว้อย”

เสียงของไอ้นัยนั่นเอง ผมหันกลับไปมอง เห็นไอ้นัยเดินตรงเข้ามาหา ผมดีใจจนอยากเข้าไปกอดมัน แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้

หลายปีมานี้ เมื่อผ่านช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ครั้งใด ผมรู้สึกว่าไอ้นัยโตและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ไอ้นัยในชุดนักเรียนใหม่ กางเกงดำของมันตัดเป็นทรงรัดรูป ทำให้เห็นทรวดทรงของลำตัว ตะโพก และก้นที่งอนสวยชัดเจน ผิวไอ้นัยดูคล้ำขึ้นเล็กน้อย ปีนี้ไอ้นัยดูไม่ค่อยสูงขึ้นเท่าไรนัก ผมเสียอีกที่สูงเร็ว เมื่อปีที่แล้วผมสูงกว่าไอ้นัยอยู่หน่อยเดียว ปีนี้กลับดูสูงกว่ามันมากขึ้นกว่าเดิม

ไอ้นัยไว้ผมรองทรง แสกกลาง ปลายผมหยักศกเล็กน้อย ผมของไอ้นัยถ้าไว้ยาวจะเห็นว่าด้านหน้าหยักศกนิดหน่อย ถ้าตัดสั้นจะไม่เห็น ไรหนวดของมันเขียวเข้มขึ้นกว่าเดิมทำให้ใบหน้าของมันดูเข้มขึ้น ประกอบกับสิวที่ขึ้นนิดหน่อย ทำให้ใบหน้าของไอนัยนั้นไม่ใช่น่ารักแบบเด็กอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นใบหน้าของวัยรุ่นที่หล่อเหลาคนหนึ่งในสายตาของผม

สิ่งที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับทรงผมของมันก็คือ เมื่อก่อนตอนปิดเทอม เมื่อไว้ผมยาว มันจะหวีผมแสกข้าง แต่ปีนี้ดูจะไว้ยาวกว่าทุกปี แถมยังเปลี่ยนจากแสกข้างมาเป็นแสกกลางอีกด้วย

ไอ้นัยตรงรี่เข้ามา คว้ามือผมมากุม นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่มันแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาให้ผมได้รับรู้

ผมกุมมือมันเอาไว้แน่นเช่นกัน เมื่อเรายืนในระยะที่ใกล้กัน กลิ่นสบู่หอมผสมกลิ่นตัวอ่อนๆที่ผมคุ้นเคยก็โชยมา ใบหน้า มืออันอบอุ่น กางเกงที่รัดรูป และกลิ่นอ่อนๆ ที่ผมได้รับสัมผัส ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างประหลาด เป้ากางเกงของผมตุงขึ้นมาโดยไม่สามารถจะควบคุมได้


<ผืนหญ้าเขียวชอุ่มที่ริมบึงน้ำ ณ บริเวณนี้เอง ที่ก่อให้เกิดความทรงจำและเรื่องราวมากมาย>