Monday, December 31, 2007

ตอนที่ 77

วันอาทิตย์นั้น ผมเอาแต่นั่งเซ็งทั้งวัน อยากอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร ไม่สนใจแม้กระทั่งไอ้ชัช เพราะผมรู้สึกเคืองมันอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน ผมเดินวนอยู่รอบเครื่องโทรศัพท์เกือบทั้งวัน ใจหนึ่งอยากโทรศัพท์ไปคุยกับไอ้นัยอีก แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าโทรไป วันอาทิตย์ผมรู้สึกว่ามันยาวนานเป็นพิเศษ ... ยาวนานจนรู้สึกทรมาน ผมอยากให้เปิดเรียนวันจันทร์เหลือเกิน จะได้พบกับไอ้นัย จะได้ถามมันต่อหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันศุกร์ และจะได้ปลอบใจมัน...

นอกจากกังวลเรื่องไอ้นัยแล้ว วันนี้ผมยังมีเรื่องกังวลอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องการไปเรียนที่ใหม่ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด ผมก็คงสอบสัมภาษณ์ผ่าน และหลังจากนั้น ผมจะต้องย้ายโรงเรียนในเทอมหน้า

ผมโทรไปคุยกับพ่อ พ่อก็ไม่เห็นด้วยท่าเดียว พูดกันด้วยเหตุผลเดิมๆเหมือนฉายหนังซ้ำ บอกว่าเรียนที่เดิมก็ดีแล้ว ไปเรียนที่ใหม่ไม่มีแผนกประจำ ผมจะไปพักที่ไหน จะไปอยู่กับเอ๊ดก็เกรงใจเพื่อนพ่อ เพราะว่าฝากลูกไว้คนหนึ่งแล้ว หากฝากอีกก็คนดูจะเกินไป แม่เองก็เห็นด้วยกับพ่อในเรื่องนี้ และไม่สนับสนุนผม ส่วนผมก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องย้ายไปเรียนที่ใหม่ให้ได้ ดังนั้นเราสองพ่อลูกจึงทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง

หลังจากนั้นผมก็โทรไปหาเอ๊ด ให้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมพ่อให้อีกแรงหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงที่คุยกับพี่ชาย ผมก็รู้ดีว่าเอ๊ดก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ด้วยเหตุผลเดียวกับพ่อ คือมีความไม่สะดวกเรื่องที่พักอาศัย แต่เอ๊ดก็ไม่กล้าพูดตรงๆ เพราะมันจะกลายเป็นว่าพี่กันท่าน้อง เพราะเอ๊ดเองพ่อยังให้ย้ายโรงเรียนได้ เอ๊ดออกตัวว่าไม่กล้ารับปากว่าจะช่วยได้สำเร็จหรือไม่
- - -

วันรุ่งขึ้น

หลังจากการรอคอยที่ยาวนาน ในที่สุดก็ถึงเช้าวันจันทร์ เมื่อคืนผมนอนกระสับกระส่ายเกือบทั้งคืน คิดวนไปเวียนมาถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และคิดว่าควรจะจัดการอย่างไรดี ทั้งเรื่องของไอ้นัย เรื่องของไอ้ชัช และเรื่องของตนเอง

สำหรับปัญหาเรื่องไอ้ชิดนั้น เรื่องบอกครูเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะคิด เพราะในสมัยนั้น เด็กนักเรียนมักมีทัศนคติว่าครูไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรได้ มีแต่จะคอยตีนักเรียน ก็คงเป็นทัศนคติที่ไม่ค่อยดีและไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เด็กนักเรียนในสมัยที่ผมเรียนชั้นประถมคิดกันแบบนั้นจริงๆ

ผมเดินออกมาจากหอพร้อมกับไอ้ชัช ไอ้ชัชทำหน้าทำตาอธิบายไม่ถูกจริงๆครับ มันเหมือนเบื่อหน่ายชีวิตเสียเต็มประดา ผสมกับโกรธใครมาสักสิบปี แต่ผมขี้เกียจถาม เพราะตอนนี้ปัญหาต่างๆมีอยู่เต็มสมอง ผมไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก

เมื่อไปถึงห้องเรียน เพื่อนๆในห้องก็มารุมซักถามเกี่ยวกับการสอบสัมภาษณ์ที่เพิ่งผ่านมา ผมก็คุยไป สายตาก็มองไปที่ประตู ดูว่าเมื่อไรไอ้นัยจะมา

ปรากฏว่าคนที่มาก่อนกลับเป็นไอ้ชิด เห็นมันเดินเข้ามาด้วยท่าทีปกติ เข้ามาแล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาทุกวัน ไอ้นี่มันทำตัวเนียนจริงๆ

จากนั้นไม่นาน ไอ้นัยก็มาถึง พอมันเดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นไอ้ชิด ผมสังเกตเห็นว่าไอ้นัยถึงกับชะงัก ส่วนไอ้ชิดนั้นเห็นมันมองไอ้นัยแล้วยักคิ้วให้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเวลามันยิ้มเหมือนกับแสยะยิ้ม ทั้งน่ากลัวและทั้งน่ารังเกียจ

มีเรื่องหนึ่งที่ผมค่อยมาเข้าใจในภายหลัง ตอนที่โตแล้ว นั่นก็คือ ตอนที่ไอ้ชิดซ้อมไอ้นัยครั้งหลังนั้น มันฉลาดมาก มันเลือกต่อยเฉพาะที่ลำตัว มันไม่ต่อยที่ใบหน้าหรือที่แขนเลย เพราะอาจมีรอยฟกช้ำดำเขียวให้คนอื่นมองเห็นได้ ดังนั้นถ้าดูจากภายนอก จะไม่มีใครรู้เลยว่าไอ้นัยถูกอัดมา ไอ้หมอนี่มันร้ายจริงๆ

ไอ้นัยพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องก็คงดูไม่ออก แต่ผมสังเกตมันออก มันมีอาการผวาไอ้ชิดอยู่ ชอบชำเลืองดูไอ้ชิดบ่อยๆ เหมือนคนหวาดระแวง เห็นแล้วยิ่งรู้สึกสงสารไอ้นัย

ในระหว่างวัน ผมพยายามซักถามไอ้นัยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก แต่ไอ้นัยก็ไม่ยอมเล่าอะไรเช่นเดิม บอกแต่เพียงว่าไม่มีอะไร สีหน้าของมันเรียบเฉย เรียบจนดูไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สังเกตว่าในขณะเรียน มันเหลือบมองไอ้ชิดบ่อยๆ

ตอนบ่ายวันนั้น หลังเลิกเรียน หลังจากที่คิดมาหลายวัน ในที่สุดผมก็คิดแผนแย่ๆออกมาได้แผนหนึ่ง นั่นคือ พอหลังเลิกเรียน ผมก็ลากไอ้นัยไปนั่งคอยคุณอาที่หน้าตึกอำนวยการทันที คือตามปกติ หลังจากที่เลิกเรียน เราจะนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนกันสักพักหนึ่ง พอใกล้ได้เวลาที่คุณอาจะมารับ ไอ้นัยก็จะไปรอคุณอาที่ทางเดินหน้าตึก บางวันก็รอนานหน่อย บางวันก็รอไม่นาน แล้วแต่ว่าคุณอาจะมาช้าหรือเร็ว ไม่แน่ไม่นอน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีโทรศัพท์มือถือใช้ สามารถโทรถึงกันได้อย่างสบาย ช่วงเวลาที่ต้องระวังก็คือหลังเลิกเรียนนี่แหละครับ ส่วนเวลาอื่นนั้นจะมีนักเรียนและครูอยู่ในห้องเรียนเสมอ ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไร

ตึกอำนวยการที่ว่าก็เป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการ อาจารย์ใหญ่ และเป็นสำนักงานด้วย ปกติจะมีครูหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตลอดเวลา ข้างหน้าตึกก็มีทางเดินหน้าตึก และมีโต๊ะกับเก้าอี้ สามารถนั่งรอได้ ดังนั้นผมจึงลากไอ้นัยมาที่นี่ คิดว่าอย่างไรเสียไอ้ชิดคงไม่กล้ามารังแกไอ้นัยถึงหน้าตึกอำนวยการ

ผมบอกไอ้นัยว่าต่อไปตอนเย็นให้รอคุณอาที่นี่ก็แล้วกัน โดยผมจะอยู่รอเป็นเพื่อนกับมัน อดทนอีกประมาณหนึ่งเดือนก็จะสอบไล่ แล้วก็จะปิดเทอม หลังจากนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องโดนไอ้ชิดรังแกอีก ไอ้นัยก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันเป็นคนที่ไม่ขัดใจใครอยู่แล้ว

สาเหตุที่ผมต้องอยู่เป็นเพื่อนไอ้นัย เพราะยังไม่วางใจไอ้ชิดเสียทีเดียว อีกอย่าง ผมรู้นิสัยว่าไอ้นัยมันเป็นคนดื้อเงียบ อะไรที่มันไม่เห็นด้วยมันก็จะแกล้งดื้อเสียยังงั้นแหละ ดังนั้นกับความคิดเรื่องมารอคุณอาที่หน้าตึกอำนวยการนี้ถ้าไอ้นัยมันไม่เห็นด้วย มันก็คงกลับไปนั่งทำการบ้านรอที่ในห้องเรียนตามเดิมเมื่อผมไม่อยู่ ดังนั้นผมจึงต้องอยู่ป็นเพื่อนมันจนมันกลับจะได้สบายใจ

เย็นวันแรก เหตุการณ์ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ไอ้ชิดไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับไอ้นัย ส่วนคุณอานั้นคงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เรามารอส่งไอ้นัย อีกทั้งยังเปลี่ยนสถานที่รอเสียอีก

วันถัดมา เหตุการณ์ก็ยังเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก เพราะไอ้ชัชเริ่มบ่นถึงเรื่องที่ต้องมารอส่งไอ้นัยตอนเย็น

“แย่จริง กูจะนั่งทำการบ้านที่ห้องเรียนก็ไม่ได้” ไอ้ชัชบ่น

“ทนหน่อยน่า นั่งแถวนี้ก็ทำการบ้านได้นี่หว่า” ผมบอก ส่วนไอ้นัยหน้าเสียไปนิดหนึ่ง

“อยู่นี่ไม่มีเพื่อนว่ะ ไม่เหมือนทำการบ้านที่ห้อง” ไอ้ชัชพูด

“แล้วกูกับไอ้นัยนี่ไม่ใช่พื่อนมึงหรือวะ” ผมพูดเสียงดัง ชักโมโหกับคำพูดของมัน แบบนี้ไม่รักษาน้ำใจไอ้นัยเลยนี่หว่า

“แล้วมึงว่าใช่ไหมล่ะ” ไอ้ชัชแหกปากเสียงดังกับผมบ้าง

ว่าแล้วมันก็เก็บสมุดและเครื่องเขียนใส่กระเป๋า “กูกลับหอละนะ” ไอ้ชัชพูด แล้วก็เดินไปทางพอพัก

“เออ จะไปไหนก็ไปเลยมึง” ผมตะโกนไล่หลัง

- - -

คืนนั้น ผมโทรไปหาพี่ชายอีก ถามผลว่าคุยกับพ่อแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เอ๊ดบอกว่ายังไม่ดุย

“อะไรว้า ตกลงไม่คิดจะช่วยกันเลยใช่ไหม” ผมโวย

“ใจเย็นๆดิอู” เอ๊ดปลอบ

“แล้วเมื่อไหร่จะพูดให้เสียทีล่ะ” ผมถามแบบคาดคั้น

“รอหน่อยนะ รอให้ป๋าอารมณ์ดีๆก่อน พูดแล้วจะได้ได้ผล อูเพิ่งทะเลาะกับป๋ามาเมื่อวาน จะให้พูดวันนี้เลยเหรอ” เอ๊ดพยายามอธิบาย

“ป๋าฟังเอ๊ดทุกที ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าช่วยพูดให้จริงๆก็คงสำเร็จ” ผมพูด

“อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าเอ๊ดไม่คิดช่วยหรือไง” เสียงเอ๊ดชักดังขึ้น

“เอ๊ดถามตัวเองดีกว่า ว่าคิดช่วยไหม ไม่ต้องมาถามอูหรอก” ผมพูดด้วยความโมโห ตอนนั้นคิดไปว่าเอ๊ดเองก็คงไม่อยากให้ผมย้ายโรงเรียน เพราะปัญหาเรื่องที่พักของผมนั้นกระทบถึงเอ๊ดโดยตรง

การสนทนาในวันนั้นจบลงไม่ค่อยสวยนัก ผมทะเลาะกับเอ๊ดค่อนข้างแรง สองสามวันนี้ผมทะเลาะกับใครต่อใครไปทั่ว

- - -

วันศุกร์

สัปดาห์นั้นตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นมา ผมไปนั่งเป็นเพื่อนไอ้นัย รอส่งมันขึ้นรถที่หน้าตึกอำนวยการทุกวัน สองวันแรกไอ้ชัชมานั่งด้วย แต่หลังจากที่มีเรื่องเคืองกัน วันพุธกับพฤหัสไอ้ชัชก็ไม่ได้มานั่งด้วย ส่วนเรื่องการเจรจากับพ่อนั้น ผมไม่ได้โทรไปหาเอ๊ดอีก รวมทั้งไม่ได้โทรไปหาพ่ออีกด้วย

ในตอนเที่ยงของวันศุกร์ เราสามคนนั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกันตามปกติ ถึงแม้ว่าเราจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่กิจวัตรก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ตอนเที่ยงเรายังนั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิมทุกวัน จะมีที่แตกต่างไปบ้างก็ตรงที่เราไม่ค่อยคุยกันมากเหมือนเมื่อก่อน ไอ้นัยก็เงียบ ไอ้ชัชก็เงียบ ผมเองช่วงนี้มีความในใจอยู่หลายเรื่อง ก็เลยพลอยเงียบไปด้วย แม้แต่ตอนอยู่ในห้องเรียนก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไรนัก

แต่ตอนเที่ยงวันนี้ ที่โต๊ะอาหาร ผมพูดเยอะหน่อย เพราะวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์จะมีการประกาศผลการสอบเข้า ม.๑ ซึ่งผลคราวนี้เป็นผลขั้นสุดท้าย ใครที่สอบสัมภาษณ์ผ่านก็เป็นอันว่าได้เรียน ที่โตะอาหาร ผมกับไอ้ชัชนั่งด้วยกัน ส่วนไอ้นัยนั่งตรงข้ามกับไอ้ชัช

ผมฝากไอ้นัยให้ช่วยดูให้ด้วย เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นแค่การประกาศผล ผมไปเองหรือให้ไอ้นัยดูให้ก็เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องขออนุญาตออกจากหอให้วุ่นวาย

ผมกับไอ้นัยคุยกันเรื่องผลการสอบเข้าและเรื่องโรงเรียนใหม่ ทันใดนั้นเอง ไอ้ชัชก็กระแทกจานอาหารซึ่งเป็นจานสังกะสีกับโต๊ะเสียงดังลั่น พร้อมทั้งพูดเสียงดัง

“โอ๊ย เบื่อ กูรู้แล้วว่าพวกมึงเก่ง กูฟังจนเซ็งแล้วโว้ย” พูดจบ แล้วมันก็ผลักจานอาหารไปข้างหน้าอย่างแรง จานอาหารก็ลื่นไถลไปตามโต๊ะ และพุ่งเข้าใส่หน้าอกไอ้นัย

Tuesday, December 25, 2007

ตอนที่ 76

หลังจากที่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมมีความรู้สึกหลายๆอย่างเกิดขึ้น คือทั้งเป็นห่วงไอ้นัย ทั้งโกรธไอ้ชิด และแน่นอน คนที่ผมโกรธมากที่สุดก็คือตัวเอง

สิ่งที่ได้ฟังจากไอ้ติ๊กก็ยังไม่ชัดเจนพอที่จะบอกได้ว่าไอ้นัยต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างเมื่อวาน ผมรีบผลุนผลันออกไปจากห้องนอนของไอ้ติ๊กเพื่อจะลงไปโทรศัพท์ข้างล่าง

ที่ชั้นล่าง ผมเห็นไอ้ชัชกำลังนั่นเล่นอยู่คนเดียว ตอนนั้นมันไม่ได้ดูทีวีแล้ว ผมตรงเข้าไปหามัน พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่ได้ยินจากไอ้ติ๊กให้ฟัง ตอนนั้นผมกำลังกลุ้มใจครับ ใจมันร้อนรุ่มไปหมด ปรึกษาไอ้ชัชเสียหน่อยก็ไม่เลว เผื่อว่ามีความคิดดีๆ

“ทำไงดีวะเนี่ย สงสารไอ้นัยจัง ไม่รู้ทำเวรทำกรรมอะไร” ผมบ่นแถมท้ายหลังจากที่เล่าจบ

“กรรมของมันที่รู้จักมึงไง” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วมันก็ลุกเดินหนีไป

อ้าว ไหงเป็นยังงั้น ตอนนั้นผมยังคิดอะไรไม่ทัน กว่าจะหายงงไอ้ชัชก็เดินหนีหายไปแล้ว วันนี้ไอ้ชัชเป็นอะไรไปอีกคน ผมทั้งงง ทั้งโมโหไอ้ชัช เพราะเรื่องกำลังคอขาดบาดตายดันมาพูดประชดแล้วเดินหนี ไม่ยอมช่วยคิด

เรื่องไอ้ชัชเก็บเอาไว้ก่อน ผมรีบตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์ แล้วหยอดเหรียญ ต่อไปหาไอ้นัยทันที

“โหล” เสียงใสๆรับสาย

“นัย นี่กูเองนะ เมื่อวานตอนเย็นเกิดเรื่องอะไรอ่ะ” ผมไม่มีอารัมภบท พอไอ้นัยรับสายก็เข้าเรื่องทันที

“…”

“นัย ฟังอยู่หรือเปล่า” ผมถาม

“ฮื่อ” เสียงจากฝั่งโน้นรับคำเบาๆ

“กูถามว่ามื่อวานเกิดเรื่องอะไร... ตอนที่กูกลับไปแล้วน่ะ” ผมย้ำคำถาม

“ไม่มีไรนี่” ไอ้นัยตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

“กูรู้นะนัย อย่าปิดกูเลย” ผมคาดคั้น

“รู้แล้วมาถามทำไมล่ะ” ไอ้นัยพูด คราวนี้เสียงของมันอู้อี้ ฟังไม่ค่อยชัด เหมือนคนสะอึก

“นัย มึงเป็นไรไปน่ะ มึงร้องไห้เหรอ” ผมถามอย่างร้อนรน ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยเห็นไอ้นัยร้องไห้มาก่อน

“…”

“นัย ไอ้ชิดทำอะไรมึง เป็นไรมากหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ” ผมอ้อนวอน

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ไอ้นัยพูดเบาๆ เสียงเหมือนคนพยายามกลั้นสะอื้นเต็มที่

“เท่านี้ก่อนนะอู เดี่ยวอาจะใช้สาย” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วสายก็ถูกตัดไป

ตอนนี้อะไรๆสำหรับผมมันดูเลวร้ายไปหมด ไอ้นัยก็มีเรื่อง ไอ้ชัชก็มีปัญหา เรื่องร้ายๆทั้งหมดส่วนใหญ่มาจากผมทั้งนั้น การโทรศัพท์ไปหาไอ้นัยไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมเคร่งเครียดและวิตกเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้น ผมอยากไปหาไอ้นัยเดี๋ยวนี้ ไปอยู่ข้างๆมัน และปลอบใจมัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

ไปหาไอ้พงษ์ดีกว่า ผมคิด เพราะว่าไอ้พงษ์เป็นลูกสมุนของไอ้ชิด มันคงรู้อะไรมาบ้าง อีกอย่าง ไอ้พงษ์เคยช่วยนัยเอาไว้ ดังนั้นถ้ามันรู้อะไรมันคงยอมบอกผม

ผมเดินพล่านหาไอ้พงษ์ไปทั่วหอ แต่ก็ไม่พบ ถามไอ้ติ๊กก็มันก็ไม่รู้ ผมจึงไปนั่งรอมันที่ปากประตูหอเลย ที่จริงจะนั่งรอในห้องดูทีวีก็ได้ มันมาก็มองเห็นได้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นใจมันร้อนรุ่มไปหมด ก็เลยไปนั่งรอที่หน้าประตู

เวลาแห่งการรอคอยมันช่างแสนทรมาน ผมรอด้วยความกระวนกระวายจนค่ำ ไอ้พงษ์ก็โผล่มา มันคงหนีออกไปเล่นนอกหอที่ไหนสักแห่ง แต่ผมไม่ได้สนใจหรอกครับว่ามันจะไปไหน สนใจแต่เรื่องไอ้นัย

พอผมเห็นไอ้พงษ์ ผมก็รีบถามมันถึงเรื่องไอ้นัยทันที ตอนนั้นค่ำแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องดูทีวี ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน ส่วนไอ้ชัชหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจไอ้ชัชเลย

ปรากฏว่าแม้แต่ไอ้พงษ์ก็ไม่รู้เรื่องนี้ ไอ้ติ๊กก็ยังไม่ได้บอก มันเพิ่งจะมารู้จากผมนี่เอง

“นัยมันเล่าอะไรบ้างล่ะ” พงษ์ถาม

ผมส่ายหน้า “ไม่พูดอะไรเลย งั้นกูถามไอ้ชิดมันเองให้รู้เรื่องดีกว่า”

“อย่านะโว้ย” ไอ้พงษ์ห้าม “ถ้าไอ้ชิดมันรู้ว่าไอ้ติ๊กเล่าให้มึงฟัง มันซวยแน่เลย”

“แล้วถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง ไอ้นัยคงโดนมันรังแกอีก ยังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง” ผมพูด

“กูว่ามึงจะไม่ทันพูดรู้เรื่อง มึงก็จะตายก่อนน่ะสิ” ไอ้พงษ์พูด “มึงรู้ไหมว่าชิดมันต่อยกับรุ่นพี่ ม.ปลาย มันยังชนะเลย แล้วมึงจะเอาอะไรไปสู้กับมัน”

“งั้นบอกครูก็แล้วกัน” ผมพยายามคิดหาทางที่เป็นไปได้อีก

“ถ้าครูรู้แล้วมันโดนไล่ออก ยังงั้นมึงกับไอ้นัยก็ตายอยู่ดี” ไอ้พงษ์ว่า

สรุปแล้วมีแต่ตายกับตาย ถึงตอนนั้นผมจนปัญญาจริงๆ คิดแล้วอยากจะร้องไห้ เพราะไม่เห็นทางที่จะแก้ปัญหาได้เลย เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไร จะต้องมีคนอื่นเดือดร้อนไปด้วย ตอนนั้นเองที่ผมได้ลิ้มรสชาติของความท้อแท้และสิ้นหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต

คืนนั้น ผมหลบขึ้นไปนอนร้องไห้คนเดียวในห้องนอน เพราะนึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป ผมร้องไห้อยู่เป็นชั่วโมง หมอนเปียกโชกไปหมด จนหลับไปเองในที่สุด

- - -

เช้าวันอาทิตย์ วันนั้นกว่าผมจะตื่นขึ้นมาก็สายตะวันโด่ง ไอ้ชัชไม่ได้อยู่บนเตียง มันคงลุกไปกินอาหารเช้าแล้ว

ผมรอจนสายๆ ประมาณ ๑๐ โมง ก็ลองโทรไปหาไอ้นัยอีก

“โหล” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากปลายสายด้านโน้น ไอ้นัยชอบใช้คำว่า “โหล” เฉยๆจนติดปาก

“นัย นี่อูนะ” ผมพูด แล้วก็พูดอะไรต่อไม่ออก เพราะมันจะร้องไห้ออกมา

“ฮื่อ มีไรเหรอ” ไอ้นัยถาม ไม่รู้ว่าผมอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงของไอ้นันช่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน

“กูขอโทษนะนัย กูเสียใจ มึงต้องเดือดร้อนเพราะกูเป็นต้นเหตุ ขอโทษนะเพื่อน กูอยากจะแก้ไข แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง...”

ผมพูดได้แค่นี้ก็ต้องรีบวางสายโทรศัพท์ เพราะตอนนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว ผมไม่อยากให้ไอ้นัยได้ยินผมร้องไห้ เพราะความคิดในตอนนั้นก็คือ ผมต้องเข้มแข็ง ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ไอ้นัยเห็น...

Sunday, December 23, 2007

ตอนที่ 75

การสอบสัมภาษณ์ในวันนั้นใช้เวลาเพียง ๑๕ นาทีก็เสร็จเรียบร้อย ครูที่สัมภาษณ์ผมนั้นท่าทางใจดี เนื้อหาของการสัมภาษณ์ก็เป็นการทักทายทั่วไปบวกกับการถามความรู้รอบตัวนิดหน่อย ผมก็ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อย่างเช่น ตอนนั้นถูกถามว่าประเทศใดที่เคยมายกรัฐมนตรีหญิงอีกบ้าง นอกจากอังกฤษ เป็นต้น คือช่วงนั้นนางมากาเร็ต แทตเชอร์เป็นนายกฯอยู่ ข้อนี้ผมตอบไม่ได้

หลังจากที่สอบสัมภาษณ์เสร็จ ผมก็ออกมานั่งรอ คุณอากับไอ้นัย นั่งรออยู่ไม่นาน ไอ้นัยก็เดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“สอบสัมภาษณ์เป็นไงบ้าง” ผมถาม

“ฮื่อ ก็ดี” ไอ้นัยตอบ มันบอกว่าก็ดี แต่สีหน้าของมันไม่ค่อยดีเท่าไร

“แล้วคำถามยากไหม ตอบได้หมดหรือเปล่า” ผมยังอยากรู้ต่อไป

“ก็พอตอบได้อยู่” ไอ้นัยตอบ ถามคำก็ตอบคำ เอากับมันสิ

พอดีตอนนั้นคุณอายังไม่มา ผมก็เลยฉวยโอกาสถามไอ้นัย ที่ไม่อยากถามต่อหน้าคุณอาก็เพราะรู้ดีว่า ถึงถามมันก็คงไม่บอก เลยเก็บเอาไว้ถามเงียบๆตอนอยู่กันลำพังดีกว่า

“นัย วันนี้เป็นอะไรไปอ่ะ ทำไมดูเงียบๆไป” ผมถาม

ไอ้นัยสั่นหัวด้วยท่าทีเนือยๆ “เปล่า ไม่มีไรนี่”

“กูไม่เชื่อหรอก บอกกูมาเถอะน่า ว่ามีอะไรหรือเปล่า” ผมยังซักไซ้ไม่ยอมเลิก เพราะต้องการเอาความจริงจากไอ้นัย

ไอ้นัยสั่นหัวอีก เพียงแค่นี้ผมก็รู้แน่ว่าต้องมีอะไรที่ไอ้นัยปิดบังเอาไว้แน่ๆ เพียงแต่มันไม่ต้องการบอก ผมก็จนปัญญาที่จะเค้นเอาคำตอบจากมันอีก เพราะถ้าไอ้นัยมันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องอะไร มันจะใช้วิธีนิ่งเฉย จนคนถามเบื่อและเลิกถามไปเอง

ตอนบ่ายวันนั้น หลังจากที่สอบสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางกลับ ใจ สำหรับผลสอบอย่างเป็นทางการจะรู้ภายในเดือนนั้นเอง ใช้เวลารอไม่นาน แต่ต้องมาดูผลสอบเองเช่นเคย ตอนขากลบ ไอ้นัยนั่งเงียบมาในรถ มันเงียบจนผมรู้สึกอึดอัดใจ

หลังจากที่คุณอามาส่งผมที่โรงเรียน ผมก็เดินกลับเข้าหอไป เมื่อเดินเข้าไปในหอ ก็เห็นไอ้ชัชนั่งดูทีวีอยู่ในห้องดูทีวี ผมตรงเข้าไปนั่งกับมัน และส่งเสียงทักทาย

“นั่งด้วยคนดิชัช” ผมพูด

ไอ้ชัชพยักหน้า ไม่พูดอะไร เป็นทำนองว่าจะนั่งก็นั่งไปดิ

“ไม่อยากรู้เหรอว่ากูสอบสัมภาษณ์เป็นไง” ผมถาม

ไอ้ชัชสั่นหัวดิก ไม่พูดอะไร สายตายังจับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ ไม่มองหน้ามองแม้แต่น้อย ผมเริ่มรู้สึกเซ็งอย่างรุนแรง วันนี้เป็นวันอะไรกัน ทำไมถึงได้เจอแต่คนใบ้

ผมนั่งดูทีวีกับไอ้ชัชด้วยความเซ็ง นั่งดูจนหลับสัปหงกไปคาจอ ตื่นมาอีกทีก็บ่ายแก่แล้ว ก็เลยปลีกตัวออกมาจากไอ้ชัช กะว่าจะขึ้นไปนอนสักหน่อยดีกว่า

ที่ห้องนอนชั้นบน เนื่องจากห้องนอนของผมอยู่ห่างจากบันได ดังนั้น ก่อนจะถึงห้องนอนของผมจะต้องเดินผ่านห้องนอนอีกหลายห้อง ตอนนั้นบางห้องก็มีคนอยู่ เพราะว่าบางทีในวันหยุด กลางวันถ้าไม่มีอะไรทำ หรือว่าขี้เกียจ บางคนก็ขึ้นมานอนเล่น

“ไอ้นักมวยแม่งโคตรโหดเลย” ผมได้ยินเสียงคุยดันดังลอดออกมาจากห้องนอนห้องหนึ่ง

ผมสะดุดใจกับคำว่าไอ้นักมวย เพราะว่ามันหมายถึงไอ้ชิดนั่นเอง ฉายานี้เพื่อนบางคนใช้เรียกมันตอนอยู่ลับหลัง

ผมมองเข้าไปในห้องนอน เพื่อหาเจ้าของเสียงพูดว่าเป็นใคร คนพูดไม่ใช่ใครอื่น ไอ้ติ๊ก คู่ขาของไอ้พงษ์นั่งเอง มันกำลังคุยกับเพื่อนที่อยู่เตียงติดกันซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของมัน

“ใครเจอแบบนี้เข้าถือว่าโคตรซวยเลย” ไอ้ติ๊กพูดต่อ


ผมรู้สึกหนาววูบขึ้นมาอีกครั้ง ในใจเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่น่ากลัวขึ้นมาเรื่องหนึ่งจากลางสังหรณ์ ผมเดินเข้าไปหาไอ้ติ๊กในห้องนอน

“ติ๊ก มึงเล่าเรื่องอะไรอยู่น่ะ” ผมถาม

ไอ้ติ๊กทำหน้าตกใจ แล้วรีบปฏิเสธ “เปล่า ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรได้ไง ก็มึงพูดถึงไอ้ชิดอยู่ มันไปเล่นงานใครใช่ไหม” ผมคาดคั้น

“ใม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ไอ้ติ๊กปฏิเสธอีก ดูท่ามันคงกลัวไอ้ชิดจะมาเล่นงานมัน จึงไม่กล้าเล่าอะไร

“นี่มึงสมรู้ร่วมคิดกับมันใช่ไหม ถึงได้ช่วยมันปิด ระวังนะมึง ถ้ามันไปก่อเรื่องเข้า และมึงสมรู้ร่วมคิด อีกหน่อยจะโดนไล่ออกด้วยกัน” ผมรู้ว่าถามดีๆคงไม่ได้ความ เลยใช้วิธีข่มขู่

“กูเปล่านะโว้ย กูไม่ได้ยุ่งอะไรกับมัน” ไอ้ติ๊กรีบปฏิเสธพัลวัน

“ก็ถ้ามึงไม่ได้สมรู้ร่วมคิด มึงก็เล่าออกมาสิ กูรับรอง ว่าจะไม่บอกใคร กูสัญญา กูเป็นเพื่อนมึงนะโว้ย มึงไม่ไว้ใจเพื่อนฝูงแล้วจะไว้ใจหมาที่ไหน” ผมบอก

“เมื่อวานมีเด็กห้องมึงถูกไอ้นักมวยลากเข้าไปอัดในห้องน้ำอ่ะ” ไอ้ติ๊กเล่า สีหน้าอึกอัก “แต่มึงอย่าไปบอกไอ้ชิดมันนะ เพราะมันไม่รู้ว่ากูเห็นมัน”

“คนไหนเหรอ” ผมถาม ในใจรู้สึกเหมือนมีเงาทะมึนมาครอบคลุม ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนที่ผมคิดไว้เลย

“ก็เพื่อนมึงคนที่เคยโดนมันอัดตอนงานปีใหม่ไง” ไอ้ติ๊กบอก

ว่าแล้วไอ้ติ๊กก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อวานตอนเย็นมากแล้ว มัน มันกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำหลังตึกประถมปลาย ห้องน้ำที่ผมกับไอ้นัยและพวกเคยแข่งชักว่าวกันน่ะครับ ขณะที่มันอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ มันก็สังเกตเห็นว่าข้างในมีคนอยู่สองคน คือไอ้ชิดกับไอ้นัย โดยไอ้ชิดกำลังต่อยท้องไอ้นัยอยู่ แล้วถามไอ้นัยว่าจะยอมหรือไม่ยอม

จังหวะที่ไอ้ติ๊กยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำนั้นนั้น ไอ้ชิดพอดีไม่เห็น ไอ้ติ๊กมันเลยไม่กล้าเข้าห้องน้ำ และรีบวิ่งหนีไป หลังจากนั้นก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร

ที่จริงไอ้ติ๊กกับไอ้นัยไม่ได้รู้จักกัน เพราะเรียนกันอยู่คนละห้อง แค่เห็นหน้ากันและรู้ว่าใครเรียนอยู่ห้องไหนเท่านั้น แต่จากเหตุการณ์ที่ไอ้นัยโดนไอ้ชิดซ้อมในวันงานปีใหม่ที่เพิ่งผ่านมานั้น ได้ร่ำลือไปทั่วทั้งชั้น ป.๖ ดังนั้นหลายคนจึงรู้จักไอ้นัยในฐานะเหยื่อกามของไอ้ชิด โดยเฉพาะในห้องของเราเองก็พูดเรื่องนี้กันอยู่หลายวันตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ แต่ก็แอบๆคุยกัน เพราะไม่กล้าพูดให้ไอ้นัยกับผมได้ยิน ผมรู้ว่าเรื่องนี้สร้างความอับอายและรอยแผลอยู่ในใจของไอ้นัยอย่างลึกล้ำ

Tuesday, December 18, 2007

ตอนที่ 74

คุยกันได้พักใหญ่ ผมก็ขอลาครูช่วยกลับ ในตอนเย็นวันนั้นผมรู้สึกดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็พอจะรู้แล้วว่าควรจะปลอบไอ้ชัชอย่างไร นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ ว่าครูช่วยที่เอาแต่ตีนักเรียนจะเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของเด็กอย่างพวกเราได้ดีขนาดนี้

เมื่อกลับถึงหอ ผมก็รี่เข้าไปหาไอ้ชัชทันที ตอนนั้นไอ้ชัชกำลังนั่งดูทีวีอยู่

“ชัช คุยด้วยหน่อยดิ” ผมพูด ว่าแล้วก็ลากมันออกมาจากห้องดูทีวี และหาที่ลับตาเพื่อคุยกัน

“มีอะไรเหรอ” ไอ้ชัชถามอย่างงงๆ

“เรื่องสอบเข้า ม.๑ น่ะ” ผมพูด

“ตกลงมึงจะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหม” ไอ้ชัชพูด สีหน้าและแววตาสดชื่นขึ้นทันที

“มึงว่าป๊ากับม้ามึงรักมึงไหมวะ” ผมไม่ตอบมัน แต่ถามกลับไปแทน

ไอ้ชัชงุนงงกับคำถามของผม เพราะนึกไม่ออกว่าผมจะมาไม้ไหน

“มึงจะถามทำไม” ไอ้ชัชว่า

“เอาเถอะน่า มึงก็ตอบมาสิ” ผมรุกเร้า

“ก็รักน่ะสิ ถามได้”

“แล้วที่ป๊ากับม้ามึงส่งมึงมาเข้าโรงเรียนประจำที่นี่ ปีหนึ่งมีเวลาอยู่บ้านแค่ไม่กี่เดือน แล้วนี่มึงคิดว่าเค้าทิ้งมึงหรือเปล่า” ผมถามอีก

“ทิ้งอะไรกัน ก็เค้าอยากให้กูเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ” ไอ้ชัชตอบ

“นั่นแหละ เห็นไหมล่ะ” ผมพูด “การแยกจากกันไม่ได้แปลว่าเค้าไม่รักมึง แล้วก็ไม่ได้แปลว่าเค้าทิ้งมึง แต่เค้าอยากให้มึงได้ดี เค้าเลยยอมส่งมึงมาเรียนที่นี่ การที่กูไปเรียนที่อื่น ไม่ได้หมายความว่ากูทิ้งมึงสักหน่อย คนเราหากมีวาสนาต่อกัน สักวันก็จะได้กลับมาพบกันอีก”

ไอ้ชัชอ้าปากค้าง ยังจำใบหน้าของมันในตอนนั้นได้ มันยังตั้งตัวไม่ทัน และนึกไม่ถึงว่าผมจะยกเหตุผลได้มากมายถึงขนาดนั้น

จากนั้นผมก็อธิบายชักแม่น้ำทั้งห้าให้ไอ้ชัชฟัง เหมือนกับที่ครูช่วยอธิบายให้แก่ผม

“เป็นอันว่ายังไงมึงก็จะไปจากที่นี่” ไอ้ชัชสรุป

“แล้ว ม.๔ เราไปสอบเข้าเตรียมอุดมฯด้วยกัน ถึงตอนนั้น เราก็จะได้เรียนด้วยกันอีก แล้วก็ไม่แน่ว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราก็อาจได้เรียนด้วยกันอีก” ผมพยายามเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ

“มึงไปหัดพูดจาหลอกเด็กแบบนี้มาจากไหนวะ ไอ้อู” ไอ้ชัชพูดเรียบๆ น้ำเสียงของมันไม่มีแววโกรธเคือง มีแต่แววของการตัดพ้อต่อว่า “พูดแบบนี้มันหลอกเด็กอนุบาลนี่หว่า”

อ้าว เป็นอย่างนั้นไป เมื่อเห็นว่าการหว่านล้อมไม่ได้ผล ผมก็เลยต้องบอกกับมันไปตรงๆ

“กูตัดสินใจแล้วว่ะ ว่ากูคงจะไปจากที่นี่” ผมพูด “กูอยากไป และกูจะพยายามให้เต็มที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปอย่างที่คิดไว้หรือเปล่านะ เพราะว่าป๋ากูไม่เห็นด้วย แล้วแต่วาสนาก็แล้วกัน”

ไอ้ชัชฟังจบก็ไม่ได้พูดว่าอะไร แล้วมันก็เดินแยกจากไปด้วยท่าทีเงื่องหงอย

คืนนั้นเป็นอีกคืนหนึ่งที่ผมนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับได้ก็ดึกโข และคืนนั้น ไอ้ชัชก็มาขโมยหอมแก้มผมอีก ไอ้ชัชนี่ก็แปลก ตอนกลางวันดูมันเซื่องซึม เย็นชากับผม แต่ตอนกลางคืนที่มันหอมแก้มผมนั้น ผมสามารถรู้สึกได้ถึงมิตรภาพและความอบอุ่นที่มันถ่ายทอดมาให้

คืนนั้นผมเปลี่ยนความคิดกลับไปกลับมาจนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วในที่สุด ผมก็ผล็อยหลับไป

- - -

วันรุ่งขึ้น คุณอากับไอ้นัยมารับผมตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผมเองในตอนนั้นก็คิดว่าไปสัมภาษณ์เอาไว้ก่อน จะเรียนหรือไม่เรียนยังมีเวลาตัดสินได้อีกหน่อย

เมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ และเตรียมจะออกไปจากห้องนอน เห็นคนในห้องรวมทั้งไอ้ชัชยังนอนหลับกันอยู่ ผมเห็นไอ้เพื่อนรักของผมนอนหลับตา คิ้วขมวดมุ่น ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่ ดูไปแล้วก็สงสารมัน มันคงเป็นทุกข์เพราะผมมาก เพราะแม้แต่ตอนหลับก็ยังทำหน้ายุ่ง ผมเลยแอบหอมแก้มไอ้ชัชเสียหนึ่งที แล้วจึงเดินออกมา

คุณอาผู้ชายกับไอ้นัยมารับผมตามเวลา แว่บแรกที่ผมเห็นไอ้นัย ผมก็รู้สึกทันทีว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับมัน ความรู้สึกลึกๆมันบอก แต่ว่าหาเหตุผลไม่ได้

ไอ้นัยมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มแย้มเหมือนปกติ ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถถามคำก็ตอบคำ ผมถามมันว่าเป็นอะไรหรือเปล่า มันก็ตอบว่าไม่เป็นไร

“ตื่นเต้นมั้ง” ไอ้นัยบอก

เมื่อมาถึงโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระนคร พวกเราก็ต้องไปนั่งรอสัมภาษณ์ ตามที่ประกาศระบุไว้ ห้องสัมภาษณ์ก็คือห้องเรียนนั่นเอง ห้องสัมภาษณ์นี้มีหลายห้อง แต่ละห้องมีนักเรียนนั่งรอคิวสัมภาษณ์ตรงทางเดินหน้าห้องอยู่เกือบสิบคน

ผมกับไอ้นัยถูกจัดให้สอบสัมภาษณ์คนละห้องกัน ห้องสัมภาษณ์ของผมอยู่ชั้นล่าง ส่วนไอ้นัยห้องสัมภาษณ์อยู่ชั้นสอง

ผมนั่งรออยู่หน้าห้องสัมภาษณ์ได้สักพัก คุณอาผู้ชายก็เดินเข้ามาหาผม

“ไอ้นัยอยู่ชั้นสองครับ” ผมบอก เพราะคิดว่าคุณอาจะหาไอ้นัย

“เปล่า อาไม่ได้หานัย อาจะมาหาอูนั่นแหละ” อาผู้ชายพูดขึ้น พลางนั่งลงข้างๆผม

“คุณอามีอะไรเหรอครับ” ผมถาม

“อารู้สึกว่านัยมีอาการแปลกๆไปตั้งแต่กลับบ้านมาเมื่อวาน ดูนัยซึมๆชอบกล ถามดูแล้วก็บอกไม่มีอะไร แต่อายังไม่ค่อยแน่ใจนัก เลยลองมาถามอูดู” คุณอาพูด

“ผมก็รู้สึกเหมือนกันครับคุณอา แต่เมื่อวานก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เลิกเรียนแล้วผมก็กลับหอ ตอนนั้นไอ้นัยก็ยังดีๆอยู่” ผมบอก

ผมบอกว่าไม่มีอะไร แต่ตอนนั้นในใจรู้สึกหนาววูบ และขนลุกขึ้นมา จู่ๆผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดและลี้ลับ เกิดขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็หายไป

Sunday, December 16, 2007

ตอนที่ 73

ดึกแล้ว ผมยังนอนตะแคง ตาค้างเพราะมีเรื่องให้คิดมากจนนอนไม่หลับ คิดโน่น คิดนี่ คิดไปเรื่อย

ผมรู้สึกว่าที่เตียงของไอ้ชัชมีเสียงดังกุกกัก มันคงกำลังจะลุกไปฉี่นั่นเอง ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับมันดี ผมอยากใช้ความคิดเงียบๆคนเดียว

ได้ยินเสียงไอ้ชัชลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังลุกมาหาผม แล้วผมก็รู้สึกอุ่นๆที่แก้มขวา

ไอ้ชัชหอมแก้มผมเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้อง หายไปสักพัก คงไปฉี่มา ก็เดินกลับเข้ามา จากนั้นก็มาหอมแก้มผมอีกที แล้วก็กลับไปนอนที่เตียงตามเดิม

ปกติไอ้ชัชไม่เคยหอมแก้มผมเลย แม้ตอนที่เรามีอะไรกันก็เคยมีทดลองดูดปากกันบ้าง แต่ก็เป็นแค่การเลียนแบบในหนังสือที่ได้อ่านมา ตอนที่ผมโดนไอ้ชัชหอมแก้มนั้น ผมรู้สึกอบอุ่นลึกๆอยู่ในจิตใจ ลมหายใจอุ่นที่มันหายใจรดแก้มทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด มันทำให้ผมหวนรำลึกไปถึงความรู้สึกของเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่พ่อกับแม่หอมแก้มผม ตอนที่ผมยังไม่เข้าเรียนหนังสือและอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดนั้น ชีวิตช่างสุขสบายเสียนี่กระไร ผมอยากกลับไปในวันเก่าๆแบบนั้นอีกจัง ... คิดไปคิดมา ในที่สุดผมก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

- - -

สัปดาห์นั้น ผมกับไอ้ชัชไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไรนัก เพราะว่าไอ้ชัชซึมไปมาก ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะปลอบมันอย่างไร ส่วนไอ้นัยเองก็พลอยถูกโรคซึมเศร้าระบาดเข้าใส่ กลายเป็นไม่ค่อยพูดจาไปด้วย กลางวันเวลานั่งกินอาหารก็นั่งกินด้วยกัน แต่ว่ากินกันเงียบๆ

จนถึงเย็นวันศุกร์ ผมก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าผมควรไปเรียนที่ใหม่หรือไม่ ถ้าไม่ไป วันรุ่งขึ้นผมจะได้ไม่ไปสอบสัมภาษณ์ให้เสียเวลา

บ่ายวันศุกร์ หลังเลิกเรียน และหลังจากที่ไอ้ชัชเดินกลับไปที่หอแล้วสักพัก ผมก็คว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องไป

“ไปก่อนนะนัย” ผมบอกไอ้นัย

ไอ้นัยพยักหน้า เพราะมันเข้าใจว่าผมจะกลับหอ “พรุ่งนี้อย่าลืมล่ะ คุณอาจะมารับ”

ไอ้นัยมันหมายถึงว่าพรุ่งนี้คุณอากับมันจะมารับผมไปสอบสัมภาษณ์ ตลอดสัปดาห์นี้ ไอ้นัยมันเห็นผมเฉยๆ เลยเข้าใจเอาว่าผมคงยังไม่เปลี่ยนแผนการที่จะไปสอบสัมภาษณ์

ผมไม่ตอบคำ แต่พยักหน้า ว่าแล้วก็รีบเดินออกจากห้องเรียนไป

ผมขอยามที่หน้าโรงเรียน โดยบอกว่าจะออกไปซื้อของ ยามผู้ใจดีและคุ้นหน้าผมก็ผ่อนผันให้ผมออกมาจากโรงเรียนได้อย่างง่ายดาย

ผมไม่ได้กำลังจะไปซื้อของที่ไหนหรอกครับ แต่จะไปหาคนคนหนึ่ง บ้านอยู่ในซอยลาดพร้าว ๑ นี่เอง

ผมเดินจากโรงเรียน ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาทีก็ถึง บุคคลที่ผมกำลังจะมาหานี้ก็คือคครูประจำชั้นเก่าตอน ป.๔ ของผมเอง

ครูคนนี้เป็นครูชาย ชื่อครูช่วย อายุมากแล้ว เป็นครูรูปร่างสันทัด ไม่ผอม ไม่อ้วน ผิวสองสี ตอนที่ผมอยู่ชั้น ป.๔ ครูขับรถเก่าๆมาสอนหนังสือ เป็นครูที่ดุและชอบตีนักเรียน ตอนนั้นผมเองก็โดนไม้เรียวหวดก้นไปไม่น้อย ครูยิ่งตี ผมก็ยิ่งดื้อ ยิ่งดื้อ ผมก็ยิ่งโดนตี ส่วนไอ้ชัชกับไอ้นัยนั้นก็โดนตีบ้างแต่ไม่มาก นักเรียนทั้งชั้นไม่มีใครไม่ถูกแกตีเลย ทำการบ้านไม่ครบก็โดนตี ลืมเอาหนังสือเรียนมาก็โดนตี เสียงดังก็โดนตี เพราะครูคนนี้แกถือสุภาษิตที่ว่าไม้เรียวสร้างคนเป็นรัฐมนตรี แกเลยตีแหลก

ตอนที่แกเป็นครูประจำชั้นของผมตอน ป.๔ นั้น ผมเกลียดแกมาก ที่จริงนักเรียนทั้งชั้นคงไม่มีใครชอบแกหรอกครับ แต่แล้วก็เหมือนชะตาลิขิต หลังจากที่ผมจบชั้น ป.๔ ครูคนนี้ก็ออก ไม่ทราบว่าลาออกเองหรือว่าเกษียณ ข้อนี้ผมจำไม่ได้แล้ว หลังจากนั้น ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ป.๕ มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมเดินมาซื้อของที่ลาดพร้าวซอย ๑ ก็เลยเจอแกเข้า

คนแถวนั้นคงยังจำได้นะครับ ว่าลาดพร้าวซอย ๑ ในยุคก่อนนั้น ทั้งปากซอยและในซอย เต็มไปด้วยร้านขายของและขายขนม ร้านขายขนมที่ผมชอบไปซื้อกินก็คือร้านเครือทิพย์ ข้าวเหนียวสังขยาอร่อยดี แล้วก็มีอีกร้านที่อยู่ใกล้ๆกัน ชื่อว่าร้านผูกจิต เป็นร้านขายข้าวแกง แล้วก็มีร้านตัดผม เด็กนักเรียนคิด ๕ บาทหรือ ๑๐ บาทนี่แหละ ห่างออกไปอีกหน่อยก็เป็นตลาดและโรงหนังชั้นสอง เดี๋ยวนี้กลายเป็นสถานีรถไฟฟ้าและช้อปปิ้งมอลล์ไปหมดแล้ว และเมื่อเดินเข้าไปในลาดพร้าวซอย ๑ ก็จะมีตลาดเล็กๆอยู่ มีร้านขายของชำ และอื่นๆ

คงต้องขอเล่าย้อนความหน่อย ตอน ป.๕ ที่พบกันนั้น ครูช่วยก็มาซื้อของที่ร้านขายของชำ เมื่อผมเจอแก ทำไงได้ละครับ ก็ต้องสวัสดีกันตามธรรมเนียม ผมถามว่าแกมาทำอะไรแถวนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าบ้านแกอยู่ไหน แกก็ตอบว่าบ้านอยู่ในซอยนี้เอง จากนั้นก็เชิญผมไปนั่งเล่นที่บ้านของแก

ผมเดินตามครูช่วยเข้าไป บ้านของแกเดินลึกเข้ามาในซอย ๑ อีกพอควร จากนั้นมีซอกเล็กๆแยกเข้าไปอีก ต้องเรียกว่าซอก ไม่ได้เรียกว่าซอย เพราะรถวิ่งผ่านไม่ได้ เป็นทางเดินเล็กๆ อย่างมากก็จูงจักรยานผ่านไปได้เท่านั้นเอง ใช่แล้วครับ บ้านครูช่วยอยู่ในย่านคนจน

บ้านของแกเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนยกสูง เหมือนบ้านคนไทยสมัยก่อนไม่มีผิด ในบ้านแกมีห้องเล็กๆ ๒ ห้อง มีชานเรือนนิดหน่อย ส่วนห้องน้ำอยู่ข้างล่าง ไม่ได้อยู่ในเรือน บันไดบ้านแกชันมาก ขึ้นบ้านแล้วแล้วเสียวกลิ้งตกไปเหมือนกัน เพราะว่าเนื้อที่บ้านแคบเล็กนั่นเอง

ครูช่วยต้อนรับขับสู้ผมอย่างดี แกบอกว่าชอบนั่งอยู่ที่ชานเรือน เพราะในห้องมันอุดอู้ ที่ชานเรือนมีหมอนอิง ถังใส่กาชาจีน (กาน้ำชาจีนต้องมีถังบุนวมข้างในใส่เพื่อรักษาความร้อนของกาและน้ำชาในกาเอาไว้) แกชอบดื่มชาจีนครับ

แปลกนะครับ พอไม่ได้เป็นครูประจำชั้นของผมแล้ว ครูช่วยกลับกลายเป็นคนที่มีอัธยาศัยน่ารักมาก ชอบคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ผมก็ชอบนั่งฟังแกคุย และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมก็กลายเป็นแขกประจำแต่มาไม่สม่ำเสมอของครูช่วย ที่ว่าแขกประจำแต่มาไม่สม่ำเสมอก็เพราะว่าผมไม่ได้มาหาแกบ่อยนัก แต่ก็อยากไปหาแกนะครับ รู้สึกว่าแกเป็นชายสูงอายุที่เหงาและน่าสงสาร แต่ว่าวันหยุดเด็กประจำจะออกมาเพ่นพ่านข้างนอกนานๆไม่ได้ เลยไม่ค่อยมีโอกาสออกมา ส่วนไอ้ชัชนั้นเคยชวนมันอยู่บ้าง มันก็ไม่มา บอกว่าคุยกับคนแก่ไม่รู้เรื่อง แล้วก็เลยไม่ได้ชวนอีก

ที่ผมมาหาครูช่วยในครั้งนี้ ก็คิดว่าจะมาปรึกษาแก เพราะตัดสินใจไม่ถูก ตอนนั้นก็แปลกดี ไม่นึกถึงครูประจำชั้น ป.๖ แต่กลับไปนึกถึงอดีตครูประจำชั้นแทน

ตอนนั้นบ่ายแก่แล้ว ยังไงครูช่วยก็ต้องอยู่บ้านแน่นอน และแล้ว เมื่อเดินไปถึงหน้าบ้านแก ผมก็เห็นแกนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบชาจีน ด้วยท่วงท่าเดิมๆที่ผมคุ้นเคย

ผมเล่าเรื่องให้ครูช่วยฟัง แต่ไม่ได้เล่าถึงเรื่องความรู้สึกและความสัมพันธ์ลึกๆของพวกเรา แล้วผมก็ถามแกว่าผมควรไปเรียนชั้น ม.๑ ที่โรงเรียนใหม่หรือไม่

“ตกลงที่เราไม่อยากไปมันเพราะอะไรกันแน่” ครูช่วยถามพลางจ้องหน้าผมเหมือนจะค้นหาความจริง

“ไอ้ชัชมันไม่อยากให้ผมไปครับ ผมเองก็ลังเล เพราะรู้สึกทิ้งเพื่อนไม่ลงเหมือนกัน” ผมตอบ

“การที่เราไปเรียนที่อื่น ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งเพื่อนนี่” ครูช่วยบอก

“อู เธอคิดดูนะ คนในโลกมีตั้งกี่ร้อยกี่พันล้านคน ทำมเธอถึงได้มารู้จักกับเพื่อนๆ รู้จักกับชัชชัยล่ะ ทำไมไม่ไปเจอคนอื่น” ครูพูดอีก

อือม์ นั่นสินะ แต่ เอ... ไม่เข้าใจแฮะ

“ก็เพราะว่าคนเราล้วนมีวาสนาต่อกันยังไงล่ะ” ครูช่วยพูดต่อ “ครูเชื่อว่า ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มีโอกาสได้พบเจอกับเรา ล้วนแล้วแต่มีวาสนาต่อกันทั้งนั้น แต่จะมีวาสนาต่อกันในทางใด และมีมากเพียงไหน มันก็ต้องแล้วแต่คนไป

“ดังนั้น ที่อูกับชัชได้มีโอกาสเป็นเพื่อนกัน นั่นก็คือพวกเธอมีวาสนาต่อกัน ไม่แน่ว่าวาสนาของพวกเธออาจไม่ได้หมดกันเพียงแค่นี้ อูไปเรียน ม.ต้นที่อื่น พอถึง ม.ปลาย อูก็อาจย้ายโรงเรียนอีก เช่น ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมฯ แล้วที่นั่น อูอาจได้เรียนร่วมกับชัชอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” ครูช่วยพูดเสียยืดยาว “ที่พูดมาเข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ” ผมตอบ “แล้วผมควรไปดีไหมครับ”

ครูช่วยเขกหัวผมเบาๆ “ไหนบอกว่าเข้าใจไง เข้าใจก็ไม่ต้องถามสิ ไปคิดต่อเอาเอง”

“อ้า งั้นไม่เข้าใจก็ได้ครับ” ผมเปลี่ยนคำตอบใหม่

“ครูหมายความว่า แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง ถ้าการไปทำให้เรามีโอกาสพัฒนาได้มากกว่าก็ควรไป การแยกจากเพื่อนเป็นเรื่องเพียงชั่วคราว ในอนาคตเรายังมีโอกาสได้พบกันอีก คนเราเมื่อมีวาสนาต่อกัน ในที่สุดก็จะได้พบกันอีก เหมือนอูที่ได้มาพบครูอีกนี่ไง” ครูช่วยพูด

“แต่ชัชมันไม่ได้คิดแบบนี้นี่ครับครู มันคิดว่าผมจะทิ้งเพื่อน” ผมบอก

“เราก็ต้องค่อยๆอธิบายแหละ หรือถ้าชัชอยากมานั่งเล่นที่นี่บ้าง ให้เขามาคุยกับครูบ้างก็ได้ ถึงชัชอาจจะยังไม่เข้าใจในวันนี้ แต่เมื่อโตขึ้น ครูเชื่อว่าในที่สุดเขาก็จะเข้าใจ” ครูช่วยบอก

การคุยกับครูช่วยในวันนั้น เหมือนแสงสว่างในอุโมงค์ ช่วยผมได้มากจริงๆ ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมควรทำอย่างไร แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าไอ้ชัชจะทำอย่างไรมากกว่า ที่จริงแล้วปัญหาของผมไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกครับ นอกจากเรื่องของไอ้ชัชแล้ว ยังมีเรื่องของที่บ้าน หรือว่าเรื่องพ่อของผมอีก

Saturday, December 15, 2007

ตอนที่ 72

ไอ้ชัชจับมือผมที่กำลังคลายออกจากเอวของมัน เป็นความหมายว่าให้กอดต่อไป แล้วมันก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ของผมเอาไว้ พลางเอาหน้าของมันมาซบผม มันซบไปสะอื้นไป

“อยู่กับกูนะอู เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก กินนอนด้วยกัน เล่นด้วยกัน กูสนิทกับมึงยิ่งกว่าครอบครัวกูเองอีก ... กูกลัว...”

“กลัวอะไรเหรอชัช” ผมถาม

“เวลาคิดถึงตอนที่อยู่โดยไม่มีมึง... กูกลัว...” ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนจากเสียงสะอื้นเป็นร้องไห้ “อยู่กับกูนะอู”

ปกติไอ้ชัชเป็นคนที่ร่าเริง เป็นมิตร ความกวนประสาทของมันเป็นตัวสร้างความสนุกสนานให้แก่เพื่อนฝูง ตั้งแต่โตมาด้วยกัน ผมแทบไม่เคยเห็นมันร้องไห้เลย แต่พอมาถึง ป.๖ เทอมปลายนี้ ไอ้ชัชต้องเสียน้ำตาหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนแต่มีผมเป็นต้นเหตุ

ผมสงสารไอ้ชัช จนต้องร้องไห้ไปกับมัน เรากอดกันและร้องไห้ไปด้วยกัน หัวใจของผมรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกของไอ้เพื่อนรักคนนี้ จนผมรู้สึกใจอ่อน ...

“กู...” ผมแทบจะหลุดปากออกไปว่าผมเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว แต่ฉับพลันทันใดนั้นผมก็นึกถึงหน้าไอ้นัยขึ้นมา ดวงหน้าที่ฟกช้ำดำเขียวจากการถูกซ้อม ใบหน้าที่เศร้าสร้อยแต่เด็ดเดี่ยวของมัน ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของผม “กูไม่รู้ ชัช ... กูไม่รู้จริงๆ...”

ตกกลางคืนของวันนั้น ไอ้ชัชดูเงียบเหงาและเศร้าหมอง ผมเองก็เป็นด้วยเหมือนกัน เพราะความตั้งใจเดิมชักจะโลเล ยามกลางคืน เมื่อผมกำลังจะเข้านอน ผมเห็นไอ้ชัชนอนคลุมโปง ตัวสั่นเบาๆอยู่ในโปง มันคงร้องไห้อีกแล้ว แต่ผมไม่กล้าเข้าไปปลอบมันเพราะคนอยู่ในห้องนอนกันเยอะ

ผมเหลือบดูกล่องใส่ทิชชู่ปักรูปหมาที่ไอ้ชัชให้เป็นของขวัญปีใหม่ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง ไอ้ชัชมันเอาใจและตามใจผมแทบทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโต มันเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมมากที่สุด ปีนี้ก็เอาของขวัญมาให้ผม ในขณะที่ไอ้นัยไม่เคยให้ของขวัญอะไรผมเลย ไอ้นัยจะรู้ใจและเข้าใจผมขนาดไหนผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ผมรู้สึกผิดกับไอ้ชัช ผมรู้สึกผิดกับไอ้นัย ... ผมรู้สึกสับสน...

- - -

วันจันทร์ในสัปดาห์ถัดมา เช้าวันนั้นเป็นวันที่ชุลมุนวุ่นวายที่สุดอีกวันหนึ่ง เพราะเกือบทุกคนสนใจและคุยกันแต่เรื่องผลการสอบคัดเลือกเข้า ม.๑ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไอ้นัยยิ้มแป้นมาแต่เช้า เราสองคนกลายเป็นดาวเด่นของห้อง เพราะว่าในห้องมีเพียงเราเท่านั้นที่สอบติดที่โรงเรียนนี้ ส่วนไอ้ชัชนั่งซึมไม่พูดจา

วันนั้นผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ทั้งวัน เพราะมัวคิดถึงเรื่องการตัดสินใจ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

ตกบ่าย หลังเลิกเรียน ไอ้ชัชเดินซึมกลับเข้าหอไปในทันที ผมรู้สึกเห็นเป็นจังหวะที่ดีที่ไอ้ชัชไม่อยู่ เลยลากไอ้นัยไปคุยที่โรงอาหาร

“นัย กูจะทำยังไงดี” ผมถามมัน

“เรื่องไรล่ะ” ไอ้นัยยังงงอยู่

“เรื่องเรียน ม.๑ มึงว่ากูควรตัดสินใจเอาที่ใหม่ดีไหม” ผมถาม

“แล้วเรื่องอะไรจะไม่เอาล่ะ” ไอ้นัยย้อนถาม

“ก็ไอ้ชัชน่ะสิ” ผมตอบ “มันไม่อยากให้กูไป”

ถึงตอนนี้ไอ้นัยนิ่งอึ้งไป

“มันชอบมึงมากนะ” ไอ้นัยพูดขึ้นมาอย่างไม่คาดหมาย ผมรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมไอ้นัยถึงรู้เรื่องนี้ได้

“มึงรู้ได้ไง” ผมถาม

“แค่นี้ดูไม่รู้ก็ควายแล้ว” ไอ้นัยตอบ

รู้สึกว่าทั้งไอ้ชัชและไอ้นัยจะโตเร็วและเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ได้เร็วกว่าผม เพราะมันทั้งสองคนต่างก็เริ่มเรียนรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกรักชอบ แต่ในขณะที่ผมยังติดอยู่ในวังวนของอะไรก็ไม่รู้ จนไม่เข้าใจตัวเอง และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

ผมรู้สึกเอะใจ ถ้ามันดูไอ้ชัชออก แล้วมันจะดูออกไหมว่าผมคิดอย่างไรกับมัน

“แล้วมึงดูออกไหมว่ากูชอบใคร” ผมถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

ไอ้นัยอึ้งไปอีก แล้วตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“ไม่รู้อ่ะ” มันหยุดไปหน่อยแล้วรีบถามต่อ “แล้วเรื่องย้ายโรงเรียนมึงคิดอย่างไร”

“เดี๋ยวสิ เอาเรื่องนี้ก่อน มึงไม่รู้จริงๆหรือว่ากูชอบใคร” ผมยังไม่ยอมเปลี่ยนประเด็นตามมัน ผมรู้นิสัยมันดี ถ้ามันไม่อยากพูดเรื่องไหน มันก็จะรีบเสไปพูดเรื่องอื่นแทน

“เอ้อ... มึงก็คงชอบไอ้ชัชด้วยมั้ง” ไอ้นัยตอบอ้อมแอ้มอีก

ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไอ้นัยมันดูไอ้ชัชออก แต่มันกลับดูผมไม่ออกแม้แต่น้อย แล้วสิ่งที่ผมกำลังจะทำไปนี้ผมจะทำไปเพื่อใคร หรือว่าเพื่ออะไรกัน ???

“อู เป็นไรไปอ่ะ ทำไมเงียบไป” เสียงไอ้นัยทำให้ผมตื่นจากภวังค์ กลับเข้าสู่โลกของความจริงอีกครั้ง

“เปล่า” ผมตอบ “คือกูกำลังคิดว่าอาจจะไม่ย้ายไปไหนแล้ว เพราะสงสารไอ้ชัชมัน”

ไอ้นัยนิ่งเงียบไปอีก

“มึงตัดสินแน่แล้วเหรอ” ไอ้นัยถาม

“กูก็ยังไม่รู้เลย” ผมตอบ ในใจขณะนั้นรู้สึกเลื่อนลอยและสับ ตอนนั้นมันท้อจนไม่อยากคุยต่อแล้ว “ตอนนี้สับสนว่ะ ยังคิดอะไรไม่ออก”
- - -

ตอนค่ำของวันนั้น หลังจากที่ผมกลับเข้าหอแล้ว ผมเห็นไอ้ชัชนั่งซึมดูโทรทัศน์ตลอดหัวค่ำ ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆมัน แต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี หลังจากที่คุยกับไอ้นัยตอนเลิกเรียนแล้วผมรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสับสนมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

ผมนั่งอยู่ในห้องดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนไอ้ชัชจนถึงเวลาเข้านอน โดยที่ผมดูอะไรไม่รู้เรื่องเลย ถึงตอนเข้านอน ผมเหลือบดูกล่องทิชชู่ปักรูปหมาที่หัวเตียงอีก

หลังจากปิดไฟในห้องนอน ผมยังคงนั่งจับจ้องไปที่กล่องทิชชู่อันนั้น ในความมืด ความคิดคำนึงของผมล่องลอยไปในอดีต... ตอนประถมต้น ผมกับไอ้ชัชโตมาด้วยกัน นอนเตียงติดกันเกือบจะตลอด พอมาประถมปลาย นอกจากเรียนและเล่นด้วยกันแล้ว เรายังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เพื่อนทั่วไปจะมีต่อกัน... ทำไมคนเราพอยิ่งโต ชีวิตมันถึงได้ยิ่งวุ่นวาย นี่ถ้าผมหยุดชีวิตเอาไว้ที่ชั้น ป.๕ ได้ก็คงจะดีไม่น้อย

Monday, December 3, 2007

ตอนที่ 71

ตอนบ่ายวันนั้น หลังจากที่ผมกลับมาถึง เพื่อนๆก็เข้ามารุมล้อมซักถามรายละเอียดกันใหญ่ เพราะไม่มีใครนึกว่าผมจะสอบติดโรงเรียนดังได้โดยไม่ต้องติว ผมเองก็รู้สึกภูมิใจมาก เพราะตั้งแต่เรียนชั้นประถมมา แม้ผมจะสอบได้ลำดับที่เป็นเลขหลักเดียว แต่ก็ไม่ใช่เด็กที่เป็นคนเด่นอะไร ได้ลำดับที่เจ็ด แปด เก้า แถวๆนี้มาตลอด ไม่ว่าจะแข่งขันอะไร ผมก็ไม่เคยได้รางวัล มีแต่เกือบได้กับเกือบสำเร็จทั้งนั้น เพิ่งจะมีครั้งนี้แหละครับ ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน และได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ

ขณะที่ผมกำลังดีใจกับความสำเร็จอยู่นั้น ผมก็เริ่มสังเกตว่าไอ้ชัชไม่ได้อยู่แถวนั้นแล้ว มันปลีกตัวไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้

ผมเฮฮาอยู่กับกลุ่มเพื่อนต่ออีกสักครู่ จากนั้นก็พยายามปลีกตัวออกมา ผมเดินหามันจนทั่วหอก็ไม่พบ ถามใครก็ไม่มีใครเห็น

ถ้ามันไม่อยู่ในหอ มันก็อาจเดินไปซื้อของที่ร้านค้านอกโรงเรียน แต่คิดดูแล้วคงไม่ใช่ ไอ้ชัชคงไม่ไปซื้อของในเวลาแบบนั้น ผมจึงเดินออกจากหอและตามหาไอ้ชัช

หลังจากที่เดินหาไปจนเกือบทั่วโรงเรียน ก็มาพบไอ้ชัชนั่งเล่นอยู่บนชิงช้าคนเดียวอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนอนุบาลนี้อยู่อีกด้านหนึ่งของโรงเรียนเลยครับ อยู่ข้างๆตึกประถมต้น ที่นั่นจะมีชิงช้าอยู่หลายตัว วันนั้นเป็นวันหยุด ดังนั้นที่โรงเรียนอนุบาลจึงไม่มีใครอยู่เลย

ผมยังจำภาพของไอ้ชัชในวันนั้นได้อย่างติดตา มันนั่งคนเดียว เอาเท้ายันพื้นไกวชิงช้าเบาๆ ท่าทางเงียบเหงา สายตาเหม่อลอย ไอ้ชัชซึมอย่างเห็นได้ชัด

ความเศร้าหมองของไอ้ชัชเหมือนโรคติดต่อ มันทำให้ผมหดหู่ไปด้วย ความดีใจของเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“ชัช ชัช เป็นอะไรไปน่ะ” ผมถาม ที่จริงก็พอรู้อยู่ว่าเป็นอะไร ถามไปอย่างนั้นเองเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไรดี

ไอ้ชัชส่ายหัว ไม่พูดจา นั่งไกวชิงช้าด้วยท่าทีเซื่องซึม

“ชัช เป็นไรไปน่ะ พูดกับกูหน่อยดิ” ผมพูด พลางก้าวขึ้นไปนั่งบนชิงช้าคู่กับมัน ชิงช้านี้เป็นชิงช้าแบบที่นั่งคู่

ไอ้ชัชส่ายหัวไม่พูดอีก แต่ตาเริ่มแดงก่ำ ผมนึกถึงตอนที่มันพยายามปลอบผมยามที่ผมเป็นทุกข์ ผมจึงเอามือไปโอบเอวมัน แล้วกอดมันแน่น

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยวะชัช มึงมีอะไรก็พูดมาเถอะ กูเป็นเพื่อนรักของมึงนะ”

เท่านั้นเอง ต่อมน้ำตาของไอ้ชัชก็แตก มันสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

“มึงก็รู้นี่ว่าเพราะอะไร” ไอ้ชัชพูดแล้ว เสียงของมันปนสะอื้น ฟังแล้วสงสารมันจับใจ

“ฮื่อ กูก็รู้แหละ” ผมพูด “แต่มึงจะให้กูทำยังไงล่ะ เป็นใครถ้าสอบติด มันก็ต้องไปทั้งนั้น”

“แต่กูไม่อยากจากมึงไป มึงกับไอ้นัยไปกันหมด แล้วปล่อยให้กูอยู่ที่นี่คนเดียว” ไอ้ชัชพูดไปก็ร้องไห้ไป

ผมกอดไอ้ชัชเอาไว้แน่น พูดไม่ออกจริงๆครับ ไม่อยากปลอบมันว่าไม่ไปก็ได้ เพราะไม่อยากโกหกมัน ในยุคนั้น การที่สอบเข้า ม.๑ โรงเรียนดังได้มันก็เหมือนกับนักเรียนมัธยมปลายที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆได้นั่นแหละครับ ความรู้สึกไม่ผิดกันเลย

“ถ้าไอ้นัยสอบไม่ติด แล้วมึงสอบติด มึงจะยังไปไหมวะ” ไอ้ชัชถาม

คำถามนี้เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง นั่นสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะไปไหม

“กูก็ตอบไม่ถูกนะชัช” ผมตอบมันไปตามตรง “ตอบไม่ได้เหมือนกัน”

“แสดงว่ามึงไปเพราะไอ้นัย” ไอ้ชัชสรุป

ผมอึ้งไปอีก ที่จริงมันก็มีส่วน แต่จะมีส่วนแค่ไหน ผมเองก็ตอบใจตนเองไม่ได้เหมือนกัน

“ไม่รู้สิ” ผมตอบ ตอนนั้นใจผมเริ่มสับสน ชักจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว

“มึงไม่ไปได้เหรอ อู” ไอ้ชัชพูด มังนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ “กูรักมึงนะอู”

“เออ กูก็รักมึง มึงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของกู” ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจกับคำว่าความรักดีเท่าไร ผมคิดว่ามันกำลังบอกผมว่าผมเป็นเพื่อนรักของมัน

“กูชอบมึงมากนะ ไอ้อู มึงไม่เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ มึงสำคัญกับกูมาก” ไอ้ชัชพูด ตอนนั้นผมเริ่มงงและสับสน ผมชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าไอ้ชัชมันรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ มันเป็นความรู้สึกที่เข้าใจยากสำหรับเด็ก ป.๖ ในสมัยนั้น ผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคำว่า ความรัก

“กูรู้ว่ามึงชอบไอ้นัย ก็เลยรู้สึกอิจฉา บางทีก็เลยแกล้งมึงกับไอ้นัย” ไอ้ชัชพูดต่อ พลางสะอื้น

หลังจากที่ได้ฟังไอ้ชัช ผมถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง คำพูดของมันเหมือนกับฉุดให้ผมออกมาจากความมืดสู่ความสว่าง ใช่สินะ คงเป็นเพราะผมชอบไอ้นัยนั่นเอง คำว่า “ชอบ” นั้นมันมีความหมายมากกว่าคำว่าเพื่อน ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยครับว่าชอบไอ้นัยในแบบที่มากกว่าความเป็นเพื่อน หรือว่าอาจจะรู้ตัว แต่ไม่กล้ายอมรับความจริงอันผิดธรรมชาติของตนเองก็ได้

ผมคลายมือที่โอบเอวไอ้ชัชออก ตอนนั้นรับมือกับสถานการณ์ไม่ถูกจริงๆ

Sunday, December 2, 2007

ตอนที่ 70

“ไอ้นัย มึงสอบติดแล้วนะ” ผมตะโกนบอกไอ้นัย ไอ้นัยเองพยักหน้าเป็นทีว่าเห็นแล้ว ผมเห็นมันยิ้มแป้น ใบหน้าฉายแววแห่งความยินดีออกมา ขณะนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้ชั่วคราว ผมไม่ได้เห็นไอ้นัยยิ้มกว้างแบบนี้มานานแล้ว มันทั้งร่าเริง สดใส และเป็นธรรมชาติ มันทำให้ผมนึกถึงความสุขในช่วง ป. ๕ ที่ผ่านมา ผมพยายามมองหน้าที่เปี่ยมด้วยความยินดีของไอ้นัยเอาไว้ พยายามเก็บภาพนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ... เหมือนกับรู้ว่าต่อไปผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก

“อู คิดไรอยู่ หลบให้คนอื่นเขาดูบ้างดิ” เสียงไอ้นัยเรียกผม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์ ผมยืนคาอยู่ที่หน้าบอร์ดตั้งนาน มัวแต่มองไอ้นัยเพลินไปจนลืมไปว่าผมกำลังบังใครอีกหลายๆคนที่กำลังหารายชื่อของตนเองอยู่

ผมกับไอ้นัยถอยออกมาจากหน้าบอร์ด ปล่อยให้คนอื่นๆได้ตรวจหารายชื่อกันบ้าง ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตว่าเด็กนักเรียนที่มาออกันดูผลสอบนั้นมีกิริยาอาการต่างๆกัน บางคนก็ยินดีจนออกนอกหน้า บางคนก็เฉยๆ บางคนก็แสดงอาการเศร้าสร้อยออกมาจนเห็นได้ชัด ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น บางคนเศร้ากันทั้งเด็กและผู้ปกครอง การสอบเข้าชั้น ม.๑ ในยุคนั้นก็มีความหมายมากเหมือนกันครับ เพราะว่าหลายๆโรงเรียนมีเพียงแค่ประถม ๖ ถ้าใครเรียนจบแล้วไม่มีที่เรียนต่อก็ต้องเคว้ง วิ่งหาโรงเรียนกันให้วุ่น ต่างจากโรงเรียนที่มีชั้นมัธยมด้วย เพราะหากใครสอบเข้า ม.๑ ที่อื่นไม่ได้ ถึงอย่างไรก็สามารถเรียนต่อที่เดิมได้

คนที่สอบเข้าไม่ได้ในรอบแรก ต่อไปจะมีการจัดโรงเรียนให้รอบสอง คือเป็นการรวบรวมที่ว่างจากโรงเรียนต่างๆหลังจากการสอบรอบแรก ว่าโรงเรียนใดยังรับได้อีกเท่าไร แล้วก็จัดสรรให้แก่นักเรียนที่สอบเข้าที่ไหนไม่ได้ บางคนก็ได้รับจัดสรรโรงเรียนไกลบ้าน บางคนก็ได้โรงเรียนที่ผู้ปกครองไม่ค่อยพอใจนัก พูดง่ายๆก็คือ ได้โรงเรียนที่คิดว่าไม่ค่อยดี พวกนี้ในที่สุดก็อาจต้องไปเข้าโรงเรียนเอกชน เพราะไม่ถูกใจโรงเรียนที่ตนเองได้รับจัดสรรให้

วันนั้นเองที่ผมได้เริ่มเรียนรู้ความโหดร้ายของชีวิตจริง ในวัยเด็ก ชีวิตของผมมีแต่ความราบรื่น เรียน เล่น ชีวิตอยู่แต่ในโรงเรียนประจำที่มีการดูแลอย่างดี แต่ที่นี่ ผมได้เห็นถึงการแก่งแย่ง ความสำเร็จ และความล้มเหลว ซึ่งในที่สุดผมก็คงหนีวังวนเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน

เมื่อเดินห่างออกมาจากบอร์ด คุณอาของไอ้นัยก็เดินเข้ามาสมทบ ใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกถึงความยินดี คุณอาเห็นกิริยาของไอ้นัยก็คงเดาได้ว่าผลการสอบเป็นอย่างไร คุณเอาเอามือลูบหัวไอ้นัยด้วยความเอ็นดู

“เก่งมากนะนัย นี่แหละ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น” อาผู้ชายพูด

ไอ้นัยยิ้มแป้น หน้าบาน ส่วนผมเองรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เพราะพ่อของผมไม่เคยแสดงความรู้สึกชื่นชมยินดีในความสำเร็จของผมแบบนี้มาก่อน นี่ถ้าพ่อผมรู้ พ่อคงไม่ยินดีแบบอาของไอ้นัย และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น อาจไม่ยอมให้ผมย้ายโรงเรียนก็ได้

“อู เป็นไรไปน่ะ ตกลงสอบได้หรือไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวซึม” อาผู้ชายหันมาทักผมบ้าง

ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดอีกครั้งหนึ่ง

“สอบได้ครับ” ผมตอบ

“แล้วทำไมดูซึมๆล่ะ คิดอะไรอยู่” อาผู้ชายถามอีก

“เอ้อ...” ผมตอบแล้วก็หยุด “คือผมสงสารคนที่สอบไม่ได้น่ะครับ แล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าป๋าจะให้เรียนต่อที่นี่ไหม”

“ขี้สงสารจริงเรานี่” อาผู้ชายพูด “ชีวิตคือการต่อสู้นะอู มันก็ต้องมีคนสมหวัง และมีคนผิดหวัง ส่วนเรื่องป๋าน่ะ ลองค่อยๆคุยดู แล้วอาจะลองช่วยพูดให้อีกแรง”

ที่จริงอาผู้ชายก็ไม่ได้สนิทกับพ่อของผมเท่าไรนัก แต่เนื่องจากผมสนิทกับไอ้นัย และมีเรื่องต้องพึ่งคุณอาอยู่เสมอ ทั้งสองคนเลยมีโอกาสได้คุยกันบ้าง และพ่อผมก็ให้ความเกรงใจอาของไอ้นัยอยู่ไม่น้อย

ขั้นตอนต่อไปหลังจากการประกาศผลสอบในวันนี้ก็คือ สัปดาห์หน้าเราต้องมาสอบสัมภาษณ์ เมื่อสอบสัมภาษณ์ผ่านจึงจะถือว่าสอบเข้าเรียนต่อผ่านโดยสมบูรณ์ เรายังเหลืออีกด่านหนึ่ง แต่อาผู้ชายบอกว่าการสอบสัมภาษณ์นี้ไม่น่ากลัวนัก ส่วนใหญ่จะผ่านกันหมด ยกเว้นพวกที่ผิดปกติจริงๆ

“ผิดปกตินี่คืออะไรครับ” ไอ้นัยถาม

“ก็... อย่างเช่นสติไม่ดี คุยไม่รู้เรื่องมั้ง” อาผู้ชายตอบ

“สติไม่ดีแล้วจะสอบข้อเขียนผ่านได้ยังไง” ไอ้นัยย้อน แล้วหัวเราะ มันคงไม่ได้หวังคำตอบอะไรจริงจังนัก

หลังจากดูผลสอบเสร็จ คุณอาก็ขับรถกลับมาที่หอเพื่อมาส่งผม ตลอดทางที่เรานั่งรถกลับ ไอ้นัยคุยอย่างร่าเริงไปตลอดทาง วันนี้เป็นวันที่มันพูดมากที่สุดนับตั้งแต่เรารู้จักกันมา ผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

เมื่อกลับมาถึงหอ ตอนนั้นคุณอากับไอ้นัยกลับไปแล้ว ไอ้ชัชก็ปราดเข้ามาหาผม

“เฮ้ย มึงกับไอ้นัยสอบได้เหรอ” ไอ้ชัชทัก

“รู้ได้ไงวะเนี่ย กูยังไม่ได้บอกมึงเลย” ผมถามด้วยความงุนงง

“เซ่อจริง มึงนี่” ไอ้ชัชด่า “ก็คนในหอไปดูผลสอบกันตั้งหลายคน มันก็เอามาบอกน่ะสิ”

จริงสินะ ผมก็ลืมไป ตอนที่ไปดูผลสอบนั้นจำได้ว่าเห็นเพื่อนๆในชั้น ป.๖ บางคน แต่เป็นเด็กห้องอื่น ตอนนั้นบรรยากาศตอนดูผลสอบค่อนข้างชุลมุนวุ่นวาย ก็เลยไม่ได้คุยกัน แต่เด็กที่อยู่ในหอนั้นผมไม่เห็นเลยสักคน ไม่รู้ว่าหลงหูหลงตาไปได้อย่างไร

“ยังเหลืออีกด่านหนึ่ง ต้องสอบสัมภาษณ์อีก ถ้าผ่านถึงจะได้เรียน” ผมตอบ

ไอ้ชัชอ้าปากหวอ “นี่มึงจะไปสอบสัมภาษณ์ด้วยเหรอ”

“อ้าว” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายงงบ้าง “แล้วทำไมกูจะไม่สอบล่ะ”

“ก็ป๋าไม่ให้มึงย้ายโรงเรียน มึงจะไปสอบทำไม” ไอ้ชัชว่า มันก็เรียกพ่อผมว่าป๋าตามผม

“ก็กูอยากย้ายโรงเรียนอ่ะ”

คราวนี้ไอ้ชัชอึ้งไป

“นี่มึงเอาจริงเหรอ กูนึกว่ามึงจะสอบเล่นๆเพื่อแข่งกับคนอื่นๆเท่านั้น”

ก็อย่างที่เคยเล่าเอาไว้ ว่าการสอบเข้า ม.๑ ในยุคนั้นค่อนข้างมีความหมายทีเดียว เพราะเป็นค่านิยม ใครที่สอบเข้าได้โรงเรียนดังๆ ถือว่าโก้ และเก่ง รุ่นผมนั้น ป.๖ ทั้งระดับ มีคนสอบเข้าได้โรงเรียนเดียวกับผมเพียงไม่กี่คน ห้องผมนั้นมีเพียงผมกับไอ้นัยสองคนเท่านั้นที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในชีวิตวัยเด็กของผม เพราะว่าผมแค่ซื้อหนังสือมาอ่าน ไม่ได้ไปติวที่ไหน ก็ยังสอบได้ ในขณะที่อีกหลายๆคนเสียเงินติวไปตั้งมาก แต่ก็ยังสอบไม่ได้

“ตอนแรกก็ว่าจะสอบเล่นๆหรอก แต่ในเมื่อมันติด จะทิ้งไปก็เสียดายอ่ะ” ผมว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ใครสอบเข้าได้โรงเรียนนี้แล้วไม่เอา สงสัยคงเพี้ยน ตอนแรกผมไม่ค่อยมีความหวังเท่าไร เผื่อใจเอาไว้เลย แต่ก็พยายามเต็มที่ พอได้มาแล้วกลับกลายเป็นทุกขลาภ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ไอ้ชัชฟังแล้วก็หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วกูล่ะ” ไอ้ชัชพูด

“มึง? ทำไมเหรอ” ผมถาม ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของมัน

“ตกลงมึงจะทิ้งกูไปเหรอ” ไอ้ชัชถามตรง

“แล้วจะให้กูทำยังไงล่ะ ก็มันสอบได้นี่นา” ผมตอบ ฟังดูกำปั้นทุบดินอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากจริงๆครับ คิดแต่เพียงว่า ในเมื่อไอ้นัยสอบติด และผมสอบติด ถึงอย่างไรผมก็ต้องไป ลืมนึกไปว่าไอ้ชัชจะคิดและรู้สึกอย่างไร

ไอ้ชัชทำตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องออกมา

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวะ” ไอ้ชัชถาม น้ำเสียงเศร้าสร้อย

“สอบติดแล้วไม่เอา มีอย่างที่ไหนวะ” ผมตอบแบบข้างๆคูๆ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันครับ เพราะว่าคาดไม่ถึงว่าจะเจอปัญหานี้